Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2552

อย่าละเลยแขกแปลกหน้า

อย่าละเลยแขกแปลกหน้า
วันที่ 24/3/2009
หนังสือ “พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดีต่อฉัน” ซึ่งเรียบเรียงโดย ศบ.สมศักดิ์ จิตรุ่งเรืองนิจ คจ.อันติโอเกีย สวนมะลิ กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า เมื่อพระวิญญาณทรงเจิมหรือเทฤทธิ์เดชมาสู่ผู้ใด บุคคลนั้นจะมีผลชีวิต 3-4 เรื่องที่พบได้ คือ
1. มีความปิติยินดี และจิตใจพักผ่อนสบายกับพระเจ้า
2. หลงรักพระเยซูมากๆ
3. หิวกระหายอยากอ่านพระคัมภีร์
4. อดใจไม่ได้ ต้องพูดเรื่องพระเจ้าออกไป
ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงเทฤทธิ์เดชลงมายังบุตราบุตรีของพระองค์ และเราเริ่มเห็นสิ่งนี้มากขึ้นและมากขึ้น ครูเป้ก็เป็นอีกผู้หนึ่งซึ่งมีอาการข้างต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อที่ 4 เนื่องจากครูเป้อดใจไม่ได้เลยที่จะประกาศเรื่องราวพระกิตติคุณ ล่าสุดได้ขออนุญาตจากคริสตจักรในการเปิดสอนภาษาอังกฤษฟรีให้กับผู้สนใจ ทุกเช้าวันอาทิตย์ลูกศิษย์ลูกหาจึงพบกับครูเป้ได้ ตั้งแต่เวลา 9.30-10.30 น. ซึ่งนักศึกษาจำนวนหนึ่งก็จะตามครูเป้ขึ้นไปนมัสการที่คริสตจักรและใช้เวลาช่วงบ่ายทานข้าวและสามัคคีธรรมร่วมกัน
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันมองเข้าไปในห้องเรียนของครูเป้ พบว่ามีนักศึกษาจำนวนมากทีเดียว และตอนช่วงรับประทานอาหาร ครูเป้ก็นั่งทานข้าวล้อมรอบไปด้วยนักศึกษาจำนวนหนึ่ง ฉันมีโอกาสเข้าไปทานข้าวด้วย ครูเป้จึงได้เผยความในใจออกมาว่า อยากให้นักศึกษาได้รู้จักพี่น้องในคริสตจักรบ้าง ไม่ใช่รู้จักเพียงครูเป้เท่านั้น และครูเป้ก็ปรารถนาให้พี่น้องไปช่วยเป็นพยานในห้องเรียนบ้าง ฉันก็เห็นด้วยกับความคิดของครูเป้นะ แต่ก็ถามไปอย่างหนึ่งว่า แล้วครูเป้บอกใครหรือเปล่าล่ะว่าครูเป้กำลังทำอะไรอยู่ และที่สำคัญคือ ครูเป้ได้ทูลปรึกษากับพระเจ้าหรือยัง และครูเป้ได้ขอคนงานจากพระองค์หรือเปล่า ครูเป้ก็ตอบว่า “เออ พี่ยังไม่เคยขอคนงานเลย” นั่นแหละคือหน้าที่ของครูเป้ ส่วนเรื่องอื่น พระเจ้าจะทรงนำและกระทำการของพระองค์เอง [ฟป.1:6 ข้าพเจ้าแน่ใจว่าพระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีไว้ในพวกท่านแล้ว จะทรงกระทำให้สำเร็จจนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์] ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ขอได้รับการหนุนใจให้อธิษฐานเผื่อครูเป้ด้วยนะคะ
เรื่องราวของครูเป้ทำให้ฉันระลึกถึงพระคัมภีร์ข้อนี้ขึ้นมาทันที [ฮบ.13:2 อย่าละเลยที่จะต้อนรับแขกแปลกหน้า เพราะว่าโดยการกระทำเช่นนั้น บางคนก็ได้ต้อนรับทูตสวรรค์โดยไม่รู้ตัว] พระเจ้าทรงเรียกครูเป้ และครูเป้มีหัวใจของผู้รับใช้อย่างเต็มขนาด ไม่ละเลยผู้อื่น ปรารถนาให้คนแปลกหน้าหรือแม้แต่หน้าแปลก (อุ้ย! เกี่ยวไหมเนี่ย) ได้รับความรอด ครูเป้ต้อนรับแขกมิใช่แค่ด้วยอาหารธรรมดา แต่เป็นอาหารแห่งชีวิตซึ่งได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า มิได้ต้อนรับด้วยน้ำธรรมดาเท่านั้น แต่เป็นการต้อนรับด้วยน้ำธำรงชีวิตจากองค์พระผู้เป็นเจ้า มิได้ต้อนรับด้วยการให้ความรู้ตามธรรมดาโลกเท่านั้น แต่ต้อนรับด้วยความรู้เรื่องของพระเจ้า และพี่น้องเหล่านั้นจะมีความรู้เรื่องของพระเจ้าดั่งน้ำที่มีอยู่เต็มทะเล [ฮบก.2:14 เพราะว่าพิภพจะเต็มไปด้วย ความรู้ในเรื่องพระสิริของพระเจ้า ดังน้ำที่เต็มทะเล]
การให้ในแบบที่โลกให้นั้น หลายครั้งก็น่ากลัวทีเดียว เพราะเป็นการให้ที่ต้องการผลตอบแทน ทำให้บางครั้งเราต้องระมัดระวังตัวเสมอในการที่จะรับสิ่งใดจากผู้อื่น [สุภาษิต 23:6-7 อย่ากินอาหารของคนที่ตระหนี่ อย่าปรารถนาของโอชะของเขา7เพราะเขาเป็นเหมือนคนที่คอยนับอยู่ข้างใน เขาพูดกับเจ้าว่า "จงกินและดื่มเถิด" แต่ใจของเขามิได้อยู่กับเจ้า] ต่างจากการให้ที่เกิดขึ้นในบุคคลฝ่ายวิญญาณ เพราะการให้ของเขาและเธอนั้น เป็นการให้ที่บริสุทธิ์ เขาและเธอได้มาเปล่าๆ ก็ให้ออกไปเปล่าๆ มิได้ปรารถนาสิ่งใดมากไปกว่าการถวายเกียรติแด่พระบิดา
เราทั้งหลายจึงมิต้องแสวงหาบำเหน็จบนโลกใบนี้ เนื่องจากเรามีบำเหน็จที่ยิ่งใหญ่บนสวรรค์รอคอยเราอยู่ [มธ.6:19-20 "อย่าส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในโลก ที่อาจเป็นสนิมและที่แมลงกินเสียได้ และที่ขโมยอาจขุดช่องลักเอาไปได้ แต่จงส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ ที่ไม่มีแมลงจะกินและไม่มีสนิมจะกัด และที่ไม่มีขโมยขุดช่องลักเอาไปได้] เราไม่จำเป็นต้องอวดอ้างในสิ่งที่เราได้ทำเพื่อพระเจ้า แต่เราจะอวดอ้างในสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำเพื่อเรา [สดด.20:7 บ้างก็โอ้อวดเรื่องรถรบ บ้างก็เรื่องม้า แต่เราอวดเรื่องพระนามพระเจ้าของเรา]
มนุษย์ได้รับการสร้างตามพระฉายาของพระเจ้าด้วยความรัก มนุษย์เป็นผู้ที่พระองค์ทรงรักยิ่งนัก ทรงรักทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้น เราในฐานะลูกคนหนึ่งของพระองค์ซึ่งรักพระองค์นั้น จึงได้รับการดลใจจากภายในให้รักเพื่อนมนุษย์ด้วยเช่นกัน [มธ 25:31-40 31"เมื่อบุตรมนุษย์ทรงพระสิริเสด็จมากับทั้งหมู่ทูตสวรรค์ เมื่อนั้นพระองค์จะประทับบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองของพระองค์ 32บรรดาประชาชาติต่างๆจะประชุมพร้อมกันต่อพระพักตร์พระองค์ และพระองค์จะทรงแยกมนุษย์ทั้งหลายออกเป็นสองพวก เหมือนอย่างผู้เลี้ยงแกะจะแยกแกะออกจากแพะ 33ส่วนฝูงแกะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ แต่ฝูงแพะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องซ้าย 34ขณะนั้น พระมหากษัตริย์จะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า "ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักร ซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก 35เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านทั้งหลายก็ได้จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้ 36เราเปลือยกายท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วยท่านก็ได้มาเยี่ยมเอาใจใส่เรา เมื่อเราต้องจำอยู่ในพันธนาคาร ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา" 37เวลานั้นบรรดาผู้ชอบธรรมจะกราบทูลว่า "พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำ และได้จัดมาถวายแด่พระองค์แต่เมื่อไร 38ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลก หน้า และได้ต้อนรับไว้ หรือเปลือยพระกาย และได้สวมฉลองพระองค์ให้แต่เมื่อไร 39ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวรหรือต้องจำอยู่ในพันธนาคาร และได้มาเฝ้าพระองค์นั้นแต่เมื่อไร" 40แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสกับเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย"

วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2552

ขึ้นสู่ที่สูง

ขึ้นสู่ที่สูง
วันที่ 24/3/2009
เมื่อเราถวายตัวรับใช้พระเจ้า นั่นหมายความว่า เราจะมิได้มีชีวิตอยู่เพื่อตนเองอีกต่อไป แต่มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า และการจะมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้านั้น จำเป็นอยู่เองที่จะต้องต่อสู้ ฟันฝ่า ป่ายปีนขึ้นไปสู่ที่สูง บากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัล ซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน ให้เราไปรับ [ฟป.3:14]
การขึ้นสู่ที่สูงในที่นี้จึงมิได้หมายถึงการยกตัวเองให้สูงหรือการทำตัวให้เด่นแต่ประการใด แต่ตรงกันข้าม คือการที่เราจะถ่อมใจลงมากขึ้น น้อมยอมใจฟังพระเจ้า และเห็นว่าผู้อื่นดีกว่าตัวเสมอ [รม.12:10 จงรักกันฉันพี่น้อง ส่วนการที่ให้เกียรติแก่กันและกันนั้น จงถือว่าผู้อื่นดีกว่าตัว]
การขึ้นสู่ที่สูง หมายถึงการต้องเผชิญกับบางสิ่งบางอย่างที่ท้าทายมากขึ้นกว่าครั้งใดๆ ที่ผ่านมาของชีวิต ซึ่งกินความกว้างทั้งในเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว และเรื่องของบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องกับเรา ตลอดจนสถานการณ์ต่างๆ ทั้งในระดับใกล้และไกล
เมื่อหัวใจของเราเต็มล้นไปด้วยความรักในองค์พระผู้เป็นเจ้า เราย่อมสามารถยอมจำนนทุกสิ่งต่อพระองค์ได้ เราสามารถขึ้นสู่ที่สูงได้ เราสามารถเชื่อฟังพระองค์ทุกอย่างได้ ซึ่งความเชื่อและการเชื่อฟังนี่แหละที่ทำให้เราเป็นคนชอบ
ธรรม และคนชอบธรรมนี่แหละที่จะด้อยลงเพื่อเข้าสู่เป้าหมายของพระองค์ [ยน.3:30 พระองค์ต้องทรงยิ่งใหญ่ขึ้น แต่ข้าพเจ้าต้องด้อยลง ]
การขึ้นสู่ที่สูงมิได้จำกัดอยู่เฉพาะด้านกายภาพเท่านั้น หากหมายถึงการก้าวสู่ความเติบโตทางด้านจิตวิญญาณในระดับที่ลึกซึ้งมากขึ้น เพราะหากว่าร่างกายอ่อนกำลัง จิตใจอ่อนแอ จิตวิญญาณอ่อนล้า ก็คงมิสามารถขึ้นสู่ที่สูงได้ แต่หากว่า ร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณของเราแข็งแกร่ง ก็จะนำความจำเริญมาสู่ชีวิตการรับใช้ ซึ่งเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า
จิตวิญญาณซึ่งจะขึ้นสู่ที่สูงได้อย่างปลอดภัย จำเป็นต้องรับการชำระโดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ต้องยอมรับความบาปผิดของตน พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลง เพื่อที่จะบริสุทธิ์ปราศจากตำหนิ [คส.1:22 บัดนี้พระองค์ทรงโปรดให้คืนดีกับพระองค์ โดยความตายแห่งพระกายเนื้อหนังของพระองค์ เพื่อจะได้ถวายท่านแด่พระเจ้าให้เป็นผู้บริสุทธิ์ไร้มลทิน และปราศจากตำหนิ]
หากว่าวันนี้เราต้องเผชิญกับการต่อสู้ทั้งฝ่ายฝ่ายวิญญาณและฝ่ายโลก ซึ่งเป็นเหตุให้ร่างกายอ่อนกำลัง จิตใจอ่อนแอ หรือจิตวิญญาณอ่อนล้า ขอได้รับกำลังและการหนุนจิตชูใจจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
ขอให้ท่านมีกำลังและความยินดีมากขึ้น [คส.1:11 ขอให้ท่านมีกำลังมากขึ้นทุกอย่างโดยฤทธิ์เดชแห่งพระสิริของพระองค์ ขอให้ท่านมีความทรหดที่สุด และความอดทนไว้นานด้วยความยินดี]
ขอให้ท่านอย่าได้ท้อใจ [สภษ.24:10 ถ้าเจ้าท้อใจในวันเคราะห์ร้าย กำลังของเจ้าก็น้อย]
[กท.6:9 อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเกี่ยวเก็บในเวลาอันสมควร]
ขอให้ท่านเข้มแข็งและกล้าหาญ [ฉธบ.31:6] จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิดอย่ากลัวหรืออย่าครั่นคร้ามเขาเลย เพราะว่าผู้ที่ไปกับท่านคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน พระองค์จะไม่ทรงปล่อยท่านให้ล้มเหลวหรือทอดทิ้งท่านเสีย"
ขอให้ท่านลุกขึ้นทุกครั้ง [สภษ.24:16 เพราะคนชอบธรรมล้มลงเจ็ดครั้งแล้วก็ลุกขึ้นอีก แต่คนชั่วร้ายจะถูกความลำบากยากเย็นคว่ำลง]
ขอให้ท่านผจญกับทุกสิ่งได้ [ฟป.4:13 ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า]
พระเจ้าทรงนำท่านขึ้นสู่ที่สูง
ขึ้นสู่ที่สูงด้วยการข้ามแม่น้ำจอร์แดน [ยรม.12:5 "ถ้าเจ้าวิ่งแข่งกับมนุษย์ และเขาทำให้เจ้าเหน็ดเหนื่อย เจ้าจะแข่งกับม้าได้อย่างไร และถ้าเจ้ายังล้มลงในแผ่นดินที่ปลอดภัย เจ้าจะทำอย่างไรในดงลุ่มแม่น้ำจอร์แดน]
ขึ้นสู่ที่สูงด้วยการบินไปเหมือนนกอินทรี [อสย.40:29-31 พระองค์ประทานกำลังแก่คนอ่อนเปลี้ย และแก่ผู้ที่ไม่มีกำลัง พระองค์ทรงเพิ่มแรง แม้คนหนุ่มๆจะอ่อนเปลี้ยและเหน็ดเหนื่อย และชายฉกรรจ์จะล้มลงทีเดียว แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระเจ้าจะเสริมเรี่ยวแรงใหม่ เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี เขาจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย เขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย]
ขึ้นสู่ที่สูงด้วยการกระโดดข้ามกำแพง [สดด.18:29 พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ตะลุยกองทัพได้โดยพระองค์และโดยพระเจ้าของข้าพเจ้านี้ ข้าพเจ้าสามารถกระโดดข้ามกำแพงได้]
ขึ้นสู่ที่สูงด้วยการทลายภูเขา [อสย.45:2 "เราจะไปข้างหน้าเจ้า และปราบภูเขาให้ราบลง เราจะพังประตูทองสัมฤทธิ์ให้เป็นชิ้นๆ และตัดลูกกรงเหล็กให้ขาด]
ขึ้นสู่ที่สูงด้วยเท้าอย่างตีนกวางตัวเมีย [ฮบก.3:17-19 แม้ต้นมะเดื่อไม่มีดอกบาน หรือเถาองุ่นไม่มีผล ผลมะกอกเทศก็ขาดไป ทุ่งนามิได้เกิดอาหาร ฝูงสัตว์ขาดไปจากคอก และไม่มีฝูงวัวที่ในโรง ถึงกระนั้นข้าพเจ้าจะร่าเริงในพระเจ้า ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า พระเยโฮวาห์คือองค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นกำลังของข้าพเจ้า พระองค์ทรงกระทำเท้าของข้าพเจ้าเหมือนอย่างตีนกวางตัวเมีย พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้าเดินไปบนที่สูงทั้งหลายของข้าพเจ้า]
เราสามารถขึ้นสู่ที่สูงได้ด้วยชัยชนะอันสง่างามโดยการรับพระคุณของพระเจ้า สวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระองค์ สวมทับด้วยความรัก สวมจิตวิญญาณแห่งการนมัสการและสรรเสริญ [สดด.9:11 จงร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ผู้ซึ่งประทับในศิโยนจงบอกเล่าถึงพระราชกิจของพระองค์ ในท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย]
พระองค์เจ้าข้า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และสูงสุด พระผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ …โดยพระองค์นั้น เราทั้งหลายจะไม่กลัวที่สูงอีกต่อไป แต่เราทั้งหลายจะขึ้นสู่ที่สูง สูงที่สุดตามการทรงเรียกของพระองค์ในชีวิตของเราแต่ละคน พระองค์เจ้าข้า เรารู้ว่าพระองค์ทรงรักเราแต่ละคนมาก แม้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างนั้น ตาของเราจะมองไม่เห็น หูของเราจะไม่ได้ยิน และเราก็คาดคิดไม่ถึง แต่เราเชื่อและวางใจองค์เยโฮวาห์ ยิเรห์ ว่าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับเราทั้งหลายซึ่งรักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลดีในทุกสิ่ง พระองค์เจ้าข้า เราเล็กน้อยและยากจน ในขณะที่พระองค์ทรงยิ่งใหญ่และโอ่อ่ามั่งคั่ง แต่เราขอถวายกาย ใจ จิตวิญญาณเพื่อเป็นเครื่องบูชาแด่พระองค์ พระองค์เจ้าข้า ทั้งสิ้นที่เรามีนั้น เราเทออกมาเพื่อนมัสการพระองค์ เพื่อรับใช้พระองค์ โดยพระองค์ และเพื่อพระองค์…เพื่อพระองค์เพียงองค์เดียว
[ยด.1:24 (24,25) ขอพระเกียรติ พระอานุภาพ ไอศวรรย์ และศักดานุภาพ จงมีแด่พระองค์ผู้ทรงสามารถคุ้มครองรักษาท่านมิให้ล้ม และทรงนำท่านให้ตั้งอยู่เฉพาะพระสิริของพระองค์ ให้ปราศจากตำหนิ และมีความร่าเริงยินดี คือแด่พระเจ้าองค์เดียว พระผู้ช่วยให้รอดของเรา โดยพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ทั้งในอดีตกาล ปัจจุบันกาล และในกาลต่อๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน]

วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2552

มาลัยแทนขี้เถ้า

วันที่ 10/3/2009
เมื่อวานนี้พี่อิ๋วทำให้ตื่นเต้นด้วยการส่งหนังสือ “มาลัยแทนขี้เถ้า” มาให้ถึงที่ทำงาน แค่นึกถึงคนที่มาส่งหนังสือก็ตื่นเต้นแล้ว ฉันและเขาไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เขาขึ้นมาถึงชั้น 6 ที่ฉันทำงานอยู่ ซึ่งชั้น 6 นี้มีหลายคนนั่งอยู่ แต่เขาเดินตรงรี่มาที่ฉันและยื่นหนังสือให้ และเดินจากไปโดยที่ฉันยังไม่ได้ขอบคุณด้วยซ้ำ ฉันจึงรีบโทรไปขอบคุณพี่อิ๋วและถามด้วยว่าเอารูปของฉันให้คนส่งหนังสือหรือบรรยายลักษณะฉันให้เขาฟังหรือเปล่า ทำไมเขาจึงส่งถูกคน พี่อิ๋วก็บอกว่าเปล่าเลย แต่พี่มีความตั้งใจมอบหนังสือเล่มนี้ให้น้องมาก เพื่อเป็นพระพรต่อน้องและผู้อื่นด้วย…ขอบคุณพระเจ้า
“มาลัยแทนขี้เถ้า” ฉันชอบคำนี้มากเลย มันเป็นอะไรที่ตรงข้ามกันมาก เล็งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงแบบสุดๆ หากคุณเคยเผาหรือเห็นใครเผาอะไรก็ตาม เมื่อเผานานๆ จนได้ที่ สิ่งนั้นจะกลายเป็นขี้เถ้า และบางคราวก็ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งแถมมาด้วย เฉกเช่นเดียวกับชีวิตของคนเรา หากว่าถูกทอดทิ้ง ถูกซ้ำเติม ถูกปฏิเสธ ถูกต่อต้าน เหยียบย่ำ ขยำขยี้ยับเยิน ถูกทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจ ถูกปัญหานานาประดังรุมเร้า ร่างกายแทบสลาย หัวใจแตกละเอียด ก็จะเป็นเหตุให้ผู้นั้นรู้สึกว่าตนต่ำต้อย สกปรกเปรอะเปื้อน บางคนก็ถึงกับสะอิดสะเอียนตนเอง สิ้นเนื้อประดาใจ รู้สึกเหมือนเศษธุลีไร้ค่า ประดุจดังขี้เถ้าในกองดิน และเมื่อฝนโปรยปรายหรือสายลมพัดผ่าน ขี้เถ้านั้นก็พลันหายไปกับสายฝนและสายลม ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว…โอ หากชีวิตคนเราเปรียบเหมือนขี้เถ้าก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆ …แต่ หยุดก่อนนะ (stop, please) อย่าเพิ่งท้อแท้ เพราะว่าแท้จริงแล้วชีวิตคนเราหาเป็นเช่นนั้นไม่ เนื่องจากเรามีองค์ตรีเอกานุภาพผู้ยิ่งใหญ่ มีพระเจ้าพระบิดาบนสวรรค์ มีพระเยซูคริสต์องค์อัศจรรย์ มีพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สัพพัญญู เรามีพระเจ้าเป็นผู้สร้างเรา เป็นผู้เลี้ยงดูเรา เป็นผู้ไถ่เราจากความบาปชั่วร้าย เป็นผู้ช่วยกู้เราจากหลุมเลนตมอันน่าสลด ประทานมาลัยประเสริฐให้กับเรา นำเราออกจากสุสานเข้าสู่ศักดิ์ศรีอันทรงเกียรติเป็นนิรันดร์ โดยความโปรดปรานของพระองค์
[อสย.61:1-3] พระวิญญาณแห่งพระเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังผู้ที่ทุกข์ใจ พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาให้เล้าโลมคนที่ชอกช้ำระกำใจ และร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย และบอกการเปิดเรือนจำออก ให้แก่ผู้ที่ถูกจำจอง เพื่อประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า และวันแห่งการแก้แค้นของพระเจ้าของเรา เพื่อเล้าโลมบรรดาผู้ที่ไว้ทุกข์ เพื่อจัดให้บรรดาผู้ที่ไว้ทุกข์ในศิโยน เพื่อประทานมาลัยแทนขี้เถ้าให้เขา น้ำมันแห่งความยินดีแทนการไว้ทุกข์ ผ้าห่มแห่งการสรรเสริญแทนจิตใจที่ท้อถอย เพื่อคนจะเรียกเขาว่าต้นก่อหลวงแห่งความชอบธรรมที่ซึ่งพระเจ้าทรงปลูกไว้เพื่อพระองค์จะทรงสำแดงพระสิริของพระองค์
“มาลัยแทนขี้เถ้า” หรือที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Beauty for Ashes” เป็นหนึ่งในผลงานหลายชิ้นของ Joyce Meyer ซึ่งแปลโดย ประพันธ์ หน่อราช เป็นหนังสือเล่มล่าสุดที่ฉันกำลังอ่านอยู่ …ฉันอ่านหนังสือของ Joyce มาหลายเล่มแล้ว ซึ่งแต่ละเล่มก็นำพระพรมากมายมาสู่ชีวิต…Joyce เป็นผู้หนึ่งที่จมอยู่กับกองทุกข์และความขมขื่นมาหลายปีดีดัก แต่พระเจ้าทรงฤทธิ์สามารถพิชิตความร้าวราน นำการเยียวยาสมานแผลด้วยพระคุณและความรักอันล้ำลึกของพระองค์ Joyce ถูกล่วงละเมิดทางเพศตั้งแต่เด็กมาเป็นเวลาหลายปี แต่ฉันเพิ่งมารู้ในหนังสือเล่มนี้เองว่าผู้ที่ล่วงละเมิดเธอคือพ่อบังเกิดเกล้าของเธอนั่นเอง ฉันพอจะเข้าใจความรู้สึกของเธอบ้าง เพราะฉันเองนั้นถูกพ่อทำร้ายร่างกายเมื่อครั้งยังเด็กเช่นกัน แต่ขอบคุณพระเจ้าที่พ่อไม่ได้ทำอะไรที่เลวร้ายไปมากกว่านั้น ลองคิดดูสิว่า “พ่อ” ซึ่งควรจะเป็นต้นกำเนิดแห่งความรักในบ้าน พ่อซึ่งควรจะเป็นผู้ที่รัก ห่วงใย และเข้าใจลูกมากที่สุด แต่ “พ่อ” กลับเป็นผู้ที่สร้างความขมขื่นให้กับลูก…ขณะที่ฉันเขียนเรื่องนี้นั้น ฉันได้รับการเยียวยาจากพระเจ้าแล้ว พระองค์ทรงทำการเยียวยาจิตใจของฉันสำหรับเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว…ขอบคุณพระเจ้า
ชีวิตของ Joyce ก็ไม่ต่างจากขี้เถ้า ซึ่งไร้ค่าน่าเวทนา ถูกล่วงละเมิดทางเพศ ถูกทำร้ายทางร่างกาย ถูกทำร้ายด้วยคำพูด ถูกทำร้ายจิตใจ ถูกทำร้ายอารมณ์ความรู้สึกตั้งแต่จำความได้เรื่อยมา ถูกผู้ชายหลายๆ คนทำร้ายในขณะยังเด็ก ถูกปฏิเสธ ถูกทอดทิ้ง ถูกทรยศ หย่าร้าง และแท้งลูก Joyce จึงเข้าใจดีถึงอารมณ์ความรู้สึกของนักโทษซึ่งจมปลักอยู่ในกองขี้เถ้า แต่โดยพระคุณพระเจ้า Joyce ได้รับชีวิตใหม่ ได้รับชีวิตที่รุ่งโรจน์ ได้รับมาลัยซึ่งประทานจากองค์พระคริสต์…”มาลัยแทนขี้เถ้า”
[อสย.61:10]
ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์อย่างยิ่งในพระเจ้า จิตใจของข้าพเจ้าจะลิงโลดในพระเจ้าของข้าพเจ้า เพราะพระองค์ได้ทรงสวมข้าพเจ้าด้วยเสื้อผ้าแห่งความรอด พระองค์ทรงคลุมข้าพเจ้าด้วยเสื้อแห่งความชอบธรรม อย่างเจ้าบ่าวประดับตัวด้วยพวงมาลัย และอย่างเจ้าสาวตกแต่งตัวด้วยเพชรนิลจินดา
ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้ได้ไม่กี่หน้าเอง แต่รู้สึกประทับใจมาก จนไม่อาจเก็บเอาไว้เพียงผู้เดียว ฉันปรารถนาให้พี่ น้องได้อ่าน “มาลัยแทนขี้เถ้า” พร้อมทั้งใคร่ครวญ อิสยาห์บทที่ 61 ไปด้วย แล้วพระพรมากมายจะหลั่งไหลสู่ชีวิตเรา
[2ทธ.2:5] นักกีฬาจะมิได้สวมพวงมาลัยถ้าเขาไม่แข่งขันตามกติกา
กติกานั้นมีอยู่เพียงว่า เราจะยอมละทิ้งขี้เถ้าและรับมาลัยจากพระคริสต์เจ้าหรือไม่ ! เท่านั้น
แถมท้ายด้วยบทเพลง “Beauty for Ashes” โดย The hottest songs from Crystal Lewis
Song: Beauty for Ashes
He gives beauty for ashes
Strength for fear
Gladness for mourning
Peace for despair

When sorrow seems to surround you
When suffering hangs heavy over your head
Know that tomorrow brings
Wholeness and healing
God knows your need
Just believe what He said

He gives beauty for ashes
Strength for fear Gladness for mourning
Peace for despair

When what you’ve done keeps you from moving on
When fear wants to make itself at home in your heart
Know that forgiveness brings
Wholeness and healing
God knows your need
Just believe what He said

He gives beauty for ashes
Strength for fear Gladness for mourning
Peace for despair

I once was lost but God has found me
Though I was bound I’ve been set free
I’ve been made righteous in His sight
A display of His splendor all can see

He gives beauty for ashes
Strength for fear Gladness for mourning
Peace for despair

แถมท้ายอีกนิดด้วย “มาลัยแทนขี้เถ้า” โดย เบราคาห์
อันขี้เถ้าแต่เก่าก่อนทรงซ่อนไว้
ซ่อนการละเมิดไว้ด้วยกรุณา
จากดำมืด ก็สว่างงามสง่า
จากไร้ค่า ก็ล้ำเลิศและทรงคุณ
ขอบพระคุณ มาลัยแทนขี้เถ้า
ขอบพระคุณ จากสิ่งเก่าทรงเปลี่ยนใหม่
ตัวตนเก่า เรื่องราวเก่า ผ่านพ้นไป
รับพระพร รับมาลัย จากพระองค์

วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2552

นิมิตใหม่….ใหม่ ใหม่ ใหม่

นิมิตใหม่….ใหม่ ใหม่ ใหม่
วันที่ 4/3/2009
คริสตจักรจำเป็นต้องมีความสัมพันธ์เป็นพื้นฐาน ในพระคัมภีร์ใหม่ มีตอนหนึ่งในจำนวนหลายตอนที่สั่งให้เราสละชีวิตเพื่อกันและกัน เสริมสร้างกันและกัน รับภาระของกันและกัน มีใจอ่อนสุภาพต่อกันและกัน เตือนสติกันและกัน ซึ่งการแบ่งปันชีวิตต่อกันและกันไม่ใช่เพียงแค่ในการนมัสการ แต่เป็นทุกๆ วัน ให้เรายึดคำสั่งที่ให้เรารับภาระของกันและกัน และทำตามพระบัญญัติของพระคริสต์ให้สำเร็จ มันหมายถึงการที่คนๆ หนึ่งรู้จักคนอื่นๆ ในคริสตจักร พอที่จะรู้ว่าเขาไม่สบาย หรือคนหนึ่งๆ รู้สึกไว้ใจที่จะแบ่งปันสิ่งที่เกิดขึ้นในส่วนลึกเมื่อเขากำลังปวดร้าว (ที่มา หนังสือคริสตจักรตามบ้าน โดย เฟลิซิตี้ เดล)
คริสตจักรนิมิตใหม่ เป็นที่ซึ่งทำให้ฉันได้นมัสการพระเจ้า แบ่งปันและหนุนใจกันและกัน และความสัมพันธ์ของพี่น้องก็มิได้หยุดเพียงแค่ที่คริสตจักร หรือจำกัดเจาะจงอยู่เฉพาะในวันอาทิตย์ หากว่าเป็นความสัมพันธ์ในสายเลือดเดียวกัน คือในองค์พระเยซูคริสต์ ที่เรานั้นสามัคคีธรรมกันได้ทุกวัน ด้วยว่าวิวัฒนาการของการสื่อสารที่เร็วกระชับฉับไวนั่นเอง ฉันได้พบพระพรอันสดใหม่ยิ่งๆ ขึ้นทุกๆ วัน ในคริสตจักรแห่งนี้
ฉันรับเชื่อเมื่อปลายปี 2000 และต้นปี 2001 ได้ไปศึกษาต่อ ทำให้ขาดการนมัสการที่คริสตจักรเป็นเวลากว่า 2 ปี เมื่อเรียนจบแล้ว ในปี 2004 ได้เปลี่ยนงานไปทำที่สุขุมวิท ซอย 10 เป็นเหตุให้ย้ายตัวเองไปนมัสการที่ ECB ตั้งแต่นั้นมา แต่สายสัมพันธ์ที่มีอยู่ในคริสตจักรแม่ก็ยังคงไม่ขาดหาย ฉันยังโผล่ไปนมัสการที่นิมิตใหม่บ้างในบางครั้ง จนกระทั่งได้เปลี่ยนงานอีกครั้ง ทั้งยังได้เปลี่ยนที่อยู่อีกต่างหาก และมีปัจจัยบางประการ ทำให้ฉันได้กลับมานมัสการที่นิมิตใหม่อีกครั้ง เมื่อปลายปี 2007 หากจะถามว่ากลับมาได้อย่างไร ก็ขอบอกว่าพระเจ้าทรงนำ ทรงนำฉันกลับมาอย่างน่าตื่นเต้นทีเดียว แต่ฉันไม่ขอเล่าในที่นี้
ในช่วงแรกที่กลับมาก็ได้เรียนรวีวารศึกษาก่อนการนมัสการเช้าวันอาทิตย์กับ ศบ.พงษ์ศักดิ์ เป็นชั้นผู้รับใช้ ซึ่งเรียนเกี่ยวกับเอเฟซัส คุณๆ ท่านๆ ก็ทราบว่าเอเฟซัสนั้นตื่นเต้นและมันส์แค่ไหน…วันหนึ่ง ศบ.ถามฉันว่าจะอยู่โบสถ์ไหน จะอยู่ที่นิมิตใหม่หรือไม่ เอ่อ คือว่า ช่วงนั้นฉันยังผลุบๆ โผล่ๆ เป็นนินจาอยู่ เดี๋ยวก็มาเดี๋ยวก็ไป ECB ก็รัก นิมิตใหม่ก็รัก แล้วฉันจะทำอย่างไร แต่ก็ตอบ ศบ.ไปว่า ที่ไหนก็ได้ที่พระเจ้าจะทรงนำ ตามที่พระองค์ทรงเห็นว่าฉันจะสามารถรับใช้พระองค์ได้มากกว่าเดิม จากนั้น ประมาณต้นปี 2008 ฉันก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นชาวนิมิตใหม่เต็มตัว
กว่าขวบปีที่ผ่านมา ฉันได้พบเห็นการเปลี่ยนแปลงมากมายชนิดที่เรียกว่าพลิกฟื้นแผ่นดินเลยทีเดียว การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญนั้นเกิดจากหลายองค์ประกอบด้วยกัน แต่ที่ชัดเจนก็คือ การที่พี่เว้ง ซึ่งเป็นประธานมัคนายกของคริสตจักรได้ล้มป่วยลงด้วยอาการเส้นโลหิตในสมองแตก เมื่อปลายปี 2007 โดยพระเจ้าทรงเขย่าคริสตจักรด้วยเหตุการณ์นี้ พี่น้องมากมายร่วมใจกันอธิษฐานเผื่อพี่เว้ง กลุ่มรักพี่เว้งทั้งที่แสดงตัวและไม่แสดงตัวได้ร่วมใจกันอธิษฐานเผื่ออย่างร้อนรน แม้แต่คนที่ไม่ค่อยได้อธิษฐานเท่าไร ก็กลับใจเริ่มต้นอธิษฐาน ภาพเหล่านี้ไม่ชัดเจนนักในความทรงจำของฉัน เพราะตอนนั้นฉันยังไม่ได้มาโผล่ที่นิมิตใหม่ แต่ก็ทราบข่าวจากพี่ตุ๊กตา ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับฉัน ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร หัวใจคงแทบสลายเลยทีเดียว แต่เราได้เห็นพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าที่ยื่นมาปกป้องครอบครัวของหมอเว้งไว้ พี่อ้อยได้ฉายแสงมากขึ้นในที่ทำงาน คือ โรงพยาบาลสัตว์ฮาเลลูยาและในชีวิตการรับใช้ พี่อ้อยมีการเติบโตที่เข้มแข็งและกล้าหาญมากขึ้นในฝ่ายวิญญาณโดยส่วนตัว แต่ไม่เพียงเท่านั้น กลับกลายเป็นพระพรที่ไม่อาจเก็บไว้เพียงผู้เดียว เป็นพระพรที่หลั่งไหลไปสู่ผู้อื่นด้วย พี่อ้อยได้สานต่อเจตนารมณ์ของสามีในการที่สนองรับพระมหาบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ปรารถนาที่จะให้สมาชิกในคริสตจักรเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ เพื่อจะเป็นเหมือนพระคริสต์ให้มากที่สุด โครงการ The Call หรือที่เรียกภาษาไทยว่า โครงการถวายตัว จึงได้เริ่มขึ้นในปี 2008
“โครงการ The Call“ ประกอบด้วยสมาชิกจำนวนหนึ่งที่ปรารถนาจะถวายตัวรับใช้พระเจ้า ปรนนิบัติเพื่อนมนุษย์ ปรารถนาที่จะเป็นคนงานที่ใช้การได้ของพระองค์ สมาชิกได้รับการฝึกฝนและเรียนรู้จากศิษยาภิบาลและครูบาอาจารย์หลายท่าน อาทิ อาจารย์ประยูร ลิมะหุตะเศรณี ศจ.มนูญศักดิ์ กมลมาตยากุล อาจารย์หมอศึกษา เทพอารีย์ อาจารย์วรพงศ์ จริยพฤทธิพงศ์ ศจ. อานุภาพ วิชิตนันท์ อาจารย์ สุวรรณี ชวนศิริกุล อาจารย์ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ อาจารย์พงษ์ศักดิ์ อังศ์ธราธร
โครงการ The Call นี้ มิได้มีไว้สำหรับสมาชิกนิมิตใหม่เท่านั้น หากยังมีสมาชิกจากคริสตจักรอื่นๆ มาร่วมเรียนรู้ไปพร้อมกัน อีกทั้งสมาชิกที่ยังไม่ได้อยู่ในโครงการ The Call ก็มีส่วนในการอธิษฐานเผื่อ และบางครั้งก็ได้มาเรียนรู้ร่วมกันกับพวกเราด้วย
ณ วันนี้ คริสตจักรมีโครงการ The Call รุ่นที่ 2 แล้ว เพื่อฝึกฝนผู้เชื่อใหม่และคนรุ่นใหม่ไฟใหม่ (อายุไม่เกี่ยว) ให้รับใช้พระเจ้า ส่วนรุ่นที่ 1 หลายท่าน ก็ร้อนรนในการออกไปประกาศ ทำพันธกิจทั้งในและนอกคริสตจักรมากขึ้น เกิดการกล่าวขานกันทั่วไปทั้งวงการว่า “นิมิตใหม่ เปลี๋ยนไป๋” เกิดการฟื้นฟูอย่างมากมาย เกิดการพลิกฟื้นในแผ่นดินนิมิตใหม่
พระเจ้าทรงเปิดบัญชรฟ้าสวรรค์ของพระองค์ เทพระพรและการเจิมลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยสติปัญญาจากพระเจ้า ศบ.ได้รับบัญชาให้ตั้งทีมอธิษฐานขึ้นมา ซึ่งเรียกว่า “ทีมอธิษฐาน 24 หน่วย” ซึ่งพร้อมเสมอในการเข้าประจำการ ตลอด 24 ชั่วโมง คริสตจักรจำเป็นต้องมีนักอธิษฐานวิงวอนที่จะเขย่าสวรรค์เพื่อให้ได้สิ่งที่พระเจ้ากำลังทำกับคริสตจักรและกับประเทศของเรา เราต่อสู้ด้วยหัวเข่า ด้วยหัวใจที่ถ่อมลง เพื่อต่อต้านเทพผู้ครองและพลังอำนาจต่างๆ ที่จ้องกัดกิน ลัก ฆ่า และทำลาย แต่พลังแห่งความตายจะมีชัยเหนือคริสตจักรก็หามิได้
คริสตจักรนิมิตใหม่ร่วมกับสถาบันนักศึกษาแบ๊บติสต์ หรือ BSC ผนึกพลังประสานเพื่อการเพาะหว่านและเก็บเกี่ยว เป็นประภาคารที่ส่องแสงกลางทะเลแห่งความสิ้นหวังมืดมิด มิเพียงเท่านั้น ยังเกิดภาพการรวมพลังอย่างยิ่งใหญ่ระหว่างคริสตจักรและคริสตจักร โดยไม่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่มีการแบ่งคณะหรือนิกาย
คริสตจักรนิมิตใหม่เป็นนิเวศน์แห่งความรัก เป็นนิเวศน์แห่งการนมัสการ เป็นนิเวศน์แห่งการอธิษฐาน เป็นนิเวศน์แห่งการเติบโตฝ่ายวิญญาณด้วยพระคำอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ เป็นนิเวศน์แห่งความโปรดปรานในสายพระเนตรของพระองค์ ที่ซึ่งจะถวายเกียรติแด่พระองค์
พวกเราเชื่อในการอัศจรรย์ของพระเจ้า เราจดจ่อรอคอยพระองค์ รอคอยวันที่พระองค์จะทรงรักษาพี่เว้งของเราให้หายดี รอคอยวันที่พี่เว้งจะกลับมานำนมัสการ นำวิญญาณ และนำพระเกียรติทั้งหมดทั้งสิ้นถวายแด่พระองค์…แด่พระองค์ เพียงองค์เดียว

วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2552

ใช้หนี้

ใช้หนี้

วันที่ 3/3/2009

ในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำซบเซาทั่วโลก ในภาวะที่หลายคนหวั่นวิตกกับหน้าที่การงาน ในภาวะที่หลายคนเคร่งเครียดกับปัญหาที่รุมเร้าและต้องเผชิญกับข่าวร้าย แต่ในภาวะเช่นนี้เองที่คริสเตียนทั้งหลายจะต้องนิ่ง สงบ ไม่หวั่นเกรงต่อข่าวร้าย ทั้งยังมีใจจดจ่อคอยท่าพระเจ้า และพร้อมเสมอที่จะอุดช่องโหว่ต่างๆ เพื่อมิให้เรา ครอบครัวของเรา คริสตจักรของเรา สังคมของเรา ประเทศของเรา โลกของเรา ต้องประสบเหตุร้าย จนถึงขั้นต้องเจ็บใจและปวดกาย
ในขณะที่หลายคนกำลังย่ำแย่ แต่คริสเตียนจะได้รับการอุ้มชูจากพระเจ้า เนื่องเพราะพระเมตตาขององค์พระเจ้านั้นงดงาม สูงส่งถึงเมฆ คริสเตียนสามารถดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ด้วยสันติสุข ชุ่มชื่นด้วยพระเมตตาที่หลั่งมาไม่ขาดสายของพระองค์
ชีวิตของฉันเดินอยู่บนเส้นทางอัศจรรย์แห่งการเลี้ยงดูขององค์พระบิดาเสมอมา เหตุการณ์ล่าสุดที่ไม่มีวันลืมนั้นเกิดขึ้นเมื่อปลายปี 2550 เป็นปีที่ฉันต้องกู้เงินจากธนาคารเพื่อซื้อคอนโด แต่โดยลำพังเงินเดือนของฉันนั้นเล็กน้อยเกินกว่าจะซื้อคอนโดราคาหลักล้านได้ และฉันก็รู้ว่าฉันทำไม่ได้ แต่ฉันรู้ว่าพระเจ้า พระบิดาบนสวรรค์ ทรงเป็นพระผู้สร้าง ทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่ง ทรงร่ำรวยด้วยความรักและพระพรนานาประการ และฉันก็ไม่ได้ต้องการที่จะมีคอนโดด้วยความโลภ แต่เป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต ที่ต้องมีที่อยู่อาศัย ซึ่งสามารถพักกายพักใจได้ในขณะอาศัยอยู่ ทั้งยังเป็นที่พักพิงของเพื่อนพ้องน้องพี่ได้อีกด้วย ฉันร้องทูลต่อพระองค์เสมอว่า “พระบิดาทรงร่ำรวย แล้วลูกของพระองค์จะยากจนได้อย่างไร และพระสัญญาของพระองค์คือให้ลูกของพระองค์อิ่มบริบูรณ์ด้วยของดี ทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลดีในทุกสิ่ง” พี่น้องหลายคนร่วมใจกันอธิษฐานเผื่อฉัน จนธนาคารปล่อยสินเชื่อให้จำนวนหนึ่ง ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่เพียงพอ แต่ก็มากพอ ทั้งยังมีพี่น้องที่หยิบยื่นให้ยืมโดยมิได้เอ่ยปาก ครั้งนั้นฉันจึงรับไว้ด้วยความซาบซึ้ง และด้วยหัวใจที่ขอบคุณพระเจ้า ฉันเรียกพี่สาวผู้นั้นว่า “พี่ติ๊ก”
ต้นปี 2551 ฉันคืนเงินที่ยืมมาจากพี่ติ๊กจำนวนหนึ่ง แต่พี่ติ๊กไม่รับ กลับบอกว่า “ปีหน้าค่อยนำมาคืน เอาไปใช้ก่อน พี่ไม่เดือดร้อนอะไร” ฉันจึงรับไว้ ยังไม่คืน ฉันไปพบพี่ติ๊กบ้างเป็นบางครั้ง พี่ติ๊กไม่เคยพูดถึงเรื่องเงินนั้นเลย จนกระทั่งกลางปี 2551 ฉันคืนเงินให้พี่ติ๊กได้จำนวนหนึ่ง ซึ่งพี่ติ๊กไม่อยากจะรับมากนัก เพราะเกรงว่าฉันจะเดือดร้อน ฉันก็ยิ่งเกรงใจ เพราะหากพี่ติ๊กนำเงินจำนวนนี้ไปฝากธนาคาร แม้ว่าดอกเบี้ยเงินฝากจะไม่สูงนัก พี่ติ๊กก็จะได้ดอกเบี้ยมาเก็บกินได้จำนวนไม่น้อยทีเดียว ถึงแม้พี่ติ๊กจะไม่ใช่คริสเตียน แต่มีหัวใจแห่งผู้ให้อย่างแท้จริง เป็นแบบอย่างแห่งการให้ ที่ฉันขอประพฤติตาม พี่ติ๊กปฏิบัติตนเหมือนดังที่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ [อพย.22:25 ถ้าเจ้าให้ประชากรของเราคนใดที่เป็นคนจน และอยู่กับเจ้ายืมเงินไป อย่าถือว่าตนเป็นเจ้าหนี้ และอย่าคิดดอกเบี้ยจากเขา] แต่ทั้งนี้ ฉันไม่ได้ต้องการชี้ช่องให้พี่ๆ น้องๆ ยืมเงินใครหรือให้ใครยืมเงินนะคะ เพราะไม่ว่าจะในฐานะผู้ให้ยืม หรือผู้ยืม ก็ล้วนสร้างความลำบากใจให้อยู่ดี ถ้าในฐานะผู้ให้ยืม ก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่า แล้วเราจะได้คืนหรือเปล่านะ ส่วนผู้ยืมก็อดคิดไม่ได้ว่า เมื่อไรเราถึงจะมีคืนนะ การเป็นหนี้ใครนั้น ไม่ได้สร้างสันติสุขให้เราเลย
ต้นปี 2552 ฉันได้โบนัสมาก้อนหนึ่ง ทำให้สามารถใช้คืนหนี้ซึ่งติดค้างพี่ติ๊กได้ทั้งหมด ฉันรู้สึกถึงความโล่งใจและสันติสุขอันยากจะบรรยาย ขอบคุณพระเจ้า ฉันร้องทูลต่อพระเจ้ามาตลอดที่หนี้ก้อนนี้จะถูกปลดออกไป ฉันไม่ปรารถนาจะเป็นหนี้ใดๆ นอกจากหนี้แห่งความรัก [รม.13:8 อย่าเป็นหนี้อะไรใคร นอกจากความรักซึ่งมีต่อกัน เพราะว่าผู้ที่รักเพื่อนบ้าน ก็ได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติครบถ้วนแล้ว]
พี่ติ๊กไม่ได้เรียกร้องอะไรจากฉัน พี่ติ๊กบอกเพียงว่า ให้ฉันฉวยโอกาสในการทำความดีต่อผู้อื่นไว้เสมอ ซึ่งนั่นเป็นการตอบแทนที่ดีที่สุดสำหรับพี่ติ๊ก แต่ฉันรู้ว่าแค่นั้นไม่เพียงพอหรอก ฉันเป็นหนี้พี่ติ๊ก มีภาระใจในการนำพี่ติ๊กมาถึงความรอดในองค์พระเยซูคริสต์
ในฐานะคนไทยนั้น ทุกคนที่เกิดมา ตั้งแต่อุแว้แรกที่ลืมตามาดูโลก ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนไทย ก็เป็นหนี้เสียแล้ว ซึ่งก็คือหนี้ต่อหัวที่ประเทศชาติได้แบกรับไว้ และถ้าเด็กเกิดในครอบครัวที่มีหนี้สิน ก็เสมือนว่าเด็กนั้นก็ต้องรับภาระหนี้สินของครอบครัวไปโดยปริยาย ซึ่งนั่นก็คงเป็นเรื่องของแต่ละครอบครัวนะค้า ฉันไม่ขอเกี่ยว (แป่ว)…ทว่า ที่สำคัญกว่านั้นคือ เราเป็นหนี้พระเยซู เป็นหนี้ซึ่งบรรพบุรุษของเรา คือ อดัมและเอวาได้ก่อไว้ และตกทอดมาจนถึงรุ่นเรา ทำให้เราออกห่างจากพระบิดา
พระเยซูคริสต์จึงเป็นทางเดียวที่นำเรากลับไปถึงความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกับพระบิดาได้ คนบาปอย่างเราได้รับการชำระหนี้แล้วโดยพระเยซูคริสต์ ด้วยโลหิตประเสริฐของพระองค์ได้ชำระเราให้ขาวสะอาดดุจหิมะ พระองค์จึงเป็นเจ้าของเรา มีส่วนมีสิทธิ์อย่างเต็มที่เหนือชีวิตของเรา และเรานั้นเป็นผู้ทาสของพระองค์ เป็นหนี้พระองค์
พระเยซูประสงค์ให้เราดำเนินชีวิตดังเช่นที่พระองค์ทรงกระทำ เพื่อถวายเกียรติแด่พระบิดา และการที่เราจะถวายเกียรติแด่พระบิดาได้นั้น คือ “การกระทำตามพระทัยของพระบิดา”
[ยน.4:34] พระเยซูตรัสกับเขาว่า "อาหารของเราคือการกระทำตามพระทัยของพระองค์ ผู้ทรงใช้เรามา และทำให้งานของพระองค์สำเร็จ”
[ยน.5:24] “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดฟังคำของเราและวางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา ผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์ และไม่ถูกพิพากษา แต่ได้ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว”
การที่ฉันเป็นหนี้พระเยซูคริสต์นั้น ฉันก็ต้องใช้หนี้ โดยการเลียนแบบพระเยซูคริสต์ กระทำตามน้ำพระทัยพระบิดา รักพระองค์อย่างสิ้นสุดจิต สิ้นสุดใจ สิ้นสุดความคิด สิ้นสุดกำลัง รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง วางใจในพระองค์ รับใช้พระองค์อย่างสุดหัวใจ ซึ่งการใช้หนี้ในลักษณะนี้นั้น เป็นการใช้หนี้อย่างมีสันติสุข เป็นสันติสุขที่โลกนี้ไม่มีให้
[ยน.20:21] พระเยซูตรัสกับเขาอีกว่า "สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด พระบิดาทรงใช้เรามาฉันใด เราก็ใช้ท่านทั้งหลายไปฉันนั้น"