Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สิ่งที่ดีที่สุด

สิ่งที่ดีที่สุด

วันที่ 23/6/2009
[สดด.84:10]
เพราะวันเดียวในบริเวณพระนิเวศของพระองค์ ดีกว่าพันวันในที่อื่น…
บทเรียนล้ำค่าล่าสุดซึ่งฉันได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้งจากประสบการณ์ชีวิตในช่วง 1 เดือน ที่ผ่านมา คือ เคล็ดลับแห่งการดำเนินชีวิตที่จะไม่พลาดจากสิ่งที่ดีที่สุด…ดูเหมือนว่าระยะเวลาที่ผ่านมาฉันได้ประจักษ์แก่ใจแล้วว่า สิ่งที่ดีที่สุดคืออะไร หากว่าในทางปฏิบัติฉันยังคงห่างไกลจากสิ่งนั้นมากนัก แต่พระเจ้าผู้ทรงเป็นยอดดวงใจของฉัน ทรงรักฉันเกินกว่าที่จะให้ฉันจมปลักอยู่กับหลุมตมแห่งความผิดพลาดนั้น
ฉันสนุกสนานกับการใช้ชีวิตมาก ซึ่งฉันเข้าใจไปเองว่าเป็นการใช้ชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้า แต่พระเจ้าก็ทรงสอนฉันอย่างรวดเร็วว่า ฉันหลงผิดไป ด้วยว่าฉันทำหลายสิ่งหลายอย่างมากเกินไป ในขณะที่งานประจำที่ทำอยู่ก็ยุ่งอยู่แล้ว ดังนั้น หลังเลิกงานและวันหยุด ฉันจึงควรจะพักผ่อน และใช้เวลาอยู่ที่แทบพระบาทของพระเจ้า แต่ฉันกลับทำหลายสิ่งมากเกินไป ทั้งการสอนภาษาอังกฤษหลังเลิกงานเพื่อการประกาศ การเรียนพระคัมภีร์ภาคค่ำ และการร่วมกิจกรรมอื่นๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าทุกสิ่งที่ฉันทำล้วนเป็นสิ่งดีทั้งสิ้น แต่ฉันลืมไปว่ามนุษย์มีความจำกัดในทุกด้าน ทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา กิจกรรมตลอดทั้งสัปดาห์ของฉันทำให้ฉันเหนื่อยอ่อน ตื่นเช้ามาก็ไม่มีแรง เกิดอาการเพลีย อ้าว! ถ้าอย่างนั้นนอนต่อดีกว่า คร่อก ฟี้! เมื่อตื่นมาอีกทีก็ต้องรีบไปทำงานซะแล้ว ฉันจึงพลาดการเฝ้าเดี่ยวในช่วงเช้า เมื่อเป็นเช่นนี้อยู่หลายวัน ก็เริ่มไม่มีสันติสุข แม้ว่าตลอดทั้งวันฉันสามารถอธิษฐาน ร้องเพลงนมัสการเบาๆ หรือตรึกตรองถึงข้อพระคัมภีร์ที่สามารถจำได้ แต่สิ่งเหล่านี้มิอาจทดแทนเวลาแห่งสันติสุขที่ฉันพักสงบอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าตามลำพังได้เลย
พระวิญญาณทรงสอนฉันอย่างอ่อนสุภาพ ทำให้ฉันระลึกถึงคำพูดหนึ่งจากพี่เลี้ยงฝ่ายวิญญาณว่า “อย่าลืมสิ่งที่ดีที่สุด” วลีที่เธอกล่าวนี้ฝังอยู่ในใจฉัน และฉันก็พบข้อความทำนองนี้อีกจากการอ่านหนังสือ “ไฟของพระเจ้า” โดย จอย ดอว์สัน (หน้า 84) “สิ่งดีเป็นศัตรูกับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ” และฉันก็พบข้อความนี้อีกครั้งในเช้าวันหนึ่งขณะเฝ้าเดี่ยวด้วยหนังสือ “สุดหัวใจแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าสูงสุด” โดย ออสวอลล์ แชมเบอรส์ …ใช่แล้ว ฉันทำสิ่งที่ดีหลายอย่าง จนกระทั่งฉันพลาดสิ่งที่ดีที่สุดไป
[มธ.26:40] …"เป็นอย่างไรนะ ท่านทั้งหลายจะคอยเฝ้าอยู่กับเราสักทุ่มเดียวไม่ได้หรือ”
คำตรัสของพระเยซูประโยคนี้ตามติดฉันไปทุกที่ เป็นเสียงเร่งเร้าจากภายในที่รอการตอบสนอง ซึ่งนำฉันไปสู่การกลับใจอีกครั้งหนึ่ง ต้องกลับมาทบทวนกิจกรรมในแต่ละวันของตนเองว่าสิ่งใดที่ควรทำต่อ หรือสิ่งใดที่ควรตัดออก เพื่อคงความสัมพันธ์ที่แนบสนิทกับองค์พระเยซูได้ลึกซึ้งดังเดิมหรือยิ่งกว่าเดิม
พี่เลี้ยงฝ่ายวิญญาณตลอดทั้งอาจารย์หลายท่านได้เตือนสติเสมอว่า เราไม่จำเป็นต้องไล่ตามผู้อื่น ด้วยการแสวงหาของประทานฝ่ายวิญญาณ หรือการเติมเต็มความรู้ต่างๆ โดยเข้าร่วมการสัมมนาทุกรายการ มีการฟื้นฟูที่ไหนก็ตามไปที่นั่น ทั้งนี้ เพราะพระเจ้าทรงอยู่กับเรา ทรงสถิตอยู่ในทุกอณูใจของเรา แต่เราเองต่างหากที่ละเลยพระองค์ไป (การสัมมนา และฟื้นฟูต่างๆ เป็นสิ่งที่ดี แต่จะมีประโยชน์อะไรเล่า หากเรามิได้มีชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว)
เราทุกคนต้องระวังที่จะไม่รับใช้พระเจ้าจนไม่มีเวลาส่วนตัวกับพระองค์ องค์พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างที่ยอดเยี่ยม พระองค์มิได้ทรงใช้เวลารับใช้ประชาชนมากกว่าที่จะสามัคคีธรรมและอธิษฐานต่อพระบิดาอย่างเป็นส่วนตัว การอธิษฐานเป็นสิ่งสำคัญอย่างชัดเจนสำหรับพระองค์
[มก.1:35]
ครั้นเวลาเช้ามืดพระองค์ได้ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่เปลี่ยว และทรงอธิษฐานที่นั่น
[ลก.4:42]
ครั้นรุ่งเช้า พระองค์เสด็จออกไปยังที่เปลี่ยว …
[ลก.5:16]
แต่พระองค์เสด็จออกไปในที่เปลี่ยวและทรงอธิษฐาน
แม้กระทั่งก่อนที่พระองค์จะทรงกระทำพันธกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็ทรงอธิษฐานจนพระเสโทของพระองค์เป็นเหมือนเลือด [ลก.22:44] เมื่อพระองค์ทรงเป็นทุกข์มากนัก พระองค์ยิ่งปลงพระทัยอธิษฐาน พระเสโทของพระองค์เป็นเหมือนโลหิตไหลหยดลงถึงดินเป็นเม็ดใหญ่ แม้แต่ขณะนี้ วินาทีนี้ พระองค์ก็มิทรงหยุดที่จะอธิษฐานเพื่อเรา [ฮบ.7:25] ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงสามารถเป็นนิตย์ที่จะช่วยคนทั้งปวง ที่ได้เข้ามาถึงพระเจ้า โดยทางพระองค์นั้นให้ได้รับความรอด เพราะว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ เพื่อช่วยทูลขอพระกรุณาให้คนเหล่านั้น
โอ พระเจ้า มีฤทธิ์เดชอยู่ที่นั่น! เมื่อเราติดสนิทกับพระองค์ ณ ที่ประทับของพระองค์ ที่ประทับของพระองค์เป็นที่รักจริงๆ…เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องรู้ว่าหน้าที่ในพันธกิจหลักของเราคืออะไร เพื่อเราจะอยู่ในขอบเขตเหล่านั้น โดยไม่หลุดออกนอกทางเนื่องจากแรงกดดันของคนรอบข้าง คำร้องขอหรือความคาดหวังของใครบางคน หรือแม้แต่ความคาดหวังของตัวเราเอง… [ยก.4:17] เหตุฉะนั้นผู้ใดรู้ว่าอะไรเป็นความดีและไม่ได้กระทำ คนนั้นจึงมีบาป
เมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว ฉันก็ต้องกลับใจใหม่ ขอการชำระจากพระเจ้า บอกพระองค์ว่า พระองค์เป็นที่หนึ่งในชีวิตของฉัน นอกจากพระองค์แล้ว ฉันไม่ปรารถนาผู้ใด [สดด.73:25] นอกจากพระองค์ ข้าพระองค์มิมีผู้ใดในฟ้าสวรรค์ นอกจากพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาใดใดในโลก…
มนุษย์จำเป็นต้องมีความสมดุลในทุกๆ ด้านของชีวิต ความสมดุลจะต้องอยู่ทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และจิตวิญญาณ… ฉันจึงเริ่มตัดกิจกรรมบางรายการที่ดึงเวลาของฉันไปจากพระเจ้า Wow! เพื่อสันติสุขซึ่งเกินความเข้าใจก็อยู่กับฉันอีกครั้ง
ลดหรือตัดสิ่งที่ดีออก เพื่อที่จะไม่พลาดสิ่งที่ดีที่สุด!
บทเรียนเรื่องนี้เข้มข้นยิ่งขึ้นอีก เพราะการตีสอนยังมิหยุดแค่นั้น ฉันมีอาการทางร่างกายด้วย กล่าวคือ ปวดศีรษะอย่างรุนแรง และบางครั้งก็มีอาการคันตามร่างกาย บางคืนต้องตื่นมากลางดึกเพราะปวดศีรษะมากจนน้ำตาไหล หรือบางครั้งก็คันมากจนนอนไม่ได้ ฉันไม่รู้ว่าอาการที่ฉันเป็นนั้นเกิดจากสาเหตุใด ทว่า ในราตรีอันมืดมิด ฉันต้องต่อสู้ด้วยการนมัสการและอธิษฐานอย่างหนักโดยลำพัง
สวัสดิการอย่างหนึ่งของบริษัทคือการตรวจสุขภาพประจำปี ซึ่งปีนี้ผลการตรวจสุขภาพของฉันอยู่ในเกณฑ์ปกติ ยกเว้นความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดที่มีค่าสูงเกินปกติเล็กน้อย ซึ่งได้รับการแนะนำให้ไปตรวจซ้ำ เมื่อศึกษาถึงสารตัวนี้ก็พบว่า สามารถเกิดในผู้ที่เป็นภูมิแพ้ หรือโรคพยาธิ เมื่อเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็บอกว่า “เธอต้องมีพยาธิแน่ๆ เลย เธอถึงได้ผอมขนาดนี้” แต่ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะมีพยาธินะ ฉันรู้ว่าที่ตนเองผอม เนื่องจากการเลือกรับประทานอาหาร และกิจกรรมที่ทำอยู่ในแต่ละวันก็เผาผลาญพลังงานค่อนข้างมาก ฉันจึงคิดไปว่าตนเองต้องมีอาการแพ้อะไรบางอย่างแน่เลย เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นเพราะวันก่อนไปกินส้มตำปูมา เกี่ยวไหมนะ จากนั้นก็พิจารณาไปทีละรายการว่าเกิดจากอะไร อาหาร อากาศ ความสะอาด หรืออื่นๆ …เออ! แล้วทำไมไม่ไปหาหมอละตัวเอง
ฉันไปพบแพทย์เมื่อวันจันทร์ที่ 15/6/2009 ผ่านมา คุณหมอวิเคราะห์อาการแล้วก็บอกว่าเป็นไมเกรนนะหนู ไมเกรนเกิดจากความเครียด ไอ๋หยา! ฉันไม่เคยคิดว่าคริสเตียนจะเป็นไมเกรน เป็นคริสเตียนต้องมีความสุขสิ จะเครียดได้ยังไง ฉะนั้นไมเกรนของหนูไม่ได้เกิดจากอาการเครียดแน่นอนคะคุณหมอ หนูร้องเพลงทุกวันเลย หนูมีความสุขดีออก มีสาเหตุอื่นอีกหรือเปล่าคะ หมอทำท่าหนักใจ แล้วบอกว่า ไม่เครียดก็ไม่เครียด ดีแล้วที่ไม่เครียด แต่ไมเกรนก็อาจจะเกิดจากร่างกายอ่อนล้า พักผ่อนไม่เพียงพอด้วย เอ้อเหอ พอฟังแบบนี้ก็ค่อยพูดกันรู้เรื่องหน่อยหนึ่ง คือ ยังไงก็ไม่ยอมรับว่าตัวเองเครียด คุณหมอก็ให้ยามารับประทาน หลายขนานด้วยกัน ยาทุกตัวระบุไว้ด้วยว่า “ทานแล้วจะเกิดอาการง่วงซึม” และหมอยังให้ยาแก้แพ้มาด้วย แต่หมอบอกว่า ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดไม่ได้สูงเกินปกติมาก (ค่า Eosinophil สูงกว่า 3%) อาการแพ้จึงไม่น่าเป็นห่วง และไม่ต้องตรวจเลือดซ้ำด้วย รอไปตรวจอีกทีตอนครบรอบปีก็ได้ ถ้าร่างกายแข็งแรง พักผ่อนเพียงพอ ก็จะไม่มีอาการแพ้ แต่สรุปว่า เมื่อกินยาครบทุกตัวแล้ว สลบเลยคะท่าน
เต็มๆ เลยค่ะ กับบทเรียนนี้ที่ถูกเตือนทางวิญญาณจิต และทางร่างกาย ฉะนั้นแล้ว ก็ต้องเลิกทำกิจกรรมดีๆ บางรายการ ฉกฉวยวาระแห่งความชื่นชมยินดีไว้เสมอ ซึ่งการผ่อนคลายของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บ้างก็ ชอปปิ้ง เสริมสวย นวดสปา เล่นดนตรี กีฬา วาดรูป เลี้ยงสัตว์ ปลูกต้นไม้ ทำกับข้าว ท่องเที่ยว อ่านหนังสือ ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อที่จะไม่พลาดสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อจะสามารถดูแลพระวิหารของพระเจ้า จะได้รับใช้พระเจ้าไปได้นานๆ ด้วยความชื่นชมยินดี และสันติสุขอันเปี่ยมล้น [1คร.6:19] ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเคสส่วนตัวนะคะ คนอื่นอาจจะแตกต่างกันออกไป ฉะนั้น กรณีของผู้อื่นที่เกิดขึ้นคล้ายๆ ฉัน พระเจ้าอาจจะทรงมีแผนการและพระประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป
ฉันยอมรับแล้วคะว่าตนเองเครียด ซึ่งสาเหตุมีหลายประการด้วยกัน คือ
1. งานประจำที่ทำอยู่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ และมีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้ต้องทำงานแข่งกับเวลา และมีความกดดันว่า งานต้องออกมาดีที่สุด
2. เวลาเลิกงานปกติคือ 17.00 น. แต่หลายครั้งไม่สามารถเลิกงานตรงเวลาได้ เพราะงานด่วนเข้าตอนบ่ายหรือใกล้ๆ เลิกงาน ทำให้วันที่ต้องไปสอนหรือไปเรียนนั้นต้องลุ้นอยู่ตลอดเวลาว่า จะไปสอนทันไหม จะไปเรียนทันไหม
3. หลายครั้งเลิกงานตามปกติได้ แต่ต้องหอบงานมาทำที่บ้านหลังเลิกงาน หรือเสาร์อาทิตย์
4. เป็นคนไม่ชอบนั่งมอเตอร์ไซด์ เวลานั่งมอเตอร์ไซด์ไกลๆ แล้วไข้จะกินซะให้ได้ สารภาพเลยว่ากลัวมาก นั่งไปอธิษฐานไป แต่การนั่งมอเตอร์ไซด์เป็นวิธีที่ประหยัดและรวดเร็วที่สุดในวันไปเรียน จาก office ไปโรงเรียน
5. เป็นคนไม่ชอบนั่งแท็กซี่คนเดียว โดยเฉพาะเวลากลางคืน แต่ก็จำเป็นต้องนั่งในวันไปเรียน นั่งไปก็อธิษฐานไป “พระองค์เจ้าข้า ลูกอยากกลับถึงบ้านเร็วๆ”
เมื่อรู้สาเหตุของการเครียดแล้วก็ต้องเยียวยาทีละรายการ เพราะการเครียดบ่งบอกถึงการไม่ไว้วางใจองค์พระผู้เป็นเจ้า น้ำพระทัยของพระองค์คือ การประทานสวัสดิภาพไม่ใช่ทุกขภาพ
[ยรม.29:11] พระเจ้าตรัสว่า เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ผู้ลำบากเหน็ดเหนื่อย

ผู้ลำบากเหน็ดเหนื่อย

วันที่ 12/6/2009
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24/5/2009 ที่ผ่านมา ณ คริสตจักรนิมิตใหม่ มีน้องหนึ่งเป็นผู้นำนมัสการ ซึ่งเพลงหนึ่งที่ทีมนมัสการนำเราร้องคือ “ผู้ลำบากเหน็ดเหนื่อย” เนื้อร้องมีดังนี้
ผู้ลำบากเหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก จงเข้ามาหาพระเยซู พระองค์จะให้เรา หายเหนื่อยและ เป็นสุข จงมอบชีวิตแด่พระองค์ ***พระองค์จะเสริมเรี่ยวแรง ให้เข็มแข็งในหัตถ์พระองค์ เราจะเดินไปและจะไม่เหน็ดเหนื่อย พระองค์จะเสริมกำลังเรี่ยวแรง ให้เต็มล้นด้วยไฟพระวิญญาณ เราจะบินไป เหมือนนกอินทรี
โอ้โห! โดนใจสุดๆ กำลังเหน็ดเหนื่อยอยู่พอดี เพราะช่วงก่อนหน้านั้นทำงานหนักจนถึงดึกดื่น สองสามคืนติดกัน พอเช้าวันอาทิตย์ตื่นมาก็ไม่มีแรง เพลียมากๆ แต่ก็ขอบคุณพระเจ้า ยังฮึดสู้ลุกขึ้นมา และแหกปากร้องเพลง “ผู้ลำบากเหน็ดเหนื่อย” ลั่นบ้าน และก็นมัสการพระเจ้าต่ออีกหลายเพลง เมื่อมาโบสถ์แล้วได้ร้องเพลงนี้อีก…ซาบซึ้ง ซาบซึ้ง
พลังแห่งการนมัสการช่างสดชื่นงดงามจริงๆ…และแล้วจิตสำนึกก็เตือนให้กลับใจ เพราะตอนแรกจะไม่ไปโบสถ์เนื่องจากเหนื่อยและเพลียมาก แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิด ถึงแม้ว่าเราจะนมัสการพระเจ้าเป็นการส่วนตัวแล้วก็จริง แต่เราก็ต้องนมัสการพระเจ้าร่วมกับพี่น้องด้วย [ฮบ.10:25 อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนที่ขาดอยู่นั้น แต่จงพูดหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะท่านทั้งหลายก็รู้อยู่ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว] หากขาดการประชุมที่โบสถ์ด้วยเหตุผลอันไม่สมควร ก็เป็นบาปเช่นกัน
เมื่อได้ร้องเพลงนี้ร่วมกับพี่น้องในโบสถ์แล้ว ก็สัมผัสได้ถึงพระกำลังจากพระเจ้าจริงๆ ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ท้อแท้ ก็พลันมลายไป…ขอบคุณพระเจ้า
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระสัญญาของพระองค์ที่ตรัสไว้ [มธ.11:28 บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข] พระเจ้าของเราเป็นจอมราชาผู้ยิ่งใหญ่ ทรงพระสิริเลิศล้ำ ไม่มีผู้ใดเปรียบปานพระองค์ ไม่มีใครเคยเห็นพระพักตร์ของพระองค์ และเราก็มิควรที่จะเห็นพระองค์ด้วย พระองค์จึงเป็นพระเจ้าผู้ทรงไม่ประจักษ์แก่ตา ทว่า ทรงเป็นพระเจ้าผู้ที่ประจักษ์แก่ใจ เราสามารถพบพระองค์และสัมผัสพระองค์ได้ด้วยหัวใจของเรา พระองค์เป็นผู้เดียวซึ่งสมควรที่เราจะนมัสการ ทรงประทับเหนือคำสรรเสริญ ทรงเทฤทธิ์เดชลงมาเหนือประชากรของพระองค์ขณะที่เขาเหล่านั้นนมัสการ เมื่อเรามาหาพระองค์ เราจึงหายเหนื่อย และเราเป็นสุขจริงๆ…ฮาเลลูยา
พระเจ้าทรงให้เราหายเหนื่อย เป็นสุข ทรงเสริมกำลังให้กับเรา แข็งแกร่งดุจนกอินทรีเลยเชียวนะ [อสย.40:31 แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระเจ้าจะเสริมเรี่ยวแรงใหม่ เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี เขาจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย เขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย]
แล้วคุณละคะ วันนี้รู้สึกลำบากหรือเหน็ดเหนื่อยด้วยเรื่องใดอยู่หรือไม่…พระเจ้าอยู่กับคุณนะคะ พระองค์ปรารถนาให้คุณติดสนิทกับพระองค์! หรือหากว่าวันนี้คุณอยู่สุขสบายดี พระองค์ก็ยังทรงปรารถนาให้คุณติดสนิทกับพระองค์เช่นกัน
ขอยืมคำคม คำขวัญของชาวบ้านมาแบ่งปันหน่อยนะคะ…จะอย่างไรก็พระเจ้า
Happy moments, PRAISE GOD
Difficult moments, SEEK GOD
Quiet moments, WORSHIP GOD
Painful moments, TRUST GOD
Every moment, THANK GOD
เช่นนี้แล้ว เรามานมัสการพระเจ้าร่วมกันนะคะ พบกันที่คริสตจักรนิมิตใหม่ วันเสาร์ที่ 13/6/2009 เวลา 18.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการนมัสการและอธิษฐาน “Praise & Pray” ที่จัดขึ้นทุกวันเสาร์ สัปดาห์ที่ 2 ของทุกเดือน…และแน่นอนว่า พบกันทุกวันอาทิตย์ โดยเริ่มนมัสการเวลา 10.30 น. ห้ามพลาดเด็ดขาด…ช้าหมด อดฟังเพลงบางเพลงนะคะ

บทเรียนจากนกอินทรี
นกอินทรี เป็นนกที่สง่างามกว่านกทั้งหลายและ ถูกกล่าวถึง 36 ครั้งในพระคัมภีร์มาก กว่านกอื่นๆ โดยทั่วไปนกอินทรีที่โตเต็มที่จะสูงถึง 90 ซม. และเมื่อกางปีกจะยาวถึง 2 ม. นกอินทรีมีชีวิตยืนยาวที่สุดในบรรดาสัตว์ปีก คือ 70 ปี แต่นกอินทรีจะต้องพบการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของมันเมื่ออายุได้ 40 ปี
เมื่ออายุ 40 ปี จงอยปากที่แหลมคมเริ่มโค้งงอ กรงเล็บเริ่มใช้การไม่ค่อยได้ ปีกที่หนาและหนัก ขนที่ยาวรุงรังจะไปรวมกันที่อกของมันทำให้มันบินได้ลำบากมากขึ้นร่างกายของมันจึงอ่อนแอเกินกว่าจะบินขึ้นและหาอาหารอย่างเข้มแข็งได้อีก ในช่วงเวลานั้นมันจะมีทางเลือกอยู่ 2 ทาง คือตายไปพร้อมกับความอ่อนแอหรืออยู่ต่อไป ซึ่งต้องเผชิญความเจ็บปวดอย่างสุดๆกับขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงชีวิต ซึ่งยาวนานถึง 150 วัน นี่คือช่วงเวลาแห่งการรอคอย
ในช่วงเวลานี้มันจะต้องบินขึ้นไปบนยอดเขาสูง และอยู่ที่รังของมัน ต้องคอยใช้จงอยปากที่โค้งทื่อของมันจิกเคาะกับก้อนหิน และกรงเล็บกระแทกไปที่ก้อนหินครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งจงอยปากมีเลือดไหลและหลุดออกมา จากนั้นมันจะต้องรอให้จงอยปากอันใหม่งอกขึ้นมา เช่นเดียวกับกรงเล็บ ที่จะงอกขึ้นมาใหม่ด้วย เมื่อกรงเล็บใหม่ที่งอกขึ้นมาสมบูรณ์แล้ว มันก็จะเริ่มใช้จงอยปากใหม่ จิกถอนขนที่ดกหนาทั้งหมดทิ้งเสีย เพื่อการผลัดขนใหม่ทั้งหมด หลังจาก 5 เดือนหรือ 150 วันผ่านไป ขั้นตอนแห่งการรอคอยหรือขั้นตอนแห่งการเปลี่ยนแปลงก็จะเสร็จสมบูรณ์ นกอินทรีก็จะบินสูงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง และจะมีชีวิตที่ยืนยาวและเข้มแข็งต่อไปได้อีก 40 ปี....

วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2552

อย่าเล่นกับไฟ

อย่าเล่นกับไฟ
วันที่ 8/6/2009

Spark!!! เคยเห็นประกายไฟไหมคะ…ฉันนั้นพบเจอมาสดๆ ร้อนๆ เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง ขณะที่ความขยันขันแข็งเข้มข้น กำลังจะรีดผ้า พลันก็หยิบปลั๊กสามตาขึ้นมา เพื่อต่อเข้ากับเต้าเสียบ แต่ไฟกลับไม่วิ่งแฮะ ทำไงดี…ว่าแล้วก็ลองย้ายไปเสียบที่เต้าเสียบอันอื่น แต่ไฟก็ไม่วิ่งอีกแล้วครับท่าน เอ? เกิดอะไรขึ้นนะ ว่าแล้วก็เขย่าปลั๊กสามตา ดึงสายไปมา แล้วก็…พรึบ พรึบ พรึบ! ประกายไฟแลบแปลบออกมา หัวใจข้อยสิวายให้ได้ ต๊กกะใจหมดเลย แต่ในฉับพลันเช่นกัน ทุกอย่างก็เงียบสนิท ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทิ้งไว้แต่หัวใจตุ้มๆ ต่อมๆ วันนั้นจึงไม่ได้รีดผ้าอย่างที่ตั้งใจ
เมื่อไม่ได้รีดผ้า ก็อะฮ่า ดูทีวีดีกว่า แต่พอเสียบปลั๊กทีวีแล้วไฟไม่เข้าแฮะ ก็เลยลองไปเสียบปลั๊กที่จุดอื่นดู ปรากฎว่าเต้าเสียบทุกอันในบ้านไม่ทำงานซะงั้น จึงโทรเรียกช่างไฟมาตรวจสอบให้ เมื่อช่างไฟถามสาเหตุแล้วก็ไปสับคัตเอ้าท์ขึ้น “แค่นี้เองหรือน้อง” เป็นคำถามจากคนไม่รู้อย่างฉัน “ครับพี่…ตอนที่พี่เล่น เอ้ย! ดึงปลั๊กสามตาน่ะ ไฟมันก็ช็อตนะสิ แล้วก็เกิดประกายไฟ แต่ที่นี่มีระบบตัดไฟอัตโนมัติ พี่จึงไม่เป็นอะไร” อะจึ๋ย! นี่รอดตายมาได้ ยังไม่รู้ตัวอีกนิ ถ้าไม่มีระบบตัดก่อนตาย เตือนก่อนวายวอดละก็ มีหวัง อาจจะต้องเข้าโรงพยาบาล หรืออาจจะไม่ได้มานั่งเขียนเรื่องแบบนี้อีก…ตอนเย็นที่ผ่านมา เพิ่งดูข่าวช้างเชือกหนึ่งล้ม (ตาย) เพราะเอางวงไปตวัดต้นไผ่ ตั้งใจจะกินให้อร่อยซะหน่อย แต่ดันไปตวัดสายไฟที่พาดผ่านอยู่ที่ต้นไผ่ลงมาด้วย จึงถูกไฟช็อต ซี้แหงแก๋อย่างไม่ตั้งใจ น่าสงสารพี่ช้างมาก…และแล้วฉันก็ต้องขอบคุณพระเจ้าที่ทรงช่วยกู้ชีวิตอีกครั้งหนึ่ง…วันนี้ที่เราอยู่รอด มีชีวิตมีลมหายใจอยู่ได้ เราต้องขอบคุณพระเจ้ามากๆ พระองค์ทรงปกป้องเราไว้ โดยที่หลายครั้งเราไม่รู้ และหลายครั้งเราลืมที่จะขอบคุณพระองค์
ขอย้อนเวลากลับไปแบ่งปันคำเทศนาบางส่วนจาก อ.มาร์ค แซนด์ลิน เมื่อปลายเดือนที่แล้วนิดหนึ่งนะคะ อาจารย์ได้หยิบยกพระคำจากเอเสเคียลบทที่ 16 ขึ้นมาเทศนา ทำให้เห็นภาพความรักของพระเจ้าชัดเจนยิ่งขึ้น
โดยพระคุณ สู่พระพร สู่พระสิริ
ด้วยอำนาจความรักของพระเจ้า เราจึงมีชีวิตอยู่โดยพระคุณของพระองค์
ด้วยอำนาจความรักของพระเจ้า เราจึงได้รับการเลี้ยงดู ได้รับสิ่งที่พึงมีในโลก ด้วยพระพรจากพระองค์
ด้วยอำนาจความรักของพระเจ้า เราจึงเข้าสู่พระสิริของพระองค์
[อสค.16:4-6] 4พูดถึงกำเนิดของเจ้า ในวันที่เจ้าเกิดมานั้นเขามิได้ตัดสายสะดือ และเขาก็มิได้ล้างชำระเจ้า มิได้เอาเกลือถู มิได้เอาผ้าพันเจ้าไว้ 5ไม่มีตาสักดวงหนึ่งสงสารเจ้า ที่จะเมตตาเจ้าและกระทำสิ่งเหล่านี้ให้เจ้า เจ้าถูกทอดทิ้งในพื้นทุ่งเพราะในวันที่เจ้าเกิดนั้นเจ้าเป็นที่รังเกียจ 6"และเมื่อเราผ่านเจ้าไป เห็นเจ้าดิ้นกระแด่วๆอยู่ในกองโลหิตของเจ้า เราก็พูดกับเจ้าในกองโลหิตของเจ้าว่า 'จงมีชีวิตอยู่’
เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ให้เรามีชีวิตอยู่ แม้ว่าจะไม่มีใครสนใจเรา แม้ว่าจะดิ้นกระแด่วๆ แทบตายก็ไม่มีใครแยแส แม้ว่าโลกนี้จะรังเกียจเรา แต่พระเจ้าทรงรักเรา ทรงประทานชีวิตให้เรา ทั้งๆ ที่เราเป็นคนบาป เราควรจะถูกโยนลงไปในบึงไฟนรกซะมากกว่า แต่พระองค์กลับทรงให้ชีวิต ดังนั้น การมีชีวิตอยู่ จึงเป็นเหตุที่มากเหลือประมาณซึ่งเราควรสรรเสริญและขอบคุณพระองค์
[อสค.16:7-14] 7และเติบโตขึ้น เราจะกระทำให้เจ้าเหมือนอย่างพืชในท้องนา' เจ้าก็เติบโตและสูงขึ้นจนเป็นสาวเต็มตัว ถันของเจ้าก็ก่อรูปขึ้นมา และขนของเจ้าก็งอก แต่เจ้าเปลือยเปล่าและล่อนจ้อน 8"และเมื่อเราผ่านเจ้าไปอีกครั้งหนึ่งและมองดูเจ้า ดูเถิดเจ้ามีอายุรู้จักรักแล้ว เราก็ขยายร่มปีกคลุมเจ้าและปกคลุมความเปลือยเปล่าของเจ้าไว้ พระเจ้าตรัสว่า เออ เราก็ปฏิญาณและกระทำพันธสัญญากับเจ้า และเจ้าก็เป็นของเรา 9และเราก็เอาเจ้าอาบน้ำ ล้างโลหิตเสียจากเจ้า และเจิมเจ้าด้วยน้ำมัน 10เราแต่งตัวเจ้าด้วยเสื้อปัก และเอารองเท้าหนังทาฆัซสวมให้เจ้า เราพันเจ้าไว้ด้วยผ้าป่านเนื้อละเอียดและคลุมเจ้าไว้ด้วยผ้าราคาแพง 11เราแต่งตัวเจ้าด้วยเครื่องอาภรณ์ สวมกำไลมือให้เจ้า และสวมสร้อยคอให้เจ้า 12เราเอาแหวนใส่จมูกเจ้า และใส่ตุ้มหูที่หูของเจ้า และสวมมงกุฎไว้บนศีรษะของเจ้า 13เราก็ประดับเจ้าด้วยทองคำและเงิน และเสื้อผ้าของเจ้าก็เป็นผ้าป่านเนื้อละเอียด ผ้าราคาแพงและผ้าปัก เจ้ากินยอดแป้ง น้ำผึ้ง และน้ำมัน เจ้างามเลิศทีเดียว และเจ้าเจริญขึ้นเป็นชั้นจ้าว14ชื่อเสียงของเจ้าก็ลือไปท่ามกลางประชาชาติเพราะความงามของเจ้า ด้วยความงามนั้นก็สมบูรณ์ทีเดียวเนื่องจากความสง่างามที่เราได้ทุ่มเทให้เจ้า พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
มิเพียงแค่มีชีวิตอยู่ แต่พระองค์ทรงยกเราขึ้นสู่ที่สูง ทรงให้เติบโตขึ้น และรับมรดกจากการทรงสร้างของพระองค์ เราจึงไม่ขาดของดีแม้สักสิ่งเดียว เรามีทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตของเรา…เป็นพระพรจากพระองค์
[อสค.16:15] 15"แต่เจ้าวางใจในความงามของเจ้า และได้เล่นชู้เพราะชื่อเสียงของเจ้าไม่ว่าผู้ใดจะผ่านมา เจ้าก็ให้หลงระเริงไปด้วยการเล่นชู้ของเจ้า 16เจ้าเอาเสื้อผ้าของเจ้าบ้าง และเจ้าได้สร้างบรรดาปูชนียสถานสูง ประดับอย่างหรูหรา แล้วก็เล่นชู้อยู่บนนั้น ไม่เคยมีเหมือนอย่างนี้ ต่อไปก็ไม่มีเหมือน 17เจ้ายังเอาเครื่องรูปพรรณอันงามของเจ้า ซึ่งเป็นทองคำของเราและเงินของเรา ซึ่งเราได้ให้แก่เจ้า แล้วเจ้าสร้างเป็นรูปผู้ชายสำหรับเจ้า และเจ้าก็เล่นชู้อยู่กับรูปเหล่านั้น 18เจ้าเอาเครื่องแต่งตัวที่ปักไปห่มรูปเหล่านั้นไว้ และวางน้ำมันและเครื่องหอมของเราไว้ข้างหน้ามัน 19อาหารที่เราให้แก่เจ้าก็เหมือนกัน คือเราเลี้ยงเจ้าด้วยยอดแป้ง น้ำมันและน้ำผึ้ง เจ้าก็เอามาวางข้างหน้ามัน ให้เป็นกลิ่นหอมที่พึงใจ และก็เป็นอย่างนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ 20ยิ่งกว่านั้นอีก เจ้าได้นำบุตรชายของเจ้าและบุตรหญิงของเจ้า ซึ่งเจ้าได้ให้บังเกิดมาเพื่อเราและเจ้าก็ได้ถวายบูชาแก่มันเพื่อให้มันเผาผลาญ การเล่นชู้ของเจ้าเป็นสิ่งเล็กน้อยอยู่หรือ 21เจ้าจึงได้ฆ่าลูกของเราถวายแก่รูปเหล่านั้นโดยให้ลุยไฟ 22ตลอดความลามกของเจ้าและการเล่นชู้ของเจ้า เจ้ามิได้จดจำวันที่เจ้ายังเด็กอยู่ เมื่อเจ้าเปลือยเปล่าและล่อนจ้อนดิ้นกระแด่วๆอยู่ในกองเลือดของเจ้า
เมื่อพระพรของพระเจ้าเต็มชีวิตของเรา เรากลับวางใจในทรัพย์สมบัติบนโลกเหล่านั้น หาได้แสวงหาพระเจ้าไม่ วิบัติจึงควรจะเกิดแก่เรา แต่ก็โดยอำนาจความรักของพระองค์อีกนั่นแหละ ที่ทรงโปรดยกโทษให้กับเรา ทรงชำระเรา ทรงฉายพระสิริของพระองค์ลงมายังชีวิตของเรา
ฉะนี้แล้ว เราจึงควรซาบซึ้งถึงความรักของพระองค์ ขอบคุณพระองค์ในทุกกรณี ละเว้นซึ่งความบาป คือไฟแห่งโลกที่จะเผาผลาญเราให้มอดไหม้ เราต้องทูลขอต่อพระเจ้าเสมอที่เราจะพ้นจากการทดลองและซึ่งชั่วร้าย เช่นเดียวกับที่องค์พระเยซูได้สอนให้เราทูลขอต่อพระบิดา [มธ.6:13 และขออย่านำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง แต่ขอให้พ้นจากซึ่งชั่วร้าย]
การทดลองและความชั่วร้ายเข้ามาในชีวิตเราหลายรูปแบบด้วยกัน ซึ่งสามารถสรุปได้หลักใหญ่ใจความดังนี้ วัยเด็ก จะถูกล่อลวงและทดลองโดย ของเล่น ขนม วัยรุ่น จะถูกล่อลวงและทดลองโดย เรื่องเพศ เพื่อน อินเตอร์เนท วัยผู้ใหญ่ จะถูกล่อลวงและทดลองโดย เงินตรา หน้าที่การงาน ชื่อเสียงและความสำเร็จ
เราจึงต้องระวังระไวอยู่เสมอ อย่าให้โอกาสแก่มาร [ยก.4:7 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงน้อมใจยอมฟังพระเจ้า จงต่อสู้กับมาร และมันจะหนีท่านไป]
ว่าแล้ว ฉันก็ต้องรีบสำรวจตรวจสอบตนเองเป็นการด่วนว่า ยังมีไฟบาปประการใดในชีวิตอีกหรือไม่ที่ต้องกำจัดโดยด่วน ขอไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะเผาผลาญไฟบาปแห่งเนื้อหนังในชีวิตของฉัน ฉันต้องพึ่งพาพระองค์อย่างมาก เพราะฉันปรารถนาที่จะเป็นผู้พิชิต ฉันต้องต่อสู้กับการล่อลวงและการทดลองต่างๆ ต้องเลิกเล่นกับไฟซะ เพื่อที่จะมิทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสียพระทัย [อฟ.4:30 และอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย เพราะโดยพระวิญญาณนั้นท่านได้ถูกประทับตราหมายท่านไว้ เพื่อวันที่จะทรงไถ่ให้รอด]

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เพียงคลิกเดียว

เพียงคลิกเดียว
วันที่ 3/6/2009

สุขสันต์วันเปิดเทอมค่ะ…เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา เป็นวันเปิดเทอมของสถาบันการศึกษาหลายแห่ง ซึ่งที่ทำงานของฉันนั้นต้องผ่านมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของประเทศ คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดังนั้น ภาพที่เห็นจึงเป็นนิสิตหนุ่มสาววัยใสจำนวนมากมุ่งหน้าสู่รั้วสถาบันที่เขาและเธอคาดหวังว่าจะเป็นประตูสู่อนาคตอันรุ่งโรจน์
นิสิตบางคนก็เดินเข้าประตูคนเดียวด้วยอาการประหม่า แต่บ้างก็มากันเป็นกลุ่ม เล็กบ้างใหญ่บ้าง ตามขนาดของเขา พอเห็นอย่างนี้แล้วก็ทำให้หวนคิดไปถึงชีวิตวัยเรียนอันแสนตื่นเต้น เป็นช่วงชีวิตที่หอมละมุน เป็นช่วงที่กำลังถูกปรับแต่งเพื่อก้าวสู่ระดับของชีวิตที่สูงยิ่งขึ้น
ฉันเป็นคนหนึ่งที่ชอบเรียน แม้ว่าหลายครั้งจะสอบตกหรือโดดเรียนบ้างก็ตาม (แป่ว) แต่ตอนนี้เป็นคนใหม่แล้วคะ ไม่โดดเรียนอีกต่อไป ทั้งเมื่อถึงวันอาทิตย์ซึ่งต้องนมัสการพระเจ้า ฉันก็เข้าร่วมประชุมมิได้ขาด เพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์
หนุ่มสาวมากมายที่ชิงกันเข้าไปในรั้วมหาวิทยาลัยนั้น ต้องผ่านการคัดกรองมาอย่างหนัก ต้องฝ่าฝันอุปสรรคและเคี่ยวเข็ญตนเองให้อยู่หมัด กว่าจะมีวันนี้ วันที่เขาสามารถก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยอย่างเต็มภาคภูมิ
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ทำให้ฉันระลึกถึงแผ่นดินสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งผู้เชื่อทั้งหลายปรารถนาจะเห็นผู้คนมากมายชิงกันเข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ [ลก.16:16 มีธรรมบัญญัติและผู้เผยพระวจนะมาจนถึงยอห์น ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า และคนทั้งปวงก็ชิงกันเข้าไปในแผ่นดินนั้น]
แผ่นดินสวรรค์มิใช่เรื่องของคำพูด แต่เป็นเรื่องของฤทธิ์เดช ดังนั้น แผนการที่จะนำผู้คนมากมายเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์จึงมิอาจกระทำได้โดยลำพัง หากต้องพึ่งพาฤทธิ์เดชจากพระเจ้า เราทั้งหลายต้องร่วมมือกันจัดเตรียมทาง เพื่อสนองพระมหาบัญชาของพระองค์ [อสย.62:10 จงไป จงไปทางประตูเมือง จัดเตรียมทางไว้ให้ชนชาตินี้ จงพูน จงพูนทางหลวงขึ้น เก็บกวาดหินเสียให้หมด จงยกสัญญาณไว้เหนือชนชาติทั้งหลาย]
ก่อนหน้านี้ ฉันไม่กล้าแม้แต่จะเปิดปากเอ่ยถึงเรื่องราวของพระเจ้ากับคนที่ฉันพบ ตอนนั้นฉันอาย ฉันกลัวปฏิกิริยาการต่อต้านของพวกเขา ทั้งๆ ที่ หลายๆ คน ฉันไม่มีโอกาสได้พบกับเขาอีกตลอดทั้งชีวิต…ทว่า เหตุนี้ทำให้ต้องกลับใจ และขอบคุณพระเจ้า เมื่อเวลาผ่านไป ได้เรียนรู้ว่า พระวิญญาณจะทรงนำเสมอในการที่ฉันจะหว่านเมล็ดพันธ์จากแผ่นดินสวรรค์ลงในใจของผู้หลงหายเหล่านั้น หน้าที่ของฉันคือ เปิดปากพูดเท่านั้น แล้วพระวิญญาณจะทรงนำและดลให้สิ่งที่ออกจากปากของฉันเป็นถ้อยคำแห่งความรอด
เมื่อเดือนที่แล้วฉันมีโอกาสฟัง อ.Chris มิชชันนารีชาวสวิส ครูอาสาสมัครซึ่งสอนภาษาอังกฤษให้กับนักศึกษาที่ประตูน้ำเซ็นเตอร์ โดยในการสอนแต่ละครั้งนั้น จะแทรกเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าเข้าไปด้วยทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน อ.Chris ได้เล่าเรื่องกำแพงให้เราฟัง
เพื่อนเกลือ เอ้ย! เพื่อนเกลอ 3 คน เอ้ย! 3 ตัว ได้แก่ พี่ลิง พี่เสือ และพี่งู เดินทางมาไกล แล้วมาหยุดยืนอยู่หน้ากำแพงแห่งหนึ่ง ทั้ง 3 เกลอ ปรารถนาอย่างยิ่งที่จะข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งของกำแพง ด้วยได้ยินเสียงร่ำลือมาว่า อีกฟากฝั่งหนึ่งของกำแพงมีความงดงามและอุดมสมบูรณ์เป็นนักหนา แต่อนิจจา กำแพงตรงหน้าช่างหนา สูง และใหญ่เหลือเกิน…อะฮ้า แต่อุปสรรคตรงหน้ากลับทำให้ลิงฮึกเฮิม ประกาศลั่นว่าตนเองสามารถปีนข้ามกำแพงได้ เพราะลิงมีความเชี่ยวชาญสูงในการปีนป่ายเหนือผู้ใดในปฐพี ว่าแล้วเจ้าลิงก็ปีนกำแพงขึ้นไป มันปีน ปีน และก็ปีน มันปีนขึ้นไปไกลเกินกว่าที่จะไปต่อได้เสียแล้ว กำแพงนี้สูงเกินไปสำหรับลิง และดูเหมือนว่ากำแพงนี้จะสูงอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ
เมื่อลิงผิดหวัง พี่เสือก็ไม่น้อยหน้า ปลอบโยนเพื่อนรัก และสัญญาว่าจะพากันไปถึงฝั่งฝันให้ได้ โดยเสือจะวิ่งไปสำรวจก่อน จะไปดูว่ากำแพงนี้สิ้นสุดที่ตรงไหน ‘จะยาวสักแค่ไหนกันเชียว’ เจ้าเสือนึกอยู่ในใจ และมิรอช้า เสือวิ่ง วิ่ง วิ่ง ด้วยความเร็วกว่าเสียง เสือวิ่งไปเรื่อยๆ จนเหนื่อยหอบ แต่หาได้พานพบสุดปลายแห่งกำแพงไม่ เสือกลับมาด้วยความผิดหวัง
พี่งูก็เป็นหนึ่งในตองอูเช่นกัน จึงขอใช้ความสามารถกาจเก่งของตนทะลายอุปสรรคข้างหน้าบ้าง แล้วพี่งูก็เลื้อยเข้าไปตามรอยแตกของกำแพง เพื่อที่จะข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่ง แต่เมื่อเลื้อยไปเรื่อยๆ พี่งูพบว่ารอยแตก รอยร้าวบนกำแพงนั้นเล็กลง เล็กลง จนในที่สุดพี่งูไม่สามารถแทรกตัวรอดรูกำแพงได้ดังหวังใจ พี่งูหางตก กลับมาด้วยความผิดหวัง
ทั้ง 3 เกลอ ยังมีความปรารถนาที่จะข้ามไปอีกฟากหนึ่งให้ได้ จึงได้พยายามสุมหัว เอ้ย! ระดมสมองกันอีกครั้งหนึ่ง แต่ดูเหมือนแต่ละวิธีจะใช้ไม่ได้ผลเอาซะเลย ตอนนั้น การบินไทยก็ไม่มีซะด้วย เรื่องจะถึงที่หมายสบายผิดกัน ก็เลยเลิกพูด ครั้นจะใช้เรือไททานิค ก็ไม่ได้อีก เพราะชนหินโสโครกจมลงไปในมหาสมุทรซะแล้ว จะให้โดเรมอนมาช่วยก็ไม่ได้อีก เช่นกัน เพราะโนบิตะหวงมาก…ใครก็ได้ช่วย 3 เกลอหน่อยครับ
ในที่สุด 3 เกลอ ก็ยอมแพ้ และจะพากันกลับ แต่พลันทั้ง 3 ก็มองเห็นประตูกำแพงถูกซ่อนไว้ใต้เถาวัลย์รกเรื้อ พวกเขาจึงพากันไปดู…ว้า แย่จัง ประตูปิดอยู่…ถ้าอย่างนั้นลองเปิดประตูดูนะพวกเรา…และแล้ว “คลิก” ประตูเปิดออกได้อย่างง่ายดาย…เย้! 3 เกลอ เจอทางเข้าประตูสวรรค์แล้ว
มนุษย์ก็เช่นเดียวกัน ไม่อาจข้ามกำแพงที่ขวางไปได้ เพราะกำแพงที่หนาสูงใหญ่ ก็คือความบาปที่มากมายของมนุษย์ และความบาปนี้เองที่เป็นกำแพงขวางกั้นมนุษย์ออกจากพระเจ้า แต่โดยแผนการไถ่อันเลิศของพระองค์ พระองค์มิได้คิดค่าจ้างของความบาปจากมนุษย์ มนุษย์จึงรอดโดยเพียงรับพระคุณของพระองค์ มนุษย์ไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถที่มีอยู่ทะลายกำแพงบาปที่อยู่ตรงหน้า มนุษย์เพียงแค่เปิดประตู “คลิกเดียว” เพียงแค่ “คลิกหัวใจ” รับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น เพียงแค่นี้ มนุษย์ก็สามารถก้าวสู่ประตูนิรันดร์ ก้าวสู่แผ่นดินสวรรค์ไปถึงพระบิดาได้
ยน.14:6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา”
เมื่อเราปรารถนาที่จะเห็นผู้คนมากมายชิงกันเข้าสู่แผ่นดินของพระองค์ เราต้องร่วมมือกันจัดเตรียมทาง นำเขาไปถึงประตูสวรรค์ให้ได้ แล้วพวกเขาเหล่านั้นจะเป็นผู้เปิดประตูด้วยตัวของเขาเอง เพียงคลิกเดียวเท่านั้น!