Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ราชินีในห้องมืด

ราชินีในห้องมืด

วันที่ 24/2/2009
พี่อ๋อย สาวน้อยร้อยเอ็ด เป็นพระพรสำหรับฉันด้วยการแบ่งปันหนังสือเล่มหนึ่งให้ “ราชินีในห้องมืด” ฉันเคยเห็นบางคนที่โบสถ์ถืออยู่เหมือนกัน ซึ่งขณะที่เห็นนั้นก็นึกอยากได้อยู่ในใจ และฉันก็ได้หนังสือเล่มนี้มาจริงๆ
ครั้งแรกที่ฉันอ่านนั้น อ่านขณะเดินทางไปทำงาน บนรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสะพานควายถึงสถานีสยาม ผู้คนพลุกพล่าน แต่ฉันกลับไม่รู้สึกอะไร นอกจากจดจ่ออยู่กับหนังสือที่อ่าน ดื่มด่ำซาบซึ้งตั้งแต่อ่านคำนำ การพลิกไปแต่ละหน้าช่างเป็นความหอมหวานฟุ้งขจรในจิตใจ พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่หาใดเปรียบ ผู้ใดฤาจะเทียบพระองค์ได้ ฉันปรารถนาอย่างยิ่งที่จะทิ้งตัวลง ซบอยู่ที่แทบพระบาทของพระองค์ หากเวลานั้นอยู่ที่โบถส์หรืออยู่บ้าน ฉันคงทำเช่นที่หัวใจเรียกร้อง แต่ในสภาวะเช่นนั้น บนรถไฟฟ้า ฉันก็ไม่อาจทำได้ ขืนคุกเข่าลงก็มีหวังโดนเหยียบอย่างแน่นอนเลยเชียว ฉับพลัน ผู้คนก็เบียดเสียดกันมากขึ้นผิดปกติ เอ๊ะ เกิดอะไรขึ้น อ่อ! ถึงสถานีสยามแล้วนี่เอง เวลาผ่านไปเร็วโดยที่ฉันไม่รู้ตัวเลยจริงๆ
หัวใจฉันอัดแน่นไปด้วยความชุ่มชื่นและกระตือรือร้น กระหายที่จะเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า ฉันปรารถนาที่จะเป็นพระพรต่อผู้อื่น ดังเช่นธรรมิกชนทั้งหลายได้ประพฤติปฏิบัติเป็นแบบอย่าง และต้นแบบที่ล้ำเลิศคือองค์พระเยซู
ชีวิตของมิสช่าย ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้นั้น เป็นพระพรต่อผู้คนมากมายจริงๆ ซึ่งฉันคงไม่สามารถอธิบายรายละเอียดได้ทั้งหมด นอกจากจะหนุนใจให้ผู้ที่ยังไม่เคยอ่าน ได้มีโอกาสอ่านบ้าง
ชีวิตของมิสช่ายพรั่งพร้อมด้วยคุณสมบัติและทรัพย์สมบัติ รวมถึงญาติพี่น้อง แต่ยังยอมเป็นคนยากจนเพื่อรับใช้พระคริสต์ ต้องทนทุกข์กับปัญหาและวิกฤติซึ่งรุมเร้าเข้ามาทุกด้าน แต่เธอก็อดทนได้ เพื่อเห็นแก่พระคริสต์
มิสช่ายทำให้ฉันนึกถึงพระคัมภีร์ 2 คร.4:8-10
[2คร.4:8-10] เราถูกขนาบรอบข้าง แต่ก็ไม่ถึงกับกระดิกไม่ไหว เราจนปัญญาแต่ก็ไม่ถึงกับหมดมานะ เราถูกข่มเหงแต่ก็ไม่ถูกทอดทิ้ง เราถูกตีลงแล้ว แต่ก็ไม่ถึงตาย เราแบก "ความตาย" ของพระเยซูไว้ที่กายเราเสมอ เพื่อว่า "ชีวิต" ของพระเยซูจะปรากฏในกายของเราด้วย
มิสช่ายต้องทนทุกข์กับโรคร้ายซึ่งไม่มีทางรักษาให้หายได้ แต่เธอยังยืนหยัด แม้ว่าเธอจะต้องอยู่ในห้องมืดตลอดเวลา แต่พระเจ้าผู้งามเลิศนั้นเป็นความสว่างตลอดชีวิตของเธอ
[2คร.4:15-18] เพราะว่าสิ่งสารพัดนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของท่านทั้งหลาย เพื่อว่าเมื่อพระคุณมาถึงคนเป็นจำนวนมากขึ้น ก็จะมีการขอบพระคุณมากยิ่งขึ้น เป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า เหตุฉะนั้นเราจึงไม่ย่อท้อ ถึงแม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในนั้นก็ยังคงจำเริญขึ้นใหม่ทุกวัน เพราะว่าการทุกข์ยากเล็กๆน้อยๆของเรา ซึ่งเรารับอยู่ประเดี๋ยวเดียวนั้น จะทำให้เรามีศักดิ์ศรีถาวรมากหาที่เปรียบมิได้ เพราะว่าเราไม่ได้เห็นแก่สิ่งของที่เรามองเห็นอยู่ แต่เห็นแก่สิ่งของที่มองไม่เห็น เพราะว่าสิ่งของซึ่งมองเห็นอยู่นั้นเป็นของไม่ยั่งยืน แต่สิ่งซึ่งมองไม่เห็นนั้นก็ถาวรนิรันดร์
มิสช่ายกล่าวว่า “เธอเป็นราชินีในห้องมืด แต่พระเจ้าทรงเป็นราชาแห่งความสว่างของเธอ” ใช่แล้ว พระองค์ทรงเป็นความสว่าง และเราทั้งหลายซึ่งเป็นลูกของพระองค์นั้น ก็เป็นลูกแห่งความสว่าง เป็นความสว่างท่ามกลางโลกที่มืดมิดด้วยความบาปชั่วร้าย แต่ในยามที่มืดมิดที่สุดนี้แหละ ลูกแห่งความสว่างจะฉายชัดเปล่งประกายมากที่สุด
หนังสือ “ราชินีในห้องมืด” แปลโดย ศจ.สุพิชญ์ วิจักษณ์โยธิน อดีตศิษยาภิบาลคริสตจักรคลองเตย(สุขุมวิท 93) ท่านแปลให้ฟรีๆ ทำหนังสือเล่มนี้แจกฟรีๆ ทั้งยังนำไปลงใน Website ที่พี่น้องสามารถเข้าไปอ่านและแบ่งปันได้ตลอดเวลาอีกด้วย http://www.ktc93.com/
หลายคนคงอ่านหนังสือเล่มนี้มาบ้าง เพราะเล่มที่ฉันอ่านนี้ พิมพ์เป็นครั้งที่ 10 แล้ว ในการนี้ ฉันขออธิษฐานเป็นพิเศษสำหรับผู้แปล คือ ศจ.สุพิชญ์ ท่านได้รับเปล่าๆ ก็ให้แบบเปล่าๆ [มธ.10:8] น้ำใจของท่านประเสริฐเหลือเกิน และทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า
ขอร่วมถวายเกียรติแด่พระองค์ด้วยเช่นกัน

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เพราะเธอ…น้ำเต้าหู้

เพราะเธอ…น้ำเต้าหู้
วันที่ 20/2/2009
เช้าวันพุธที่ผ่านมาฉันมีความสุขเป็นที่สุด โอ้ลั่นล้าออกจากบ้านมาเจอร้านน้ำเต้าหู้ ซึ่งก็นึกในใจเหมือนกันว่าน้ำเต้าหู้ร้านนี้จะสะอาดหรือเปล่านะ ไปซื้อเจ้าอื่นดีกว่ามั้ง แต่ อ่ะ อ่ะ ไม่ได้นะ เพราะมีร้านเดียวแถวนั้น เอาน่า ซื้อไปดีกว่า…เช้านั้นจึงได้น้ำเต้าหู้มาสมใจ แต่ได้กินอีกทีก็ช่วงบ่ายแล้ว พอกินไปสักพักอาการแบบว่า เอ่อ ท้องเสีย ก็กำเริบ จากนั้นก็เข้าออกห้องน้ำเป็นว่าเล่น เพื่อนบางคนรู้ว่าฉันท้องเสียก็ดีใจ เอ้ย! ก็หัวเราะ เพราะเขาเห็นเป็นเรื่องขำๆ ท้องเสียเดี๋ยวก็หาย แต่คนที่มีอาการท้องเสียนี่สิ ไม่สนุกด้วยเลย พอพี่อิ๋วรู้ว่าฉันท้องเสียก็ถามสาเหตุ จนได้รู้ว่าเป็นเพราะเจ้าน้ำเต้าหู้นั่นแหละ ซื้อมาแต่เช้าแล้วไม่ได้แช่ตู้เย็น แล้วเมืองไทยอากาศร้อน ที่ Office เองก็ไม่ได้เย็นฉ่ำชื่นจิต เจ้าแบคทีเรียทั้งหลายเลยออกมาเริงร่าในน้ำเต้าหู้ เมื่อเข้าสู่ร่างกายจึงกลายเป็นศัตรูที่ต้องกำจัด เป็นเหตุให้ต้องเข้าห้องน้ำบ่อยๆ ฉะนี้แล
ผู้เชี่ยวชาญด้านการกินน้ำเต้าหู้ก็เริ่มสาธยายว่า น้ำเต้าหู้แต่ละร้านไม่เหมือนกัน เราไม่รู้ว่าเขาทำตั้งแต่เมื่อไร ถ้าซื้อมาตอนเช้าแล้วยังไม่ได้กิน ก็ควรนำเข้าตู้เย็น (จริงๆ ก็กะแบบนั้นเหมือนกัน แต่ว่าตอนซื้อมายังร้อนอยู่ เลยไม่ได้เอาเข้าตู้เย็น และมารู้ตัวอีกทีก็เที่ยงซะแล้ว…แฮะ แฮะ ลืมจ๊ะ) และน้ำเต้าหู้ก็ควรจะกินวันต่อวัน ไม่ควรค้างคืน มิเช่นนั้นมันจะสูญเสียคุณค่าทางอาหาร และจะบูดได้…จ้า ทราบแล้วเปลี่ยน (พฤติกรรม)
เย็นวันนั้นจึงต้องรีบกลับบ้านโดยด่วน ไม่สามารถอยู่ Office อีกต่อไปได้ เพราะเพลียมาก ต้องรีบเข้านอนโดยด่วนเช่นกัน…เมื่อตื่นเช้ามาก็ยิ่งเพลียหนักขึ้นไปอีก แต่ก็ต้องบังคับตนเองให้ลุกขึ้นมา เพราะงานเยอะเหลือเกิน หยุดไม่ได้เด็ดขาด
วันนี้วันศุกร์แล้ว แต่อาการเพลียยังคงอยู่ต่อเนื่อง ทำให้ยิ่งระลึกถึงคำเตือนสติในพระคัมภีร์ พระเจ้าทรงสั่งสอนและตักเตือนเราไว้มากมาย
พระเจ้าทรงสอนให้เราระวังระไวอยู่เสมอ [1ปต.5:8 ท่านทั้งหลายจงสงบใจจงระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของท่านคือมารวนเวียนอยู่รอบๆ ดุจสิงห์คำรามเที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้] หากกินโดยไม่ระวังก็เป็นช่องให้มารซาตานโจมตีเอาได้
ทรงสอนให้เราฉลาด [มธ.10:16 "ดูเถิด เราใช้พวกท่านไปดุจแกะอยู่ท่ามกลางหมาป่า เหตุฉะนั้นจงฉลาดเหมือนงู และไม่มีภัยเหมือนนกพิราบ] เราต้องฉลาดและอ่อนโยนในทุกจังหวะชีวิต
ทรงสอนให้เราเป็นคนดีรอบคอบ [มธ.5:48 เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ]

ทรงสอนให้เรากินและดื่มโดยถวายเกียรติแด่พระเจ้า [1คร.10:31 เหตุฉะนั้นเมื่อท่านจะรับประทานจะดื่ม หรือจะทำอะไรก็ตาม จงกระทำเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า]
ทรงสอนให้เราดูแลร่างกาย ดูแลวิหารของพระองค์ [1คร.3:16-17 ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ถ้าผู้ใดทำลายวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำลายผู้นั้น เพราะวิหารของพระเจ้าเป็นที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ และท่านทั้งหลายเป็นวิหารนั้น]
และอีกสารพัดที่พระองค์ทรงสอน แต่ฉันสิ กลับละเลยซะได้ คิดแค่ว่า มันจะเสียหรือเปล่านะ เมื่อดมกลิ่นดูก็ปกติดีนี่ อธิษฐานแล้วก็กินสบายใจเฉิบ มารู้ตัวอีกทีก็… ก็จู๊ด จู๊ด ไง
พี่น้องขา อย่าเป็นอย่างฉันนะคะ จะกินจะดื่มอะไรก็กรุณาชวนด้วย เอ้ย! แหะ แหะ เห็นแก่กินอีกแล้ว…หากจะกินดื่มอะไรก็คำนึงคุณประโยชน์และความสะอาดด้วยนะคะ และที่สำคัญคือ ราคาต้องเหมาะสมด้วยนา
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น คือ การดื่มกินที่ไม่มีวันเกิดผลร้าย การดื่มกินที่มีแต่ความบริสุทธิ์ ก็คือการดื่มกินพระคำของพระเจ้า พระวจนะของพระองค์
มธ.4:4 ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า "มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า "มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า

อรุณสวัสดิ์พระเจ้า

อรุณสวัสดิ์พระเจ้า
วันที่ 16/2/2009
05.00 น. อรุณสวัสดิ์!
แสงอรุณมาเยี่ยมเยียนแล้ว แม้ว่าจะยังไม่ฉายแสงเต็มที่ เป็นเพียงแสงสลัวรำไร แต่เจ้าโต้งก็โก่งคอขันขับขานเป็นทำนอง ในความเป็นจริงเจ้าโต้งจะขันเจื้อยแจ้วตั้งแต่ราวๆ ตีสี่โน่นแนะ
อิดออด อิดออด อิดออด…ไม่ใช่เสียงประตูนะคะ แต่เป็นอาการของฉันที่ไม่อยากลุกในตอนเช้า ประมาณว่าขี้เกียจ ก่อนหน้านี้ร่างกายอ่อนกำลังจึงสามารถนอนตื่นสายได้โดยไม่มีผลอะไร แต่ตอนนี้ร่างกายเริ่มกลับสู่ภาวะปกติแล้ว จึงไม่ได้รับอนุญาตให้ตื่นสายอีกต่อไป…โธ่เอ๋ย อยากนอนต่อน่ะ ไม่อยากลุกเลย กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง แต่สักพักหนึ่งก็นึกถึงผลร้ายของความขี้เกียจซึ่งกล่าวไว้ในพระคัมภีร์ โอ้ว! น่าตกใจมาก คือแค่นึกก็ตกใจน่ะ “กลัว” อีกต่างหาก [ปญจ.10:18 เพราะความขี้เกียจ หลังคาจึงหักพังลง และเพราะความเกียจคร้าน เรือนจึงรั่วเฉอะแฉะ] มีอีกนะ ในสุภาษิต [สภษ.6:6-11 คนเกียจคร้านเอ๋ย ไปหามดไป๊ พิเคราะห์ดูทางของมัน และจงฉลาด โดยปราศจากผู้หัวหน้า เจ้าหน้าที่หรือผู้ปกครอง มันเตรียมอาหารของมันในฤดูแล้ง และส่ำสมของกินของมันในฤดูเกี่ยว คนเกียจคร้านเอ๋ย เจ้าจะนอนนานเท่าใด เมื่อไรเจ้าจะลุกขึ้นจากหลับ หลับนิด เคลิ้มหน่อย กอดมือพักนิดหน่อย และความจนจะมาเหนือเจ้าอย่างคนจร และความขัดสน อย่างคนถืออาวุธ] จ๊ากกกกก มดกัด เอ้ย! ไม่ใช่ พระคัมภีร์แทงทะลุในใจ ละอายใจ อายมด ทันทีทันใดต้องรีบลุก อยู่ไม่ได้แล้วคะพี่น้อง
การใช้ชีวิตของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน การกิน การอยู่ การนอน การตื่น ล้วนแตกต่างกันเป็นสิ่งเฉพาะตัว ทว่าบางคนก็จะถูกปลุกขึ้นมากลางดึก ตีสองตีสาม หรือตีสี่ตีห้า แล้วแต่บุคคลอีกนั่นแหละ และก็แล้วแต่ช่วงเวลาด้วย ฉันเองเคยถูกปลุกมาตอนตีสามเหมือนกัน แต่ไม่บ่อย นานทีปีหน และขออย่าเป็นเช่นนั้นเลยพระเจ้า มันเช้าเกินไปน่ะ (อ้าว!) โดยทั่วไปฉันจะตื่นมาตอนตีสี่หรือตีห้ามากกว่า ตื่นเองนะ ไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุก ตื่นเป็นช่วงๆ บางช่วงก็ตีสี่ อาจเป็นอย่างนี้อยู่สักระยะหนึ่ง แต่ว่าระยะนี้จะตื่นขึ้นมาตอนตีห้า พระเจ้าทรงน่ารัก ทรงรู้กำลังของฉันดี หากตื่นก่อนตีห้าช่วงนี้ก็เหลือกำลังจะรับ มีหวังหลับขณะทำงานเป็นแน่ แต่ว่ายังไงช่วงนี้ก็ต้องตื่นตีห้านะ ห้ามเบี้ยว ถ้าเบี้ยวปุ๊บฉันก็จะเกิดอาการคันตามร่างกาย คันไม่หยุด คันอะไรกันนักกันหนานะ คันจนต้องลุกขึ้นมา สารภาพบาป และเริ่มต้นใช้เวลากับพระเจ้า อาการคันก็หายไป…ขอย้ำอีกครั้งว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันนี้เป็นเหตุการณ์เฉพาะบุคคลอีกนั่นแหละ เป็นประสบการณ์ของฉันเอง
พระเจ้าปรารถนาให้ลูกของพระองค์ใช้เวลาชิดใกล้พระองค์ และสำหรับฉันแล้ว พระองค์ประสงค์ให้ฉันตื่นขึ้นมาแต่เช้าเพื่อนมัสการ อธิษฐาน และดื่มด่ำกับพระวจนะของพระองค์ เพราะหากฉันไม่ทำตอนเช้า ตลอดทั้งวันฉันก็ทำงานตลอด แม้ว่าจะสามารถตรึกตรองพระคัมภีร์หรืออธิษฐานในพระวิญญาณ แต่ก็หาเวลาเข้าสนิทกับพระองค์เป็นการส่วนตัวค่อนข้างยาก ไม่เหมือนการใช้เวลาตามลำพังกับพระเจ้าอยู่ที่บ้าน ครั้นเวลาเย็น ฉันก็เลิกงานไม่แน่นอน แม้ว่าจะทำงาน 8.30-17.00 น. แต่บ่อยครั้งที่ไม่สามารถออกจากที่ทำงานได้ตรงเวลา เมื่อกลับถึงบ้านจึงเหนื่อย และพักกายพักสายตาลงโดยไม่ได้พักหัวใจและวิญญาณไว้กับพระเจ้า ในขณะที่พระเจ้าสร้างเรามาเพื่อนมัสการพระองค์ เพื่อสรรเสริญถวายเกียรติแด่พระองค์ เพื่อดื่มด่ำกับพระวจนะของพระองค์ เพื่ออธิษฐานเผื่อธรรมิกชนทั้งหลาย
มดต้องเตรียมเสบียงกรัง ส่ำสมอาหารเพื่อรักษาชีวิตฉันใด ยิ่งไปกว่านั้น ฉันซึ่งเป็นลูกของพระเจ้าก็ต้องเตรียมอาหารฝ่ายจิตวิญญาณ เตรียมพร้อมสำหรับชีวิตนิรันดร์ในสรวงสวรรค์แห่งพระองค์ ฉันต้องฝึกฝนวินัยตนเองอย่างจริงจัง เพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์ [สภษ.5:23 เขาตายเพราะขาดวินัยในชีวิต และเพราะความโง่อย่างยิ่งของเขา เขาจึงหลงเจิ่นไป]
“ความรักมั่นคงของพระเจ้าไม่เคยยั้งหยุด พระเมตตาคุณหลั่งลงมาอยู่เสมอ ใหม่ทุกเช้าเร้าในดวงใจ ซาบซึ้งทุกๆ วันใหม่ พระองค์ทรงความเที่ยงตรงยิ่งนัก พระองค์ทรงความเที่ยงตรง” ฉันชอบเพลงนี้มาก มักจะร้องทุกเช้า [พคค.3:22 ความรักมั่นคงของพระเจ้าไม่เคยหยุดยั้ง และพระเมตตาของพระเจ้าไม่มีสิ้นสุด]
เพราะความรักของพระองค์นั้นมั่นคง และฉันเองซึ่งปรารถนาจะเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ก็ต้องทูลขอพระวิญญาณให้ดลจิตใจของฉันให้ตื่นเช้าทุกวันเพื่อรับพระพรอันสดใหม่ของพระองค์ เริ่มต้นเช้าวันใหม่โดยมีพระองค์เป็นผู้แรกและผู้เดียวในหัวใจ รวมทั้งหลับตาลงในยามดึกโดยมีพระองค์เป็นผู้สุดท้ายและผู้เดียวในหัวใจ ทั้งนี้ มิใช่ว่ากลัวอาการคันจะเกิดขึ้นจนต้องเกาคะยึกคะยือ แต่เพื่อให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ เพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์

True Worship (ผู้นมัสการที่แท้จริง)

True Worship (ผู้นมัสการที่แท้จริง)
วันที่ 10/2/2009
[สดด.24:3-4 ผู้ใดจะขึ้นไปบนภูเขาของพระเจ้า และผู้ใดจะยืนอยู่ในวิสุทธิสถานของพระองค์
คือผู้ที่มีมือสะอาดและใจบริสุทธิ์ ผู้ที่มิได้ปลงใจในสิ่งเท็จ และมิได้สาบานอย่างหลอกลวง]
งานสัมมนาผู้นำนมัสการและดนตรีประจำปี 2009 (Thailand Worship Leader Seminar 2009) มีขึ้นระหว่างวันที่ 7-9 กุมภาพันธ์ 2009 ณ คริสตจักรนิมิตใหม่ โดยใช้สโลแกนว่า “Pure Heart Clean Hands” ใช้ภาษาไทยว่า “ผู้นมัสการอย่างถูกต้อง ต้องมีมือสะอาดและใจบริสุทธิ์”
องค์กรผู้สร้างสะพานในประเทศเกาหลี (Bridge Builders Korea) ก่อตั้งขึ้นในปี 1987 โดยมีงานหลักคือ การอบรมผู้นำนมัสการ สร้างเครือข่ายพันธกิจในเมืองใหญ่ๆ การนมัสการเพื่อการฟื้นฟู โดยคณะกรรมการ Bridge Builders จะประจำอยู่ในหลายประเทศด้วยกัน สำหรับในประเทศไทยนั้น มี ศจ.ยินดี จัง เป็นผู้อำนวยการ (อาจารย์ประจำ โรงเรียนพระคริสต์ศาสสนศาสตร์แบ็บติสต์)
การสัมมนาครั้งนี้จัดขึ้นเป็นปีที่ 3 แล้ว แต่สำหรับฉันนั้นเป็นครั้งแรก จึงตื่นเต้นตั้งแต่รู้ว่าจะได้ไปร่วมงาน และพระเจ้าทรงเมตตาให้เข้าอบรมฟรีอีกต่างหาก
รายการสัมมนาแบ่งออกเป็นช่วงๆ ทั้งช่วงนมัสการ ช่วงบรรยาย ช่วงเทศนาฟื้นฟู ช่วง Workshop ซึ่งช่วง Workshop นี้ ได้แบ่งกลุ่มผู้เข้าสัมมนาตามความสมัครใจออกเป็นกลุ่มย่อย ได้แก่ Worship Leader, Vocal, Piano, Guitar, Bass, Drum และ Drama for Evangelism
ไม่ว่าเราจะเล่นเครื่องดนตรีชิ้นไหน ไม่ว่าเราจะร้องเพลงอะไร ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน กับใคร อย่างไร เราต้องถือรักษาหัวใจแห่งการนมัสการไว้เสมอ เพราะพระเจ้าทรงแสวงหาผู้นมัสการเช่นนั้น
[ยน.4:23-24 แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง]
เนื้อของการบรรยายมีมากมาย ซึ่งล้วนเป็นเหตุแห่งการนมัสการทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะพระเจ้าของเรายิ่งใหญ่ ทรงสมควรได้รับคำสรรเสริญแต่เพียงองค์เดียว
Workshop วันแรก ฉันเข้าไปในห้อง Vocal ด้วยหวังว่าจะเป็นนักร้องที่พระเจ้าโปรดปราน ครูผู้สอนคือคุณชิดชนก หรือ ก้อย นักนมัสการแห่ง Church of Joy (คริสตจักรแห่งความสุข) คุณก้อยเป็นคนอารมณ์ขัน อ่อนสุภาพ ใจเย็น ไม่ขุ่นเคืองเลยสักนิด แม้ว่าจะได้รับคำถามซ้ำซากจากผู้เรียน คุณก้อยเป็นแบบอย่างของผู้นมัสการที่แท้จริง คือ นมัสการอย่างสุดหัวใจ จากทั้งสิ้นที่มี คุณก้อยยังบอกด้วยว่า หน้าที่ของผู้นำนมัสการคือ ต้องพาที่ประชุมไปถึงพระเจ้าให้ได้ อย่างไรก็ตาม อย่าให้บทเพลงกลายเป็นกับดักสำหรับการนมัสการ เพราะเรานมัสการพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ไม่ใช่นมัสการอย่างอื่น แม้ว่าบทเพลงจะไม่ไพเราะถูกใจ แม้ว่าดนตรีจะไม่ถูกหู แม้ว่าผู้นำนมัสการและทีมงานจะไม่ถูกตา นั่นก็ไม่ใช่สาเหตุที่จะดึงเราออกจากการนมัสการอันดื่มด่ำกับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้
ท่าทีของนักร้องภายในทีมนมัสการ คือ
• ผู้นมัสการ ไม่ใช่นักร้อง แต่เป็นผู้ที่เข้าเฝ้าพระองค์ ไม่ว่าจะอยู่ท่ามกลางประชุมหรือบนเวทีก็จิตใจจดจ่อในพระเจ้า ไม่ใช่นักแสดง
• ผู้สัตย์ซื่อ ไม่ใช่แค่คนที่รักร้องเพลงเท่านั้น แต่เป็นคนที่รักดวงวิญญาณของพระองค์
• ผู้มีความกระตือรือร้น ความร้อนรนในพระองค์นั้นไม่ได้เกิดจากเราเอง แต่เมื่อพึ่งพระวิญญาณเรารู้ว่าพระองค์ทรงสถิตกับเรา
• ผู้ร่วมเดินทางกับพระองค์ ควรจะมีชีวิตที่ใกล้ชิดกับพระเจ้า
Workshop ครั้งที่ 2 ฉันเปลี่ยนไปเข้าห้อง Worship Leader ซึ่งสอนโดย Mr.Kim Tae Hoon ผู้นำนมัสการชาวเกาหลี โดยมีสาวเกาหลีหน้าใสเป็นผู้แปล เธอแปลได้ดีมาก แม้ว่าสำเนียงจะไม่ชัดบ้าง แต่เธอเก่งเอาการดีเดียว สามารถเข้าใจศัพท์นมัสการ และราชาศัพท์ที่คนไทยเราใช้ยกย่องพระเจ้าได้เป็นอย่างดี
Mr. Tae Hoon กล่าวว่า หัวใจสำคัญที่สุดของผู้นำนมัสการคือ “ความถ่อมใจ” ซึ่งก็ตรงกับที่ Rev.Park Jong Soon, International President of Bridge Builders Korea ซึ่งเป็นผู้บรรยายหลักและเป็นผู้เทศนาฟื้นฟูได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า “ผู้นมัสการที่แท้จริง จะต้องมีความบริสุทธิ์ สัตย์ซื่อ และถ่อมใจ”
เนื้อหาโดยย่อของ Worship Leader Workshop ครั้งนี้ คือ
1. คุณสมบัติและบทบาทของผู้นำนมัสการ
a. ผู้นำนมัสการที่ดี
i. ผู้นำนมัสการเป็นผู้เข้านมัสการคนหนึ่ง
ii. ผู้นำนมัสการเป็นผู้รับใช้ในงานนมัสการ
iii. ผู้นำนมัสการเป็นคนหนึ่งในกลุ่มชน
b. คุณสมบัติเหมือนดาวิด
i. มั่นใจในการทรงเรียก ผู้นำนมัสการอาจจะไม่มีของขวัญพิเศษจากพระเจ้าก็เป็นได้ เพราะมีคนเห็นและชื่นชม ดังนั้น การนมัสการส่วนตัวจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก
ii. หัวใจแห่งผู้เลี้ยง ต้องมีหัวใจรักต่อที่ประชุม ไม่มีความเกลียดชังหรือโกรธผู้หนึ่งผู้ใด
iii. มีความสามารถด้านดนตรี พระเจ้าอยู่เคียงข้างเรา เราทำได้ทุกอย่าง
iv. นักสู้ที่กล้าหาญ ขอให้เราเป็นนักสู้ที่กล้าหาญทั้งต่อหน้าที่ประชุมเพียง 1 คน หรือ 1 ล้านคน
v. รู้จักการทรงสถิต การนมัสการคือ ช่วงเวลาที่พบพระองค์ สร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระองค์ พระเจ้าทรงประทับเหนือคำสรรเสริญ
vi. รู้จักการเจิมโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ สามารถนำพาร่างกายและจิตวิญญาณให้ไหลลื่น จนสามารถแสดงออกได้ซึ่งการนมัสการอย่างสุดจิตสุดใจ
c. คุณสมบัติด้านดนตรีของผู้นำนมัสการ
i. พันธกิจการนมัสการประกบอด้วยความสามารถด้านดนตรี 49% และความใกล้ชิดฝ่ายจิตวิญญาณ 51% แต่นี่เป็นกฎเกณฑ์ทั่วไป อาจมีความแตกต่างกันในแต่ละบริบท
ii. อบรมด้านดนตรี เข้าใจเกี่ยวกับดนตรี ขยัน ฝึกฝน เรียนรู้
iii. ระวังที่จะเน้นด้านดนตรีมากเกินไป หากเล่นดนตรีเก่งแต่ไม่มีหัวใจนมัสการก็ไม่สมควร หากมีหัวใจนมัสการแต่ไม่มีความสามารถด้านดนตรี ก็ไม่สมควร
2. การเตรียมนมัสการของผู้นำนมัสการ
a. เพลง
i. ท่องเนื้อเพลงให้หมด ถูกต้องตามตัวโน้ต หาฟังเพลงต้นฉบับ
ii. ซ้อมร้อง
iii. ออกเสียงธรรมชาติ
b. ความสำคัญของการใคร่ครวญเนื้อเพลง ประยุกต์ หาข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อเพลง ค้นหาใจความสำคัญของเนื้อเพลง ใคร่ครวญเนื้อเพลง
c. การสื่อสารภายในทีม ต้องไวในการฟัง ทราบสิ่งที่ต้องการ ใช้สัญญาณมือ Ad rip ที่ผู้นำนมัสการที่ตกลงกันไว้
d. การสื่อสารในช่วงเวลาซ้อม วาดจินตนาการร่วมกัน การตรวจสิ่งต่างๆ ผ่านการซ้อมจริง
e. สื่อสารภายในทีม วงดนตรีเป็นทีมเดียวกัน มีการสื่อสารที่ชัดเจนภายในวง
f. การซ้อมใหญ่ควรจะตรวจสิ่งเหล่านี้ คือ การเตรียมพร้อมของทีมนมัสการ การจัดตั้งเครื่องดนตรี Check Sound การซ้อม โดยเฉพาะส่วนที่อ่อน การอธิษฐานเผื่อ
g. วิธีการรักษาเสียง คือ นอนหลับเพียงพอ พูดน้อยๆ เลี่ยงในการใช้เสียงดัง ดื่มน้ำบ่อยๆ
3. การนำนมัสการภาคปฏิบัติ : การแทรกคำพูดระหว่างนำนมัสการ
i. ถ้าเป็นไปได้ พูดน้อยๆ ดีที่สุด
ii. บอกเนื้อเพลงให้ที่ประชุม เป็นการให้เกียรติ และบอกเฉพาะที่จำเป็น
iii. เลี่ยงคำพูดที่คล้ายกับนักเทศน์บางคน

“ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นผู้นำนมัสการ แต่ทุกคนเป็นนักนมัสการ”
และพระเจ้าทรงโปรดปรานผู้นั้น ผู้ที่นมัสการพระองค์ที่แท้จริง
พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงสร้างข้าพระองค์ให้เป็นผู้นมัสการที่แท้จริง
ข้าพระองค์เป็นผู้รับใช้ของพระองค์
ข้ารับใช้ด้วยความเปรมปรีดิ์
ข้ารับใช้ด้วยความยำเกรง
หัวใจข้าร้องเพลงด้วยความยินดี
สรรเสริญพระเจ้าผู้ทรงฤทธี ผู้ทรงพระชนม์
ขอพระองค์ทรงเปิดประตู เปิดประตูแห่งการอวยพร
ข้าเปิดหัวใจมอบไว้ มอบไว้ให้อยู่ในอุ้งพระกรของพระองค์

วันอังคารที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เชิญชวนอธิษฐาน

เชิญชวนอธิษฐาน

“ด้วยว่ามีสองสามคนประชุมกันที่ไหนๆในนามของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางเขาที่นั่น" [มธ.18:20] และแล้วชาวนิมิตใหม่ก็ไม่รอช้า เปิดโซนอธิษฐานรอบปฐมฤกษ์ พร้อมกันทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล เมื่อวันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2552 ที่ผ่านมา โดยเริ่มตั้งแต่เวลา 18.30 น. เป็นต้นไป การนัดรวมพลครั้งแรกนั้น แม้ว่าผู้คนยังไม่เยอะแยะ แต่บรรยากาศก็คึกคักไม่ใช่เล่นเลยละคะ
คริสตจักรฯ มีการแบ่งโซนอธิษฐานออกเป็น 3 โซน ด้วยกัน คือ โซน A: ย่านประดิพัทธ์ โซน B:ย่านพระราม 2 และโซน C:ย่านประชาชื่น ซึ่งแต่ละโซนมีการแบ่งทีม ศบ.ไปร่วมอธิษฐานด้วย
ชีวิตของพระเยซูคริสต์ที่เกิดผลอย่างมากมายนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการใช้ชีวิตส่วนตัวกับพระเจ้าในการอธิษฐาน ชีวิตที่อยู่ต่อหน้าผู้คนนั้นมาจากผลของชีวิตที่ใช้เวลากับพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงอยู่เบื้องหลังการเกิดผลทั้งสิ้น การอธิษฐานนำมาซึ่งพระพรอันล้นเหลือเกินกว่าจะคาดคิด ดังนั้น คริสเตียนจึงมีหน้าที่สำคัญในการทูลวิงวอนต่อพระเจ้า เพื่อความโปรดปรานอันเหนือธรรมชาติ เพื่อการเจิมอันล้นไหล เพื่อการเคลื่อนไหวอันเต็มขนาดฤทธิ์เดชขององค์พระวิญญาณ เพื่อพระพรอันอัศจรรย์สดใหม่ทั้งในชีวิตของเรา ครอบครัวของเรา คริสตจักรของเรา สังคมของเรา ประเทศชาติของเรา และโลกของเรา และที่สำคัญที่สุด คือ เพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดของเรา
“อธิษฐานโดยไม่ขาด ย่อมไม่พลาดพระพร”…นอกจากอธิษฐานเป็นการส่วนตัวจะมีประโยชน์และทรงพลานุภาพในทุกทางแล้ว การอธิษฐานร่วมกันกับพี่น้องในพระคริสต์ก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์และทรงพลานุภาพในทุกทางยิ่งกว่า
พี่น้องที่รักคะ เรามีนัดอธิษฐานร่วมกันที่คริสตจักรของเราเดือนละ 1 ครั้ง ทุกวันเสาร์สัปดาห์ที่ 2 ของเดือน เวลา 18.30 น. และอธิษฐานร่วมกันตามโซนต่างๆ เดือนละ 1 ครั้ง ทุกวันศุกร์สัปดาห์สุดท้ายของเดือน เวลา 18.30 น. สะดวกที่ไหนก็ไปที่นั่นนะคะ หรือหากว่าไม่สะดวก ก็ร่วมแรงร่วมใจกันอธิษฐานพร้อมกัน ณ ที่ซึ่งพี่น้องอาศัยอยู่…โดยพระคุณพระเจ้าจะมีการเปิดโซนอธิษฐานเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน…ไม่แน่นะ อาจเป็นบ้านของคุณก็ได้

เรื่องเล่าจากโซนเอ
การอธิษฐานโซนเอนั้นนำโดยพี่โอ สมรรถพล คุณพ่อของน้อง Blessing รูปหล่อ คุณพ่อ เอ้ย! คุณพี่โอของเราไปเข้าประจำการตั้งแต่ตะวันยังไม่ชิงพลบ รอพี่น้องร่วมทีมอย่างมีความสุขอยู่บริเวณตึก คอนโดลุมพินีเพลส ประดิพัทธ์…พี่น้อย (จันทร์ สมหงษ์) เข้าเส้นชัยไปถึงคนที่ 2 ตามด้วยฉัน ซึ่งไปถึงเวลาประมาณ 18.30 พอดิบพอดี เราสาวๆ ช่วยกันเตรียมขนมนมเนยไว้ต้อนรับพี่น้อง ส่วนพี่โอก็ชวนพวกเราคุยอย่างมีอรรถรส พี่อิ๋วกริ๊งกร๊างว่าจะมาสายนะคะพี่น้อง เนื่องจากว่าไปสามัคคีธรรมกับพี่น้องที่โรงเรียนพระคริสตธรรมอยู่แดนไกลถึงเมืองเพชรบุรีนู้นแน่ะ ผู้นำของเรามืออาชีพ เริ่มตรงเวลาเป๊ะๆ ด้วยการนมัสการพระเจ้าและแบ่งปันคำพยานชีวิตร่วมกัน ไม่นานนัก โอปอสุดสวยก็ตามมาติดๆ เราจึงได้มือกีตาร์มาบรรเลงเพลงนมัสการพระเจ้า สักพักหนึ่ง ปิ๊คนิครูปหล่อก็พาเพื่อนชื่อโอ้คมาด้วย การอธิษฐานของเราจึงสนุกสนานยิ่งขึ้น เอ่อ…แล้วการอธิษฐานจะสนุกได้ยังไงนะ เชิญมาอธิษฐานกับเราสิคะ
พี่โอแบ่งปันพระคำ และนำเราอธิษฐานเผื่อเรื่องต่างๆ มากมาย สลับด้วยการนมัสการโดยบทเพลง และแล้วสาวอ้อมน้อยหัวหยิกก็มาถึง พร้อมกับขนมหม้อแกงและบ้าบิ่นจากเมืองเพชร พวกเราดีใจที่ได้ขนม เอ้ย! ดีใจที่ได้เห็นพี่อิ๋ว จากนั้นพี่อิ๋วก็นำเรานมัสการ และเราร่วมใจกันอธิษฐานอีกครั้ง
เมื่ออิ่มหนำด้วยอาหารฝ่ายวิญญาณแล้ว เราก็อิ่มหนำกับอาหารฝ่ายร่างกายหลากหลายบนโต๊ะ โต๊ะทานข้าวดูแคบไปถนัดตา แต่ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงพวกเรา ซัดกันซะเกือบเรียบ! แถมยังได้ขนบางส่วนแบ่งใส่ถุงกลับบ้านกันด้วย
เราแยกกันประมาณ 4 ทุ่มครึ่ง อ่ะ อันนี้คนที่ไม่ชอบกลับบ้านดึกอย่าเพิ่งตกใจนะคะ คุณสามารถกลับบ้านก่อนคนอื่นก็ได้ ตามความสะดวก…เมื่อลงมาจากคอนโดแล้ว ก็ยังยืนคุยกันต่ออีกพักหนึ่ง ปิ๊คนิคใจดีขับรถไปส่งพี่น้อยกับโอปอด้วย ใครถึงบ้านกี่โมงกี่ยามบ้างก็ไม่รู้ แต่พี่โอ ถึงบ้าน 5 ทุ่มครึ่ง…จุ๊ จุ๊ จุ๊ เบาๆ สิ พี่โอ เดี๋ยว Blessing ตื่นนะขอรับ

วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ยกชูพระแสงเหนือชีวิต

ยกชูพระแสงเหนือชีวิต
วันที่ 13/2/2009
[อฟ.6:11 จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อจะต่อต้านยุทธอุบายของพญามารได้]
หนึ่งในยุทธภัณฑ์อันทรงฤทธิ์ซึ่งองค์พระเจ้ามอบให้ ก็คือ “พระแสง” หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า “ดาบ” ซึ่งในที่นี้หมายถึง “พระวจนะ” ของพระเจ้า เราทั้งหลายต้องยกชูพระวจนะของพระเจ้า เหนือชีวิตของเรา
การดำเนินชีวิตคริสเตียนอย่างมีชัยชนะนั้น จำเป็นต้องสวมยุทธภัณฑ์อยู่เสมอ อธิษฐานในพระวิญญาณทุกเวลาพร้อมทั้งสวมทับด้วยความรัก…เมื่อมีดาบ แต่เราไม่ใช้ ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร รังแต่จะเกะกะกลายเป็นสนิมเขรอะขระ แม้เมื่อใช้ดาบ แต่ใช้ไม่ถูกวิธี ใช้ไม่สม่ำเสมอ หรือใช้เพียงบางครั้ง เราก็คงจะได้ประโยชน์จากดาบนั้นน้อย เมื่อถูกข้าศึกโจมตี แม้จะมีโล่ มีหมวกเหล็ก มีทับทรวง คาดเข็มขัด สวมรองเท้าเรียบร้อยแล้ว แต่ใช้ดาบไม่เก่ง หรือเมื่อเจอข้าศึกบางประเภท เรากลับทิ้งดาบเสียดื้อๆ แล้วเราจะกำชัยชนะได้อย่างไรเล่า [อฟ.6:13 เหตุฉะนั้นจงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะได้ต่อต้านในวันอันชั่วร้ายนั้น และเมื่อเสร็จแล้วจะอยู่อย่างมั่นคงได้ เหตุฉะนั้นท่านจงมั่นคง เอาความจริงคาดเอว เอาความชอบธรรมเป็นทับทรวงเครื่องป้องกันอก และเอาข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความพรั่งพร้อมมาสวมเป็นรองเท้า และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นั้นท่านจะได้ดับลูกศรเพลิงของพญามารเสีย จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณ คือ พระวจนะของพระเจ้า จงอธิษฐานวิงวอนทุกอย่าง จงขอโดยพระวิญญาณทุกเวลา ทั้งนี้จงระวังตัวด้วยความเพียรทุกอย่าง จงอธิษฐานเพื่อธรรมิกชนทุกคน]
ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงมอบยุทธภัณฑ์ให้กับเรา ทั้งยังมีคู่มือหรือวิธีใช้ให้กับเรา ประทานผู้นำฝ่ายวิญญาณ ศิษยาภิบาลและอาจารย์ให้กับเราด้วย ขอเพียงเราน้อมใจรับพระคุณไว้เท่านั้น
ขอบคุณพระเจ้า พระองค์ทรงฝึกปรือมือของเราให้ทำสงคราม พระองค์ทรงประสงค์ให้เรายกชูดาบแห่งชัยชนะ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว พระองค์ทรงใช้ดาบของพระองค์นี่แหละ แทงทะลุจิตวิญญาณของฉัน
ฉันรู้จักพระเจ้าผ่านการอ่านพระคัมภีร์เด็ก โดยเมื่อยังเป็นเด็กอายุสิบกว่าๆ นั้น ได้เขียนจดหมายไปตามที่อยู่ในหนังสือพิมพ์ เพื่อขอรับหนังสือ ขณะนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหนังสืออะไร รู้แต่ว่าฟรี ชอบของฟรีตั้งแต่เด็ก จึงได้หนังสือฟรีมาสมใจ ด้านในเป็นหนังสือการ์ตูนสี่สีสวยงาม บรรจุเรื่องราวครั้งปฐมกาล ตั้งแต่ยุคสมัยอดัมกับเอวานั่นทีเดียวเชียว ฉันก็อ่านด้วยความสนุกสนาน เหมือนกับอ่านนิทานทั่วๆ ไป ฉันอ่านไปจนจบเล่ม เรื่องราวในนั้นน่าตื่นเต้น ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ แต่ในใจฉันก็คิดว่า “โม้สิ้นดี” และหลังจากนั้น 2-3 ปี ก็ได้หยิบมาอ่านอีก เพราะเมื่อเก็บหนังสือไว้ ถ้ามีโอกาสก็จะกลับไปอ่านรอบสอง หรือมากกว่านั้น ซ้ำแล้วซ้ำอีกในบางเล่ม
จากนั้น จำไม่ได้แล้วว่า พ.ศ. ไหน ได้มีโอกาสดูรายการโทรทัศน์ ตอนนั้นมี หัทยา เกษสังข์ บางทีก็มี อ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ และ พี่ปุ๊ อัญชลี (กรี๊ดดดดดด) จากบทเพลงหนึ่งเดียวคนนี้…ฉันชอบพี่ปุ๊ จึงนั่งดูจนจบ และหลังจากนั้นก็ได้ดูอีกแต่ไม่บ่อยนัก เพราะรู้สึกว่าเวลาออกอากาศไม่ตรงกับรูปแบบการใช้ชีวิตของฉัน
จนกระทั่งได้มาเรียนภาษาอังกฤษที่ BSC โอ้โห! เริ่มได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูมากขึ้น ฉันเคยอ่านมาแล้ว จึงช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้น ฉันชอบไปนั่งเรียน English Bible และเข้าร่วมกิจกรรม Friday Night ทุกครั้งที่มีโอกาส ตอนนั้นอยากได้ภาษาอังกฤษ ไม่สนใจหรอกว่าเนื้อหาที่จะเรียนนั้นเป็นอย่างไร เพื่อนก็เตือนว่า “เฮ้ย แก ระวังโดนหลอกนะ คนพวกนั้นหวังผลประโยชน์ จะล้างสมองให้แกเป็นคริสเตียน” ฉันก็ตอบเพื่อนไปว่า “ไม่มีใครมาล้างสมองฉันได้หรอก ฉันไม่โง่นะเว้ย” (แป่ว)
ฉันหารู้ไม่ว่า พระคำที่ซึมซับเข้ามาทีละนิดนั้น เปรียบเสมือนดาบซึ่งแทงทะลุเข้ามาในจิตวิญญาณของฉันจริงๆ ดาบนั้นค่อยๆ แทงเข้ามา ทลายกำแพงแห่งความมืด ทลายความเศร้าหมองขมขื่นภายในใจ ต้องบอกว่า “ไม่ใช่แค่ล้างสมองเท่านั้น แต่ล้างหัวใจของฉันด้วย” ตอนหลังเพื่อนก็บอกว่า “ตูว่าแล้วเชียว แกต้องเป็นเหมือนพวกมัน”…เพื่อนประเภทนี้ พูดมากจัง ฉันจึงถือโอกาสเป็นพยานและชวนมาโบสถ์ซะเลย จากนั้นมา เพื่อนก็เงียบกริบ ไม่แซวอีกต่อไป
พระคัมภีร์ซึ่งประทับใจฉันมากตั้งแต่ครั้งแรกคือ 1 คร.บทที่ 13 เรื่องของความรักไง ความรักล้วนๆ รักอย่างไรนะ ช่างน่าค้นหาเสียจริง…ฉันขอบคุณพระเจ้าที่ถึงแม้ว่าจะต้องลำบากลำบนในตอนเด็กบ้าง ไม่ได้อยู่กับพ่อ แต่ก็ไม่ขาดความรักจากแหล่งอื่น ฉันแวดล้อมด้วยความรักจากแม่ ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง และฉันก็คิดว่าฉันรักทุกๆ คนเหมือนกัน จนกระทั่งฉันได้พบพระคริสต์ ฉันจึงได้พบแหล่งความรักนิรันดร์ ฉันได้ตระหนักว่า ความรักของฉันนั้นช่างแห้งแล้งเยือกเย็น เพียงแค่ข้อแรกของนิยามรักฉันก็ไม่ผ่านซะแล้ว “ความรักนั้นก็อดทนนาน” โอ้โห มันยากนะสำหรับคนใจร้อนอย่างฉัน ฉันมีความรักแบบเห็นแก่ตัว ฉันรักคนเหล่านั้นเพราะคนเหล่านั้นรักฉันก่อน ฉันรักเพราะเขาดีต่อฉัน ฉันรักเพราะเขาเป็นญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงของฉัน ส่วนคนทั่วไปฉันไม่ได้รักเขา เช่น เมื่อเจอคนขอทาน ฉันก็ให้เงินเขา พบคนเดือดร้อน ฉันก็ช่วยเหลือเขา แต่ฉันไม่ได้รักเขา ฉันแค่สงสารเขา [1คร.13:1-3 แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ ได้ เป็นภาษามนุษย์ก็ดี เป็นภาษาทูตสวรรค์ก็ดี แต่ไม่มีความรักข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง แม้ข้าพเจ้าจะเผยพระวจนะได้ และเข้าใจในความล้ำลึกทั้งปวงและมีความรู้ทั้งสิ้น และมีความเชื่อมากยิ่งที่สุดพอจะยกภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย แม้ข้าพเจ้าจะสละของสารพัดหรือยอมให้เอาตัวข้าพเจ้าไปเผาไฟเสีย แต่ไม่มีความรัก จะหาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าไม่] และเมื่อต้องคบหาสมาคมกับผู้อื่นด้วยอีกเล่า เช่น เพื่อนสนิทของฉัน ฉันรักเขา เพราะเขาดีต่อฉัน แต่เมื่อเขาทำให้ฉันโกรธ ฉันก็คิดว่า ฉันไม่รักเขาแล้ว เพราะเขาทำให้ฉันโกรธ ฉันไม่มีความอดทนเลย ประโยคแรกฉันก็ไม่ผ่านซะแล้ว ฉันขอละข้ออื่นๆ ไว้ในฐานที่เข้าใจนะคะ สรุปได้สั้นๆ ว่า ฉันยังบกพร่องอย่างมากในเรื่องความรัก พออ่านไปก็ร้องอู้ฮู รักแบบนั้นมันยากจังเลยนะ แต่ฉันก็บอกพระเจ้าว่า ฉันอยากมีความรักแบบนั้นแหละ แบบ 1 คร. บทที่ 13 [1คร.13:4-13 ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง ความรักไม่มีวันสูญสิ้น แม้การเผยพระวจนะก็จะเสื่อมสูญไป แม้การพูดภาษาแปลกๆนั้นก็จะมีเวลาเลิกกัน แม้วิชาความรู้ก็จะเสื่อมสูญไป เพราะความรู้ของเรานั้นไม่สมบูรณ์ และการเผยพระวจนะนั้นก็ไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อความสมบูรณ์มาถึงแล้ว ความบกพร่องนั้นก็จะสูญไป เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก ใคร่ครวญหาเหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการเด็กเสีย เพราะว่าบัดนี้เราเห็นสลัวๆเหมือนดูในกระจก แต่เวลานั้นจะได้เห็นพระพักตร์ชัดเจน เดี๋ยวนี้ความรู้ของข้าพเจ้าไม่สมบูรณ์ เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า ดังนั้นยังตั้งอยู่สามสิ่ง คือความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด]
เมื่อรับเชื่อ ก็ได้พี่สุเป็นพี่เลี้ยง พี่สุก็สอนให้ท่องข้อพระคัมภีร์ ตอนนั้นจำได้ 2 ข้อ คือ ยน.3:16 [ยน.3:16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์] กับ ยน.15:5 [ยน.15:5 เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย]
จากนั้น ฉันได้ไปเรียนต่อ ซึ่งต้องเรียนเสาร์อาทิตย์ ประกอบกับพี่สุมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในชีวิต จึงไม่ได้เรียนพระคัมภีร์กับพี่สุอีก และฉันก็ไม่ได้มาโบสถ์ด้วย แต่ฉันยังอ่านพระคัมภีร์สม่ำเสมอ โดยอ่านวันละเล็กละน้อยตามหน้าที่ซึ่งคิดว่าต้องทำ ไม่ได้อ่านด้วยจิตวิญญาณอย่างแท้จริง เมื่อมีข้อสงสัยก็ถามกับอาจารย์ที่สอนภาษาอังกฤษ เพราะเป็นกลุ่มคริสเตียนที่ฉันพบเจอบ่อยที่สุด บางครั้งก็เข้าร่วมกลุ่มเซลล์ซึ่งครูฝรั่งจัดร่วมกับเจ้าหน้าที่ BSC คนไทย กลุ่มที่ฉันไปบ่อยที่สุด คือกลุ่มของ Roger-Anne ที่บ้านพักของท่าน และกลุ่ม Sherilyn ที่จัดร่วมกับพี่หนู ที่บ้านพักของ Sherilyn และหลายครั้งก็ใช้เวลาร่วมกับอาจารย์ท่านอื่น ซึ่งอายุอานามไม่ต่างกันเท่าไร จึงเป็นเหมือนเพื่อนกันซะมากกว่า เพื่อนเหล่านั้นไม่พลาดที่จะแบ่งปันพระพรต่อกัน
จนกระทั่งฉันได้มีโอกาสทำงานที่ ECB (Evangelical Church of Bangkok) ซึ่งฉันทำงานแวดล้อมด้วยคริสเตียน ก็รู้สึกตื่นเต้นมาก และเริ่มละอายใจว่า ฉันรู้พระคัมภีร์น้อยจังเลย และพระเจ้าก็ทรงตอบหัวใจที่กระหายด้วยการส่งนางฟ้า หรือจะเรียกว่า ฑูตสวรรค์ ก็ได้ แต่ก็คือ “พี่น้อย” ชนัดดา ไชยสาคร เข้ามาในชีวิต โดยก่อนที่จะรู้จักพี่น้อยนั้น พี่เกี้ยซึ่งเป็นผู้จัดการอยู่ในคริสตจักร ได้เล่าให้ฟังว่าเคยเรียนพระคัมภีร์กับพี่น้อย และอยากให้ฉันเรียนกับพี่น้อยบ้าง ช่วงนั้นพี่น้อยอยู่ต่างประเทศ เมื่อกลับมาเมืองไทย พี่เกี้ยจึงแนะนำให้เรารู้จักกัน ครั้งแรกที่พบพี่น้อยก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้แปลกแฮะ อะไรจะอยากสอนพระคัมภีร์ปานนั้น ฉันก็อยากเรียนนะ แต่อาการอยากเรียนของฉันมันเทียบไม่ได้เลยกับอาการอยากสอนของพี่น้อย
ฉันได้เรียนพระคัมภีร์กับพี่น้อยทั้งในแบบเดี่ยวและแบบกลุ่ม ถ้าแบบเดี่ยวก็ไปเรียนที่บ้านพี่น้อยซึ่งอยู่ดอนเมือง ถ้าเป็นแบบกลุ่มก็เรียนที่ ECB หลังการนมัสการรอบแรก หัวข้อแรกที่ได้เรียนกับพี่น้อยคือ “น้ำพระทัยพระเจ้าสำหรับสตรี” พี่น้อยปลูกฝังให้สตรีทั้งหลายนั้นเป็นสตรีที่เลิศประเสริฐ งามทั้งกาย วาจา จิตใจ และจิตวิญญาณ เป็นพระพรต่อคนรอบข้าง เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า และที่สำคัญที่สุดคือ เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์
อีกแล้วครับท่าน! ฉันเจออีกแล้ว ท่อง ท่อง ท่อง เนี่ย! พี่น้อยเขี่ยวเข็ญให้ท่องพระคัมภีร์ โดยเฉพาะ สภษ.31:10-31 ภรรยาที่ดีเลิศ ฉันก็ท่องได้อยู่พักหนึ่งนะ แต่พอห่างไปก็ลืม แหะแหะ ตอนนี้ก็จำไม่ได้ทั้งหมด ต้องกลับไปรื้อฟื้นใหม่
พี่น้อยบินไปต่างประเทศเป็นระยะๆ พี่น้อยสั่งสอนสาวกทั้งในและต่างประเทศ แต่ฉันบินบ่อยกว่าพี่น้อยซะอีก คือว่า ฉันบินไปบินมา ฉิวไปฉิวมา โดดไปโดดมา เดี๋ยวเรียนเดี๋ยวหยุด แหะ แหะ
จนกระทั่งล่าสุดที่พี่น้อยไปอยู่ต่างประเทศเป็นแรมปี หัวใจฉันกลับเรียกร้องกระหายหาใคร่เรียนพระคัมภีร์เป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่มีใครสอนเป็นกิจลักษณะ ฉันจึงตั้งใจอ่านพระคัมภีร์ด้วยตนเอง ศึกษาด้วยตนเองมากขึ้น โดยใช้หนังสืออธิบายพระคัมภีร์ หรือหนังสือวรรณกรรมคริสเตียนประกอบ และไม่ยอมพลาดการเทศนาใดๆ…แม้ทุกวันนี้ ฉันก็ยังคงต้องศึกษาพระคัมภีร์ต่อไป เรียนรู้ที่จะฝึกปรือมือของฉันให้ใช้ดาบแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างถูกต้อง ฉันยังอ่อนด้อยและต้องเรียนรู้อีกมาก แต่ฉันขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพระวิญญาณที่ทรงเป็นพระครูในชีวิตของฉัน ขอบคุณพระเจ้าที่พี่น้อยเป็นครูของฉัน
ฉันอธิษฐานที่จะได้มีโอกาสเรียนพระคัมภีร์กับพี่น้อยอีก โดยขณะนี้พี่น้อย อืม… ต้องเรียกว่า “ครูน้อย” สินะ เปิดสอนพระคัมภีร์ฟรีสำหรับสตรีที่บ้านของครูน้อยเอง อยู่ดอนเมืองคะ เรียนทุกวันพฤหัสบดี 9.00-12.00 น. จึงหนุนใจสตรีทุกท่านว่า หากมีโอกาสอย่าพลาดพระพรในครั้งนี้นะคะ และหากเป็นไปได้ สามารถเชิญชวนสตรีที่เรารู้จักให้มาเรียนกับครูน้อยได้ ครูน้อยปรารถนาให้สตรีทั้งหลายเป็นสตรีที่งดงาม เป็นคนงานที่ไม่ต้องอาย ใช้พระวจนะแห่งความจริงอย่างถูกต้อง ซึ่งสิ่งนี้ เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า [2ทธ.2:15 จงอุตส่าห์สำแดงตนว่าได้ทรงพิสูจน์แล้วเป็นคนงานที่ไม่ต้องอาย ใช้พระวจนะแห่งความจริงอย่างถูกต้อง]

ติดต่อครูน้อย
คุณชนัดดา ไชยสาคร
114/55 ถนนนาวงประชา แขวงทุ่งสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210
Email: marynoi@truemail.co.th

ถ่อมใจ

ถ่อมใจ
วันที่ 11/2/2009
[ยก.4:10 ท่านทั้งหลายจงถ่อมใจลงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์จะทรงยกชูท่านขึ้น]
เมื่อเฝ้าเดี่ยวด้วยมานาประจำวันในวันนี้ พระคำของพระเจ้าซึ่งคมกริบยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ ก็บาดลึกกระแทกใจอีกครั้ง เหตุที่ต้องใช้คำว่ากระแทกเนื่องจากว่า พระคำนั้นจริงจังมาก จนฉันรู้สึกจุกไปเลย ภาษาวัยรุ่นก็บอกว่า “โดนใจ”
กษัตริย์ดาวิดเป็นแบบอย่างแห่งการถ่อมใจ ไม่ว่าจะตกต่ำหรือสูงส่ง ไม่ว่าจะบาปหนาหรือชอบธรรม ดาวิดก็ยังถ่อมใจลงต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า ยกย่องพระเจ้า และตีค่าราคาพระวจนะของพระองค์เหนือกว่าชีวิต ยิ่งดาวิดถ่อมใจลงต่อพระเจ้ามากเท่าไร พระเจ้าก็ทรงยิ่งใหญ่มากขึ้นและมากขึ้น
หัวข้อเรื่องของมานาประจำวันนี้คือ “เส้นทางสู่ความถ่อมใจ” โดยเส้นทางสู่ความถ่อมใจนั้นมี 2 ส่วน ส่วนแรกคือ การตระหนักว่าเราเป็นใคร เป็นการนับถือตนเองในระดับที่เหมาะสม แทนที่จะถือตัวเกินกว่าที่ควรจะคิด และที่สำคัญที่สุด เราจำเป็นต้องรู้ว่าพระเจ้าคือผู้ใด เป็นการยกย่องพระองค์เหนือสิ่งอื่นใด และวางใจว่าจะทรงประทานสิ่งดีที่สุดให้ในเวลาของพระองค์ (มานาประจำวัน)
หนังสือมานาทิ้งท้ายด้วยประโยคเด็ดว่า “เมื่อเราคิดว่าเรากำลังถ่อมใจ แสดงว่าเราไม่ถ่อมใจ” โอ้โห! กระแทกใจอย่างจัง บ่อยครั้งที่ฉันคิดว่าตนเองเป็นคนถ่อมใจ…โอ พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงโปรดยกโทษให้ลูก ขอทรงโปรดชำระลูกให้ปราศจากตำหนิ ขอทรงโปรดเมตตาให้หัวใจของลูกถ่อมลงอย่างแท้จริง
เมื่อพลิกไปอ่านบทเฝ้าเดี่ยวโดย Oswald Chambers ก็พบหัวข้อเรื่อง “ความคิดจิตใจของคุณตั้งไว้กับพระเจ้าไหม” เป็นการเตือนสติฉันอีกครั้งหนึ่ง ให้ถ่อมใจลง นำความคิดจิตใจมอบไว้กับพระเจ้า [อสย.26:3 ใจแน่วแน่นั้น พระองค์ทรงรักษาไว้ในศานติภาพอันสมบูรณ์ เพราะเขาวางใจในพระองค์] หากฉันยังขืนคิดเองทำเอง ฉันก็คงพลาดน้ำพระทัยและพระพรจากพระเจ้า [2 คร.10:4-5 เพราะว่าศาสตราวุธของเราไม่เป็นฝ่ายโลกียวิสัย แต่มีฤทธิ์เดชจากพระเจ้า อาจทำลายป้อมได้ คือทำลายความคิดที่มีเหตุผลจอมปลอม และทิฐิมานะทุกประการที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ใต้บังคับจนถึงรับฟังพระคริสต์]
ขอประทานการถ่อมใจให้กับข้า ขอประทานใจปรารถนายอมจำนน
ขอประทานใจเอื้อเฟื้อช่วยเหลือผู้คน ขอประทานใจอดทน ใจรักจริง
ขอประทานใจสัตย์ซื่อและชอบธรรม ขอประทานใจเลิศล้ำดั่งพระคริสต์
ขอประทานใจกระหายใคร่ติดสนิท ขอประทานคุณภาพชีวิตที่เป็นพร
AMEN!

แม่

แม่

วันที่ 10/2/2009
ความรู้ด้านพระคัมภีร์ของฉันช่างอ่อนด้อยนัก ฉันเคยคิดว่าทำไมพระคัมภีร์จึงไม่ได้ให้ภาพของแม่ชัดเจนเหมือนกับภาพของพระบิดา แต่เมื่อพินิจพิเคราะห์อีกครั้งก็พบว่า ภาพของแม่ในพระคัมภีร์ก็ชัดเจนเช่นกัน
“แม่” ในพระคัมภีร์เดิม
แม่คนแรกของโลกก็คือเอวา พระเจ้ารักเอวามาก [ปฐก.3:20 ชายนั้นเรียกภรรยาของตนว่าเอวา {ศัพท์นี้เหมือนคำที่แปลว่า มีชีวิตอยู่} เพราะนางเป็นมารดาของปวงชนที่มีชีวิต] พระเจ้าให้สิทธิพิเศษแก่เอวาและพงษ์พันธุ์ของเธอ ให้มีชัยชนะ ให้มีอำนาจเหนือซาตาน [ปฐก.3:15 เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์ของเขาด้วย พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ]
แม้ว่าเอวาจะดำเนินชีวิตผิดพลาดไปด้วยการไม่เชื่อฟังพระเจ้า [ปฐก.3:6 เมื่อหญิงนั้นเห็นว่า ต้นไม้นั้นน่ากิน และน่าดูด้วย ทั้งเป็นต้นไม้ที่มุ่งหมายจะให้เกิดปัญญา จึงเก็บผลไม้นั้นมากิน แล้วส่งให้สามีกินด้วย เขาก็กิน] แต่เธอก็ได้รับผลจากสิ่งที่เธอทำแล้ว ซึ่งทุกท่านก็ทราบดีถึงชีวิตหลังสวนเอเดนของอาดัมและเอวา
จากชีวิตที่แสนสุขในสวนเอเดน แดนสวรรค์ในแผ่นดินโลก เอวากลับต้องระหกระเหินออกมาทำมาหากิน ลำบากลำบนในแผ่นดินโลก สวนเอเดนของพระเจ้างดงามแค่ไหน คงจะเกินจินตนาการและความเข้าใจของเรา แต่ที่แน่ๆ เราซาบซึ้งดีถึงชีวิตในแผ่นดินโลก เป็นชีวิตที่ต้องประสบกับเรื่องราวต่างๆ มากมาย มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดชั่วลมหายใจของเรา ต้องผจญกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ทั้งความเจ็บป่วย ความเหน็ดเหนื่อย ความทุกข์ยาก ความยากจนขัดสน ฯลฯ กล่าวได้ว่ามนุษย์จะต้องเผชิญชีวิตตลอดตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายไปเลยทีเดียว อย่างไรก็ดี ช่วงเวลาของการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ไม่นานนักหรอก เพียงแค่ไม่กี่สิบปีเท่านั้นเอง ดังนั้น สันติสุขจึงเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั้งสิ้นแสวงหา และจะพบในที่ใดได้อีกเล่า หากมิใช่โดยทางพระคริสต์
ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงให้เราพบสันติสุข ด้วยว่าสันติสุขที่พระองค์ทรงมอบให้ ไม่เหมือนสันติสุขที่โลกให้ เราเรียนรู้ที่จะผจญทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลัง พระเจ้าทรงเป็นความรัก ความหวัง ความชูใจ เป็นผู้เลี้ยงดู เป็นผู้ประทานพร เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา
ภาพพระคุณของแม่ชัดเจนตั้งแต่ครั้งปฐมกาล เอวาต้องเลี้ยงดูลูกของเธอ ดูแลอดัม ต้องทำงานบ้าน รวมถึงงานในเรือกสวนไร่นาอีกเล่า ช่างเป็นภาระที่หนักสำหรับผู้หญิงเสียจริง แต่สิ่งนี้คงไม่ได้ทำให้เอวาท้อแท้สิ้นหวังเท่ากับที่ต้องพบว่าคาอินได้ฆ่าอาเบล หัวใจแม่อย่างเอวาย่อมแตกสลาย เธอคงตรอมตรม ตีอกฟกช้ำร้องทูลต่อองค์พระเป็นเจ้า พระองค์ทรงอยู่ที่ไหนนี่ พระองค์ไม่รักเอวาแล้วหรือ….แต่พระเจ้าทรงประเสริฐ ทรงประทานเสทให้เธอ [ปฐก.4:25 …นางก็ให้กำเนิดบุตรชาย เรียกชื่อว่า เสท เพราะ "พระเจ้าทรงโปรดให้ฉันมีบุตรอีกคนหนึ่งแทนอาแบลเพราะคาอินฆ่าอาแบลเสีย"] และพงษ์พันธุ์ของเธอก็ก่อเกิดมากมายจนเต็มแผ่นดินโลกจวบจนถึงทุกวันนี้
ฉันขอกล่าวเพิ่มเติมถึงแม่บางคนที่ฉันประทับใจเป็นการส่วนตัวนะคะ
นางซาราห์ ภรรยาแสนสวยดุจเจ้าหญิงของอับราฮัม มารดาผู้ให้กำเนิดบุตรยามชรา เธอเลี้ยงดูอิคอัคมาอย่าง ทนุถนอม แต่กลับต้องยินยอมที่จะพลัดพรากจากลูก ถึงแม้ในพระคัมภีร์จะเน้นไปที่การถวายบุตรของอับราฮัม แต่ฉันเชื่อแน่ว่าสุภาพบุรุษเต็มร้อยอย่างอับราฮัมย่อมไม่สามารถกระทำสิ่งนี้เพียงลำพัง โดยไม่แจ้งให้ซาราห์ทราบ และซาราห์เองก็ต้องยินยอมด้วยความทุกข์ระทม แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็คงชื่นชมยินดีกับการที่จะได้ถวายสิ่งที่หวงแหนยิ่งกว่าชีวิตของเธอให้กับพระเจ้า [ปฐก.22]
มารดาของโมเสส ในพระคัมภีร์มิได้กล่าวถึงรายละเอียดของมารดาโมเสสมากนัก แต่กลับให้ภาพของแม่ผู้รักลูกอย่างชัดเจน [อพย.2] เธอซ่อนบุตรชายไว้ และเมื่อเห็นว่าซ่อนต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ตัดหางลอยแพ เอ้ย! นำใส่ตะกร้าให้ลอยไปจนถึงมือราชธิดาของฟาโรห์ ทั้งยังให้พี่สาวของโมเสสไปเป็นพี่เลี้ยง และตนเองไปสมัครเป็นแม่นมอีกด้วย และแม้จะมิได้มีการกล่าวถึงเธออีก ฉันก็เชื่อแน่ว่า เธอต้องเป็นผู้หนึ่งที่อยู่เคียงคู่กับโมเสส จนกระทั่งโมเสสกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ นำชนชาติของพระเจ้าเดินทางสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา
นางเรเบคาร์ มารดาซึ่งทำให้ฉันหงุดหงิดใจกับพฤติกรรมของเธอ [ปฐก.27] เพราะดูเหมือนว่าความรักของเธอออกจะลำเอียงไปทางยาโคบ แต่เธอก็ทำลงไปด้วยหัวใจที่รักลูก และในท้ายที่สุดเธอก็มิปรารถนาที่จะเห็นลูกทั้งสองของเธอต้องเข่นฆ่ากันเอง
นางนาโอมี แม่สามีของนางรูธ ถึงแม้ว่าเธอจะขมขื่นกับชีวิตในครั้งอดีต แต่เธอก็รักนางรูธ และปรารถนาให้นางรูธพบกับความสุข เธอเป็นผู้มีบทบาทสำคัญให้นางรูธพบกับโบอาส เศรษฐีรูปงามจิตใจดี ผู้ซึ่งต่อมากลายเป็นบิดาของโอเบด ผู้เป็นบิดาของเจสซี ซึ่งเป็นบิดาของดาวิด….พงษ์พันธุ์ขององค์พระเยซู [พระธรรมนางรูธ]
นางฮันนาห์ มารดาของซามูเอล เธอมีชีวิตที่ร้าวรานเนื่องจากพระเจ้าทรงปิดครรภ์ของเธอ แต่เธอก็มิได้ลดความไว้วางใจในพระองค์ เธอทูลขอต่อพระเจ้า และพระองค์ทรงฟังเสียงของเธอ ประทานซามูเอลให้กับเธอ เธอเลี้ยงดูอุ้มชูให้ดื่มนมจากอก จนเมื่อเด็กหย่านม ก็ได้พาเด็กนั้นไปถวายต่อพระพักตร์พระเจ้า และอยู่ที่นั่นตลอดไป และนางยังเย็บเสื้อเล็กๆ นำมาให้ซามูเอลทุกปี พระเจ้าทรงชอบพระทัยหัวใจของนาง พระเจ้าทรงประทานบุตรให้นางแทนกุมารซามูเอลนั้น และกุมารซามูเอลก็เติบโตขึ้น ปรนนิบัติพระเจ้า เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ [1ซมอ.1-2]
หญิงชาวชูเนม หญิงผู้มั่งคั่งซึ่งปรนนิบัติเอลีชา ผู้รับใช้ของพระเจ้า ให้การต้อนรับเอลีชาไว้อย่างดีในเรือนของเธอ เธอได้บุตรมาโดยการอัศจรรย์จากพระเจ้า แต่เธอกลับต้องสูญเสียบุตรน้อยไปจากตักและอกของเธอ เธอทำทุกอย่างเพื่อเรียกชีวิตของบุตรน้อยกลับคืนมา และพระเจ้าก็ทรงเมตตายิ่งใหญ่ การอัศจรรย์ยิ่งกว่าได้เกิดขึ้น เด็กน้อยคนนั้นฟื้นคืนชีวิต เป็นแก้วตาดวงใจให้เธอได้ชื่นชมยินดี และสรรเสริญพระเจ้าผู้ทรงพระคุณ [2พกษ.4:8-37]
นางเอสเธอร์ ถึงแม้พระคัมภีร์จะมิได้กล่าวว่าเอสเธอร์มีลูกหรือเปล่า แต่ฉันเห็นหัวใจที่รักชาติยิ่งชีพของเธอ “ถ้าฉันพินาศ ฉันก็พินาศ” นั่นคือประโยคเด็ดของเธอที่แตะใจฉัน โอ้โห! ฉันปลื้มเอสเธอร์สุดๆ หัวใจแบบนี้แหละที่สมควรยกย่องว่ามีหัวใจอย่างแม่ [พระธรรมเอสเธอร์]

“แม่” ในพระคัมภีร์ใหม่
นางอลิซาเบธ ญาติของนางมารีย์ เธอมีบุตรเมื่อชราแล้ว ผู้ซึ่งมีบุตรยามชราคงไม่คล่องแคล่วเหมือนท้องสาวเป็นแน่ ฉันเชื่อว่าเธอต้องใช้ความอดทนอย่างมากในการตั้งครรภ์ บุตรของเธอนามยิ่งใหญ่ว่า “ยอห์น” ผู้เตรียมทางให้กับองค์พระเยซู นางอลิซาเบธตื่นเต้นแม้เมื่อมีบุตรยามชรา เธอชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า
นางมารีย์ ในพระคัมภร์ใหม่นั้น คงมิมีแม่คนใดเด่นไปกว่านางมารีย์ มารดาผู้ประเสริฐขององค์พระเยซู เธอต้องพบกับคำสบประมาทตั้งแต่เธอเริ่มตั้งครรภ์องค์พระคริสต์น้อยๆ เธอยอมทุกสิ่ง ด้วยรู้ตัวว่าเป็นทาสีขององค์พระเจ้า เธอระหกระเหินเดินทางจนกระทั่งต้องคลอดพระเยซูในคอกสัตว์ เธอต้องอพยพหลบหนีจากเมืองหนึ่งไปสู่เมืองหนึ่ง การเดินทางสมัยก่อนนั้นลำบากมาก มิได้สดสวยหรือบินสบาย Smoot as silk แต่ประการใด ทั้งเมื่อพระเยซูเติบโตมาอีกเล่า เธอก็ต้องปวดร้าวยิ่งนัก ที่เห็นลูกของเธอถูกข่มเหง ถูกต่อต้าน ถูกใส่ร้ายอย่างไม่เป็นธรรม และน้ำตาเธอคงหลั่งเป็นสายเลือด ยามเห็นภาพบุตรชายที่รักของเธอบนไม้กางเขน แรงเฆี่ยนแต่ละครั้งบาดใจหัวอกของผู้เป็นแม่ รอยแผลเฆี่ยนแต่ละรอย ดุจรอยแผลร้าวลึกในจิตใจของเธอ แรงกดจากมงกุฏหนามกดทับหัวใจของเธอ แรงหอกที่เสียดแทงสีข้างแทงลึกเข้าไปในใจของเธอ รอยตะปูที่ตอกลงไปทิ่มลึกไปในหัวใจของเธอ เลือดที่ไหลรินขององค์พระเยซูประหนึ่งเลือดในกายของเธอจะพลุ่งพล่านออกมา ประดุจว่าจะดับชีวิตของเธอเสียให้ได้ โอ! หัวใจของแม่ แม่ผู้ให้กำเนิด แม่ผู้เลี้ยงดูอุ้มชูทนุถนอมลูกมาตั้งแต่ในครรภ์ เพียงแค่รู้ว่าตนเองจะมีลูก ก็เป็นความปลาบปลื้มยิ่งกว่าอัญมณีหรือสิ่งมีค่าใดๆ การได้เลี้ยงดูลูกจนเติบใหญ่ก็เป็นความสุขใจของผู้เป็นแม่ แต่เมื่อวันหนึ่งกลับต้องเห็นลูกของตนถูกตรึงตายไปต่อหน้าต่อตา หัวใจของผู้เป็นแม่จะร้าวรานสักปานใด…นางมารีย์เอ๋ย
พระเจ้าทรงทดแทนความร้าวรานของเธอด้วยความชื่นชมยินดีอันเต็มล้น ความตื้นตันใจอันเหลือประมาณเกิดขึ้นกับเธอ เมื่อพระคริสต์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ จนกระทั่งเมื่อเห็นองค์พระคริสต์เสด็จขึ้นสู่สรวงสวรรค์

“แม่” ในปัจจุบัน (แม่ของฉัน)
ภาพของแม่ในใจฉันชัดเจนมากกว่าใคร ตั้งแต่เมื่อครั้งฉันยังเล็ก ฉันเคยคิดว่าแม่ไม่รัก เพราะแม่ทิ้งฉันไว้ตามลำพังที่บ้านนอก อยู่กับพ่อที่โหดร้าย (หลายคนคงทราบเรื่องราวพ่อของฉันมาแล้วนะคะ ซึ่งฉันจะไม่กล่าวถึงอีกในที่นี้ คงเหลือแต่คำขอบพระคุณและสรรเสริญพระบิดาผู้ยิ่งใหญ่ และขอบคุณในความดีงามของพ่อ ที่พระเจ้าทรงโปรดให้ฉันเกิดมาโดยพ่อคนนี้ และฉันก็เพิ่งมาซาบซึ้งบุญคุณนี้ภายหลัง เมื่อพ่อจากโลกนี้ไปแล้ว)
สาเหตุที่แม่ปล่อยฉันไว้กับปู่ย่าและพ่อที่ต่างจังหวัด เนื่องจากแม่ไม่มีความพร้อมในการเลี้ยงดูฉัน เมื่อเข้ากรุงเทพครั้งแรก แม่ยังไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง การงานก็ไม่มั่นคง แม่จำเป็นต้องฝากฉันไว้ที่ต่างจังหวัด แต่เมื่อแม่เริ่มมีการงานที่มั่นคงขึ้น มีที่อยู่แน่นอน เริ่มเก็บเงินได้บ้าง แม่ก็ย้ายฉันมาอยู่กรุงเทพฯ ให้เข้ามัธยม 1 ในกรุงเทพฯ ฉันดีใจมากเลยที่ได้อยู่กับแม่…เย้!…แต่แม่ก็ทำงานหนักมาก แม่ทำงานโรงงาน ทำมากก็ได้มาก แม่จึงต้องทำมากๆ เพื่อจะได้มีเงินมาพอให้ฉันเรียนหนังสือ แม่ไม่มีเวลาให้ฉันเลย วันๆ เอาแต่ทำงาน ฉันก็คิดว่าแม่ไม่รัก แม่ไม่เอาใจใส่ เวลาที่โรงเรียนเชิญผู้ปกครองไปพบหรือมีงานโรงเรียน แม่ไม่เคยไปด้วยเลย แม่ไปครั้งแรกวันมอบตัวเท่านั้น วันแม่แห่งชาติ ฉันก็ต้องกราบแม่คนอื่นที่โรงเรียน เป็นความปวดร้าวในหัวใจเล็กๆ ยิ่งนัก เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันก็ต้องทำงานเองทุกอย่างสารพัด เพราะแม่ไม่มีเวลาทำ ฉันไม่มีเวลาเล่นสนุกกับเพื่อนเท่าไรนัก เวลาที่ขอไปไหนแม่ก็มักไม่ให้ไป เพราะแม่เป็นห่วง แต่ตอนนั้นฉันคิดว่าแม่ใจร้าย แม่ไม่รัก เวลาที่ขอสตางค์ซื้อของ แม่ก็จะบ่นจะดุว่า จนฉันเลิกขอไปเลย แม่อ้างความไม่จำเป็นต่างๆ นานา บางครั้งก็ดุว่า บางครั้งก็มึนตึง จนฉันเครียด ต้องเข้าไปร้องไห้ในห้องน้ำบ่อยๆ (กลัวคนเห็น) แต่แม่รู้…ต่อมาฉันจึงได้รู้ว่า แม่ไม่มีเงิน แม่จึงไม่ซื้อของให้ฉันอย่างที่เพื่อนๆ ของฉันได้ แต่แม่ไม่กล้าบอกฉันว่าแม่ไม่มีเงิน แม่จึงยกข้ออ้างต่างๆ มากมายขึ้นมาต่อว่าฉัน อย่างไรก็ตาม หากตอนนั้นแม่บอกความจริงว่าไม่มีเงิน ฉันก็ไม่แน่ใจว่าฉันจะเข้าใจแม่หรือเปล่า
เวลาที่ฉันไม่เข้าใจการบ้านหรือบทเรียน ฉันก็ถามแม่ไม่ได้ เพราะแม่เรียนจบประถม 4 แม่จึงสอนฉันไม่ได้ ฉันก็ตีโพยตีพายว่าแม่ช่างไม่รู้อะไรซะบ้างเลย เมื่อมีปัญหา ฉันขอคำปรึกษาจากแม่ แม่ก็จะต่อว่าสมทบ แหม! แทนที่จะให้กำลังใจ กลับต่อว่าซะนี่ ฉันละกลุ้มจริงๆ เลย แต่เมื่อโตขึ้นจึงได้รู้ว่า แม่ต้องการให้ฉันเข้มแข็ง ต่อสู้และเผชิญปัญหาด้วยตัวเอง เพราะฉันไม่มีพ่อ และแม่ไม่มีเวลาที่จะมาดูแลประคบประหงมฉันได้ แม่ต้องทำงานหนัก แรกๆ นั้น โรงงานของแม่อยู่ประตูน้ำ ในขณะที่บ้านอยู่ดอนเมือง แม่ก็กลับดึกอยู่แล้ว แต่เมื่อที่ทำงานแม่ย้ายไปอยู่บางนา คราวนี้แหละ ฉันเห็นหน้าแม่น้อยมาก แม่ออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้า ฉันยังไม่ตื่นเลย แม่กลับมาถึงบ้านดึก ฉันก็นอนซะแล้ว (คร่อก) และที่หนักกว่านั้นคือ บางคืนแม่ก็ไม่กลับเลย ทำโอที เพื่อจะได้เงินเยอะๆ และเมื่อทำดึกมากๆ ก็นอนค้างที่โรงงานนั่นเลย ฉันจึงต้องนอนเหงาอยู่คนเดียว จริงๆ แล้ว เช่าบ้านอยู่กับเพื่อนแม่ด้วย แต่ไม่ค่อยถูกกัน (อะแป่ว) เขาชอบเอาเปรียบแม่ แม่ฉันก็ยอมเค้าซะทุกอย่างเลย อะไรจะยอมเค้าปานนั้นละแม่ สู้น่ะ สู้ เป็นไหมคะ…เพื่อนแม่คนนั้นเอาเปรียบเราจนถึงวันสุดท้ายที่เราแยกจากกัน ตอนนั้นฉันทำงานแล้ว จึงมีเงินไปอยู่ที่ใหม่ เพื่อนแม่สร้างความแค้นใจให้ฉันมาก ซึ่งต่อมาฉันก็ต้องขอการเยียวยาจากพระเจ้า ฉันต้องอภัยให้เขา เหมือนที่พระเยซูอภัยให้ฉัน ฉันต้องไม่จดจำความผิด ขอบคุณพระเจ้า ในที่สุด ฉันก็หลุดพ้นจากบ่วงมารนั้น ฉันเจอหน้าเขาก็ยังสามารถยกมือสวัสดีได้อย่างจริงใจ ทั้งยังอธิษฐานเผื่อเขาทุกครั้งที่ระลึกถึง
ฉันไม่ได้โกรธแม่จริงๆ หรอก และอาการน้อยใจหรือความคิดที่ว่าแม่ไม่รักน่ะ ก็เป็นอารมณ์ชั่ววูบ เพราะฉันรู้ว่าแม่รักฉันมาก แม่รักฉันมากจริงๆ แม่ถูกพ่อทิ้งไปมีผู้หญิงใหม่ แถมมีลูกคนใหม่มาเย้ยอีกต่างหาก แต่แม่ก็สู้ทน แบกรักความขมขื่น ยอมรับความเปลี่ยนแปลง เลี้ยงดูฉันมาโดยลำพังตลอด…มีผู้ชายหลายคนมาจีบแม่ แต่แม่ก็ปฏิเสธ ไม่เล่นด้วย เพราะเป็นห่วงฉัน ตอนนั้นฉันคิดว่า โอ้โห! ทำไมแม่ไม่แต่งกับคนนั้นหล่ะ ดีออก เป็นคนดี รวยด้วยนะแม่ แต่แม่ก็ยืนยันว่า ไม่แต่งงานใหม่เด็ดขาด แม่มีฉันคนเดียวก็พอแล้ว ทุกวันนี้ ฉันจึงอดขอบคุณพระเจ้าไม่ได้ที่แม่คิดอย่างนั้น เพราะเราไม่รู้จริงๆ ว่าคนที่เข้ามาใหม่ในครอบครัวของเราจะเป็นอย่างไร พระเจ้าก็ปกป้องเราไว้ให้พ้นจากซึ่งชั่วร้าย
แม่ชอบชมลูกคนอื่นให้ฉันฟัง ลูกของป้าคนนั้นดีอย่างนี้ ลูกของน้าคนนั้น เก่งอย่างนั้น แต่ฉันสิ แย่ทุกอย่างเลย ก็มารู้ภายหลังว่า แม่กลัวฉันเหลิงน่ะ เลยไม่กล้าชมมาก แต่ลับหลัง แม่ก็จะไปเล่าวีรกรรมของฉันให้เพื่อนๆ ฟัง ด้วยความยินดีปรีดา วันที่ฉันเรียนจบเป็นอีกวันที่แม่ภูมิใจมาก และทุกวันนี้แม่ก็ภูมิใจในตัวฉัน ที่เห็นฉันมีความสุข และได้ทำอะไรหลายๆ อย่างให้กับผู้อื่นด้วย
แม่เลี้ยงลูกเก่ง ฉันคิดเช่นนั้น เมื่อจบมัธยม 3 ฉันย้ายไปเรียน ปวช. ที่วิทยาเขตจักรพงษภูวนารถ จริงๆ ฉันอยากเรียนต่อ มัธยมปลาย แต่แม่บอกว่าไม่มีเงินส่งเรียน เรียน ปวช. จบแล้วจะได้ทำงานเลย เมื่อย้ายที่เรียน แม่ก็ให้อิสระฉันมากขึ้น ฉันสามารถไปไหนมาไหนได้ตามใจปรารถนา และฉันก็กลับบ้านพร้อมเรื่องราวตื่นเต้นมาเล่าให้แม่ฟังเสมอ ฉันได้ตัดสินใจเอง ทำอะไรทุกอย่างเองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อจบ ปวช. ฉันก็อ้อนแม่ขอเรียนต่อ อีก 2 ปีนะแม่นะ ขอเรียนต่อ ปวส. หน่อยน่า และหลังจากนั้นจะหาเงินเรียนเอง แม่ก็ใจดี ยอมทำงานหนัก ส่งฉันเรียนต่อจนจบ ปวส. ที่พณิชยการพระนคร ซึ่งไกลจากบ้าน ฉันต้องออกจากบ้านแต่เช้า นั่งรถไฟฉึกฉัก ฉึกฉัก จากดอนเมืองไปลงยมราช นั่งชมทิวทัศน์สองฝั่งทาง เห็นวิถีชีวิตผู้คนมากมายตลอดแนวทางรถไฟ ได้พบเพื่อนใหม่บนรถไฟ บางวันก็คุยกันไปตลอดทาง บางวันก็ตกลงกันว่า วันนี้เราหลับกันเหอะ แล้วต่างคนก็ต่างหลับ ตื่นมาอีกทีก็ต้องรีบกระโดดลงจากรถ ขืนลงช้า รถไฟจะเลยไปถึงหัวลำโพง ใครๆ ก็บอกว่า ทำไมแม่ให้ลูกเรียนไกลบ้านจังเลย แม่บอกว่า “เรียนไกลๆ จะได้ไม่โง่” (แป่ว)
ฉันเคยทำให้แม่เสียใจที่สุด คือ เมื่อฉันเรียนจบ ฉันเริ่มทำงานที่ธนาคารแห่งหนึ่งเป็นงานแรก แต่ฉันไม่ชอบงานธนาคาร มันไม่ตื่นเต้นกระชากใจวัยรุ่นเลยน่ะแม่ ทำได้ไม่นานฉันก็ลาออก แม่เสียใจมากๆ เลย แต่ฉันขอบคุณพระเจ้า เพราะฉันได้ย้ายงานไปหลายบริษัท มีประสบการณ์หลายอย่าง พบเจอผู้คนหลากหลาย จนถึงบริษัทแห่งหนึ่งที่ฉันเข้าไปทำให้ได้พบกับเพื่อนร่วมงานที่เป็นนักศึกษา BSC ฉันจึงตามเพื่อนมาเรียนด้วย และเรียนต่อจนจบ ในขณะที่เพื่อนเลิกเรียนไปตั้งนานแล้ว และที่ BSC นี้เอง ที่ทำให้ฉันรู้จักพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผ่านคำพยานและการแบ่งปันของมิชชันนารีผู้สอน
ฉันทำให้แม่โกรธที่สุด เมื่อฉันบอกว่า ฉันเป็นคริสเตียนแล้วนะ ฉันไม่ไหว้พระอีกต่อไป หิ้งพระที่แม่เคยใช้ให้ฉันทำความสะอาดและถวายดอกไม้อยู่เป็นประจำนั้น ฉันขอลาออกจากหน้าที่นี้ แม่โกรธมากๆ แต่กาลเวลาก็ทำให้แม่คลายความโกรธลง กลายเป็นเฉยๆ จนทุกวันนี้ แม่จะบอกใครต่อใครว่า ลูกสาวเป็นคริสเตียน จากเดิมที่ฉันต้องออกจากบ้านทุกวันอาทิตย์ แต่แม่หยุดงานวันอาทิตย์ แม่จึงไม่ชอบใจนัก ฉันชวนแม่มาโบสถ์แม่ก็ไม่มาด้วยนี่นา แต่ต่อมา แม่ก็เห็นว่าฉันได้รับการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แม่ก็พอใจกับสิ่งที่ฉันเป็น เมื่อถึงวันอาทิตย์ แม่ก็ให้เกียรติฉัน เพราะรู้ว่าฉันต้องไปโบสถ์
แม่เป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงความรักเท่าไร พูดคำว่ารักไม่เป็น แต่เมื่อฉันบอกรักแม่ แม่ก็ค่อยๆ เริ่มพูดบอกรักฉันบ้าง จนทุกวันนี้ เราบอกรักกันทุกครั้งที่พูดคุยกัน แม่ไม่เคยกอดฉันเลย ฉันจึงเป็นฝ่ายกอดแม่ก่อน ครั้งแรกแม่ก็ทำตัวแข็งทื่เป็นหินเชียว แต่ตอนนี้เราสองแม่ลูกสวมกอดกันได้อย่างมีความสุข
ในวันนี้ นอกจากปรารถนาจะรับใช้พระคริสต์ตลอดชีวิตของฉันแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ฉันปรารถนาก็คือ การได้พบแม่บนสวรรค์ ฉันปรารถนาที่จะเห็นแม่ของฉันรอด ฉันอธิษฐานเผื่อแม่เสมอ…แม่ขา ลูกรักแม่คะ ขอพระเจ้าอวยพรแม่
“แม่” และ “ลูก”
วันนี้ หากคุณเป็นแม่ คุณได้รับของขวัญที่วิเศษและยิ่งใหญ่จากพระเจ้า ลูกน้อยเป็นของขวัญล้ำค่าที่สุด รองจากองค์พระเยซู แม่ทุกคนรักและปรารถนาให้ลูกมีความสุข ขอที่แม่ทุกคนจะเลี้ยงดูลูกตามแนวทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า ให้แม่ทั้งหลายจะเป็นดังพระธรรมสุภาษิตบทที่ 31 บำเหน็จแห่งสวรรค์รอคุณอยู่ [สภษ.31:28 ลูกๆ ของเธอตื่นขึ้นมาก็ชมเชยเธอ สามีของเธอก็สรรเสริญเธอ]
หากวันนี้ คุณเป็นลูก โปรดจงรับรู้ว่า มิมีแม่คนไหนที่ไม่รักลูก แม้แต่แม่ที่มีลูกโดยไม่ตั้งใจก็ตาม สายเลือดเข้มข้นแห่งเอวาที่อยู่ในกายของแม่ทุกคน และสายใยรักจากพระเจ้า ย่อมไม่สามารถทำให้แม่คนใดอดที่จะไม่รักลูกของตนเองได้
พระคัมภีร์สอนให้เรารักและให้เกียรติบิดามารดาของเรา ซึ่งฉันขอหยิบยกมาบางข้อ
[อพย.20:12 จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า เพื่ออายุของเจ้าจะได้ยืนนานบนแผ่นดิน ซึ่งพระเจ้าของเจ้าประทานให้แก่เจ้า]
[ฉธบ.5:16 จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า ดังที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าทรงบัญชาเจ้าไว้ เพื่อเจ้าจะมีชีวิตยืนนาน และเจ้าจะไปดีมาดีในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าประทานให้แก่เจ้า]
[สภษ.23:25 จงให้บิดามารดาของเจ้ายินดี จงให้ผู้ที่คลอดเจ้าเปรมปรีดิ์]
[มธ.19:19 จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของตน และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง]
นอกจากนั้น พระคัมภีร์ยังได้กล่าวถึงโทษของการไม่เคารพให้เกียรติบิดามารดาไว้ด้วย
[อพย.21:15 ผู้ใดทุบตีบิดามารดาของตน ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงตาย]
[อพย.21:17 ผู้ใดด่าแช่งบิดามารดาของตน ผู้นั้นต้องถูกปรับโทษถึงตาย]
ไม่ว่าแม่ของลูกจะเป็นอย่างไร ลูกก็ขอปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้า เชื่อฟังพระองค์ด้วยความกตัญญูต่อพระองค์ และต่อแม่ของลูก ลูกรู้ว่าผู้ที่มีความกตัญญูย่อมพบกับความเจริญ และเป็นที่ชอบในสายพระเนตรของพระเจ้า
หากแม่ทำให้ลูกเจ็บปวด ลูกรู้หรือไม่ ลูกทำให้แม่เจ็บปวดมากกว่า เมื่อครั้งแรกคลอดนั่นไง
หากแม่ทำร้ายลูก ลูกรู้หรือไม่ ลูกทำร้าย ถีบ กระทุ้ง เตะต่อยแม่ อยู่ภายในตัวของแม่
หากแม่ไม่เคยเลี้ยงดูลูก ลูกรู้หรือไม่ แม่เลี้ยงดูลูกอย่างอดทนถึง 9 เดือน ในครรภ์ของแม่
หากแม่ไม่เคยโอบกอดลูก ลูกรู้หรือไม่ แม่โอบกอดลูกด้วยน้ำคร่ำของแม่ ลูกรับอาหารจากเส้นเลือด
ของแม่ผ่านทางสายรกนั้น
หากเสียงของแม่ที่บ่นว่ารบกวนลูก ลูกรู้หรือไม่ ลูกส่งเสียงร้องรบกวนแม่มาตั้งแต่ครั้งยังเล็ก
หากลูกไม่เคยเห็นหน้าแม่ ลูกรู้หรือไม่ แม่ปรารถนามากกว่าเพียงใดที่จะได้พบหน้าลูกน้อยในครรภ์
หากลูกคิดว่าแม่ไม่รัก ลูกรู้หรือไม่ แม่ประคบประหงมลูกอยู่ในครรภ์จนกระทั่งลืมตามาดูโลก
ยังมิเพียงพอที่จะเรียกว่ารักอีกหรือ
หากลูกถูกแม่ดุว่าทำร้าย ให้นึกถึงคนที่ไม่เคยได้ยินเสียงแม่
ขอเพียงได้ยินเสียงแม่ เขายอมทำทุกอย่าง
หากลูกไม่เคยได้ยินเสียงแม่ ให้นึกถึงคนที่ไม่เคยเห็นหน้าแม่
เขาปรารถนาจะได้พบแม่ แม้เพียงสักครั้งหนึ่งในชีวิต
หากลูกไม่เคยเห็นหน้าแม่ ให้นึกถึงคนที่ไม่เคยรู้จักชื่อแม่
เขาปรารถนาจะรู้จักชื่อของแม่ แม้ว่าจะไม่เคยพบแม่ตลอดชีวิตของเขา
หากลูกไม่เคยรู้จักชื่อแม่ ให้นึกถึงคนที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะเกิดมาดูโลก
หากวันนี้ลูกมิมีชีวิตอยู่บนโลก ลูกจะพบความรักประเสริฐขององค์พระเจ้าได้อย่างไร
ลูกร้องทูลต่อพระเจ้า ขอที่ลูกซึ่งรักแม่อยู่แล้ว จะรักแม่ยิ่งกว่าเดิม และยิ่งไปกว่านั้น ขอที่ลูกจะรักพระเจ้ามากยิ่งขึ้น ลูกปรารถนาที่จะรักพระองค์และใกล้ชิดพระองค์มากกว่าเดิม
แม้ลูกบางคนไม่เคยเห็นหน้าแม่ ลูกบางคนเจ็บปวดขมขื่นกับแม่ แต่ก็ไม่มีรักใดทดแทนความรักของแม่ได้ เว้นแต่ ความรักของพระเจ้า ความรักของพระองค์ไร้ขีดจำกัด สามารถเติมเต็มความรักในทุกรูปแบบ
ได้หนุนตักแม่ ได้บอกรักแม่ ทานกับข้าวฝีมือแม่ ไปเที่ยวกับแม่ อ่านพระคัมภีร์ให้แม่ฟัง อธิษฐานกับแม่ ให้เงินแม่ ยืมเงินแม่บ้างบางครั้ง (แป่ว) สิ่งเหล่านี้เป็นความสุขของฉัน…ขอบคุณพระเจ้า ลูกได้หนุนตักแม่ และลูกพักใจในพระเยซู ลูกอยู่ในอ้อมรักของแม่ และอยู่ในอ้อมรักของพระเจ้า
แม่คือ ผู้สร้างสรรค์ ทุกสิ่งอัน เพื่อลูกรัก แม่คือ ผู้ฟูมฟัก ผู้มอบรัก ผู้เลี้ยงดู
แม่คือ ผู้อุ้มชู ให้ความรู้ กำลังใจ แม่คือ หญิงผู้ให้ ทุ่มเทใจ กายเพื่อลูก
แม่คือ ผู้นำลูก ผู้พันผูกด้วยหัวใจ แม่คือ ผู้ยิ่งใหญ่ หญิงเดียวใน ใจของลูก
แม่คือ ผู้เพาะปลูก หว่านความงาม สู่จิตใจ แม่คือ ยอดดวงใจ ยอดผู้ให้ ยอดสตรี

วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

พระคำของพระเจ้าในปากของฉัน

พระคำของพระเจ้าในปากของฉัน
วันจันทร์
ขอให้ความรักนั้นจำเริญยิ่งๆ ขึ้นด้วยความรู้และวิจารณญาณทุกอย่าง เพื่อฉันจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าอะไรดียอดเยี่ยม เพื่อฉันจะมีความซื่อสัตย์และไร้ตำหนิจนถึงวันแห่งการเสด็จมาของพระคริสต์ มีชีวิตที่เพียบพร้อมด้วยผลแห่งความชอบธรรมซึ่งได้มาโดยพระเยซูเจ้า เพื่อให้เป็นพระเกียรติและพระสิริแด่พระเจ้า (ฟิลิปปี 1:9-11)
ฉันถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยทรัพย์สมบัติ และด้วยผลแรกแห่งผลิตผลของฉัน (สิบลด) ดังนั้นยุ้งฉางของฉันจึงเต็มด้วยความอุดมสมบูรณ์ และบ่อย่ำองุ่นก็เต็มล้นด้วยน้ำองุ่นใหม่ (สุภาษิต 3:9-10)
ฉันเสาะหาปัญญาดั่งหาแร่เงิน และฉันเข้าใจความยำเกรงพระเจ้า และเสาะหาความรู้ถึงพระองค์ พระเจ้าประทานปัญญา ความรู้ และความเข้าใจให้ฉัน เพราะฉันเป็นผู้ชอบธรรม และเดินในทางแห่งความชอบธรรม (สดุดี 2:4-7)
พระคำของพระเจ้าไม่ได้ห่างจากปากของฉัน แต่ฉันคิดนึกตรึกตรองในพระคำนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อฉันจะกระทำตามทุกสิ่งที่ระบุไว้นั้น ดังนั้น หนทางแห่งชีวิตของฉันจึงราบรื่น จำเริญขึ้น และประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี (โยชูวา 1:8)

วันอังคาร
พระเจ้าทรงโปรดประทานให้ฉันตามความมั่นคงแห่งพระสิริของพระองค์ ทรงให้ฉันได้รับการเสิรมกำลังโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในตัวฉัน เพื่อที่พระคริสต์จะทรงสถิตอยู่ภายในฉันทางความเชื่อ เพื่อที่ฉันจะหยั่งรากลึกลงในความรัก และสามารถหยั่งรู้ถึงความลึก ความกว้าง ความยาว และความสูงแห่งความรักของพระองค์ร่วมกับผู้เชื่ออื่นๆ และรู้จักความรักของพระองค์ ซึ่งล้ำลึกเกินความเข้าใจ และจะได้เต็มล้นด้วยความบริบูรณ์ของพระองค์ (เอเฟซัส 3:16-19)
ฉันมีความอิ่มหนำสำราญด้วยไขมันอย่างดีในพระนิเวศน์ของพระเจ้า และพระเจ้าทรงให้ฉันดื่มจากแม่น้ำแห่งความสุขเกษมสำราญในพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นน้ำพุแห่งชีวิตของฉัน และฉันเห็นความสว่างจากแสงสว่างแห่งพระพักตร์ของพระองค์ (สดุดี 36:8-9)
ปัญญาหลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของฉัน และความรอบรู้เป็นความชื่นบานแก่จิตใจของฉัน วิจารณญาณปกป้องฉันไว้และความเข้าใจฉันไว้ และช่วยฉันให้พ้นจากสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง (สุภาษิต 2:10-12)
ฉันเก็บรักษาพระคำของพระเจ้าไว้ในใจเสมอ เมื่อฉันไปไหน พระคำนั้นก็นำพาฉันไป เมื่อฉันนอนลง พระคำนั้นก็ปกป้องฉัน และเมื่อฉันตื่นขึ้น พระคำของพระเจ้าก็สนทนากับฉัน (สุภาษิต 6:22)

วันพุธ
พระเจ้าประทานพระวิญญาณแห่งความเข้าใจให้ฉัน และทรงเปิดเผยความรู้ถึงพระองค์ให้ฉันด้วย ตาแห่งความเข้าใจของฉันจึงเปิดออก เพื่อฉันจะรู้จักถึงความหวังแห่งการทรงเรียกของพระองค์ ความมั่งคั่งและศักดิ์ศรีของมรดกของผู้เชื่อ และความยิ่งใหญ่แห่งฤทธานุภาพของพระองค์สำหรับฉัน ตามพระราชกิจอันทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ที่ทรงกระทำในพระเยซูคริสต์เจ้า เมื่อพระองค์ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย และให้พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรค์สถาน (เอเฟซัส 1:18-20)
ฉันให้และฉันก็ได้รับคืนเป็นการตอบแทนแบบยัดทะนานจนแน่นล้น และพูนออกมา สิ่งใดที่ฉันให้แก่คนอื่น ผู้คนเทลงบนหัวใจของฉันคืนให้ฉัน ด้วยมาตรฐานเดียวกันนั้นเอง (ลูกา 6:38)
ฉันพบปัญญาและได้รับความเข้าใจ รวมทั้งวันเวลาที่ยืนยาว ทั้งเกียรติและความอุดมสมบูรณ์ (สุภาษิต 3:13,16)
ฉันชื่นชอบในพระบัญญัติของพระเจ้า และในพระเมตตากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ประทานให้แก่ฉัน เพื่อที่ฉันจะมีชีวิตอยู่ได้ (สดุดี 119:77)

วันพฤหัสบดี
พระเจ้าทรงใส่ความรู้ถึงพระประสงค์ของพระองค์ ทั้งสรรพปัญญาและความเข้าใจทั้งสิ้นฝ่ายวิญญาณ เพื่อที่ฉันจะดำเนินชีวิตอย่างสมควรต่อพระองค์ และเป็นที่ทรงพอพระทัยในทุกทาง และเกิดผลอันดีในกิจการงานทุกอย่าง และจำเริญขึ้นในความรอบรู้ถึงพระองค์ ได้รับการเสริมพลังด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ ด้วยฤทธานุภาพแห่งพระสิริของพระองค์ เพื่อให้มีความอดทนและพากเพียร และด้วยความปิติยินดี ขอบพระคุณพระบิดาผู้ทรงให้ฉันเข้าส่วนในมรดกแห่งธรรมิกชนในความสว่าง (โคโลสี 1:9-12)
พระเจ้าทรงรดน้ำในแผ่นดินของฉัน และให้มันอุดมสมบูรณ์ขึ้น ด้วยแม่น้ำของพระองค์ซึ่งเอ่อล้นด้วยน้ำ พระองค์ประทานพืชพันธุ์ธัญญาหารแก่ข้าพระองค์ ทรงให้ผืนดินอ่อนนุ่มด้วยหยาดฝนและทรงให้พรแก่แผ่นดินนั้น พระองค์ทรงสวมใส่ปีเดือนแห่งชีวิต ด้วยคุณงามความดีของพระองค์ หนทางแห่งชีวิตของฉันจึงเปี่ยมล้นไปด้วยความสมบูรณ์พูนสุข (สดุดี 65:9-11)
ฉันเดินในปัญญา ในหนทางแห่งความปลาบปลื้มและสันติสุข ปัญญาเป็นดุจดังต้นไม้แห่งชีวิตของฉัน เพราะฉันยึดมั่นมันไว้ (สุภาษิต 3:13-18)
ฉันมีศานติภาพอันยิ่งใหญ่ เพราะฉันรักในพระบัญญัติของพระเจ้า และจะไม่มีสิ่งใดทำให้ฉันสะดุดได้เลย (สดุดี 119:165)
วันศุกร์
ในฐานะผู้ได้รับการเลือกสรรจากพระเจ้า เป็นผู้บริสุทธิ์และเป็นผู้ที่ทรงรัก ฉันจึงขอสวมใส่ใจแห่งความเมตตากรุณา ใจโอบอ้อมอารี ใจอ่อนน้อมถ่อมตน ใจอดทนนาน ผ่อนหนักผ่อนเบาให้กันและกัน และให้อภัยกันและกัน ดังที่พระเยซูเจ้าทรงโปรดให้อภัยฉัน ฉันสวมใส่ความรักซึ่งเป็นพันธกรแห่งความสมบูรณ์ และฉันยอมให้สันติสุขของพระเจ้าเข้าครอบครองในจิตใจ และฉันมีใจกตัญญูรู้คุณ (โคโลสี 3:12-15)
ฉันหว่านอย่างมากมายและฉันก็เก็บเกี่ยวอย่างมากมาย ฉันเป็นผู้ที่ให้ด้วยใจยินดี และให้ตามที่ได้ตั้งใจไว้ พระเจ้าทรงให้พระคุณนานาประการแก่ฉัน ฉันจึงมีอย่างเพียงพอสำหรับตัวเองเสมอ และมีอย่างมากมายบริบูรณ์ สำหรับงานที่ดีทุกอย่างด้วย ฉันได้รับอย่างเพียบพร้อมบริบูรณ์ในทุกสิ่งทุกอย่าง ฉันจึงเต็มด้วยการโมทนาพระคุณแด่พระเจ้าผ่านทางฉัน (2โครินธ์ 9:6-8,11)
ฉันมีใจจดจ่ออยู่กับพระปัญญาของพระเจ้า และเงี่ยหูฟังถึงความเข้าใจในพระองค์ เพื่อฉันจะได้มีวิจารณญาณทีดี่ และริมฝีปากของฉันจะได้รักษาความรอบรู้ไว้ (สุภาษิต 5:1-2)
ฉันจัดวิถีชีวิตไปตามทางแห่งพระวจนะของพระเจ้า และไม่ยอมปล่อยให้ทางแห่งความบาปชั่วมีอำนาจเหนือชีวิตของฉันเลย (สดุดี 119:133)

วันเสาร์
พระเจ้าทรงทวีความรักกันและกัน และรักคนอื่นให้เพิ่มพูนขึ้นอย่างบริบูรณ์ในตัวฉัน เพื่อในที่สุดปลาย เมื่อพระเยซูเจ้าของเราจะเสด็จกลับมาพร้อมกับธรรมิกชนของพระองค์ ฉันก็จะเป็นคนไร้ตำหนิ บริสุทธิ์ครบถ้วนสมบูรณ์ (1 เธสะโลนิกา 3:12-13)
ฉันหว่านพืชพันธุ์ที่พระเจ้าประทานให้แก่ฉัน กระนั้นฉันก็ได้รับเพิ่มพูนขึ้น ฉันเป็นคนโอบอ้อมอารี ฉันจึงมั่งคั่งขึ้น ฉันรดน้ำให้คนอื่นและตัวฉันก็ได้รับการรดน้ำเป็นการตอบแทน ฉันเป็นผู้หว่าน และพระเจ้าก็ประทานปัจจัยต่างๆ ที่ฉันต้องการตามความมั่งคั่งอันอุดมสมบูรณ์ของพระองค์ในพระเยซูเจ้า (สุภาษิต 11:24-25; ฟิลิปปี 4:19)
ฉันมีพระทัยของพระคริสต์ ฉันจึงสามารถคิดอย่างที่พระเยซูเจ้า ทรงคิดในทุกสิ่งที่ฉันทำในวันนี้ ฉันไดรับการเจิมจากพระองค์ซึ่งสอนฉันให้รู้ทุกสิ่ง (1 โครินธ์ 1:30; 1ยอห์น 2:27)
ฉันมีความเข้าใจมากกว่าบรรดาคณาจารย์ของฉัน เพราะคำพยานของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ฉันไตร่ตรองและภาวนาอยู่ (สดุดี 119:99)

วันอาทิตย์
พระเจ้าทรงนับว่าฉันเป็นผู้สมควรกับการทรงเรียกของพระองค์ และประทานพระคุณอันล้ำเลิศประเสริฐของพระองค์ ให้ความตั้งใจอันดีทุกอย่างที่ฉันมี และให้งานแห่งความเชื่อทั้งปวงสำเร็จ เพื่อพระนามของพระองค์จะเป็นที่เชิดชู และเทิดทูนเพราะชีวิตของฉัน ในทำนองเดียวกันกับที่ฉันได้รับเพราะพระองค์ และเพราะพระคุณของพระเจ้าในพระเยซูเจ้าของเรา (2เธสะโลนิกา 1:11-12)
ฉันเชื่อในพระเยซูเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้านาย และพระเจ้าของฉัน และฉันก็จะยืนหยัดมั่นคง ฉันเชื่อในบรรดาผู้เผยพระวจนะ และฉันก็มีความก้าวหน้า ฉันนำผลแรกแห่งพืชพันธุ์ธัญญาหารของฉันมาถวายแด่พระเจ้า โดยให้พวกปุโรหิตของพระองค์ เพื่อว่าพระพรจากพระเจ้าจะอยู่เหนือครัวเรือนของฉัน (2พงศาวดาร 20:20, เอเสเคียล 44:30)
ฉันมีปัญญาและความเฉลียวฉลาดรอบคอบ ฉันใช้ชีวิตในพระปัญญา ความชอบธรรมและยุติธรรม ฉันรักปัญญา พระเจ้าจึงทรงโปรดให้ฉันมีความมั่งคั่งและสมบูรณ์พูนสุข (สุภาษิต 8:12, 21-22)
พระบัญชาทั้งหลายของพระเจ้าสัตย์จริง และเป็นสิ่งที่ฉันชื่นชอบ ฉันจึงไม่พินาศไปในความทุกข์ยากลำบากของฉัน (สดุดี 119:86, 92)

หมายเหตุ : คัดลอกจากหนังสือ “พระคำของพระเจ้าในปากของฉัน” โดย มูลนิธิสื่อใจไทย

วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

พระวจนะของพระเจ้า กับ คำพูดของมนุษย์

พระวจนะของพระเจ้า กับ คำพูดของมนุษย์
วันที่ 4/2/2009
ขอบคุณพระเจ้าที่วันนี้ฉันได้อ่านเรื่องราวที่ครูแมมได้กรุณาแบ่งปันจากการไป Retreat ของ YWCA เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันจึงขอยกเรื่องราวทั้งหมดจากครูแมมมาเล่าสู่กันฟัง และอ่านต่อๆ กันไปอีกครั้งหนึ่ง…
Possible with GOD โดย อาจารย์อานุภาพ วิชิตนันทน์
Retreat YWCA 30 – 31 มกราคม 2009 คลองทรายรีสอร์ท เขาใหญ่ นครราชสีมา
***************************************************************
30 มกราคม 2009 “การคิดดี พูดดี”
สุภาษิต 4:23 “จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ”
วัฒนธรรมในการคิด
1. เลือกความคิดบวก ทิ้งความคิดลบ สมรภูมิรบคือความคิดของเรา ถ้าเราปล่อยให้ศัตรูยึดความคิดของเรา เราแพ้ ถ้าเราควบคุมความคิดของเราได้ เราชนะ ความคิดมีผลต่อชีวิตโดยรวม ถ้าคิดลบ - ชีวิตแย่ คิดสุข - ชีวิตเป็นสุข คิดท้อ – ชีวิตท้อแท้ และความคิดของเราจดจ่ออยู่กับอะไร เราก็จะเป็นอย่างนั้น
- ความคิดมีผลต่อความสัมพันธ์ คส 3:2 จงเอาใจใส่สิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่วิ่งที่อยู่ที่แผ่นดินโลก ให้เราคิดถึงสิ่งที่อยู่เบื้องบน สิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ ฟป4:8 การจะคิดดี เราต้องฟังสิ่งที่ดี ดูสิ่งที่ดี คิดถึงพระเจ้า
***** เราต้องเลือกสังคมให้กับตัวเอง
2.กล่าวถ้อยคำที่ให้มีชีวิตนิรันดร์ ยอห์น 6:63 จิตวิญญาณเป็นที่ให้มีชีวิต ส่วนเนื้อหนังไม่มีประโยชน์อันใด ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้น เป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต”
3. กล่าวถ้อยคำที่เป็นพระพร ประกาศพระพร เราจะเห็นพลังของการอวยพร
* สดด 115:13 “พระองค์จะทรงอำนวยพระพรแก่บรรดาผู้ที่ยำเกรงพระเจ้า ทั้งผู้น้อยและผู้ใหญ่”
* สดด109:17 “เขารักที่จะแช่ง ขอให้คำแช่งตกบนเขา เขาไม่ชอบการให้พร ขอพรจงห่างไกลจากเขา” (*บันทึกเพิ่ม)
30 มกราคม 2009 Possible with GOD มัทธิว 14:25 – 33 พระเยซูทรงดำเนินบนทะเล
- เมื่อเราพยายามทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ให้เราคิดถึงพันธสัญญาของพระเจ้า
- พระเจ้าทรงกระทำสิ่งที่เป็นไปไม่ ให้เป็นไปได้ พระเจ้าทรงให้คนเล็กน้อยเป็นคนยิ่งใหญ่
- พระเจ้าทรงรักษาคนป่วยให้หาย คนตายให้ฟื้น พระเจ้าทรงให้คนบาปรับความรอด
กฎ 4 ประการ สำหรับทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า
1. อย่าปรึกษาคนที่ไม่มีความเชื่อ ให้ปรึกษาคนที่มีความเชื่อในเรื่องนั้น ๆ
2. อย่าพยายามทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ โดยพึ่งกำลังของตนเอง ให้เราทำเมื่อพระเยซูสั่ง …มาเถิด
3. อย่าได้แต่นั่งอยู่ในเรือ ก้าวออกจากเรือด้วยความเชื่อ มีก้าวที่ 1 จะมีก้าวที่ 2 ตามมา
4. อย่ามองที่สถานการณ์ แต่จงเพ่งมองที่พระเจ้า (…แต่เมื่อเขาเห็นลมพัดแรงก็กลัว)
เราจะขาดสันติสุข
• เมื่อเราตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น รถติด อยากมีลูก อยากมีคู่พระพร
• เมื่อเราอยู่ใกล้คนที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ การพยายามเปลี่ยนคนอื่น
• เมื่อมีปัญหาที่เราไม่สามารถหาคำอธิบายได้ ไม่เข้าใจ
ยอห์น 14:27 พระเยซูตรัสว่า “เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตก และอย่ากลัวเลย”
ทำอย่างไรให้มีสันติสุขในใจ
• ยอมรับสิ่งที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ การวิตกกังวลทำให้ขาดสันติสุข การรู้สึกผิด สงสารตนเอง บางครั้งความทุกข์เกิดขึ้นเพราะเราเรียกร้องคำอธิบาย พระเจ้าไม่ได้เป็นหนี้คำอธิบายของเรา และแม้พระองค์อธิบายเราก็ไม่เข้าใจ หรือแม้มีคำอธิบาย ก็ไม่เกิดสันติสุข ให้เราเข้าสู่การประทับอยู่ของพระเจ้าในชีวิตเรา มีบางคนที่รักเรา พระเจ้าอยู่กับเราตลอดเวลา เมื่อโยบสูญเสียลูก ทรัพย์สมบัติ เป็นโรคร้ายแรง ถูกภรรยาสบประมาท ไม่มีคำตอบจากพระเจ้า พระองค์ทรงทดสอบ โยบ หาคำอธิบายไม่ได้ พระเจ้าเงียบถึง 37 บท
• ไว้วางใจในความรัก ความห่วงใยของพระเจ้า อสย 26:3 “ใจแน่วแน่นั้น พระองค์ทรงรักษาไว้ในศานติภาพอันสมบูรณ์ เพราะเขาวางใจในพระองค์ สภษ3:5-6 “จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้าและอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้าและพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น”
ปัญหาเกิดจาก เราอยู่ในโลกที่มีปัญหา เรามีศัตรูคือซาตานที่จ้องทำลาย เราตัดสินใจผิดพลาด
ฟป 4:6-7 “อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใด ๆ แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์”
• ยอมจำนนต่อการควบคุมของพระเจ้า ตัวเราเองคือปัญหาที่ต่อสู้กับพระเจ้า เราทำสงครามกับพระเจ้า พระเจ้าให้เรามีข้อจำกัดในตนเอง เพื่อเราจะยอมจำนนกับพระเจ้า
โรม5:1 “เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขในพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”
ประทุม ชัยอักษรเวช
3 กุมภาพันธ์ 2009
เรื่องราวดังกล่าวข้างต้น ทำให้ฉันต้องกลับไปอ่านทบทวนอีกครั้ง และอีกครั้ง และขอบพระคุณพระเจ้าเป็นที่สุดที่พระองค์ทรงเมตตาฉัน ทรงเป็นความช่วยเหลือที่พร้อมเสมอในยามยากลำบาก
ในช่วงวันหรือสองวันนี้ ฉันตกอยู่ในสมรภูมิความคิดที่ไม่อาจชนะได้โดยลำพัง ความเย่อหยิ่งถือดีปิดบังตาใจของฉันไว้ ทำให้ฉันเข้าใจไปเองว่าฉันยอมพระเจ้าแล้วทุกสิ่ง ยอมพระองค์แล้วทุกอย่างจริงๆ แต่เมื่อมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นมา และนิ่งใคร่ครวญดู จึงพบว่า ฉันยังไม่ได้ยอมพระเจ้าจริงๆ ยังไม่ได้นำความคิดทุกประการให้ถึงใต้บังคับจนยอมรับฟังพระคริสต์ ฉันยังคงวางแผน ตั้งเป้าหมายโดยกำลังของฉัน ทั้งยังบังคับให้พระเจ้าอวยพรตามที่ใจของฉันปรารถนาอีกด้วย…ขอบคุณพระเจ้า เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว ก็ต้องรีบกลับใจโดยพลัน ขอรับพระคุณของพระองค์ ขอรับการเปลี่ยนแปลงโดยพระองค์ ขอทรงขจัดสัตว์ทุ่งออกไปจากจิตใจของฉัน ขอพระองค์เป็นผู้เดียวที่จะครอบครองความคิดของฉัน…ขอบคุณพระเจ้า เหตุการณ์นี้จบลงด้วยชัยชนะที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ แต่ในขณะเดียวกันฉันก็ทูลขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะทรงทำให้ดวงตาของฉันกระจ่างแจ้งโดยทันที หากฉันเดินพลาดไปจากน้ำพระทัยของพระองค์
มีอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ฉันยังไม่หลุดพ้น มันยังเป็นบ่วงมารที่วนเวียนลัก ฆ่า ทำลาย และกัดกินฉันอยู่ คือ เรื่องคำพูดของผู้อื่น การตัดสินหรือพิพากษาที่ผู้อื่นยัดเยียดให้ฉัน ประสบการณ์ที่ฉันพบเจอนั้น ฉันไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของทุกคนหรอก แต่มีบางคนเท่านั้น ที่คำพูดของเขากระทบกับจิตใจของฉันมาก หัวใจฉันโอนไปเอนมา ซัดไปเซมา หันไปเหมาตามคำพูดของเขา โอ้! ช่างเป็นบาปที่ไม่น่าให้อภัยเสียจริง…ฉันได้ลืมไปแล้วว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างฉัน ทรงไถ่ฉันไว้แล้วด้วยโลหิตประเสริฐของพระเยซู ทรงปกฉันไว้ด้วยความรักและพระสิริแห่งพระนามของพระองค์ ทรงให้ฉันเติบโตภายใต้การทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยพระวจนะอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ พระองค์ทรงสร้างฉัน เป็นเจ้าของฉัน เป็นเพียงผู้เดียวที่มีสิทธิ์เหนือชีวิตจิตใจของฉัน…ความเชื่อและความไว้วางใจของฉันหายไปไหนหรือนี่
ฉันแก้ปัญหาโดยวิธีการวิ่งหนี ด้วยการหลีกเลี่ยงไม่พบปะพูดคุยกับบุคคลผู้นั้น ผู้ซึ่งสร้างความเจ็บปวดให้ฉันผ่านทางคำพูดตัดสินและพิพากษาของเขา ผู้ที่สร้างความกดดันด้วยการบีบบังคับฉัน อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงรักฉันเกินกว่าที่จะให้ฉันแบกแอกแห่งความทุกข์นี้ไว้เนิ่นนาน ทรงปรารถนาที่จะประทานสันติภาพอันบริบูรณ์ให้กับฉัน ทรงฉุดฉันขึ้นจากหลุมเลนตมอันน่าสลด และวางเท้าฉันไว้บนศิลาอันมั่นคง พระองค์นำการรักษาและการเล้าโลมใจมาให้ฉัน
เมื่อได้อ่านสิ่งที่ครูแมมแบ่งปัน ก็มีเรม่าที่แตะต้องจิตวิญญาณของฉัน คือวัฒนธรรมทางความคิด ฉันต้องปรับความคิดของตนเอง ใคร่ครวญตามที่พระเจ้าบัญญัติไว้ มิใช่คิดตามคำพูดของมนุษย์ [ฟป.4:8 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดนี้ขอจงใคร่ครวญถึงสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ยุติธรรม สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่ทรงคุณ คือถ้ามีสิ่งใดที่ล้ำเลิศ สิ่งใดที่ควรแก่การสรรเสริญ ก็ขอจงใคร่ครวญดู] สิ่งนี้ทำให้ฉันระลึกถึงเมื่อครั้งที่พี่ลี่แบ่งปันว่า ได้ตั้งตัวเองตายต่อโลก คือ ไม่ดีใจเมื่อมีคนยกย่องชมเชย และไม่เสียใจเมื่อมีคนวิจารณ์ก่นด่า ฉันต้องกลับใจอีกครั้ง พร้อมทั้งนำความคิดและหัวใจของตนเองจดจ่ออยู่ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงองค์เดียว และพระองค์เพียงองค์เดียวเท่านั้นที่จะทรงพิพากษาฉัน มิใช่มนุษย์ [1คร.4:3-4 สำหรับข้าพเจ้า การที่ท่านทั้งหลายหรือมนุษย์ผู้ใดจะวินิจฉัยตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ถึงแม้ข้าพเจ้าเองก็มิได้วินิจฉัยตัวข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าไม่รู้ว่าข้าพเจ้ามีความผิดสถานใด ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็ไม่พ้นการพิพากษา ท่านผู้ทรงพิพากษาตัวข้าพเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้า]
ความบาปอีกประการที่ฉันต้องรีบกลับใจโดยด่วน ก็คือ การที่ฉันตีค่าราคาพระวจนะของพระองค์ต่ำกว่าคำพูดของมนุษย์ ช่างเป็นความบาปผิดที่ร้ายแรงจนไม่อาจให้อภัยได้ แต่ก็โดยพระคุณอีกนั่นแหละที่ทรงโปรดปรานให้ฉันเป็นลูกที่รักของพระองค์อีกครั้ง ฉันตระหนักแน่ในหัวใจว่าฤทธิ์ของบาปอันนำไปสู่ความเจ็บป่วยฝ่ายวิญญาณ จนถึงขาดสันติสุขนั้น แท้จริงมันฝังอยู่ในมนุษย์เราแต่ละคนตั้งแต่เกิดจากครรภ์มารดา แต่เพราะพระคุณของพระเจ้าเท่านั้นที่จะแก้ฤทธิ์ของบาปนี้ได้ และพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่เป็นทางผ่าน เป็นทางเดียว เป็นทางนั้น และเป็นความจริง โดยรอยแผลเฆี่ยน โดยรอยตะปู โดยโลหิตประเสริฐ โดยไม้กางเขนนั้น ฉันจึงได้รับการรักษาให้หาย รับการกู้ไถ่ด้วยปากและด้วยใจของฉัน ฉันขอรับการเปลียนแปลงใหม่ จากคนที่ใส่ใจต่อคำพูดของมนุษย์มากเกินไป ก็ต้องเปลี่ยนเป็นให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่ง ยกชูพระวจนะของพระองค์เหนือชีวิต รับการช่วยกู้จากพระองค์ [สดุดี 107 : 20 พระองค์ทรงใช้พระวจนะของพระองค์ไปรักษาเขา และทรงช่วยกู้เขาจากหลุมของเขา]

วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

บทกลอนถวายแด่พระเจ้า‏

บทกลอน : ไม่มีใครเหมือนพระองค์
ลำดับที่ : 22
วันที่ : 2/2/2009 (6.01 น.)
แรงบันดาลใจ :

ไม่มีแล้ว ในโลกนี้ ใครจะเหมือน
ไม่มีแล้ว ใครจะเหมือน พระเจ้าได้
ไม่มีแล้ว ใครจะเทียบ องค์ยิ่งใหญ่
ไม่มีแล้ว ใครเปรียบได้ รักพระองค์

พระองค์ทรง เป็นผู้เดียว ที่คงเดิม
พระองค์เจิม เราด้วยไฟ อย่างเจาะจง
พระองค์เรียก แต่ละคน ตามประสงค์
พระองค์ทรง มีแผนการณ์ อันล้ำค่า

วิถีพระองค์ ล้ำเลิศ เกินคาดคิด
ตลอดชีวิต ทรงปกป้อง ดุจแก้วตา
ทรงห่วงใย ทรงใส่ใจ ตลอดเวลา
ตลอดชีวา มิอาจลืม พระคุณพระองค์


บทกลอน : จากใจลูกถึงพ่อ
ลำดับที่ : 21
วันที่ : 2/2/2009 (5.52 น.)
แรงบันดาลใจ : พคค.3:22-23
[พคค.3:22-23] ความรักมั่นคงของพระเจ้าไม่เคยหยุดยั้ง และพระเมตตาของพระเจ้าไม่มีสิ้นสุด เป็นของใหม่
อยู่ทุกเวลาเช้า ความเที่ยงตรงของพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก


เช้าวันใหม่ ตื่นขึ้นมา เรียกหาพ่อ
ลูกคอยรอ พบพระองค์ รักคงมั่น
ลูกปรารถนา พบพระพักตร์ ทุกคืนวัน
ลูกรอคอย การอัศจรรย์ ของพระองค์

ลูกหลงรัก พำนักอยู่ ที่ทรงสถิต
ลูกถวาย ชีวิต ตามพระประสงค์
ลูกยินยอม น้อมใจ ถ่อมใจลง
ลูกเชื่อมั่น รักมั่นคง องค์บิดา



บทกลอน : ความอุดมอันเอกอุ
ลำดับที่ : 20
วันที่ : 2/2/2009 (5.47 น.)
แรงบันดาลใจ : หนังสือ 31 วัน สรรเสริญ ของรูธ ไมเยอร์

ความอุดมของพระเจ้านั้นเอกอุ ดุจน้ำพุพลุ่งล้นไหลในชีวี
นำพาความอิ่มเอมใจในฤดี สันติสุขเต็มล้นปรี่ อุ่นอุดม
อุดมด้วยความรักเต็มล้นฟ้า อุดมด้วยความเมตตาแสนสุขสม
อุดมด้วยความชื่นบานสุขชื่นชม อุดมด้วยสุขรื่นรมย์ร่าเริงใจ

ร่ำรวยรักเร่งเร้าให้รับใช้ ก้าวออกไปด้วยหัวใจสรรเสริญ
อุดมด้วยฤทธิ์เดชล้น สุขจำเริญ อุ่นเหลือเกิน อิ่มเพลิดเพลิน ความอุดม
ทุกวันชื่นคืนสุขในทุกแห่ง กำลังแรงไฟรักล้น ฉ่ำภิรมย์
เติมเต็มใจให้ล้นไหลรักสุขสม อิ่มอุดมอันเอกอุ ผู้จัดเตรียม



บทกลอน : สรรเสริญ สรรเสริญ สรรเสริญ
ลำดับที่ : 19
วันที่ : 1/2/2009 (23.00 น.)
แรงบันดาลใจ : หนังสือ สุดยอดสรรเสริญ

สรรเสริญ สรรเสริญ สรรเสริญ
พระเจ้าสถิตเหนือคำสรรเสริญ
สรรเสริญพระเจ้าองค์อัศจรรย์
พระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์รับการสรรเสริญ

สรรเสริญนำมาซึ่งพระเกียรติ
สรรเสริญ ถวายเกียรติ สรรเสริญ
สรรเสริญ สุขเปรมปรีด์ ใจเพลิดเพลิน
สรรเสริญ ยกย่องเยิน สรรเสริญพระองค์

พี่ป๊อบกับหมูชะมวง

พี่ป๊อบกับหมูชะมวง
วันที่ 2/2/2009
ชะมวง ไม้ยืนต้น มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Garcinia cowa Roxb.(แป่ว! แล้วเกี่ยวอะไรกับพี่ป๊อบละเนี่ย)
ข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับใบชะมวง
ส่วนที่เป็นผัก : ยอดอ่อน
ฤดูกาล : ฤดูฝน-ออกผลฤดูหนาว
รส : รสเปรี้ยว
การขยายพันธุ์ : เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง
ประโยชน์ทางยา : ใบและผล-แก้ไข้ กัดฟอกเสมหะ
ใบชะมวง + หมูอู๊ดอู๊ด = แกงหมูใบชะมวง
องค์เยโฮวาห์ โรอี (Jehovah Rohi) พระเจ้าผู้เลี้ยงที่เลิศของเราทั้งหลาย ทรงเมตตาเลี้ยงดู ประทานอาหารประจำวันให้อย่างไม่ขัดสน แม้แต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ พระองค์ก็ทรงใส่พระทัย แหม! ก็แน่นอนล่ะ ขนาดเส้นผม พระองค์ยังทรงนับไว้แล้วทุกสิ้นเลย นับประสาอะไรกับเรื่องอาหารการกิน เราจะอิ่มหมีพีมันในการเลี้ยงดูจากพระเจ้า ทั้งอาหารฝ่ายกายและอาหารฝ่ายวิญญาณเลยทีเดียว…พี่อิ๋วนั้นปรารภกับพี่ป๊อบว่าอยากกินแกงหมูชะมวงแห่งเมืองตราดนักแล และพี่ป๊อบก็จัดให้ตามใจปรารถนา โดยการนำพาของพระเจ้า และด้วยความรักที่มีอยู่เต็มล้นในหัวใจของพี่ป๊อบ พี่ป๊อบซื้อแกงหมูชะมวงตั้งแต่วันพุธที่ 28/1/2009 เดินทางจากเมืองตราดมา กทม. เมืองที่คนตกท่อ (อุ้ย ไม่เกี่ยว…อีกแล้ว)
พี่ป๊อบหอบหิ้วแกงหมูชะมวงมา และก็มิได้พานพบพี่อิ๋วในวันพุธ พี่ป๊อบจึงหอบหิ้วต่อไปและแช่ไว้ในตู้เย็นบ้านอาจารย์น้อย-ชนัดดา ในค่ำคืนนั้น พี่ป๊อบนิทราหลับไหลใต้หลังคาบ้านอาจารย์น้อย พร้อมกับหมูชะมวงในตู้เย็น เช้าวันรุ่งขึ้น พี่ป๊อบเรียนพระคัมภีร์กับอาจารย์น้อยจนถึงเวลาเที่ยง เมื่อถึงช่วงบ่าย พี่ป๊อบก็หอบหิ้วหมูชะมวงร้อนๆ เอ้ย! เย็นๆ มาที่ BSC พาหมูชะมวงเรียนภาษาอังกฤษด้วย ดีนะที่ไม่ส่งกลิ่นรบกวนจมูกใคร ตกเย็น พี่ป๊อบก็หอบหมูชะมวงมาที่พักของฉัน เพราะทุกคืนวันพฤหัส เรามีสามัคคีธรรมกันยามค่ำคืน และคืนนั้นนั่นเองที่พี่ป๊อบมีโอกาสมอบหมูชะมวงอันแสนอร่อยให้กับพี่อิ๋ว พี่อิ๋วก็ประทับใจจ๊าบ เนื่องจากไม่ได้กินมานานแล้ว คุณพี่ก็นั่งกินไปคุยไปอย่างมีความสุข
หมูชะมวงก็อร่อยดีนะ รสชาติหวาน จึงไม่เหมาะกับคนที่ชอบรสเผ็ด ฉันกินแล้วก็รู้สึกว่าหวานมากเลย แต่น้ำใจพี่ป๊อบสิ ซาบซึ้งหวานหยดมากกว่า อุตส่าห์หอบหิ้วมาจนถึงมือผู้รับ ถ้าเป็นคนบางคนเขาอาจจะโยนทิ้งตั้งแต่ค่ำคืนแรกก็เป็นได้ สิ่งนี้ก็ย้ำเตือนว่า เมื่อเราจะมอบสิ่งของให้ใครก็ตาม เราต้องรับผิดชอบ นำไปให้ถึงมือผู้รับ มิใช่นำไปโยนไว้ที่ไหนสักแห่งหนึ่ง หรือฝากต่อๆ กันไป ไม่สนใจใยดี หรือบางครั้งบางคราก็หลงลืมจนข้ามปี หยิบยืมสิ่งใดจากใครมาก็ต้องรีบคืนโดยเร็ว ฉันจึงต้องขอพระเจ้าว่า ฉันจะไม่เป็นคนขาดความรับผิดชอบเช่นว่านั้น
พี่ป๊อบมีชีวิตที่เป็นแบบอย่างและเป็นพระพรสำหรับฉันและคนรอบข้าง ฉันรู้จักพี่ป๊อบผ่านทางการเข้าคอร์ส Alpha โดยมีจุดเริ่มต้นที่พี่ป๊อบดั้นด้นมาเรียนภาษาอังกฤษถึง BSC เดินทางจากเมืองตราดมาเรียนภาษาอังกฤษ อืม! น่ามอบโล่ความตั้งใจและทรหดอดทนดีเด่นให้เสียจริง แต่ไม่มีโล่น่ะ รับเสียงปรบมือไปก่อนละกันนะพี่ป๊อบ เมื่อวานนี้ อ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ เทศนาให้ข้อคิดประการหนึ่งว่า เมื่อผู้อื่นทำดี เราต้องปรบมือให้ อ้าว! พี่ป๊อบ เตรียมพร้อม วี๊ดดดดด…บึ้ม! ป๊าบ ป๊าบ ป๊าบ …อะอ๋า แถมเชียร์ลีดเดอร์ให้ด้วย (เกินคาดคิดไหมละพี่ป๊อบ…อิอิ)
โป๊ก!…โดนเขกหัวซะแล้ว เนื่องจากว่า เล่นมากไปหน่อย ไม่เข้าเรื่องซะที…ฮ่า ฮ่า เล่าต่อนะคะ…พี่ป๊อบเรียนภาษาอังกฤษกับคุณครูตุ๊กตา และคุณครูตุ๊กตาเป็น Course Leader ของ Alpha ซึ่งจัดขึ้นร่วมกับ BSC เมื่อปีที่ผ่านมา จึงเป็นเหตุให้พี่ป๊อบได้เข้าร่วม Alpha ซึ่งพี่ป๊อบได้รู้จักกับพี่น้องหลายๆ คน รวมทั้งพี่อิ๋วและฉันด้วย จากนั้นเราจึงเริ่มมีกลุ่มสามัคคีธรรมกันที่บ้านของฉันทุกคืนวันพฤหัสเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้ พี่อิ๋วและฉันได้มีโอกาสไปเยี่ยมพี่ป๊อบที่ตราดด้วยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา
พี่ป๊อบเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย เพื่อเป็นเหมือนองค์พระคริสต์มากขึ้น ก่อนที่จะรู้จักพระเจ้า พี่ป๊อบเป็นนักเลงหัวไม้ สำมะเลเทเมา เป็นที่โด่งดัง (ในทางมาเฟีย) ซึ่งชาวบ้านร้านตลาดย่านนั้นรู้จักเป็นอย่างดี แต่เมื่อพี่ป๊อบได้รู้จักองค์พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ พี่ป๊อบก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น
การเดินกับพระคริสต์ของพี่ป๊อบได้สะดุดลงเมื่อพี่ป๊อบยังไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลง พี่ป๊อบห่างหายจากโบสถ์ไปนาน ดุจบุตรน้อยที่หลงหาย จนเกือบจะลืมไปแล้วว่าพระเจ้าเป็นอย่างไร ความรักดั้งเดิมเที่ยงแท้ของพระบิดาเป็นอย่างไร แต่เนื่องด้วยพระคุณของพระเจ้า ทรงเรียกพี่ป๊อบกลับบ้าน พี่ป๊อบก็จำเสียงของพระองค์ได้
เมื่อบุตรน้อยกลับเข้าบ้าน พ่อก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี แน่นอนว่าย่อมพบเจอกับอุปสรรคบ้าง แต่ความรักของพ่อก็พยุงพี่ป๊อบไว้มิให้ล้ม พ่อให้กำลังกับพี่ป๊อบ และหนุนจิตชูใจพี่ป๊อบ นำการเลี้ยงดูอันเลอเลิศมาให้พี่ป๊อบ ทุกวันนี้ พี่ป๊อบ นั่งนับพระพรด้วยความซาบซึ้งชื่นใจ
การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นจนคนรอบข้างสนเท่ห์ แต่เราทั้งหลายรู้ว่าเป็นเพราะพระเมตตาของพระเจ้า เป็นเพราะพี่ป๊อบน้อมยอมจำนนต่อพระเจ้า ร่วมมือกับพระองค์ พี่ป๊อบยอมทุกสิ่งจริงๆ ตัวตนเก่าก่อนค่อยๆ เลือนหายไป รับการชำระโดยพระโลหิตของพระคริสต์ พี่ป๊อบเปลี่ยนเป็นคนใหม่ จากผู้ที่เปรอะเปื้อนไปด้วยความบาป กลับกลายเป็นขาวดุจหิมะ
พี่ป๊อบตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษ เพื่อที่จะเสริมสร้างและพัฒนาตนเอง เพื่อวันหนึ่งข้างหน้าจะนำข่าวดีของพระคริสต์ออกไปจนสุดปลายแผ่นดินโลก พี่ป๊อบเรียนพระคัมภีร์ด้วยความกระหายใคร่รู้ เพื่อเตรียมพร้อมสวมยุทธภัณฑ์ฝ่ายวิญญาณ พี่ป๊อบเคยเรียนพระคัมภีร์กับพี่โอ และปัจจุบันนี้เรียนพระคัมภีร์กับอาจารย์น้อย-ชนัดดา พี่ป๊อบอ่านวรรณกรรมคริสเตียนมากมาย พี่ป๊อบอธิษฐานมากขึ้น และในขณะเดียวกันก็สวมรองเท้าแห่งความพรั่งพร้อมในการประกาศข่าวประเสริฐมากขึ้น พี่ป๊อบไม่เคยปล่อยให้โอกาสในการเป็นพยานหลุดลอยไป
ฉันขนานนามพี่ป๊อบว่า Popsi เพราะสวยเหมือนป๊อบ อาริยา นางสาวไทยเมื่อหลายปีก่อน และซ่าเหมือน Pepsi…ถึงแม้ว่าพี่เราจะไม่ใช่นักเลงแบบแต่ก่อนแล้ว แต่พี่เราก็ยังซ่าอยู่ การประกาศของพี่เค้านั้นไม่ใช่แค่เมืองตราด หรือประเทศไทยนะ พี่เราทำพันธกิจข้ามแดนไปไกลถึงเขมรเลยทีเดียว บางครั้งก็ไปอยู่ตามเกาะต่างๆ กลับมางี้ตัวดำปี๋เชียว ไม่เหลือแววของป๊อบอาริยาอีกต่อไป (อ้าว!)
พันธกิจที่พี่ป๊อบทำที่คริสตจักรตราดนั้นมีหลายประการด้วยกัน ทำดุจดังว่าเป็นผู้รับใช้เต็มเวลา กินเงินเดือนโบสถ์ฉะนั้นแล แต่พี่เราทำให้ด้วยใจรัก นอกจากจะไม่ได้เงินเดือนแล้ว ยังต้องลงทุนลงแรง ลงเวลา ลงใจ และควักกระเป๋าตัวเองอีกต่างหาก แต่ไม่เป็นไรคะ พี่ป๊อบบอกว่า “พระเจ้าทรงเลี้ยงดู” เนื่องด้วยพระสัญญาของพระองค์เป็นจริงทุกประการ…พี่ป๊อบมีนิมิตที่ใหญ่ คนนี้ตัวเล็กก็จริง แต่ไม่เคยขออะไรเล็กๆ ที่คริสตจักร พี่ป๊อบดูแลด้านจิตวิญญาณให้กับกลุ่มเด็ก กลุ่มอนุชน และยังมีกลุ่มลุงป้าน้าอาอีกต่างหาก พันธกิจด้านการสอน การอบรมเลี้ยงดู การเยี่ยมเยียน การหนุนใจ การนำบุตรน้อยหลงหายกลับบ้าน จึงเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติอย่างจริงจัง และบ่อยครั้งก็ต้องช่วยบริหารจัดการงานของคริสตจักรด้วย
พี่ป๊อบเคยมีคำถามว่า ทำไมพระเจ้าใช้พี่ป๊อบเยอะจัง ซึ่งฉันเชื่อว่าพี่ป๊อบได้รับคำตอบแล้ว…พระเจ้าทรงโปรดปรานผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อและถ่อมใจ ซึ่งคุณสมบัติเช่นนี้ มีอยู่ในพี่ป๊อบ
พี่ป๊อบทำให้ฉันนึกถึง พระธรรมฮีบรู 4:16 ซึ่งชีวิตของพี่ป๊อบฉายแสงสำแดงพระคริสต์เช่นนั้นจริงๆ พระป๊อบมีใจกล้า เข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณของพระเจ้า พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง พอใจที่จะเดินตามมรรคาขององค์พระเจ้า ยกย่องให้พระองค์เป็นเอกแต่เพียงผู้เดียว
[ฮบ.4:16 ฉะนั้นขอให้เราทั้งหลาย จงมีใจกล้าเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณ เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะได้รับพระคุณที่จะช่วยเราในขณะที่ต้องการ]
กลอน : พระที่นั่งแห่งพระคุณ
จงใจกล้าเข้ามาถึงพระที่นั่ง พระที่นั่งแห่งพระคุณเพื่อเราทั้งหลาย
จะได้รับพระเมตตาจอมเจ้านาย รับพระคุณที่ช่วยได้ขณะต้องการ
พระเจ้าประสงค์จะรื้อฟื้นการกลับใจ ทรงมุ่งหวังให้เปลี่ยนใหม่อย่างกล้าหาญ
ผู้รับใช้ที่ถ่อมใจทรงโปรดปราน ผู้รับใช้ซึ่งนมัสการด้วยสุดใจ

รักเรียนรู้ฐานะที่แท้จริง ไม่เย่อหยิ่ง ไม่จองหอง แต่จำนน
ไม่เกียจคร้าน ไม่หลอกหลวง ไม่ช่างบ่น หากอดทน บังคับตน สู่หลักชัย
ถ่อมใจลงก้าวไปสู่ ซึ่งฤทธิ์เดช ไร้ขอบเขต สิทธิอำนาจ ประกาศกล้า
เข้ามาถึงพระที่นั่งกรุณา ด้วยใจกล้า รับพระสัญญาของพระองค์
ทุกวันนี้ พี่ป๊อบจะออกเดินทางจากเมืองตราดทุกวันพุธ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง มากรุงเทพฯ นอนพักกายพักใจยามค่ำคืนที่บ้านอาจารย์น้อย เรียนพระคัมภีร์ตลอดครึ่งเช้าในวันพฤหัส เดินทางมาเรียนภาษาอังกฤษที่ BSC ในช่วงบ่ายถึงค่ำ สามัคคีธรรมกับพี่อิ๋วและฉันยามค่ำคืน และเรียนภาษาอังกฤษอีกครั้งในวันศุกร์ เดินทางกลับเมืองตราดในช่วงกลางคืน กว่าจะกลับถึงเมืองตราดก็เป็นช่วงต้นของเช้าวันเสาร์…จึงขอฝากพี่ป๊อบไว้ในอ้อมรักของพี่น้อง ระลึกถึงพี่ป๊อบและคริสตจักรตราดในคำอธิษฐานด้วยนะคะ
สิ่งที่เขียนมาทั้งหมดนี้ มิได้ปรารถนาจะเยินยอผู้ใด มากไปกว่าความปรารถนาที่จะถวายเกียรติพระองค์ พระเจ้าพระบิดาผู้ยิ่งใหญ่ของเรา