Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2553

แบ่งปันภาระใจ

วันที่ 9/12/2010

“การอุทิศถวายชีวิตเพื่อเป็นศิษยาภิบาล หรือมิชชันนารียังไม่เป็นที่นิยมในคริสตจักรไทย เพราะภาพที่เห็นชีวิต ศิษยาภิบาลยากไร้และยากลำบาก ไม่มีครอบครัวใดที่อยากจะให้ลูกของตนไปเป็นผู้รับใช้พระเจ้า แต่คริสตจักรไทยเป็นของพระเจ้า และพระเยซูคริสต์สละพระองค์เองเป็นมิชชันนารีและเป็นผู้เลี้ยงอันดี และพระองค์มีพระมหาบัญชาให้คริสตจักรไทยประกาศและทำพันธกิจโลก (ประกาศกับคนต่างชาติ)” [คัดลอกจาก "ทำอย่างไรประเทศไทยจะไม่ขาดผู้รับใช้พระเจ้า" โดย ศจ.ดร.ศึกษา เทพอารีย์]

มิชชันนารี คือ ผู้ที่ถูกส่งออกไปทำงานมิชชั่น (ความหมายแบบง่าย) ทั้งนี้ สามารถแบ่งระดับของมิชชันนารีออกได้ตามลักษณะของการทำงาน แต่มิใช่ทุกคนที่พระเจ้าจะทรงเรียกให้เป็นมิชชันนารี และมิใช่ทุกคนที่ได้รับการทรงเรียกจะตอบสนอง ดังนั้น ผู้ที่ตอบสนองการทรงเรียกโดยการถวายตัวเป็นมิชชันนารี จึงเป็นผู้ที่น่ายกย่องมากทีเดียว

ถึงแม้ว่าพระเจ้าไม่ได้เรียกทุกคนให้เป็นมิชชันนารี ทว่า เป็นพระประสงค์ของพระองค์ที่จะให้ผู้เชื่อทุกคนมีส่วนร่วมกับพันธกิจโลก ตามพระมหาบัญชาของพระองค์ [มธ.28:19-20 “เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค"] การเชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์ในทุกด้านของชีวิต คือ กุญแจที่จะนำเราไปสู่การมีประสบการณ์กับการทรงสถิตอยู่ด้วยของพระคริสต์และความชื่นชมยินดีแห่งแผ่นดินสวรรค์ (หนังสือผจญภัยโดยการถวาย หน้า 33 โดย บิล ไบรท์)

ภาระใจประการหนึ่งของฉันคือ “การได้เห็นมิชชันนารีผู้สัตย์ซื่อสามารถทำงานรับใช้พระเจ้าตามการทรงเรียกของแต่ละคนโดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่องรายได้และความเป็นอยู่” เราทั้งหลายทราบและรู้แน่ประการหนึ่งว่าผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกให้เป็นมิชชันนารีนั้น จะมิได้คำนึงถึงปัจจัยเรื่องเงิน ตลอดจนความเป็นอยู่อื่นใดเลย ด้วยว่าเขาแน่ใจในพระองค์ผู้ทรงใช้พวกเขาไปว่าพระองค์ผู้ทรงรักและทรงสัตย์ซื่อ จะทรงจัดเตรียมเลี้ยงดูอย่างมิต้องขัดสน พวกเขาต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อล้วนๆ “โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ” [รม.1:17]

ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าภาระใจนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด แน่นอนว่าทั้งสิ้นล้วนมาจากพระเจ้า แต่ถ้าให้กล่าวถึงแนวโน้มที่เกี่ยวข้องกับภาระใจนี้ ก็สามารถสรุปได้เช่นกัน คือ
1.ฉันได้รับข่าวประเสริฐโดยการประกาศของมิชชันนารีที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาสอนภาษาอังกฤษที่ BSC
2.ฉันได้เห็นแบบอย่างชีวิตการรับใช้ที่สัตย์ซื่อ ด้วยความรัก เสียสละ อดทน และถ่อมใจของมิชชันนารีจำนวนมาก
3.อาจารย์น้อย ชนัดดา ไชยสาคร ได้ใส่ภาระใจในการดูแลผู้รับใช้พระเจ้าไว้ ผ่านการเรียนพระคัมภีร์เสมอมา
4.ได้เรียนรู้จักจากหนังสือมหัศจรรย์ “พระคัมภีร์ไบเบิ้ล” ซึ่งเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุด (ขอบคุณพระครู)

การรับใช้พระเจ้าของยุคคริสตจักรหรือยุคพระคัมภีร์ใหม่นั้น ไม่มีการแบ่งแยกว่าใครเป็นผู้รับใช้แบบอาชีพ (เต็มเวลา) ใครเป็นผู้รับใช้ฆราวาส ทุกคนเป็นผู้รับใช้พระเจ้าเหมือนกัน โดยเป็นการรับใช้พระเจ้าตามของประทานที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานให้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ (คส.4:12)…ผู้รับใช้พระเจ้าแบบมืออาชีพ คือ คนที่อุทิศตัวรับใช้พระเจ้าในงานพันธกิจอย่างเต็มที่ โดยมุ่งหวังที่จะเลี้ยงชีพจากงานพันธกิจเพียงอย่างเดียว ไม่เลี้ยงชีพจากการหารายได้ทางอื่น นอกเสียจากไม่มีทางเลือกจริงๆ ส่วนผู้รับใช้ฆราวาสก็คือคนที่อุทิศตัวรับใช้พระเจ้าเช่นกัน แต่ไม่ได้มุ่งหวังจะเลี้ยงชีพจากงานพันธกิจ ยังมีใจที่จะเลี้ยงชีพด้วยการหารายได้ทางอื่นอยู่ (หนังสือ การตัดสินใจและน้ำพระทัยพระเจ้า หน้า 22-23 โดย ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์)

ในยุคพระคัมภีร์เดิมพระเจ้าทรงกำหนดให้เผ่าเลวีเป็นผู้รับใช้พระเจ้าโดยไม่ต้องทำมาหากินอย่างอื่น แต่อยู่ได้ด้วยการถวายของเผ่าต่างๆ ในยุคนี้ก็เช่นเดียวกัน ผู้รับใช้พระเจ้าเต็มเวลาก็ไม่จำเป็นต้องประกอบอาชีพอื่น แต่อยู่ได้ด้วยการถวายของคริสตจักรและคนของพระเจ้า ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์เคยยืนยันไว้ว่า “อาชีพรับใช้พระเจ้าเป็นอาชีพที่มั่นคงที่สุด” ก็เห็นจะจริงดังที่อาจารย์ว่า เพราะพระเจ้าทรงดำรงอยู่ตั้งแต่นิรันดร์กาลจนถึงนิรันดร์กาล ผู้รับใช้รุ่นแล้วรุ่นเล่าก็ลาลับโลกไป แต่อาชีพรับใช้พระเจ้าก็ยังคงอยู่ เพราะพระเจ้ายังทรงอยู่

จากประสบการณ์ของตนเอง พบว่าคริสตจักรไทยจำนวนมากให้ความสำคัญกับผู้รับใช้พระเจ้าเต็มเวลาด้วยการสนับสนุนและถวายอย่างเต็มกำลัง แต่การตระหนักถึงความสำคัญของมิชชันนารีหรือพันธกิจโลกนั้น ยังคงมีน้อยอยู่

ศจ.ยินดี จัง ได้แบ่งปันว่า ปัจจุบันเกาหลีใต้ได้ส่งมิชชันนารีออกไปทั่วโลกกว่า 20,000 คน ยังผลให้คริสตจักรเกาหลีเติบโตและมั่งคั่ง…แล้วประเทศไทยละคะ ปรารถนาที่จะเติบโตเช่นนั้นบ้างไหม?

ศจ.ดร.นรินทร์ ศรีทันดร กล่าวไว้ในบทความ “ทำไมต้องพันธกิจโลก” ว่า “จะเห็นว่าทุกคริสสตจักรที่ส่งมิชชันนารีมีฐานะการเงินดีขึ้น” เข้ากฏที่ว่า “ยิ่งจำหน่ายยิ่งมั่งคั่ง” (สภษ.11:24)

ดร.บิล ไบรท์ ผู้ก่อตั้งองค์การแคมพัสครูเสดฟอร์ไครส์ท กล่าวไว้ในหนังสือผจญภัยโดยการถวาย บทที่ 2 ว่า “พระเจ้าทรงมุ่งหมายให้การถวายด้วยความเชื่อเป็นสิทธิพิเศษอันน่าตื่นเต้น เมื่อคุณถวายพระเกียรติและสรรเสริญพระเจ้าด้วยการทุ่มเทชีวิตของคุณ และด้วยการเชื่อฟังในฐานะผู้อารักขา พระองค์ก็จะทรงชโลมคุณด้วยความชื่นชมยินดี พระองค์จะทรงเปลี่ยนการถวายของคุณให้กลายเป็นการผจญภัย ที่น่าตื่นเต้นในชีวิตคริสเตียน

หกขั้นตอน ในการรับพระพรเหลือล้นจากพระเจ้า
1.ยอมรับว่าทุกสิ่งที่คุณมีนั้น แท้จริงแล้วเป็นของพระเจ้า (สดด.24:1)
2.ตระหนักว่าการให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ (กจ.20:35)
3.ถวายด้วยความเชื่อ (ฟป.4:19)
4.ตระหนักว่าคุณหว่านสิ่งใด ก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น (ปฐก.1:11, กท.6:7,8)
5.ถวายเพื่อพระเจ้าจะได้รับเกียรติ
6.ถวายจากใจ…แรงจูงใจที่พระเจ้าพอพระทัยนั้นเกิดจากหัวใจที่รักพระเจ้าและชื่นชมยินดีในพระองค์ เราถวายเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย และเพื่อแสดงความรักต่อพระองค์ เราถวายเพราะเราเชื่อฟังพระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเราที่ให้เราสะสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ เราถวายเพื่อเป็นช่องทางนำทรัพย์อันอุดมของพระเจ้าไปสู่โลกที่ขัดสน เราถวายเพื่อช่วยให้พระมหาบัญชาสำเร็จ และเมื่อเราทำเช่นนั้น เราก็จะช่วยนำโลกนี้มารู้จักพระคริสต์ (หน้า 19)

พี่น้องหลายท่านที่รู้จักฉันดีจะทราบว่าฉันมีชีวิตที่ยากลำบาก จนเมื่อได้พบพระเยซู พระองค์ก็ทรงยกระดับชีวิตและจิตวิญญาณให้สูงขึ้นตามลำดับ จากผู้ที่ทนทุกข์ กลับกลายเป็นผู้มีสันติสุขในพระคริสต์ จากผู้ที่ขาดแคลนแถมมีหนี้สินรุงรัง กลับกลายเป็นผู้ได้รับความอิสระทางด้านการเงิน จากผู้ที่สมควรตกอยู่ในบึงไฟนรก กลับกลายเป็นผู้ได้รับความรอด ฉันจึงเป็นหนี้ของพระคริสต์มากจนไม่อาจบรรยายได้ แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ ฉันก็เคยเดินผิดพลาดมาก่อน กล่าวคือ ฉันเคยฉ้อพระเจ้า เมื่อครั้งยังทำงานเต็มเวลาเป็นเจ้าหน้าที่ในคริสตจักรแห่งหนึ่ง ฉันไม่ได้ถวายสิบลดอย่างเต็มขนาด คือ ถวายบ้าง ไม่ถวายบ้าง ด้วยคิดไปเองว่า ฉันได้ทำงานเต็มเวลาและรับใช้พระเจ้าเต็มที่แล้ว ต่อมา เมื่อเปลี่ยนงานและฐานะการเงินยังคลอนแคลนอยู่ก็ไม่ได้ถวายเต็มสิบลดอีก ถวายห้าลดบ้าง แปดลดบ้าง แต่ต่อมาก็เริ่มพัฒนาขึ้น โดยได้ถวายสิบลดอย่างเต็มจำนวน ทว่า เมื่อเดือนไหนเกิดอาการชักหน้าไม่ถึงหลัง ก็ทูลกับพระเจ้าว่า “ขอยืมก่อนนะคะ เดี๋ยวเดือนหน้าคืนให้” (มีแบบนี้ด้วย) ช่วงหลังพอได้เงินเดือนมาจึงรีบถวายสิบลดทั้งจำนวนเป็นอันดับแรกทันที เพื่อกันไม่ให้ตัวเองทำบาป แม้ว่าจะมีบ้านที่ต้องผ่อน มีบัตรเครดิตอีกหลายใบที่ต้องชำระ มีหนี้ที่ต้องใช้คืน มีดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย และมีครอบครัวที่ต้องดูแล…พระเจ้าต้องมาก่อนเสมอ!

ขอบคุณพระเจ้า ที่ทรงโปรดให้ฉันได้เรียนรู้และตระหนักว่าสิ่งสารพัดทั้งสิ้นเป็นของพระเจ้า พระเจ้าทรงอนุญาตให้ฉันอารักขาทั้ง 100% ดังนั้น การชักสิบลดจึงเป็นเพียงการคืนให้กับพระองค์เท่านั้น…เมื่อกลับใจและตั้งใจที่จะถวายอย่างสัตย์ซื่อ ทั้งกับการคืนสิบลดให้กับพระองค์ ตลอดจนการถวายเพื่อพันธกิจและเพื่อผู้รับใช้พระเจ้าตามการดลใจจากพระองค์ สันติสุขก็เอ่อล้นใจ ได้รับการปลดปล่อยจากหนี้สินในเวลาต่อมา “แป้งในหม้อก็ไม่หมด น้ำมันในไหก็ไม่ขาด” [1พกษ.17:16]

มิชชันนารีเปรียบเสมือนโยชูวาที่ออกไปยังสนามรบ มีความท้าทาย อันตรายและอุปสรรครออยู่ (ทำให้นึกถึงอาจารย์เปาโลที่เต็มใจจากเอเฟซัสไปเยรูซาเล็ม ทั้งที่รู้ว่าเครื่องจำจองและความยากลำบากคอยท่าอยู่ ท่านก็จะไป และจะทำหน้าที่ให้สำเร็จ…กจ.20:22-24) ดังนั้น คุณพร้อมใช่ไหมที่จะร่วมเป็นหนึ่งในการนำชัยชนะมาสู่แผ่นดินของพระเจ้า ด้วยการปรนนิบัติรับใช้ร่วมกับมิชชันนารี (ดัดแปลงมาจากความรู้ที่ได้รับในห้องเรียนวิชาการแนะนำพันธกิจโลก)

1.การอธิษฐานเผื่อ บางคราคุณอาจรับบทบาทของโมเสส บางคราอาจเป็นเฮอร์หรืออาโรน แต่ไม่ว่าจะอย่างไร คุณเป็นคนสำคัญยิ่ง…เบื้องหลังความสำเร็จและชัยชนะล้วนมาจากคำอธิษฐานทั้งสิ้น (ยชว.17:11-13)
2.การถวายสิ่งของที่จำเป็น หากพระเจ้าทรงนำให้คุณได้รู้ถึงความจำเป็นบางประการของมิชชันนารีหรือองค์กรพันธกิจโลก คุณก็มีส่วนร่วมได้ เช่น การถวายพระคัมภีร์ วรรณกรรมคริสเตียน คอมพิวเตอร์ ฯลฯ ทั้งนี้ รวมถึงการถวายเวลาเพื่อการหนุนใจ การออกไปเยี่ยมเยียนมิชชันนารี การช่วยดูแลครอบครัวเบื้องหลังของมิชชันนารี และการรณรงค์เกี่ยวกับงานมิชชันด้วย
3.การถวายทรัพย์ (ส่งมิชชันนารี)…ผู้ที่เป็นมิชชันนารีนั้น ล้วนวางใจว่าพระเจ้าจะทรงจัดเตรียมเงินทองที่จำเป็นในแต่ละวัน ผ่านทางผู้คนที่เดินในทางของพระเจ้า ถ้าพวกเราถวายส่วนหนึ่งของทรัพยากรของเราอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน และส่งไปยังสถานที่ซึ่งต้องการทรัพยากรนั้นมากที่สุด ถวายแก่พันธกิจโลกทั้งในและต่างประเทศ จะทำให้ประชากรโลกจำนวนมากได้ยินพระนามของพระเยซู (บางส่วนจาก ผจญภัยโดยการถวาย,ดร.บิล ไบรท์)

ข้าแต่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระสิริของพระองค์เต็มแผ่นดินโลก ขอประกายไฟแห่งงานมิชชั่นลุกโชติช่วงขึ้นทั่วผืนแผ่นดินไทย ขอที่ประเทศไทยจะส่งมิชชันนารีออกไปเป็นจำนวนมาก ทั้งในประเทศไทยและจนสุดปลายแผ่นดินโลก ขอทรงโปรดอวยพรผู้เชื่อที่มีภาระใจและได้ถวายอย่างสัตย์ซื่อเสมอมา พระองค์เจ้าข้า ขอทรงโปรดหนุนใจ เติมภาระใจแก่ผู้เชื่อทุกคนเพื่อสนับสนุนงานของมิชชันนารีและพันธกิจโลก ขอทรงโปรดนำเราให้กำหนดยุทธวิธีส่วนตัวสำหรับการถวาย ดลใจเราให้ได้พบกับพันธกิจและบุคคลที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้ให้เรามีส่วนร่วมในงานอันยิ่งใหญ่นี้ และขอทรงโปรดเทพระพรและของประทานอันดีทุกอย่างจากฟ้าสวรรค์ลงมายังชีวิตของผู้เชื่อที่สัตย์ซื่อของพระองค์ ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้เพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์ โดยพระองค์ และเพื่อพระองค์! เอเมน!

วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน

วันที่ 19/11/2010

สดด.90:17 ขอความโปรดปรานของพระเจ้าของข้าพระองค์อยู่เหนือข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทรงสถาปนาหัตถกิจของข้าพระองค์เหนือข้าพระองค์ พระเจ้าข้า ขอพระองค์ทรงสถาปนาหัตถกิจของข้าพระองค์ทั้งหลาย


ค่ายนิมิตใหม่ในหัวข้อ “จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน” จบลงแล้ว หากว่าวลีนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในความคิด และกลิ่นอายของความอบอุ่นและพระพรซึ่งได้รับจากค่ายก็ยังมิจางหาย

ฉันเคยโพสข้อความว่า “จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน” บนเฟสบุ้ค เพื่อนๆ ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนก็เข้ามาพูดคุย บ้างก็คอมเม้นท์ และโทรมาคุย เพื่อนๆ จะถามว่า “ไปไหนเหรอ ไปด้วยดิ” บางคนก็ตอบว่า “ไปเที่ยวกัน/ไปกินข้าวกัน/ไปสังสรรค์กัน” ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องสนุกสนานในกลุ่มเพื่อนฝูง

“จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน” ในความหมายของค่ายคริสตจักรคือ “จับมือไว้ แล้วไปรับใช้พระเจ้าด้วยกัน” ฉันเชื่อเป็นการส่วนตัวว่าสมาชิกที่ได้ไปร่วมค่ายจะมีนิมิตที่ใหม่สมกับชื่อคริสตจักรของเรา และพร้อมที่จะก้าวไปกับคริสตจักร จับมือกับคริสตจักรเพื่อรับใช้พระเจ้าด้วยกันในทุกวิถีทางที่จะกระทำได้

การรับใช้ในคริสตจักรนั้นมีมานานแล้ว ทว่า จะมีมากขึ้นในรูปแบบที่ใหม่กว่า ช่วงวันที่ 12-13/11/2010 ที่ผ่านมา คริสตจักรนิมิตใหม่จึงได้มีการระดมพลังสมองเพื่อเตรียมความพร้อมสู่ศักราชใหม่ ในอันที่จะบรรลุซึ่งเป้าหมาย 10-100-1000 ร่วมกัน โดยคริสตจักรแบ่งงานออกเป็นฝ่ายชัดเจน กำหนดผู้รับผิดชอบหลักในแต่ละพันธกิจ และในแต่ละพันธกิจก็ยังประกอบไปด้วยผู้ช่วยและทีมงานอีกจำนวนหนึ่ง เรามอบแผนงานทั้งสิ้นไว้กับพระเจ้า และเชื่อแน่ว่าพระองค์ทรงสถาปนาไว้แล้ว [สภษ.16:3 จงมอบงานของเจ้าไว้กับพระเจ้า และแผนงานของเจ้าจะได้รับการสถาปนาไว้]

ขอบพระคุณพระเจ้าที่คริสตจักรนิมิตใหม่มีนิมิตที่ใหม่อยู่เสมอในการรับใช้พระเจ้า ซึ่งการรับใช้พระเจ้านั้นคริสตจักรได้แสดงให้เห็นแล้วว่า คริสตจักรเคลื่อนไปด้วยหัวใจ ด้วยหัวเข่า และด้วยหัวคิด อย่างแท้จริง กล่าวคือ

- คริสตจักรเคลื่อนด้วยหัวใจ โดยเทใจให้กับงานของพระเจ้าเป็นงานหลักของชีวิต ด้วยสำนึกว่าเราทั้งหลายเป็นทาสของพระคริสต์ [ลก.17:10 ฉันใดก็ดี เมื่อท่านทั้งหลายได้กระทำสิ่งสารพัด ซึ่งเราบัญชาไว้แก่ท่านนั้น ก็จงพูดด้วยว่า "ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นบ่าวที่ไม่มีบุญคุณต่อนาย ข้าพเจ้าได้กระทำตามหน้าที่ซึ่งข้าพเจ้าควรกระทำเท่านั้น"]

- คริสตจักรเคลื่อนด้วยหัวเข่า โดยเทใจคุกเข่าอธิษฐาน ด้วยสำนึกว่าเราจำเป็นต้องพึ่งพาพระองค์เสมอ “อธิษฐานมาก ก็เกิดผลมาก/อธิษฐานน้อยก็เกิดผลน้อย/ไม่อธิษฐานก็ไม่เกิดผลเลย” [ยก.5:16 …คำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมนั้นมีพลังทำให้เกิดผล]-

คริสตจักรเคลื่อนด้วยหัวคิด โดยเทใจนำความคิดและสติปัญญาที่พระเจ้าทรงประทานให้มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดร่วมกัน ทั้งนี้ เราตระหนักว่าคำตอบทั้งสิ้นมาจากพระองค์ [สภษ.16:1 แผนงานของดวงความคิดเป็นของมนุษย์ แต่คำตอบของลิ้นมาจากพระเจ้า]

หลายคนคงเคยได้ยินกฎของช่างไม้ที่กล่าวถึงการทำงานของช่างไม้ว่า เวลาจะตัดไม้ ต้องวัดขนาดไม้ให้เรียบร้อยเสียก่อน ไม่เช่นนั้นจะมีปัญหาในภายหลัง เพราะโดยปกติแล้วช่างไม้ที่ดีจะ “วัดสองครั้ง ตัดครั้งเดียว” เพราะเมื่อตัดไปแล้วก็คงจะแก้ไขอะไรไม่ได้ง่ายๆ เลย…ไม่รู้เหมือนกันว่าช่างไม้นำกฏนี้มาจากที่ใด แต่สิ่งนี้ทำให้ระลึกถึงช่างไม้ผู้ยิ่งใหญ่ องค์พระเยซูของเรา พระเยซูทรงเป็นลูกของช่างไม้โยเซฟ ทรงเรียนรู้อย่างมากเกี่ยวกับการเป็นช่างไม้มาตั้งแต่เด็กๆ แน่ทีเดียวว่าทรงประกอบอาชีพช่างไม้เหมือนบิดา ทรงรอเวลา ทรงศึกษาเรียนรู้ และเตรียมพระองค์ในทุกด้านเพื่อเข้าสู่ภารกิจหลักที่พระบิดาทรงใช้พระองค์มา…เช่นเดียวกัน การประชุมวางแผนของคณะธรรมกิจนั้นอาจจะกินเวลานาน และอาจจะต้องมีการประชุมอีกในหลายๆ ครั้ง แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ดีเพราะ “หากวางแผนอย่างดี ก็มีชัยไปกว่าครึ่ง” ขอถือโอกาสนี้ส่งกำลังใจให้กับคณะธรรมกิจและผู้เข้าร่วมประชุมทุกท่าน ให้ความชื่นชมยินดีจะอยู่กับท่านเสมอตลอดการประชุม เราเชื่อว่า เมื่อเราลงมือทำ การงานทุกสิ่งก็จะเกิดผลที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า

คณะธรรมกิจจะได้มีการประชุมกันอีก ซึ่งสมาชิกคงจะได้ยินได้ฟังบทสรุปและความเคลื่อนไหวต่างๆ ในเร็วๆ นี้ ฉันในฐานะสมาชิกคนหนึ่งก็ขอร่วมจับมือไปกับทุกท่านด้วยคะ “ขอพระวิญญาณพระเจ้าจะอยู่บนท่านนั้น คือวิญญาณแห่งปัญญาและความเข้าใจ วิญญาณแห่งการวินิจฉัยและอานุภาพ วิญญาณแห่งความรู้และความยำเกรงพระเจ้า [อสย.11:2]” ขอพระเจ้าทรงโปรดสถาปนาชัยชนะและความสำเร็จให้กับเราทั้งหลาย เพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์!

วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เรื่องเล่าจากเพชรบูรณ์

วันที่ 27/10/2010

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาฉันมีโอกาสกลับไปเพชรบูรณ์ บ้านเกิดเมืองนอน เพื่อร่วมพิธีแต่งงานของลูกสาวคุณลุง ญาติฝ่ายแม่ ลูกสาวคุณลุงชื่อว่าทับทิม เป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำอำเภอซึ่งพบรักกับบุรุษพยาบาล

เนื่องจากคุณแม่ของทับทิมเสียชีวิตตั้งแต่ทับทิมยังเด็ก ทับทิมจึงอาศัยอยู่กับคุณพ่อและพี่ชายอีก 4 คน ด้วยความที่บ้านนั้นมีแต่ผู้ชาย ทับทิมจึงชอบอยู่กับพี่ผู้หญิงมากกว่า ทำให้เราพี่น้องสนิทกันมาก จนเมื่อฉันย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ จึงได้ห่างเหินกันไป แต่ฉันยังรัก ระลึกถึง และอธิษฐานเผื่อความรอดของทับทิมเสมอ โดยที่ไม่มีโอกาสประกาศเรื่องราวของพระเจ้ากับเธอเลย เธอรู้เพียงว่าฉันเป็นคริสเตียน ผ่านคำบอกเล่าของคุณแม่ของฉัน

ฉันตื่นเต้นมาก เมื่อไปถึงบริเวณงานแต่งและได้ยินญาติพี่น้องคุยกันว่างานแต่งนี้จะไม่มีพิธีสงฆ์ เพราะเจ้าบ่าวเป็น คริสเตียน ฉันขอบคุณพระเจ้า เพราะอย่างน้อยน้องสาวที่รักก็เข้าใกล้พระเจ้าเต็มทีแล้ว ฉันหารู้ไม่ว่าความชื่นชมยินดียิ่งกว่านั้นรออยู่ ตกกลางคืนได้ใช้เวลากับน้องสาว และน้องก็บอกด้วยความยินดีว่า เป็นคริสเตียนมา 3 ปีแล้ว ตั้งแต่เริ่มคบกับว่าที่เจ้าบ่าวใหม่ๆ แต่ยังไม่กล้าบอกคุณพ่อเรื่องนี้ เกรงว่าคุณพ่อจะรับไม่ได้ เพราะลำพังแค่ไม่มีพิธีสงฆ์ในงานแต่งก็ขัดใจคุณพ่ออย่างมากแล้ว แต่ที่ต้องยอมนั้นก็เพราะความรักที่มีต่อลูกสาว

ฉันหวังใจเป็นการส่วนตัวว่าคนในครอบครัวจะได้รับความรอด เป็นความชื่นชมยินดีที่ได้มองเห็นหลายคนมาโบสถ์พร้อมกันทั้งครอบครัว หรืออย่างน้อยก็มีญาติพี่น้องใกล้ชิดมาด้วย แต่ในหมู่ญาติพี่น้องของฉันทั้งสายพ่อสายแม่ ไม่มีใครเป็นคริสเตียนเลย (เท่าที่รู้) ทับทิมจึงเป็นญาติคนแรกที่เชื่อในพระเยซู สิ่งนี้จึงหนุนใจฉันมาก ทำให้หวังใจยิ่งขึ้นว่าพี่น้องเพื่อนฝูง และอีกหลายๆ คนที่ฉันได้อธิษฐานเผื่อนั้น จะรับพระเยซูเข้ามาในชีวิตด้วยเช่นกัน

ระยะทาง กาลเวลา วิธีการ หรืออะไรก็ตาม ไม่อาจปิดกั้นข่าวประเสริฐของพระคริสต์ได้ ข่าวประเสริฐของพระองค์ถูกประกาศไปทุกแห่งหน …เมื่อผู้เชื่อสัตย์ซื่อในการหว่าน ผู้เชื่อก็จะได้เก็บเกี่ยวในเวลาอันสมควร การหว่านนั้นหาได้จำกัดเพียงการลงมือปฏิบัติไม่ หากว่าการหว่านเมล็ดพืชแห่งการอธิษฐาน ก็เกิดผลยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน ฉันรู้สึกสุขใจที่เป็นส่วนหนึ่งในการหว่านคำอธิษฐานร่วมกับพี่น้องอีกจำนวนมากเพื่อความรอดของน้องสาว ฉันหว่านไปโดยที่ฉันไม่รู้เลยว่าเมล็ดพืชนั้นงอกงามได้อย่างไร ฉันรู้เพียงว่าเป็นพระหัตถกิจของพระเจ้า แผ่นดินของพระเจ้าถูกขยายออกไปโดยพระองค์ และเพื่อพระองค์ พระองค์ทรงยิ่งใหญ่จริงๆ…ฮาเลลูยา! ขอบพระคุณพระเจ้า! สรรเสริญพระองค์!!! [มก.4:27-28 แล้วกลางคืนก็นอนหลับ และกลางวันก็ตื่นขึ้น ฝ่ายพืชนั้นจะงอกจำเริญขึ้นอย่างไรเขาก็ไม่รู้ เพราะแผ่นดินเองทำให้พืชงอกจำเริญขึ้นเป็นลำต้นก่อน ภายหลังก็ออกรวง แล้วก็มีเมล็ดข้าวเต็มรวง]

บางคราพระเจ้าก็ประทานโอกาสให้เราเป็นผู้หว่าน บางคราก็ทรงให้เก็บเกี่ยว บางคราก็ทรงให้เป็นทั้งผู้หว่านและผู้เก็บเกี่ยว ทว่า ผู้ที่ทำให้เติบโตและเกิดผลคือพระองค์ พระเจ้าเดียวของเรา [1คร.3:7 เพราะฉะนั้นคนที่ปลูกและคนที่รดน้ำไม่สำคัญอะไร แต่พระเจ้าผู้ทรงโปรดให้เติบโตนั้นต่างหากที่สำคัญ]

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

ต้องจ่ายราคา

วันที่ 22/9/2010

“จำเป็นต้องจ่ายราคา เมื่อปรารถนาจะเดินกับพระคริสต์”


การเรียนพระคัมภีร์ที่โรงเรียนพระคริสต์ธรรมเทอมแรกของปี 2010 จบลงแล้ว พร้อมกับความโล่งอก ฉันรู้สึกฮาเลลูยาเฮฮาสบายใจเป็นที่สุด ฉันเริ่มเรียนพระคริสต์ธรรมครั้งแรกเมื่อปี 2009 เทอมที่ 1 ซึ่งการเรียนนั้นได้รับพระพรอย่างมาก ทว่า ในขณะเดียวกันก็ทำให้เหน็ดเหนื่อยมากเช่นกัน

เทอมที่ 2 ของปี 2009 ฉันได้หยุดเรียน เพื่อไปเคลียร์ภารกิจทางบ้านให้เข้าที่เข้าทางก่อน ซึ่งพระเจ้าก็ทรงอนุญาต ฉันจึงยังคงมีสันติสุขอยู่ จนกระทั่งในเทอมแรกของปี 2010 ฉันก็คิดจะหยุดเรียนพระคริสต์ธรรมอีก แต่ฉันไม่มีสันติสุขเลย สุดท้ายจึงตัดสินใจลงเรียน แล้วสันติสุขที่พรากไปนั้นก็กลับคืนมา

อย่างไรก็ตาม การไปเรียนนั้น ยังคงมีอุปสรรคอยู่ เช่นว่า ป่วยตรงกับวันเรียน มีงานด่วนตรงกับวันที่เรียน หรือมีภารกิจบางอย่างตรงกับวันที่เรียน ทำให้คิดไปเองว่าฉันคงไม่เหมาะที่จะเรียนต่อไป ดังนั้น ฉันจึงตั้งใจว่าจะหยุดเรียนชั่วคราว ซึ่งอาจจะยืดยาวไปถึงการหยุดเรียนแบบถาวร แต่เมื่อคิดดังนี้แล้ว สันติสุขก็ถูกพรากไปอีก จนวันหนึ่งฉันได้แบ่งปันเรื่องนี้กับพี่เจง ผู้ซึ่งเรียนจบพระคริสต์ธรรมมาหลายปีแล้ว พี่เจงหนุนใจให้ฉันเรียนต่อไป โดยไม่ให้มารและความคิดจอมปลอมมาขวาง ต้องเอาชนะตัวเองให้ได้ ต้องปล้ำสู้ ต้องยอมเหน็ดเหนื่อย เพราะหลายคนที่ลงเรียนก็ล้วนต้องปล้ำสู้ด้วยกันทั้งนั้น

เหตุผลในการเลิกเรียนนั้นมีมากกว่าที่กล่าวไปแล้ว คือ คิดไปเองว่าไม่เห็นต้องไปเรียนพระคัมภีร์ที่โรงเรียนพระคริสต์ธรรมเลย เพราะหลายคนที่ไม่ได้เรียนก็ล้วนเป็นผู้เชื่อที่เข้มแข็งเติบโตในพระคริสต์และรับใช้พระเจ้าได้อย่างเกิดผล ดังนั้น ฉันอาศัยเรียนรวีวารศึกษา เรียนรู้ตามสื่อต่างๆ และศึกษาพระคัมภีร์ที่บ้านเอาเองก็ได้ จะได้มีเวลาอยู่กับแม่มากขึ้น ได้อยู่บ้านมากขึ้น ไม่ต้องทำการบ้านส่งครู ไม่ต้องเดินทางไกล ไม่เหนื่อยด้วย (มีวิญญาณเกียจคร้านมาร่วมวงนิดหน่อย) ฉันอธิษฐานที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนฉันผ่านการใช้เวลาตามลำพังกับพระองค์ที่บ้าน แต่จนแล้วจนรอด ฉันก็ไม่มีสันติสุขเลย เมื่อได้อธิษฐานอีกครั้ง และตัดสินใจที่จะเรียนต่อไป สันติสุขในพระเจ้าก็กลับคืนสู่ใจ การเรียนพระคริสต์ธรรมจึงเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าสำหรับชีวิตของฉัน ฉันจึงจะตั้งใจเรียนต่อไป จนกว่าพระเจ้าจะทรงนำไปในทิศทางอื่น

รวีวารศึกษาเช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดย ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ ได้สอนจากพระธรรมเลวีนิติ 26:14-46 ว่าด้วยโทษของการไม่เชื่อฟัง ซึ่งรายละเอียดนั้นมีมากมายจริงๆ แต่คำพูดหนึ่งที่ประทับใจฉันมากคือ เราผู้เชื่อทุกคนนั้น “ต้องจ่ายราคา” แห่งการติดตามพระคริสต์ กล่าวคือ เราต้องลงทุน ต้องลงแรง ต้องลงหัวใจ ต้องลงชีวิต หลายครั้งก็ต้องเจ็บปวด แต่การจ่ายราคาในแผ่นดินของพระเจ้านั้นเราได้กำไรเสมอ เป็นความชื่นชมยินดีและสันติสุขอันเกินความเข้าใจ อาจารย์ยกตัวอย่างง่ายๆ ว่า สตรีที่ต้องการมีลูก เธอก็จำเป็นต้องตั้งครรภ์ ต้องคลอดบุตร ซึ่งเป็นความเจ็บปวดอย่างมาก แต่ในที่สุด ก็กลายเป็นความชื่นชมยินดีเมื่อได้ลูกมาเชยชม
ชีวิตในพระคริสต์นั้น เราต้องจ่ายราคา เพราะพระบิดาเองก็ได้ทรงจ่ายราคาเช่นกัน ทรงยอมสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ให้ลงมายังโลกมนุษย์เพื่อไถ่บาปให้กับคนบาปอย่างเรา องค์พระเยซูเองก็ได้ทรงจ่ายราคาด้วยชีวิตและพระโลหิตประเสริฐของพระองค์เพื่อคนบาปอย่างเราเช่นกัน ในโลกนี้จึงไม่มีการจ่ายราคาใดที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว

การติดตามพระคริสต์จำเป็นต้องจ่ายราคา ราคานั้นคือ หัวใจที่ถ่อมและยอมจำนนต่อพระองค์ทุกสิ่ง ยอมเสียสละความสะดวกสบายของตนเพื่อรับใช้พระองค์ ยอมถูกเข้าใจผิดจากผู้คน ยอมถูกปฏิเสธจากโลก ยอมสวนกระแสโลก ยอมทนทุกข์ในสถานการณ์แวดล้อม ยอมพับแผนการของตนไว้แล้วกระทำตามแผนการของพระเจ้า ยอมที่จะรับใช้พระเจ้าตามการทรงนำของพระองค์ มิใช่รับใช้พระเจ้าตามใจปรารถนาของตน

หลังจบชั้นรวีวารศึกษาช่วงเช้าแล้ว ฉันได้เข้าเรียนรวีวารศึกษาช่วงสายกับบทเรียน Post-Encounter โดยครูแมม ฉันก็ได้รับความประทับใจเดียวกัน ครูแมมกล่าวถึง “การจ่ายราคา” อีกครั้งหนึ่ง และอีกครั้งในช่วงเทศนา ศจ.ธงชัยก็กล่าวถึง “การจ่ายราคา” อีก เป็นอันว่าพระเจ้าทรงตรัสเน้นย้ำกับฉันในเรื่องนี้ถึง 3 ครั้ง

ในช่วงสามัคคีธรรมของกลุ่มเซลพระสิริ เราได้พูดคุยถึงบทเรียนเรื่องการจ่ายราคา ซึ่งแต่ละคนก็ได้แบ่งปันประสบการณ์ของตนเองในมุมมองที่แตกต่างกันไป เช่น พี่เจงมีบทเรียนเรื่องการจ่ายราคา ที่เข้าเรียน ABAC โดยไม่ได้สอบเอง สุดท้ายก็เรียนไม่จบ ต้องเสียเวลาและเสียเงินไปจำนวนหนึ่ง พี่หมวยมีบทเรียนเรื่องนำสินค้าตุ๊กตาบรายธ์ที่ไม่มีลิขสิทธิ์มาขาย ทำให้เสียต้นทุนไป ถูกยึดสินค้าและต้องเสียค่าปรับเพิ่มด้วย พี่น้อยมีบทเรียนเรื่องนำซีดีไม่มีลิขสิทธิ์มาขายเช่นกัน

เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันได้อธิษฐานกับพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง บอกพระองค์ว่าฉันยินดีจ่ายราคาตามพระบัญชาของพระองค์ เพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์ อะไรก็ได้ พระองค์เจ้าข้า ตรัสกับลูกเถิด!

วันรุ่งขึ้นฉันได้รับอีเมล์ TGIF (Today God Is First) devotional message, Copyright by Os Hillman ซึ่งฉันสมัครรับเป็นอาหารฝ่ายจิตวิญญาณประจำวันนั้น วันดังกล่าวเป็นหัวข้อ The Pitfall of Being Entrepreneurial กล่าวถึงเรื่องราวเมื่อครั้งที่ดาวิดเสด็จไปรับหีบพันธสัญญา โดยนำมาบรรทุกหีบบนเกวียน และให้อุสซากับอาหิโยเป็นคนขับนั้น เจ้าโคดันสะดุด และด้วยความปรารถนาดี อุสซาได้ยื่นมือออกไปกุมหีบไว้ พระเจ้าจึงทรงลงโทษประหารเขาในทันที [1พศด.13:9-10 และเมื่อเขาทั้งหลายมาถึงลานนวดข้าวของคิโดน อุสซาก็เหยียดมือออกกุมหีบไว้เพราะโคสะดุด และพระพิโรธของพระเจ้าได้พลุ่งขึ้นต่ออุสซา และพระองค์ทรงประหารเขา เพราะเขาเหยียดมือออกยังหีบนั้นและเขาก็สิ้นชีวิตต่อพระพักตร์พระเจ้า] ในครั้งนั้น ดาวิดโกรธพระเจ้ามาก แต่ต่อมาดาวิดก็ได้เรียนรู้น้ำพระทัยพระเจ้าจากเรื่องนี้มากขึ้น ก่อนหน้านี้ฉันเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมพระเจ้าผู้ทรงพระกรุณาและมีพระคุณ ทรงกริ้วช้าและอุดมด้วยความรักมั่นคง จึงโหดร้ายต่ออุสซายิ่งนัก เขาอุตส่าห์ช่วยไม่ให้หีบหล่นด้วยหัวใจที่ปรารถนาดี ทำไมพระเจ้าต้องทรงประหารเขาด้วย (ขอบคุณแอรี่ที่แนะนำ website http://msg1svc.net/servlet/FormListener?Y2dpOjE6TE4=)

กาลต่อมาฉันจึงได้เรียนรู้ว่า พระเจ้าทรงมีกฎเกณฑ์ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการเชิญหีบพันธสัญญา แต่การเคลื่อนย้ายที่กล่าวมานั้น กลับนำไปบรรทุกเกวียน และให้คนที่มิใช่เชื้อสายเลวีเป็นผู้ดูแล สิ่งนี้เป็นการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ของพระเจ้าอย่างชัดเจน …การไม่เชื่อฟังก็คือการไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้า เป็นการนอกใจพระองค์

ขอยกคำพูดบางส่วนจากบทความที่อ่านนะคะ “มีสิ่งดีหลายประการที่เราสามารถทำได้ แต่เราควรทำเฉพาะสิ่งที่พระเจ้าประสงค์เท่านั้น” สิ่งที่ดีในสายตามนุษย์ อาจไม่ใช่สิ่งดีสำหรับเราในสายพระเนตรของพระเจ้า ฉะนั้น “จงอย่าทำอะไรก็ตามที่พระเจ้าไม่ได้นำ” เพราะมิเพียงจะไม่เกิดผลดีเท่านั้น แต่จะยังเกิดผลเสียด้วย และที่ร้ายแรงยิ่งกว่าคือ อาจต้องเสียชีวิตเหมือนอุสซาก็เป็นได้ (น่าสงสารอุสซามาก เขาคงไม่ทราบกฎเกณฑ์นี้ แต่ขอบคุณพระเจ้าที่เรารู้แล้ว)

พระเจ้าทรงมีแผนการและน้ำพระทัยที่เฉพาะเจาะจงสำหรับเราแต่ละคน ...พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงโปรดช่วยเราให้จ่ายราคาเพื่อพระองค์ โดยสติปัญญาซึ่งมาจากพระองค์ โดยสันติสุขอันเปี่ยมล้นจากพระองค์ ให้เรากระทำทุกสิ่งตามชอบพระทัยพระองค์ เพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

ประกันชีวิตนิรันดร์

วันที่ 25/8/2010

ฉันมีโอกาสใช้บริการประกันภัยเป็นครั้งแรกเมื่อเร็วๆ นี้ จึงขอเล่าสู่กันฟังนะคะ แต่ก่อนอื่นขอทบทวนความหมายของคำว่าประกันภัยก่อนคะ

การประกันภัย คือ การบริหารความเสี่ยงภัยวิธีหนึ่ง ซึ่งจะโอนความเสี่ยงภัยของผู้เอาประกันภัยไปสู่บริษัทประกันภัย เมื่อเกิดความเสียหายขึ้น บริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามที่ได้รับความคุ้มครองในกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้เอาประกันภัย โดยที่ผู้เอาประกันภัยจะต้องเสียเบี้ยประกันภัยให้แก่บริษัทประกันภัยตามที่ได้ตกลงกันไว้

รูปแบบการประกันภัย แบบมาตรฐาน แบ่งออกเป็น 2 สายหลัก คือ การประกันชีวิต และการประกันวินาศภัย การประกันชีวิต (Life Insurance) หมายรวมถึง การประกันต่อความสูญเสีย เสียหายอันจะเกิดแก่บุคคล หรือ กลุ่มบุคคล โดยสัญญาจักชดเชยเมื่อมีการเสียชีวิต และอาจมีความคุ้มครองอื่น ๆ เพิ่มเติมเช่น การประกันอุบัติเหตุและสูญเสียอวัยวะ, การประกันกรณีทุพพลภาพ , หรือ การประกันสุขภาพ ส่วนการประกันวินาศภัย (Non-Life Insurance) นั้น แบ่งออกเป็นสี่ประเภท คือ การประกันอัคคีภัย, การประกันรถยนต์, การประกันทางทะเล และ การประกันเบ็ดเตล็ด

ภาครัฐไม่ได้มีกฎหมายกำหนดว่าประชาชนจะต้องทำประกันชีวิต แต่กำหนดให้รถทุกคันต้องทำประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (พรบ.) อย่างไรก็ตาม พรบ. นั้นมีข้อจำกัด คือ คุ้มครองคน ไม่คุ้มครองรถ เหตุนี้เอง หลายคนจึงต้องซื้อประกันรถยนต์เอง เรียกว่า การประกันภัยภาคสมัครใจ โดยมีกรมธรรม์ให้เลือกทั้งแบบประเภท 1, 2 และ 3 โดยกรมธรรม์ชั้น 1 ให้ความคุ้มครองมากที่สุด คือ คุ้มครองคน ทรัพย์สิน รถเสียหาย รถหาย รถไฟไหม้ ส่วนกรมธรรม์ชั้น 2 นั้น ต่างกับประกันภัยชั้น 1 ตรงที่ ไม่คุ้มครองความเสียหายของตัวรถยนต์ของเรา จึงไม่เป็นที่นิยมเท่าไร แต่กรมธรรม์ชั้น 3 เป็นที่นิยมสูงสุด เพราะมีค่าเบี้ยประกันภัยถูกที่สุด แต่ให้ความคุ้มครองเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอกเท่านั้น

ฉันเกริ่นซะยาวเชียว เพียงเพื่อจะเล่าให้ฟังว่าฉันได้ใช้บริการทั้งประกันชีวิตและประกันวินาศภัยภายในสัปดาห์เดียวกัน นึกแล้วก็ยังตื่นเต้นอยู่นะเนี่ย ก็มือใหม่นี่นา จึงไปจูบก้นรถคันหน้าซะงั้น รถจึงต้องเข้าศูนย์บริการตามระเบียบ ขอบคุณพระเจ้าที่มีประกันภัยชั้นหนึ่ง จึงไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ต่อมาฉันก็เกิดอาการอาหารเป็นพิษ ต้องเข้านอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล จึงได้ใช้บริการประกันสุขภาพ ซึ่งก็ต้องขอบคุณพระเจ้าอีกนั่นแหละ เพราะหากไม่มีประกันสุขภาพ ฉันก็คงต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองชนิดอ่วมอรทัย
เพื่อความอยู่ดีมีสุข ทรัพย์สินของเราจึงควรมีประกันภัย และชีวิตของเราก็ควรมีประกันชีวิต แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่ความสมัครใจนะคะ ซึ่งหลายคนก็เห็นความสำคัญ ทำประกันชีวิตและประกันภัยด้วย ในขณะที่หลายคนอาจเห็นว่าไม่จำเป็น

ถึงแม้ว่าประกันชีวิตและประกันภัยจะมีประโยชน์เพียงใดก็ตามแต่ สิ่งนี้ก็ต้องมีเงื่อนไขในการจ่ายออกไป หากต้องการความคุ้มครองมากก็ต้องจ่ายมากเป็นเงาตามตัว และก็ไม่ได้ความว่าเราจะได้รับการคุ้มครองในทุกกรณี ดังนั้น การประกันเช่นนี้จึงมิอาจวางใจได้ ด้วยว่าสิ่งนี้มิใช่การประกันที่ถาวรนิรันดร์นั่นเอง

การประกันที่ถาวรนิรันดร์ซึ่งเราสามารถวางใจได้นั้น มีเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น คือ ทางองค์พระเยซูคริสต์ [ยน.14:6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา] เป็นการประกันที่เราไม่ต้องจ่ายราคาใดๆ เพราะพระเยซู พระผู้ไถ่ องค์บริสุทธิ์ ได้ทรงจ่ายราคาให้กับเราทั้งหมดแล้ว บนไม้กางเขนนั้น

[ยน.3:16] “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”

ขอบคุณพระเยซู

อยากจะขอบคุณ

วันที่ 24/8/2010

เมื่อเร็วๆ นี้เกิดเหตุการณ์บางอย่างในชีวิต จนเป็นเหตุให้ต้องเข้านอนโรงพยาบาล 1 คืน ตั้งแต่จำความได้ เคยนอนโรงพยาบาล 1 ครั้ง ตอนที่ยังเป็นเด็กอยู่ และนอนโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่งเมื่อ ปี 2008 ที่โรงพยาบาลตราด (อ้าว! เหตุการณ์นี้ไม่เกี่ยว แค่ไปนอนค้างคืนที่หอพักพยาบาล เมื่อครั้งเดินทางกับพี่อิ๋วไปเยี่ยมเยียนพี่ป๊อบที่จังหวัดตราด)

วันเกิดเหตุที่ต้องนอนโรงพยาบาลเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิตนั้น เกิดขึ้นระหว่างที่กำลังเดินทางกลับจากคริสตจักรน้ำยืน อุบลราชธานี แวะทุกปั้ม ฉันก็ถ่ายท้องทุกครั้งเลย ถ้าเป็นช่วงเหตุการณ์ปกติ เพื่อนๆ ก็มักจะแซวว่า “จองที่” คือว่า หากไปที่ไหน แล้วได้ถ่ายท้องที่นั่น แสดงว่า เราเป็นเจ้าของหรือมีส่วนร่วม (อันนี้พูดเล่นๆ กันในหมู่เพื่อนฝูงนะคะ)

พี่น้องร่วมทางในรถก็อธิษฐานเผื่อฉัน ฉันรู้สึกขอบคุณมาก ทั้ง ศบ.พงษ์ศักดิ์ คุณยายอรุณ ครูแมม และพี่อิ๋ว แม้แต่คนขับรถคือเฮียเป็ดก็เอายามาให้ทาน แต่อาการของฉันก็ยังไม่ดีขึ้น ยิ่งเดินทางนานขึ้นก็ยิ่งปวดท้องมากขึ้น ปวดมากจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เกิดอาการปั่นป่วน มวนๆ บิดๆ อย่างรุนแรง โดยเฉพาะช่วงระยะทางจากโคราชถึงกรุงเทพฯ นั้น นอนไม่ได้เลย ต้องงอตัวและเอาหัวพิงเบาะข้างหน้า เป็นความทรมานอย่างมาก เมื่อถึงกรุงเทพฯ ปุ๊บ เจอโรงพยาบาล ก็ขอเลี้ยวเข้าปั๊บเลย

การถ่ายท้องคงจะหยุดลงแล้ว แต่อาการปวดท้องกลับหนักขึ้น มาถามเพื่อนที่เคยมีอาการนี้ภายหลัง เพื่อนเล่าว่าเกิดจากลำไส้ถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง และมีเชื้อโรคอยู่ที่ลำไส้ด้วย ประกอบกับการเดินทางไกล รถเด้งขึ้นเด้งลง ไม่ได้นอน อาการจึงหนักมาก ต่อมาฉันก็เริ่มหนาวสั่น ไข้ขึ้น หมดเรี่ยวหมดแรง น้ำตาไหลพราก

เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาดูอาการ พอคนเดิมออกไป คนใหม่ก็เข้ามา ก็ถามชื่อ ถามประวัติ ถามอาการซ้ำอีก โอ๊ย! ปวดท้องจะแย่อยู่แล้ว ถามเซ้าซี้อยู่ได้ ทำไมไม่คุยกันเองนะ สรุปว่าอาการหนักต้อง Admit ฉันก็ตกลง สักพักหนึ่งก็มีคนใหม่เข้ามาอีก มาเจาะเลือด มาถามประวัติ ถามอาการอีก คราวนี้ระเบิดลง ไม่ไหวแล้ว ไม่อยู่แล้วโรงพยาบาลนี้ กลับบ้านดีกว่า ครูแมมก็เข้ามาหนุนใจว่าให้นอนโรงพยาบาลเถอะ ฉันจึงตกลง เอาไงเอากัน

“เป็นยังไงมั่งคนเก่ง” เสียงหล่อทุ้มอบอุ่นลอยเข้ามา ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นคุณหมอ แต่เป็นน้ามุขสุดหล่อของครูแมม มาพร้อมน้องมัท ฉันยกมือไหว้ได้ข้างเดียว เพราะมืออีกข้างถูกสายน้ำเกลือสกัดไว้ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนคุณพ่อมาเยี่ยมเลยคะ รู้สึกถึงความห่วงใยเจือความอบอุ่นที่บอกไม่ถูก น้ำตาแห่งความตื้นตันใจก็ไหลออกมาปนกับน้ำตาแห่งความเจ็บปวดจากอาการป่วย น้ามุขบอกว่า “หมดสภาพเลย” เอ้อเหอ ของจริงคะน้ามุข เก่งไม่ออกแล้วคราวนี้

คริสตจักรของเรานั้นเป็นครอบครัวใหญ่ มีสมาชิกหลายร้อยคน ป้ายวงก็เพิ่งจากเราไป หลายคนก็เหน็ดเหนื่อยกับการเตรียมงานศพ สมาชิกบางคนก็เจ็บป่วย สมาชิกบางคนก็สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก สมาชิกบางคนก็ต้องการความช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ ขอบคุณที่คริสตจักรของเรานั้นรักและพะวงซึ่งกันและกัน…ขอบคุณเหลือเกิน

เล่าข้ามฉากไปนิดหนึ่งคะ พยาบาลนำตารางค่าห้องมาให้ดู “จะเลือกแบบไหนคะ ตอนนี้เหลือเฉพาะห้องเดี่ยวธรรมดา กับห้องเดี่ยววีไอพี” โอ้โห! ขอกลับบ้านได้ไหม (จ๊าก! ไม่ทันแล้ว) ห้องธรรมดาก็ราคา 3,800++ โอ๊ะโอ๋ ราคาประมาณห้อง Deluxe โรงแรมสี่ดาวเลยนะคะ ฉันจึงตกลงเลือกห้องที่ถูกที่สุดซึ่งยังมีอยู่ คือห้องราคา 3,800 บาท

พี่อิ๋วหัวหยิกน่ารัก อาสานอนเฝ้าคนป่วยโดยที่ไม่ได้ร้องขอ สองพี่น้องจึงนอนโรงพยาบาล 1 คืน ขอบคุณพระเจ้า เมื่อถึงเวลาเช้าอาการก็ดีขึ้น เติมน้ำเกลือเป็นขวดที่ 2 พี่อิ๋วต้องกลับไปนมัสการที่โบสถ์ ส่วนฉันนั้นสามารถลากถังน้ำเกลือด้วยตัวเองได้แล้ว ช่วงสายๆ เจ้าหน้าที่การเงินโทรมาแจ้งค่าใช้จ่ายเบื้องต้นคืนแรก จำตัวเลขไม่ได้ ได้ยินแต่คำว่าหมื่นกว่าๆ อ๊ะ ไข้จะขึ้นไหมเนี่ย แต่เบิกประกันได้ส่วนหนึ่ง และฉันต้องชำระเองส่วนหนึ่ง

คุณหมอเข้ามาดูอาการตอนประมาณ 10 โมง และมีมติว่าให้นอนโรงพยาบาลต่ออีก 1 คืน แต่ฉันไม่ตกลง คุณหมอบอกว่าถ้าคุณกลับบ้านก็เสี่ยงมาก เพราะคุณอ่อนเพลียมาก แล้วหมอก็ให้แลบลิ้น ปลิ้นตา กดท้อง กดนู่น กดนี่ แล้วก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ ซึ่งต้อง check out เวลาบ่ายสอง (เหมือนโรงแรม…อีกแล้ว) ฉันก็นอนให้น้ำเกลือต่อไปเรื่อยๆ ประมาณเที่ยงก็มีเจ้าหน้าที่มาแจ้งค่าใช้จ่ายจริงกับการนอนโรงพยาบาล 1 คืน คือ 12,100.72 บาท ซึ่งขอบคุณพระเจ้าที่บริษัทซึ่งทำงานอยู่ได้ทำประกันให้กับพนักงาน ประกันจึงจ่ายให้ 10,260.72 บาท และฉันจ่ายส่วนเกิน 1,840 บาท

น้ามุขกับครูแมมมารับออกจากโรงพยาบาล ฉันแอบบ่นกับครูแมมว่าต้องจ่ายส่วนเกิน 1,840 บาทแน่ะ ถ้าเข้าโรงพยาบาลที่มีประกันสังคมด้วย ก็คงไม่ต้องจ่ายเลย (แต่ถ้าคืนที่ป่วยต้องเดินทางต่อไปที่ย่านพระราม 2 ใกล้บ้านนั้น เห็นจะไม่ไหวแน่) ครูรวี จึงเตือนว่าให้คิดในแง่บวก ให้ขอบคุณพระเจ้าที่ก้อนใหญ่นั้นมีผู้จ่ายให้ ส่วนเรานั้นจ่ายเฉพาะก้อนเล็กเท่านั้น ขอบคุณพระเจ้า

ด้วยความที่ค่าห้องแพงเหลือเกิน น้ามุขจึงช่วยหยิบทุกอย่างที่อยู่ในรายการของผู้ป่วยใส่ถุงให้ ทั้งขนม น้ำ นมกล่อง น้ำผลไม้ หนังสือพิมพ์ และกระเป๋าเล็กบรรจุอุปกรณ์ทำความสะอาดร่างกาย เป็นอันฮาสำหรับฉันมาก

กระบวนการส่งต่อผู้ป่วยเกิดขึ้นที่คริสตจักรนิมิตใหม่ คุณพี่อ้อยกับพี่เว้ง และพี่แอ๊ด อาสาไปส่งถึงบ้าน คุณพี่แอ๊ดนั้นขนของอันหนักอึ้งเข้าไปถึงในบ้านเลยทีเดียวเชียว ส่วนพี่เว้งนั้นก็หัวเราะอารมณ์ดี “ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรหรอก หายแล้ว” นั่นคือกำลังใจจากพี่ชายของเรา

“พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ในยามยากลำบาก” [สดด.46:1] ขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงเป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่เสมอจริงๆ ในยามยากลำบากนั้น ทรงให้ความช่วยเหลือผ่านทางคริสตจักรของพระองค์ “โอกาสเหมาะที่สุดที่จะยื่นมือไปช่วยใคร คือเวลาที่เขาต้องการความช่วยเหลือ” เป็นคำกล่าวที่เป็นจริงมาก ขอบคุณพระเจ้าอีกครั้งสำหรับพี่น้องทุกคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในยามยากลำบาก ทั้งที่เอ่ยนามและไม่ได้เอ่ยนาม ขอบคุณทุกคนที่อธิษฐานเผื่อ ขอบคุณทุกข้อความทั้งทางโทรศัพท์และทาง facebook ขอบคุณสำหรับโทรศัพท์ทุกสาย ขอบคุณทุกความห่วงใย เหตุการณ์นี้ทำให้ระลึกถึงสุภาษิตที่ว่า “มิตรสหายก็มีความรักอยู่ทุกเวลา และพี่น้องก็เกิดมาเพื่อช่วยกันยามทุกข์ยาก” [สภษ.17:17]

พระเจ้าทรงได้รับเกียรติจากการกระทำของทุกท่าน แม้ท่านจะทำกับคนเล็กน้อยคนนี้ ท่านได้เลียนแบบองค์พระเยซู พระองค์ทรงชี้ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ฝ่ายจิตวิญญาณก็สนิทแน่นแฟ้นเช่นเดียวกับความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่หากจะว่าไปแล้ว เรานั้นก็มีสายเลือดเดียวกัน โดยทางพระโลหิตขององค์พระเยซู

ฮาเลลูยา!

เจ้าตัวอิจฉา

วันที่ 9/8/2010

วิชาการให้คำปรึกษาที่โรงเรียนพระคริสต์ธรรมสวนพลูเทอมนี้ อ.วีระนุช มอบหมายงานชิ้นหนึ่งให้นักศึกษาภาคค่ำจับคู่กันทำรายงาน เพื่อนำไปสู่การเป็นที่ปรึกษาที่ดี หัวข้อที่แต่ละคู่ได้นั้นก็แตกต่างกันออกไป พี่อิ๋วกับฉันนั้นจับคู่กันและทำรายงานในหัวข้อ “ความอิจฉาริษยา” ทุกสิ่งนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ พระเจ้าทรงประสงค์ให้ฉันเรียนรู้เรื่องดังกล่าวตามน้ำพระทัยของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง

อันว่าความอิจฉาริษยานั้น เป็นความบาปที่ตกทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษนั่นทีเดียว ตั้งแต่ครั้งอาดัมกับเอวาในสวนเอเดน โดยต้นแบบแห่งความอิจฉาริษยาก็คือเจ้ามารซาตานนั่นไง เจ้าลูซิเฟอร์ ฑูตสวรรค์ผู้มีจิตใจอิจฉาริษยา ปรารถนาจะเป็นเหมือนพระเจ้า มันจึงต้องร่วงลงมาจากฟ้า พระคัมภีร์ให้บทเรียนเรื่องความอิจฉาริษยาไว้มากมายหลายตอน เรื่องราวที่โด่งดัง ก็เช่น คาอินกับอาเบล, เอซาวกับยาโคบ, นางซาราห์และฮาการ์, โยเซฟและพี่ชาย, ซาอูลและดาวิด เป็นต้น

ถึงแม้ว่าฉันได้ผ่านบทเรียนและกลับใจเรื่องความอิจฉาริษยามาหลายรอบแล้วก็จริง แต่ดูเหมือนว่ายังต้องเรียนรู้อีกและยังต้องกลับใจอีก ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำฉันด้วย

หนังสือเล่มหนึ่งที่ฉันอ่านเพื่อประกอบการทำรายงานคือ “อิจฉาและริษยา” ของเฮนรี่ ดับบลิว ไรท์ แปลโดย ภัทรียา กาญจนมุกดา ของสำนักพิมพ์บริดจ์ คอมมิวนิเคชั่น อ่านไปก็สำรวจตนเองไป ระลึกถึงที่คริสตจักร ที่ทำงาน เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง และอื่นๆ

คำว่า “อิจฉา” มีความหมายว่า มีความอยากได้ในสิ่งที่ผู้อื่นมี แต่เราไม่มี ทั้งด้านทรัพย์สมบัติ ลักษณะรูปร่างนิสัย และการประสบความสำเร็จ ส่วนคำว่า “ริษยา” หมายความว่า ความรู้สึกไม่พอใจ หรือเป็นทุกข์เป็นร้อน เมื่อเห็นผู้อื่นมี ในสิ่งที่ตัวเองไม่มี

ความอิจฉาริษยามีรากมาจากการไม่เชื่อวางใจพระเจ้า ไม่เชื่อว่าพระเจ้ารักและดูแล ไม่เชื่อว่าพระองค์ช่วยเหลือค้ำจุนทุกสิ่งในชีวิตได้ ทั้งนี้ กุญแจ 3 ประการ เพื่อทำความเข้าใจเรื่องความอิจฉาริษยา คือ ข้อ 1- ไม่วางใจพระเจ้า, ข้อ 2- ไม่เชื่อว่าพระเจ้าจะดูแลชีวิตคุณ, ข้อ 3- ไม่ยอมรับตัวเองอย่างที่พระองค์ยอมรับคุณ

วิญญาณที่เกี่ยวข้องกับความอิจฉาริษยา ได้แก่ ความรู้สึกทั้งหมดที่พัวพันอยู่กับสิ่งเหล่านี้ คือ การแก้แค้น ความโหดร้าย ความโกรธ การผูกพยาบาท ความเดือดดาล ซาดิสท์ การกรีดร้อง การอาฆาตแค้น การทรยศ การควบคุม ชอบบงการ การครอบงำ ขาดความอดทน ร้อนใจ การวิพากษ์วิจารณ์ ความโลภ เห็นแก่ได้ ความปรารถนาที่ควบคุมไม่ได้ อยากรู้อยากเห็น ความไม่พอใจ กิเลสในวัตถุสิ่งของ การขโมย ความขมขื่น ขุ่นเคือง การต่อต้าน ดูถูก แข่งขัน การเป็นศัตรู การต่อสู้ เกลียดชัง การเกลียดสิทธิอำนาจ การเป็นศัตรู ฉุนเฉียว การฆาตกรรม ความแค้นใจ เกลียดตัวเอง เจ้าอารมณ์ ไม่ยอมยกโทษ ความรุนแรง โมโหจัด ทะเลาะวิวาท ความรำคาญ โต้เถียง ไม่ลงรอยกัน ถกเถียง ประชดประชัน พูดให้ร้าย ยะโสโอหัง หยิ่งทะนง

ปัญหาของความอิจฉาริษยา คือ ต่อให้คุณมีมากเท่าไร คุณก็ไม่เคยพอใจ ความอิจฉาไม่เคยปล่อยให้คุณอยู่ตามลำพัง และจะไม่ปล่อยให้คุณมีสันติสุข เพราะคุณจะคอยเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นตลอดเวลา คุณยอมรับตัวเองอย่างที่เป็น รวมถึงสิ่งที่พระเจ้ากำลังทำในชีวิตคุณในระดับของคุณไม่ได้

วิญญาณแห่งความอิจฉาริษยาไม่เคยทำให้ใครมีความสุข มันกัดกินสันติสุขไปโดยที่หลายครั้งนั้นไม่รู้ตัว สำหรับฉันนั้นสิ่งนี้เกิดขึ้นที่บ้านนั่นเอง ไม่ใช่ที่ใดอื่นไกลเลย ด้วยเหตุว่าฉันเกิดอาการเปรียบเทียบโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นคุณลุงคุณป้าข้างบ้านดูแลลูกสาวอย่างดี คุณลุงคุณป้าอายุประมาณ 60 ปีแล้ว แต่ทำทุกสิ่งสารพัดให้กับลูกสาววัยประมาณ 40 ที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน โดยคุณลุงคุณป้าจะดูแลงานบ้านงานเรือนให้ทั้งหมด โดยที่ลูกสาวไม่ต้องทำงานบ้านเลย เช้ามา พ่อแม่ก็หยิบรองเท้าให้ เปิดประตูบ้านให้ ล้างรถให้ เย็นมาก็รอเปิดประตูรับลูก ช่วยถือของ พร้อมมีอาหารเย็นจัดเตรียมไว้ให้ ทานอิ่มแล้วพ่อกับแม่ก็ล้างให้ เป็นต้น เมื่อเห็นดังนั้นแล้วก็อดเปรียบเทียบไม่ได้ในเวลานั้น รู้สึกอิจฉาพี่สาวข้างบ้านขึ้นมาซะแล้ว

หลังจากพิมพ์รายงานรอบแรกเสร็จและส่งให้พี่อิ๋วช่วยเพิ่มเติมเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่อ่าน สิ่งที่พิมพ์ ก็วนเวียนซ้ำไปมาอยู่ในหัว และก็ต้องตกใจอย่างมากที่พบว่าฉันเป็นคนอกตัญญูสิ้นดีและมีความอิจฉาอย่างร้ายกาจที่เปรียบเทียบตนเองกับพี่สาวข้างบ้านเช่นนั้น ช่างน่าละอายจริงๆ

ในวันเดียวกันนั้น ช่วงเวลาส่วนตัวได้หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน เล่มนี้อ่านค้างนานแล้ว ชื่อเรื่อง “พระคริสต์ในคุณสะท้อนพระสิริของพระองค์” โดย ดร.เลส คาร์เตอร์ แปลโดย จารุวรรณ ใหม่วงศ์ สำนักพิมพ์ศูนย์ทีรันนัส เมื่อเปิดปุ๊บก็พบหัวข้อเรื่อง “รับหัวใจทาสรับใช้ไว้เป็นของตน” เรื่องโดยย่อกล่าวว่า ในคำเทศนาของเปาโลเรื่องความถ่อมใจ ท่านอธิบายว่าพระเยซูทรง “รับสภาพทาส” ซึ่งคำนี้ช่วยให้เกิดความเข้าใจที่มั่งคั่งในความถ่อมใจของพระคริสต์

ในสมัยการปกครองของโรม เจ้านายสามารถปล่อยทาสให้เป็นอิสระได้ แต่บางครั้งผู้ที่ได้รับอิสรภาพจะบอกเจ้านายของตนว่า “แม้ว่าข้าพเจ้าเป็นอิสระจะเลือกทำอะไรก็ได้ ข้าพเจ้าต้องการอยู่กับท่านเป็นข้ารับใช้ท่านต่อไป ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตัวเยี่ยงทาส แม้เราทั้งคู่รู้ว่าข้าพเจ้าไม่ได้เป็นทาสแล้วก็ตาม” นี่คือ หัวใจของทาสรับใช้

พระเยซูทรงรักษาท่าทีของทาสรับใช้เอาไว้ ประการแรก ท่าทีในการอุทิศตัวต่อพระเจ้า แล้วก็ท่าทีในการอุทิศตัวต่อผู้คน แม้ว่าจะทรงสามารถทำสิ่งใดก็ตามและที่ใดก็ตามที่พระองค์ต้องการ พระองค์ทรงเลือกจะเป็นผู้รับใช้ด้วยใจสมัครแก่ผู้ที่ต้องการพระองค์ การทำเช่นนั้น พระองค์ต้องเอาการมุ่งสนใจแต่ตัวเองออกไป และใส่ใจกับผู้ที่พระองค์ทรงรักก่อน

ผู้เขียนยังกล่าวด้วยว่า ท่าทีของทาสรับใช้เป็นเรื่องยากที่จะทำให้สำเร็จได้ในหลายสถานการณ์ และบางคนอาจจะเอาเปรียบจากคุณสมบัติที่ดีนั้นได้ เป็นไปได้เสมอที่ใครบางคนจะใช้เราในทางที่ไม่ถูกไม่ควร แต่ผู้เขียนก็บอกเราว่า “ลืมมันเสียเถอะ” จริงอยู่ การเป็นผู้รับใช้อาจเชิญชวนให้คนไม่ไวต่อความรู้สึกของคนอื่น อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถเป็นทุกสิ่งสำหรับทุกคนได้

ตัวอย่างที่ดีตัวอย่างหนึ่งมาจากการสนทนาของพระเยซูกับเหล่าสาวกของพระองค์ ในคืนก่อนที่เขาจะอายัดพระองค์ เป็นเวลาของการชำระก่อนมื้ออาหารปัสกา ตามธรรมเนียมกำหนดให้สมาชิกในกลุ่มที่ต่ำต้อยกว่า หรืออ่อนอาวุโสกว่านำอ่างน้ำไปล้างเท้าของคนที่มาในฐานะผู้นำ พระเยซูทรงอยู่ในฐานะที่มอบหมายหน้าที่นี้ให้ใครสักคนในหมู่พวกเขาทำ แต่ด้วยความสงบ ไม่มีคำกล่าวใดๆ ออกมา พระองค์ทรงเปลื้องผ้าคาดเอว ถืออ่างน้ำและกระทำการที่น่าอัปยศอดสูนี้โดยเต็มพระทัย

ทำไมจึงทรงทำเช่นนี้? เพื่อสื่อสารถ้อยคำที่ทรงพลัง นั่นคือ พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าแห่งการปรนนิบัติ

เรื่องนี้ขึ้นต้นด้วยความอิจฉาริษยาแล้วทำไมจบลงด้วยการปรนนิบัติล่ะ ก็เพราะเหตุว่าฉันได้อิจฉาพี่สาวข้างบ้าน โดยเปรียบเทียบสิ่งที่ฉันเป็นและสิ่งที่เธอเป็น เธอได้รับการปรนนิบัติอย่างดี เธอมีในสิ่งที่ฉันไม่มี ฉันจึงอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าทำไมฉันจึงไม่มี แต่อย่ากระนั้นเลย เรื่องสำคัญที่สุดมิใช่อยู่ที่ว่าคนอื่นมีหรือไม่มีอะไร และไม่ขึ้นอยู่กับว่าฉันมีหรือไม่มีอะไร แต่ขึ้นอยู่กับว่าฉันได้ยอมรับในสิ่งที่ฉันมีหรือเปล่า ฉันได้ขอบพระคุณพระเจ้าหรือเปล่า และฉันได้ไว้วางใจพระเจ้าหรือเปล่า และที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือ ฉันต้องมีหัวใจแห่งการปรนนิบัติผู้อื่น มิใช่ปรารถนาจะให้ผู้อื่นมาปรนนิบัติ เพราะฉันปรารถนาจะเดินตามพระเยซูยิ่งนัก

ขอบคุณพระเจ้า พระเยซู และพระวิญญาณบริสุทธิ์…เมื่อสารภาพบาปกลับใจ พระองค์ก็ทรงอภัยให้ทั้งสิ้น แต่ว่าหน้าที่ของฉันยังไม่จบ นอกจากหัวใจที่ไม่ต้องอิจฉาริษยาผู้ใดแล้ว ฉันต้องมีความถ่อมใจ ต้องสวมหัวใจแห่งการปรนนิบัติ และที่สำคัญที่สุดคือ สวมหัวใจแห่งความรัก เพราะความรักนั้นยิ่งใหญ่ที่สุด

[1คร.13:4-8] “ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง ความรักไม่มีวันสูญสิ้น …”
***ขอพี่น้องโปรดอธิษฐานเผื่อให้ฉันเดินอยู่ในความรักแบบพระคริสต์อย่างแน่วแน่มั่นคงด้วย
หมายเหตุ: ตัวอักษรสีเขียว หมายถึง ไม่ได้เขียนเอง แต่คัดลอกมาจากหนังสือเล่มอื่น

บทเรียนจากใบขับขี่

วันที่ 23/7/2010

“เป็นยังไง ละไอ้ใบขับขี่ บอกหน่อยซิ ว่าต้นเป็นยังไง เป็นยังไง ละไอ้ต้นขับขี่ บอกหน่อยซิ จะเด็ดใบมาฝาก” บทเพลงท่อนหนึ่งจาก พงษ์เทพ กระโดนชำนาญ ถูกครูแมมนำมาแซวซะนี่ และครูแมมก็ต้องเป็นบุคคลสำคัญในการอธิษฐานเผื่อใบขับขี่ของฉันด้วย
การขับรถ และการสอบใบขับขี่ อาจเป็นเรื่องง่ายสำหรับใครหลายคน แต่เป็นเรื่องยากสำหรับฉัน เพราะไม่เคยสนใจเรื่องเครื่องยนต์กลไกและเรื่องการขับรถมาก่อนเลย เวลาขึ้นรถก็นั่งอย่างเดียว ดูวิวเพลินๆ สองข้างทาง หรือไม่ก็หลับ (คร่อก)

ทว่า ในยามที่การขับรถเป็นภาคบังคับนั้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องไปหัดไปเรียน ยามไปเรียนนั้นคุณครูก็ส่ายหน้า บอกว่าฉันสมาธิสั้นซะงั้น เหอะ จริงรึเปล่าไม่รู้ แต่ก็ปฏิเสธไว้ก่อน แต่สักพักหนึ่งคุณครูก็จะบอกว่าความจำดีนะ เอ่อ อย่างนี้ ค่อยพูดกันรู้เรื่องหน่อย (หุหุ) คือว่า ที่ไปเรียนเนี่ยเพราะไม่รู้ไง และทุกอย่างก็ดูยากไปเสียหมดสำหรับคนไม่รู้ ดังนั้น ครูควรจะเข้าใจเด็กๆ เอ้ย! ผู้เรียนด้วย…เมื่อเรียนได้ครบ 10 ชั่วโมง ตามหลักสูตรปกติ คุณครูก็เข็นให้ไปเรียนเพิ่มอีก 4 ชั่วโมง รวมแล้วเสียเงินค่าเรียนไปประมาณ 4,000 บาท แพงเอาเรื่องเลย แต่ได้ใบขับขี่มา 1 ใบก็คุ้มแล้ว

แต่ช้าก่อน อุตส่าห์ไปเรียนมาตั้ง 14 ชั่วโมง ก็ไม่ได้หมายความว่าการเดินทางหยุดอยู่แค่นั้น ฉันรู้สึกประหม่าตื่นเต้นเป็นพัลวันในวันสอบใบขับขี่ เล่นเอานอนแทบไม่หลับ แถมยังฝันซะนับเรื่องไม่ถ้วนอีก ความกลัวเข้าครอบงำซะแล้ว ต้องอธิษฐานอย่างหนัก และร้องเพลงนมัสการพระเจ้า

ขนส่งหัวกระบือ ถนนบางขุนเทียนชายทะเล ผู้คนล้านเจ็ด เอ้ย! ประมาณ 200 กว่าคน ไปขอสอบใบขับขี่ ซึ่งทางขนส่งก็จะทดสอบสมรรถภาพร่างกายก่อน ได้แก่ การตอบสนองของร่างกาย ทดสอบสายตา ทดสอบการมองระยะต่างๆ และการมองสี จากนั้นก็เข้าอบรมตั้งแต่เวลา 9.00-11.30 น. ก็ให้นั่งดูวีดีโอ เรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน จบแล้วก็มีวิทยากรมาบรรยายให้ฟังเกี่ยวกับเครื่องหมายจราจร และพวกเราก็เข้าสอบ หลายคนกลัวว่าจะสอบไม่ผ่าน เพราะหากสอบข้อเขียนไม่ผ่าน ก็จะต้องมาสอบอีกในอีก 3 วันทำการ และหากสอบไม่ผ่านอีก ก็ไม่มีสิทธิ์สอบขับรถ ข้อสอบก็ไม่ยากอย่างที่คิด มีทั้งหมด 30 ข้อ แต่ก็มีบางข้อที่ตอบไม่ได้ เพราะเป็นคำถามเรื่องวิธีการดูแลรักษารถ วิธีการดูแลเครื่องยนต์ และเช็คอุปกรณ์สายพาน เป็นต้น วิธีการสอบก็เป็นแบบจอคอมพิวเตอร์ กดปุ่ม start และเริ่มทำตั้งแต่ข้อ 1 มีปุ่มให้เลือก 1-2-3-4 เมื่อกดเลือกแล้ว ข้อถัดไปก็เด้งขึ้นมา แต่ถ้าเราไม่แน่ใจ ก็สามารถย้อนกลับมาทำข้อเดิมได้ สามารถตรวจทานก่อนส่งได้ แต่คอมพิวเตอร์ที่ฉันใช้มันกลับเด้งแฮะ พอกดตอบปุ๊บ มันก็เด้งไปอีก 2 ข้อ อ้าว! งานเข้า ต้องย้อนกลับมาทำอีก…เมื่อทำเสร็จแล้ว ก็กด send จากนั้น ผลคะแนนก็ปรากฎที่หน้าจอ เป็นอันว่าเรียบร้อยการสอบด่านแรก

รอบบ่าย ที่สนามสอบ อันนี้เค้าเรียกว่าสนามสอบจริงๆ เพราะปกติเนี่ย เวลาสอบเราจะอยู่ในห้องเรียน ห้องแอร์ แต่นี่เป็นสนามจริงๆ ขั้นแรก เจ้าหน้าที่ให้เราดูวีดีโอเรื่องท่าสอบก่อน แล้วจึงมีเจ้าหน้าที่สาธิตวิธีการสอบ ให้ไปตามเส้นทางที่กำหนด โดยท่าสอบหลักๆ นั้นมี 3 ท่า คือ ท่าเดินหน้า-ถอยหลังตรง, ท่าจอดเทียบฟุตบาธ และท่าจอดรถเข้าซองแบบฝังตัว ตอนที่ฝึกนั้น ฉันแม่นท่าเดินหน้าถอยหลัง และท่าจอดรถเข้าซองมาก แต่ท่าเทียบฟุตบาธนั้น ฝึกเท่าไรก็คุณครูส่ายหน้าคะ คุณครูไม่ค่อยมั่นใจในตัวลูกศิษย์เท่าไร เหมือนฉันเลยที่ไม่มั่นใจในตัวเอง ทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็อธิษฐานอย่างเดียว บางคนอาการหนัก เหงื่อแตกพลั่ก วิ่งเข้าห้องน้ำเป็นว่าเล่น บ้างก็ดมยาดมจนหน้าซีด

รถที่ใช้สอบนั้น สามารถนำมาเองได้ หรือ จะเช่าจากทางขนส่งก็ได้ คันละ 100 บาท สำหรับฉัน คุณครูนำรถที่ใช้ฝึกนั้นมาให้ขับ คุณครูย้ำมากให้ขับดีๆ ห้ามชน อายเค้า เพราะมีชื่อโรงเรียนติดอยู่ข้างรถ (อ้าว!) คุณครูให้ฉันสอบเป็นคนท้ายๆ เพราะว่าจะได้ดูวิธีการจากคนอื่น และจะเป็นช่วงที่รถไม่เยอะด้วย แต่สำหรับฉันแล้ว อยากสอบเต็มแก่ เพราะว่ายิ่งดูนานๆ ยิ่งตื่นเต้นมาก หัวใจจะวาย
บนสนามสอบก็มีรถวิ่งสวนกันไปมา 10 กว่าคัน แถมมีมอเตอร์ไซด์มาสอบบนสนามเดียวกันอีก อู้ฮู สนุกจริงๆ บางคนนั้นสามารถทำได้ทั้ง 3 ท่าบังคับ แต่ดันวนรถผิด จอดไม่ตรงจุด หรือไม่ปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจร ก็ตกไป คนที่สอบผ่าน จะได้เอกสารคืน เพื่อนำไปทำใบขับขี่ได้เลย ส่วนคนที่สอบไม่ผ่าน ก็ได้ใบนัดให้ไปแก้ตัวใหม่ ตกท่าไหนก็สอบท่านั้น ให้สอบทั้งหมด 3 ครั้ง แต่ถ้า 3 ครั้งยังสอบไม่ผ่าน ก็จะต้องเริ่มกระบวนการสอบใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่สอบข้อเขียนมาเลย

กว่าฉันจะได้ลงสนามสอบก็บ่ายสามโมงกว่าๆ เข้าไปแล้ว ตื่นเต้น หายตื่นเต้น สลับกันไปมา คุณครูหน้าเครียด บอกว่าทำให้ได้นะ เสียชื่อครู เสียชื่อโรงเรียน ป๊าบ! ใครเขาจะอยากตกละคุณครู ก็ต้องพยายามกันทั้งนั้นแหละ สรุปคือ ฉันผ่านท่าเดียวคือ ท่าจอดเทียบฟุตบาธ เป็นอันประหลาดใจสำหรับตัวเองและคุณครู เพราะท่านี้ ตอนซ้อมนั้นไม่ได้ ส่วนท่าแรกคือเดินหน้าถอยหลังตรง ขากลับออกมาดันถอยเบี้ยวกินกรวยซะงั้น ส่วนท่าจอดรถเข้าซอง ก็ยังไม่ได้สอบ เพราะไปกินกรวยอีก 1 อัน กรรมการเลยเชิญออกจากสนาม (แป่ว)

วันแก้ตัวมาถึง ห่างจากวันแรก 2 วัน ขอบคุณพระเจ้า ช่วงกลางคืนไม่ตื่นเต้นฝันซี้ซั้วเหมือนครั้งก่อนแล้ว พยายามปรับใจตัวเองให้นิ่ง ในขณะที่หัวใจไม่ยอมนิ่ง เต้นแรง เต้นแรง แต่ก็ต้องบังคับตัวเอง ใส่พระคำลงไปว่า พระเจ้าตรัสว่า “จงนิ่งเสีย และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า” โอ๊ะ! พระเจ้าคะ ทำใจนิ่งนี่มันยากอย่างนี้นี่เอง เมื่อเราเผชิญกับความกลัว ความคาดหวังที่สูง ความไม่แน่นอน กลัวล้มเหลว กลัวผิดพลาด…ฉันย้อนกลับไปถึงช่วงที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ช่วงเวลาที่ตื่นเต้นและกลัวมากๆ คือ ช่วงที่ต้องออกไปยืนกลางเวทีเพียงลำพังครั้งแรกโดยที่มีสายตาหลายร้อยคู่จับจ้องอยู่ ต่อมาเมื่อเรียนจบก็มีอาการตื่นเต้นอีกครั้งเมื่อต้องสอบสัมภาษณ์เข้าทำงาน ซึ่งตอนนั้นฉันก็พึ่งพระเดิมที่รู้จัก แต่ตอนนี้ ฉันรู้จักพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พระองค์ที่ฉันเชื่อและวางใจ ฉันจึงท่องพระคัมภีร์ข้อนี้แหละ “จงนิ่งเสีย และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า” พระเจ้าคะช่วยลูกด้วย ลูกนิ่งไม่ได้โดยตัวของลูกเอง ลูกขอพึ่งพาพระองค์ จากนั้นก็เริ่มปลดปล่อยความเชื่อมั่นกลับมา อย่ากังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง และถ้าหากมันมาถึง ก็ไม่เป็นไร สอบใหม่ก็ได้ จากนั้นก็เข้าสนามสอบอย่างตั้งใจ และก็ผ่านมาได้อย่างฉลุยในรอบ 2 แต่พอรู้ว่าตัวเองทำได้ปุ๊บ อาการตื่นเต้นก็กลับมาอีก (เป็นซะงั้น) ตอนที่กรรมการยื่นเอกสารให้ บอกว่าผ่านแล้ว และให้เซ็นต์ชื่อ มือฉันก็ยังเซ็นต์ชื่อแบบสั่นๆ อยู่เลย (ครั้งแรกตื่นเต้นเพราะกลัว แต่คราวนี้ตื่นเต้นเพราะดีใจ) ฮาเลลูยา!

วิธีการทำใบขับขี่ก็ทันสมัยนะคะ เมื่อได้คิวแล้วก็ไปนั่งให้เจ้าหน้าที่ถ่ายรูป แชะแชะ จ่ายเงินไป 205 บาท เป็นอันเสร็จพิธี เมื่อได้ใบขับขี่แล้วก็ต้องฟ้องคุณครู เอ้ย! รายงานคุณครูแมมว่าได้ใบขับขี่แล้วนะ คุณครูแมมก็ฮาเลลูยาด้วย ขอบคุณนะค้า

[สดด.46:10]"จงนิ่งเสีย และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า เราเป็นที่ยกย่องท่ามกลางประชาชาติ เราเป็นที่ยกย่องในแผ่นดินโลก"

น้ำแห่งชีวิต

วันที่ 28/06/2010

เช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ศบ.พงษ์ศักดิ์ไม่อยู่อ่ะ อะฮ้า! แต่ถึงแม้ว่า ศบ.จะไม่อยู่ อันเนื่องจากต้องไปเป็นพร ไปเทศนาที่คริสตจักรอื่น แต่ ศบ.ก็ยังคงเป็นพรสำหรับพวกเราอยู่เสมอนะคะ

อ.มาร์ค แซนด์ลิน ก็ขึ้นเป็นพรบนธรรมมาสก์ เทศนาให้กับชาวนิมิตใหม่ ในหัวข้อ “นมัสการพระเจ้าอย่างที่พระองค์กำหนด” โดยเล็งไปที่พระธรรมเลวีนิติ บทที่ 10 ว่าด้วยเรื่องบาปของนาดับและอาบีฮู อันโยงไปถึงหน้าที่ของปุโรหิต และหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องเข้าไปนมัสการพระเจ้าอย่างถูกต้องตามชอบพระทัยของพระองค์ และด้วยความเคารพยำเกรง เพราะพระองค์ทรงบริสุทธิ์ ซึ่งในการนี้ อ.มาร์คได้นำพระธรรมหลายตอนมาแบ่งปันให้ดวงตาเรากระจ่างแจ้งมากขึ้น อาทิ ปญจ.5:1, วว.8:3-4, 1 ปต.4:11, 1 พศด.13:5-12, 1 พศด.15:12-28, ฮบ.12:28-29

กลับมาเรื่องหนุ่มโคราชต่อนะคะ เมื่อพลิกสูจิบัตรไปปั๊บที่หน้าแรก เราก็พบกับหนุ่มหล่อยืนล้วงกระเป๋ายิ้มแป้นอยู่ดินแดนอิสราเอล แหะ แหะ เป็นสารศิษยาภิบาลนั่นเอง…เตรียมรับพรต่อนะคะ

“…เพราะฉะนั้น แม่น้ำไปถึงไหน ทุกสิ่งก็มีชีวิต” (อสค.47:9)

ป๊าบ! โดนค่ะพี่น้อง โดนใจจริงๆ เนื่องจากว่าโดยส่วนตัวแล้ว เพิ่งอ่านพระธรรมเอเสเคียลจบไปหมาดๆ ก่อนไปโบถส์เช้านั้นเอง ความอิ่มเอมใจจากการอ่านจึงยังคงตราตรึงซาบซ่านอยู่

ศบ.ได้อธิบายในสูจิบัตรว่า “นี่คือนิมิตที่ผู้เผยพระวจนะเอเสเคียลได้เห็นเกี่ยวกับพระวิหารหลังใหม่ เมื่อท่านมองดูที่ธรณีประตูก็เห็นมีน้ำไหลออกมาจากที่ใต้ธรณี น้ำที่ไหลออกมานี้เป็นเสมือนน้ำแห่งชีวิต เพราะเมื่อไหลไปยังที่ที่มีต้นไม้ ต้นไม้ก็ผลิใบเกิดผล ทุกๆ เดือน ใบของมันก็ใช้เป็นยารักษาโรคได้ ยิ่งไหลลึกก็ยิ่งมีปลามาอาศัยอยู่มาก วิหารเล็งถึงสถานที่ที่มนุษย์ได้เข้ามานมัสการพระเจ้า ทุกๆ อาทิตย์ที่เราเข้ามานมัสการพระเจ้าที่คริสตจักร พระองค์ประสงค์ที่จะให้เราได้รับประโยชน์จากน้ำที่ธำรงชีวิต และในเช้าวันนี้หากพระเจ้าให้น้ำนี้ไหลไปถึงผู้ใดก็จะไหลไปถึงผู้นั้นโดยพระคุณของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแหล่งแห่งชีวิต ผู้ใดก็ตามกำลังเสาะหาความหมายของชีวิตแท้ สามารถที่จะพบได้ในพระองค์ ผมเชื่อว่าคุณจะได้รับพระพรอย่างมากเมื่อเข้ามานมัสการพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นที่คริสตจักรใดก็ตาม เพราะพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร และเราทั้งหลายต่างก็เป็นอวัยวะในพระกายของพระองค์ การนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริงนั้นจะทำให้เรามีชีวิตชีวา เพราะเราจะได้รับการสัมผัส การเจิมที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถ้อยคำที่พระเจ้าตรัสด้วยกับเรานั้นเป็นถ้อยคำแห่งชีวิตที่เราต้องรับไว้ และดำเนินชีวิตด้วยความถ่อมใจไปกับพระองค์”

กล่าวโดยสรุปแล้ว พระธรรมเอเสเคียลเป็นเรื่องราวการเผยพระวจนะของท่านเอเสเคียลนั่นเอง พระเจ้าทรงใช้ท่านผู้นี้โดยวิธีการแปลกๆ ไม่เหมือนใคร เมื่ออ่านเรื่องราวของท่านแล้วก็ตื่นเต้น เร้าใจ ได้รับพระพร ได้รับการหนุนใจ ได้ขอบพระคุณพระเจ้า ได้สรรเสริญพระองค์ ทั้งยังต้องกลับใจสารภาพบาป ระคนกัน (แป่ว) เอเสเคียลเริ่มต้นด้วยถ้อยคำแห่งความพินาศ ซึ่งก็คือการเผยพระวจนะกับคนที่ตกเป็นเชลยในบาบิโลน โดยกล่าวถึงนิมิตของความบาปและการพิพากษา ต่อมาเป็นการกล่าวถ้อยคำถึงคนต่างชาติ คือ กล่าวโทษเจ็ดชนชาติที่ทำบาป และในตอนสุดท้ายเป็นถ้อยคำแห่งความหวัง คือ การที่ประชากรของพระเจ้าจะกลับคืนสู่สภาพดี มีการฟื้นฟู มีการนมัสการพระเจ้า

หากย้อนกลับไปอ่านเฉพาะ อสค.47:1-47 เราก็จะเห็นภาพของน้ำจากพระวิหารที่รักษาโรคได้ (ถ้าเป็นสมัยนี้ละก็ ผู้คนคงจะแห่กันไปเอาน้ำอย่างเนืองแน่นแน่นอน) ขอบคุณพระเจ้า “น้ำจากพระวิหาร” ซึ่งให้ความหมายในเชิงสัญลักษณ์อันหมายถึงน้ำธำรงชีวิตจากพระเจ้านั้น ยังคงไหลอยู่จนถึงทุกวันนี้ ไหลล้นอยู่ในชีวิตของผู้เชื่อ ทั้งยังไหลไปสู่คนที่ยังไม่เชื่อด้วย เมื่อไหลไปสู่ที่ใด ชีวิตใหม่ก็เริ่มต้นขึ้นด้วย!

พระธรรมเอเสเคียลอาจจะเริ่มต้นด้วยข่าวร้าย แต่ก็จบลงด้วยข่าวดี เช่นเดียวกับชีวิตของเราที่เดินกับพระคริสต์ ซึ่งแม้ว่าจะต้องพบกับเรื่องร้ายในชีวิตบ้าง ทว่า เรื่องร้ายต่างๆ ก็จบลงด้วยดีทั้งสิ้น ด้วยเพราะน้ำแห่งชีวิตยังคงไหลอยู่ พระองค์ยังทรงอยู่ ทรงสถิตอยู่กับคุณ! ทรงสถิตอยู่กับฉัน ทรงสถิตอยู่กับเรา […ตั้งแต่นี้ไปนครนี้มีชื่อว่า “พระเจ้าสถิตที่นั่น" อสค.47:9] Jehovah Shammah

พระเจ้าทรงอยู่ด้วย! (God be with you!)

ปล. เปิดสารศิษยาภิบาลแล้ว ก็อย่าลืมเปิดไปอ่านหน้าอื่นด้วยนะคะ! ภายในสูจิบัตรมีข่าวคราวของชาวคริสตจักรให้ทราบ มีหัวข้ออธิษฐานเผื่อ มีบทความจาก อ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ และมีพระพรที่ซ่อนอยู่เพื่อให้คุณหาค้น…สูจิบัตรนี้มีคุณค่า เพราะได้มาจากเงินภาษีของประชาชน (สิบลด) ได้มาจากเยื่อกระดาษของต้นไม้หลายต้น ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของคนทำ ได้มาจากมันสมองของผู้ร่วมเขียนร่วมคิด…อย่าทิ้งสูจิบัตรนะคะ!

จุบอันบริสุทธิ์

วันที่ 16/6/2010

ระหว่างวันที่ 4-6/6/2010 ศบ.พงษ์ศักดิ์ นำทีมไปเยี่ยมเยียนคริสตจักรลูก อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีครูแมม ยายอรุณ และพี่อิ๋วร่วมเดินทางครั้งนี้ด้วย ซึ่งการเดินทางดังกล่าวนั้นตื่นเต้น อิ่มเอมใจ และเต็มไปด้วยสันติสุขที่ฉันไม่สามารถเรียงร้อยเป็นรอยอักษรได้ทั้งหมด ฉันจึงขอเพียงบอกเล่าเรื่องราวบางส่วนออกมาเท่านั้น

เราออกเดินทางโดยรถตู้ VIP ซึ่งติดต่อโดยพี่อิ๋ว ที่บนรถนั้นเราก็มีหมอนและผ้าห่มครบครันด้วยการจัดเตรียมของครูแมม ทั้งยังมีข้าวเหนียวหมูทอดและผลไม้จากยายรุณอีกด้วย พระเจ้าทรงบังคับบัญชาพระพรท่ามกลางเราตลอดเส้นทางจริงๆ

คนขับรถตู้ชื่อน้องโจ บริการประทับใจ และเชื่อว่าน้องโจก็ประทับใจกับชีวิตคริสเตียนเช่นกัน ยายรุณก็เอ็นดูน้องโจเหมือนลูกเหมือนหลาน พี่อิ๋วนั้นตั้งใจว่าจะใช้บริการน้องโจอีก ใช้บริการจนน้องโจกลายเป็นคริสเตียนกันไปเลย เอเมน! พวกเราหลับสบายตลอดทางยามดึก ฉันเชื่อเช่นนั้น เพราะน้องโจขับรถดี ระหว่างทางมีฝนตกเป็นหย่อมๆ นำความชุ่มชื่นมาสู่เรา และฉันก็เชื่ออีกอย่างหนึ่งว่าทุกคนอธิษฐานเผื่อการขับรถของน้องโจอยู่ในใจด้วยเช่นกัน

ขอข้ามซีนไปถึงช่วงเช้าของวันเสาร์นะคะ ศบ.เล่าให้พวกเราฟังว่า ฝันเห็นชายรูปร่างค่อนข้างอ้วนผู้หนึ่งเข้ามาจุบ ซึ่งการจุบก็หมายถึงการคารวะ การให้ความเคารพอย่างสูง แม้แต่ในพระคัมภีร์ก็ระบุถึงการจุบไว้มากมาย แต่ที่โดดเด่นเข้ามาในใจฉันคือ
[1ธส.5:26 จงทักทายปราศรัยพวกพี่น้องด้วยธรรมเนียมจุบอันบริสุทธิ์]และแล้วชายผู้หนึ่งก็มาปรากฎกาย โดยเป็น 1 ในผู้เชื่อใหม่ที่กำลังจะรับบัพติศมาในวันดังกล่าว พ่อนิคมป่วยและเดินไม่ได้มา 3 ปีแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้คุณอ่อนตาได้ไปวางมืออธิษฐานเผื่อจนพ่อนิคมเริ่มเดินได้ และซาบซึ้งในพระคุณความรักของพระเยซูจนมอบหัวใจให้กับพระองค์ รวมถึงภรรยาของพ่อนิคมด้วย ซึ่งก็คือ แม่รำไพ นั่นเอง

ทราบแล้วใช่ไหมคะว่าชายร่างอ้วนที่มาจุบ ศบ.ในความฝันนั้น ก็คือ พ่อนิคมนั่นเอง พ่อนิคมตัวสูงใหญ่ เดินกระโผลกกระเผลกเข้ามา โดยมีศรีภรรยาคอยประคองด้วยแรงกายและแรงใจเคียงข้างมิห่าง แม่รำไพเป็นภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากกับพ่อนิคมมาตลอด ไม่ทอดทิ้งแม้เมื่อพ่อนิคมอยู่ในสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แม่รำไพเสียสละอย่างมากในการหาเลี้ยงครอบครัวและดูแลสามี หลายคืนที่พ่อนิคมตื่นมากลางดึกและผลักแม่รำไพออกมา และไล่ด้วยภาษาชาวบ้านว่า “อีนี่มันเป็นใคร ออกไป!” เจ็บไหมละคะพี่น้อง คนที่ได้ขึ้นชื่อว่าสามีมาไล่กันแบบนี้ แต่แม่รำไพก็อดทนเสมอมา ไม่ถือโทษโกรธพ่อนิคม ด้วยรู้ว่าพ่อนิคมอยู่ในภาวะป่วย…เพราะว่า ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด!

ศบ.ได้วางมืออธิษฐานให้พ่อนิคมอีกครั้งหนึ่ง จนพ่อนิคมรู้สึกดีขึ้น หน้าตาสดใสหล่อยิ้มร่าทันที พ่อนิคมสามารถเดินได้คล่องขึ้น พี่น้องผู้เห็นเหตุการณ์ตรงนั้น ต่างปรบมือด้วยความยินดี และขอบคุณพระเจ้า…ในวันดังกล่าวมีพี่น้องเข้ารับบัพติศมารวมทั้งสิ้น 8 คน
[สดด.85:10 ความรักมั่นคงและความสัตย์สุจริตจะพบกัน ความชอบธรรมและสันติภาพจะจุบกันและกัน]

ในอีกช่วงหนึ่งของการอธิษฐาน ศบ.ได้อธิษฐานอวยพรและเจิมสมาชิกด้วยน้ำมันหอม เมื่ออธิษฐานอวยพรพ่อนิคมและแม่รำไพ ก็มีคำเผยออกมาว่า คู่อุปถัมภ์ที่พระเจ้าทรงเลือกมาให้พ่อนิคมนี้ พระองค์ทรงพอพระทัยยิ่งนัก แม่รำไพเป็นภรรยาที่ดีเลิศในแบบอย่างที่พระเจ้าทรงพอพระทัย และพระองค์ได้รับเกียรติ ศบ.อธิษฐานเผื่อพ่อนิคมเป็นพิเศษ ในระหว่างนั้น น้ำมันหอมในขวดที่ ศบ.ถืออยู่ ก็ไหลรดชโลมพ่อนิคมโดยที่ ศบ.ไม่รู้ตัว จนมีคนทักขึ้นมาว่า “อาจารย์ น้ำมันหก” ซึ่ง ศบ.ก็ยิ้มร่าเริงพร้อมกล่าวว่า “พระเจ้าทรงเจิมพ่อนิคมเป็นพิเศษ ขอบคุณพระเจ้า” มิน่าหล่ะ ครั้งนี้ ศบ.จึงนำน้ำมันหอมมา 2 ขวด ซึ่งปกติแล้ว 1 ขวด ก็สามารถใช้ได้นานทีเดียว
พ่อนิคมได้เข้ามานมัสการพระเจ้าด้วยหัวใจของท่าน ได้เข้ามาคารวะผู้รับใช้พระเจ้าด้วยธรรมเนียมจุบอันบริสุทธิ์ ส่วนแม่รำไพนั้น ก็ทำให้ฉันระลึกถึงหญิงผู้หนึ่งที่อยู่แทบพระบาทพระเยซู เธอบรรจงเช็ดพระบาทที่เปียกไปด้วยน้ำตาด้วยผมของเธอ เธอจุบพระบาทพระองค์ และเธอเอาน้ำมันราคาแพงชโลมพระองค์ [ลก.7:37-38 และดูเถิด มีผู้หญิงคนหนึ่งของเมืองนั้นเคยเป็นหญิงชั่ว เมื่อรู้ว่าพระองค์ทรงเอนพระกายเสวยอยู่ในบ้านของคนฟาริสีนั้น นางจึงถือผอบน้ำมันหอม มายืนอยู่ข้างหลังใกล้พระบาทของพระองค์ ร้องไห้น้ำตาไหลเปียกพระบาท เอาผมเช็ด จุบพระบาทของพระองค์มาก และเอาน้ำมันนั้นชโลม]

แม่รำไพได้กระทำเยี่ยงนั้น คือได้เทใจเข้ามาพบพระเยซู ได้เทแรงกายดูแลสามีซึ่งเป็นศีรษะของเธอ แม้ว่าเธอจะต้องร้องไห้ด้วยเหตุอันใดก็ตาม แต่เธอก็มาหาพระเยซูแล้ว เธอร้องไห้และระบายความในใจต่อพระองค์ เธออยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ อยู่แทบพระบาทพระองค์ เธอยอมจำนนอยู่ในสายพระเนตรของพระองค์ เธอยอมที่จะเช็ดรอยเปียกแห่งน้ำตานั้นออกไป และแทนที่ด้วยจุบบริสุทธิ์แด่พระองค์ แทนที่ด้วยน้ำมันหอมราคาสูงต่อพระองค์ ความบาปผิดทั้งสิ้นของเธอพระองค์ก็ทรงโปรดยกเสียแล้ว และถูกแทนที่ด้วยพระคุณความรักของพระเจ้า

เช้าต่อมา ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ วันนมัสการพระเจ้า เมื่อพ่อนิคมลงจากรถ ก็ค่อยๆ เดินเข้ามายังพระวิหารอย่างยินดี คราวนี้ แม่รำไพไม่ต้องประคองแล้ว เพียงแต่เดินตามอยู่ใกล้ๆ เท่านั้น แน่นอนว่า เราทุกคนขอบคุณพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง

พี่น้องที่รัก ฝากอธิษฐานเผื่อครอบครัวพ่อนิคม-แม่รำไพ ด้วยนะคะ ที่จะเติบโตในฝ่ายจิตวิญญาณ มีชีวิตที่เป็นพยาน ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ขอการรักษาจากองค์เยโฮวาห์รัฟฟาจะอยู่เหนือชีวิตของพ่อนิคม เพื่อพ่อนิคมจะสามารถเดินได้อย่างคล่องแคล่วเป็นปกติ ขอการเสริมกำลังให้แก่แม่รำไพ ในการดูแลพ่อนิคม และในการทำมาหาเลี้ยงชีพ…แม่รำไพขายขนมตาลค่ะ บางครั้งก็ขายกับข้าว หากพระเจ้าทรงโปรดให้ฉันได้ไปเยี่ยมเยียนน้ำยืนอีกในครั้งต่อไป จะไปกินขนมตาลของแม่รำไพนะคะ และอาจได้ช่วยแม่รำไพเร่ขายขนมด้วยนะ

ด้วยรักในพระคริสต์…ที่สุด

จงเฝ้ารอ และเร่งวัน

วันที่ 14/06/2010

“เมื่อเรามีใจ พระเจ้าก็มีทาง” เป็นประโยคท้าทายที่ ศจ.ดร.นรินทร์ ศรีทันทร เลขาธิการ โอเอ็มเอฟ (ประเทศไทย)กล่าวทิ้งท้ายไว้สำหรับเรา จากการเทศนาเมื่อวันที่ 13/6/2010 ณ คริสตจักรนิมิตใหม่

ฉันเคยได้ยินประโยคข้างต้นมาก่อน แต่การได้ยินครั้งนี้กลับติดตรึงใจอย่างยิ่ง ได้รับการหนุนใจอย่างมาก ในขณะเดียวกัน อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพของการรับใช้ส่วนตัว ซึ่งต้องถามตัวเองอีกครั้งว่า “ฉันได้เทใจให้กับพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจอย่างจริงจังหรือยัง” และถ้าตอบว่าได้เทใจให้พระองค์แล้ว ก็มีคำถามตามมาอีกว่า “ฉันได้เทการกระทำออกมาให้เป็นที่ประจักษ์หรือเปล่า” ซึ่งคำตอบนี้ก็เป็นสิ่งที่ฉันจะต้องรายงานต่อพระพักตร์พระเจ้า

เชื่อว่าหลายท่านเคยฟังเพลง “I’ll give Him my heart” ของ Brooklyn Tabernacle Choir ซึ่งมีเนื้อร้องท่อนโซโลที่สุดแสนประทับใจว่า

What can I give Him, poor as I am?
If I were a shepherd, I would bring Him a lamb.
If I were a wise-man, I'd sure do my part.
So what can I give Him?
I'll give Him my heart.

เมื่อเราถวายหัวใจให้กับพระเจ้าแล้ว ก็มิต้องกังวลสิ่งใด และแล้วบทเพลง “God will make a way” ของ Don Moen นักร้องในดวงใจของใครหลายๆ คน ก็กังวานแว่วเข้ามา

God will make a way
Where there seems to be no way
He works in ways we cannot see
He will make a way for me
He will be my guide
Hold me closely to His side
With love and strength
For each new day
He will make a way
He will make a way

เนื้อร้องของเพลงนี้ยกมาไม่หมดค่ะ แต่พี่น้องก็คงคุ้นเคยกันดีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษนะคะ

ในฐานะผู้เชื่อ เราจึงวางใจพระองค์ได้เสมอในทุกกรณี ไม่ว่าจะสุขหรือจะทุกข์ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ไม่ว่าจะเรื่องงานธุรกิจ เรื่องส่วนตัว เรื่องครอบครัว ตลอดจนเรื่องงานรับใช้พระเจ้า พระองค์ทรงปรารถนาเพียงให้เราวางหัวใจไว้ที่พระองค์ แล้วพระองค์จะทรงวางแผนงานที่ล้ำเลิศไว้ในชีวิตของเรา (ยรม.29:11)

ขอย้อนกลับมากล่าวถึงเฉพาะแง่มุมของการรับใช้พระเจ้านะคะ ขอบคุณพระเจ้า สรรเสริญพระองค์สำหรับพระราชกิจอันมีพระคุณทั้งสิ้นของพระองค์ในครอบครัวนิมิตใหม่ ซึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่น้ำพระทัยที่ล้ำลึกของพระเจ้ามากยิ่งขึ้น เราได้เห็นคริสตจักรลูกที่เกิดจากความร่วมมือร่วมใจของทุกฝ่าย ทั้ง ศิษยาภิบาล ผู้นำคริสตจักร ตลอดจนสมาชิกทุกคน แม้ว่าหลายคนยังไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการบุกเบิกหรือเดินทางไปปฏิบัติพันธกิจโดยตรง แต่ก็มีส่วนอย่างมากในการถวาย หนุนใจ และอธิษฐาน และเราเชื่อร่วมกันว่า สิ่งเหล่านี้จะมีมากขึ้นอีก ที่พี่น้องจะถวายทั้งหมดแด่พระเจ้า ทั้ง หัวใจ แรงกาย ทุนทรัพย์ ปัญญา และเวลา ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงให้เรามาทั้งสิ้น

บนโลกกลมๆ น่ารักใบนี้ หลายคนไม่เคยได้ยินเรื่องพระเยซู หลายคนรู้จักพระองค์คลาดเคลื่อน หลายคนไม่เคยมาคริสตจักร แต่ ณ เวลานี้ คริสตจักรกำลังเคลื่อนออกไปสู่ชุมชน ขอบคุณพระเจ้าอีกครั้งที่เราได้เห็นคนมากมายที่กำลังจะรอดได้เข้ามาสู่ครอบครัวของพระคริสต์ [กจ.2:47 บรรดาผู้ที่เชื่อถือนั้นก็อยู่พร้อมกัน ณ ที่แห่งเดียว และทรัพย์สิ่งของของเขาเหล่านั้นเขาเอามารวมกันเป็นของกลาง เขาจึงได้ขายที่ดินและทรัพย์สิ่งของ มาแบ่งให้แก่คนทั้งปวงตามซึ่งทุกคนต้องการ เขาได้ร่วมใจกันไปในพระวิหาร และหักขนมปังตามบ้านของเขา ร่วมรับประทานอาหารด้วยความชื่นชมยินดีและใจกว้างขวาง ทุกวันเรื่อยไป ทั้งได้สรรเสริญพระเจ้าและคนทั้งปวงก็ชอบใจ ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้า ได้ทรงโปรดให้คนทั้งหลายซึ่งกำลังจะรอด มาเข้ากับพวกสาวกทุกวันๆ] ขอบคุณพระเจ้า เราได้เห็นการอัศจรรย์ในพระธรรมกิจการปรากฎขึ้นจริงประจักษ์ต่อสายตาของเราในปี 2010 เราได้เห็นหัวใจที่พร้อมเพรียงกันของบรรดาผู้เชื่อทั้งหลาย ที่มิเพียงนำทรัพย์สิ่งของมารวมกัน แต่เรายังได้นมัสการสรรเสริญพระเจ้าร่วมกัน สามัคคีธรรมร่วมกัน และรับใช้พระเจ้าร่วมกัน

[สดด.34:2 จิตใจของข้าพเจ้าโอ้อวดในพระเจ้า ให้คนที่เสงี่ยมเจียมตัวได้ฟังและยินดี] จริงๆ แล้วมีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นอย่างตื่นเต้นในครอบครัวนิมิตใหม่ เรากำลังเร่งกระทำการงานของพระเจ้า แต่วันนี้ขอเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานะคะ ในขณะที่พี่น้องบางส่วนกระจายกันออกไปรับใช้พระเจ้าตามคริสตจักรลูกต่างๆ ฉันก็ได้มีโอกาสเข้าไปร่วมพันธกิจกับพี่น้องที่คริสตจักรลูกบางใหญ่เช่นเดียวกัน ปฏิบัติการดังกล่าวเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้า ซึ่งในฐานะเจ้าของสถานที่ พี่กุ้งพี่ยี่ก็ต้อนรับพวกเราอย่างดีด้วยการเตรียมอาหารและเครื่องดื่มไว้ให้ และในฐานะผู้บุกเบิกคริสตจักรบางใหญ่ พี่ตุ๊กตาก็บอกเล่าและชี้แจงแผนงานในวันดังกล่าวให้กับสมาชิกคริสตจักร 300 ได้รับทราบ งานนี้มีพี่จบ พี่แขก สองสามีภรรยาผู้ซึ่งเป็นพี่ชายและพี่สาวที่น่ารักของเราไปร่วมรับใช้ด้วย ทั้งยังมี ซี ศิลปินเอกของเราไปร่วมด้วยเช่นกัน

คริสตจักร 300 เพื่อพระคริสต์ นำโดย แดง-ศิระ และภรรยาสาวนามว่า ยูกิ ทั้งคู่แข็งขันในการประกาศและเลี้ยงดูกลุ่มผู้เชื่อกว่า 30 ชีวิต ซึ่งการประกาศนั้นเน้นไปที่นักศึกษาหนุ่มสาววัยใสที่มาเรียนภาษาอังกฤษที่ BSC โดยทำงานร่วมกับมิชชันนารีผู้มีภาระใจ…การสร้างหรือการเลือกทำเลที่ตั้งอาคารคริสตจักรเป็นเรื่องหนึ่งที่เราจะต้องอธิษฐานเผื่อคริสตจักรลูกบางแห่ง หากว่าคริสตจักร 300 นี้ มีการดำเนินงานที่แตกต่างออกไป กล่าวคือ มิจำเป็นต้องมีตัวอาคาร เพราะเขาจะนมัสการกันบริเวณข้างตึก โต๊ะม้าหินข้างๆ หรืออาจใช้ห้องใดห้องหนึ่งที่นิมิตใหม่ หรือบางครั้งก็โยกย้ายไปนมัสการนอกสถานที่

แดงนำทีมมาได้อย่างยอดเยี่ยม ทุกคนใส่เสื้อโปโลสัญลักษณ์ 300 เพื่อพระคริสต์เหมือนกัน โดยสิ่งที่โดดเด่นคือ เสื้อที่ไม่พับปก แต่เอาปกตั้งขึ้น เป็นเสื้อคอตั้ง เป็นที่รู้กันว่า 300 ของแท้นั้นต้องคอตั้ง แต่ที่โดดเด่นยิ่งไปกว่านั้นคือ ทุกคนมาด้วยความตั้งอกตั้งใจ…ขอบคุณพระเจ้า

พวกเราแยกกันออกเป็น 3 สาย เพื่อไปประกาศ และอธิษฐาน จากนั้น ทุกคนไปรวมตัวกันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือตานะ ที่ตลาดน้ำวัดศรีประวัติ น้องๆ กลับมาเล่าด้วยความตื่นเต้นถึงสิ่งที่เขาได้พบเจอ ศบ.พงษ์ศักดิ์ ซึ่งรอพวกเราอยู่ที่ตลาดน้ำอยู่ก่อนแล้ว ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ก็ยิ้มแก้มป่อง เอ้ย! แก้มปริ

ช่วงบ่าย พี่ตุ๊กตา พี่เฉิน และ อ.ป๊อบ (คจ.พระโขนง) ได้ร่วมปฏิบัติพันธกิจประกาศด้วยเครื่องมืออัลฟา ที่ชุมชนสระแก้ว ทั้งนี้ มีพี่อ้อย พี่เว้งและลูกๆ พี่วรรณ พี่โอ และคุณเอก ซึ่งเดินทางกลับมาจากคริสตจักรอัมพวา ไปอธิษฐานให้กับพวกเรา ก่อนที่เราจะเริ่มรายการ จากนั้น ทุกคนจากทีมอัมพวาก็ต้องรีบกลับมาที่นิมิตใหม่ เพื่อเตรียมงานสำหรับรายการ “Praise & Prayers” หลังจากนั้น ก็มี ดร.สมนึก ตามมาร่วมหนุนใจและช่วยเหลือทีมงานอัลฟาด้วย

ยามเย็น พี่น้องนิมิตใหม่จำนวนหนึ่ง ได้รวมกายรวมใจกันนมัสการอธิษฐาน ในรายการ “Praise & Prayers” ซึ่งศิษยาภิบาลได้เน้นย้ำอีกครั้งว่า “ลูกแกะจะเกิดขึ้นได้เมื่อลูกแกะไปนำลูกแกะ” และ “คริสตจักรจะเกิดขึ้นได้ เมื่อคริสตจักรไปตั้งคริสตจักร” ซึ่งทั้งนี้ ต้องเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของสมาชิกที่ยอมจำนนต่อพระเจ้าเป็นสำคัญ

ยามดึก พี่อ้อยขับรถไปส่งน้องๆ ทีละคนถึงบ้าน ทั้ง น้องต้า พี่วรรณ ฉัน และก็พี่อิ๋ว จึงรู้สึกขอบคุณพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง และขอบคุณพี่อ้อยพี่เว้ง น้องไหม น้องแพร มา ณ ที่นี้อีกครั้งหนึ่ง

วันเสาร์อันแสนสุขจบลง แม้ว่าจะเหนื่อยล้า แต่ก็หลับตาลงด้วยความสุขใจ…วันเสาร์นี้จบแล้ว แต่งานของพระเจ้ายังไม่จบ เราต้องทำต่อไป

ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้ายังมิทรงหยุดกระทำราชกิจของพระองค์

แผ่นดินสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว! จงเฝ้ารอ (อธิษฐานสม่ำเสมอ) และเร่งวัน (เร่งสร้างชีวิต เร่งกระทำการ…อย่าปฏิเสธการทรงเรียก อย่าพลาดโอกาสการรับใช้)

[2ปต.3:9-14] 9องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉื่อยช้า ในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ ตามที่บางคนคิดนั้น แต่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัยไว้ เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลายมาช้านาน พระองค์ไม่ทรงประสงค์ที่จะให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศเลย แต่ทรงปรารถนาที่จะให้คนทั้งปวงกลับใจเสียใหม่ 10แต่ว่าวันขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น จะมาถึงเหมือนอย่างขโมยแอบย่องมา และในวันนั้นท้องฟ้าจะล่วงเสียไปด้วย เสียงที่ดังกึกก้องและโลกธาตุจะสลายไปด้วยไฟ และแผ่นดินโลกกับสิ่งสารพัดที่มีอยู่ในโลกนั้นจะต้องไหม้เสียสิ้น 11เมื่อเห็นแล้วว่าสิ่งทั้งปวงจะต้องสลายไปหมดสิ้นเช่นนี้ ท่านทั้งหลายควรจะเป็นคนเช่นใดในชีวิตที่บริสุทธิ์และดีงาม 12จงเฝ้ารอและเร่งวันของพระเจ้าให้มาถึง ซึ่งวันนั้นท้องฟ้าจะถูกไฟผลาญสลายไป และโลกธาตุก็จะถูกไฟเผาให้สลายไป 13แต่ว่าตามพระสัญญาของพระองค์นั้น เราจึงคอยท้องฟ้าอากาศใหม่และแผ่นดินโลกใหม่ ที่ซึ่งความชอบธรรมจะดำรงอยู่ 14เหตุฉะนั้นพวกที่รัก เมื่อท่านทั้งหลายยังคอยสิ่งเหล่านี้อยู่ ท่านก็จงอุตส่าห์ให้พระองค์ทรงพบท่านทั้งหลายมีใจสงบ ปราศจากมลทินและข้อตำหนิ

มุ่งสู่ศิโยน

วันที่ 3/6/2010
[สดด.84:1-2 ข้าแต่พระเจ้าจอมโยธา ที่ประทับของพระองค์เป็นที่รักจริงๆ วิญญาณของข้าพระองค์ปรารถนา เออ อาลัยหา บริเวณพระนิเวศของพระเจ้า ใจกายของข้าพระองค์ ร้องเพลงด้วยความชื่นบาน ถวายพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์]
พระธรรมสดุดีบทที่ 84 บรรยายถึงความอาลัยรักในพระนิเวศได้อย่างซึ้งใจยิ่งนัก เชื่อว่าหลายคนก็รู้สึกตรงกัน เรารอคอยจะพบพระเจ้าเสมอ เราอยากให้ถึงวันอาทิตย์เร็วๆ…จริงอยู่ที่ว่าคริสตจักรนั้นอยู่ในใจของเรา และพระเจ้าก็อยู่กับเราเสมอ เราจึงสามารถนมัสการพระเจ้าได้เป็นการส่วนตัว ทุกหน ทุกแห่ง ทุกเวลา ทว่า การไปนมัสการพระเจ้าที่คริสตจักร ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะขาดเสียมิได้…ชีวิต 6 วันที่ผ่านมานั้นจะมีความหมายอะไร หากเราไม่ไปนมัสการพระเจ้าที่คริสตจักรในวันที่ 7 [ฮบ.10:25 อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนที่ขาดอยู่นั้น แต่จงพูดหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะท่านทั้งหลายก็รู้อยู่ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว]
[สดด.84:5 แม้นกกระจอกก็หาบ้านได้แล้ว และนกนางแอ่นหารังสำหรับตัวมันได้ ที่ที่มันจะตกฟองออกลูก คือที่แท่นบูชาของพระองค์ ข้าแต่พระเจ้าจอมโยธา พระราชา และพระเจ้าของข้าพระองค์]
น่าทึ่งอีกแล้ว แม้แต่สัตว์ตัวเล็กๆ เช่น นก ยังปรารถนาที่จะสร้างรังสร้างบ้านของตนที่แท่นบูชาของพระเจ้าเลย แล้วเราซึ่งเป็นมนุษย์ผู้เป็นฉายาของพระเจ้าล่ะ จะปรารถนาอยู่ที่แท่นบูชาของพระองค์มากกว่าสักเท่าใด

[สดด.84:4-5 ความสุขเป็นของบุคคลที่อาศัยในพระนิเวศของพระองค์ เขาร้องเพลงสรรเสริญพระองค์เสมอ ความสุขเป็นของบุคคลที่กำลังของเขาอยู่ในพระองค์ คือคนที่ในใจของเขาเป็นทางหลวงไปศิโยน]
การไปคริสตจักรช่วยเราให้ปลีกตัวออกจากวิถีชีวิตที่วุ่นวาย เพื่อเราจะสามารถใคร่ครวญและอธิษฐานอย่างสงบ เราชื่นชมยินดีในพระวิหารที่สวยงาม ชื่นชมยินดีในการอธิษฐาน นมัสการ คำเทศนา ชั้นเรียนรวี และการสามัคคีธรรม

[สดด.84:6 ขณะที่เขาผ่านไปตามหว่างเขาบาคา {แห่งการร้องไห้} เขากระทำให้เป็นที่น้ำพุ ฝนต้นฤดูกระทำให้ได้รับพระพร]
การเดินทางไปยังพระวิหารในสมัยอดีตนั้น ต้องผ่านหุบเขาแห่งน้ำตาซึ่งแห้งแล้งกันดาร ต้องดิ้นรนต่อสู้ด้วยน้ำตา ซึ่งทุกคนจะต้องผ่านไปก่อนจะพบพระเจ้า การเดินทางในปัจจุบันนี้ก็มิต่างกัน หลายครั้งเราต้องผ่านอุปสรรคนานาประการ เราต้องต่อสู้และทลายป้อมปราการทางความคิดก่อน เพื่อที่จะไปพบกับพระเจ้าองค์บริสุทธิ์ได้ ทว่า การเดินทางที่ยากแค้นนี้จะทำให้เราเติบโตขึ้นอย่างเข้มแข็งในพระเจ้า เราจึงชื่นใจที่กำลังเดินทางเข้าใกล้พระเจ้าไปทุกที

หากย้อนกลับไปที่พันธสัญญาเดิม จะเห็นได้ว่าศูนย์กลางการนมัสการคือเยรูซาเล็ม ประชาชนไปรวมกันที่นั่นเพื่อฉลองเทศกาลสำคัญทางศาสนาตามที่กำหนด ส่วนช่วงเวลาที่เหลือของปี ปุโรหิตและคนเลวีซึ่งอาศัยอยู่ทั่วประเทศ จะจัดการนมัสการและประกอบพิธีกรรมต่างๆ ในอาณาเขตของแต่ละเผ่า ในสมัยดังกล่าวการเดินทางไปเยรูซาเล็มไม่ใช่เรื่องง่ายเลย พวกเขาขึ้นไปบนภูเขาด้วยความยากลำบาก ไม่มี Toyota, Honda, Mazda, Benz และพาหนะอื่นที่สร้างความสะดวกเช่นปัจจุบัน ประชาชนต้องเดินทางไกล ละทิ้งบ้านเรือนและสัตว์เลี้ยงของเขา เพราะเขารู้ว่า พระวิหารนั้นเป็นสง่าราศีขององค์พระเจ้า เป็นที่ทรงสถิตของพระองค์ และเป็นการสำแดงความเชื่อให้ผู้อื่นรู้ว่าเขาอยู่ฝ่ายพระองค์

พระเจ้าทรงสร้างแต่ละคนอย่างมีเอกลักษณ์ และทรงจัดวางวิถีของแต่ละคนอย่างเจาะจง ดังนั้น การอยู่คริสตจักรใดคริสตจักรหนึ่งของเราก็มิใช่เหตุบังเอิญเช่นกัน ในทำนองเดียวกัน การเปลี่ยนหรือย้ายคริสตจักรก็ต้องเป็นไปตามการทรงนำของพระเจ้าด้วย การย้ายคริสตจักรโดยตั้งอยู่บนความต้องการของตนเองและสนองต่อเนื้อหนัง จึงเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง พระเจ้ามิได้รับเกียรติจากการกระทำเยี่ยงนี้…ฉันได้รับบทเรียนนี้จากพระองค์ ถึงแม้ว่าจะยังมิได้แสดงออกเป็นการกระทำ แต่มันได้ก้าวล่วงเข้าไปในความคิดของฉันแล้ว

ฉันรับเชื่อที่คริสตจักรนิมิตใหม่ตั้งแต่เมื่อครั้งไปเรียนภาษาอังกฤษที่ BSC และนมัสการที่นิมิตใหม่มาโดยตลอด จวบจนกระทั่งได้เปลี่ยนงานไปเป็นเลขานุการศิษยาภิบาลที่คริสตจักรอิแวนจลิคอล สุขุมวิทซอย 10 (ECB) จึงเป็นเหตุให้ฉันเปลี่ยนไปนมัสการที่ ECB ซึ่ง ECB ไม่ได้มีกฎว่าจะต้องนมัสการที่นั่น แต่เป็นความเต็มใจของฉันเอง และโดยการทรงนำของพระเจ้า สันติสุขจึงเกิดขึ้นในใจ ทั้งยังส่งผลดีกับงานที่ทำด้วย เพราะฉันได้รู้จักสมาชิกมากขึ้นจากการนมัสการและสามัคคีธรรมร่วมกัน ฉันได้รับการหนุนใจจากสมาชิก ในขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสที่ได้ทราบถึงความต้องการของสมาชิก และได้ช่วยเหลือสมาชิกร่วมกับศิษยาภิบาลและทีมงานในคริสตจักร จนกระทั่งเมื่อเปลี่ยนงานและย้ายที่อยู่ จึงได้กลับมานมัสการที่นิมิตใหม่ดังเดิม

ต่อมา ฉันได้ย้ายบ้านมาอยู่แถวพระราม 2 ซึ่งไกลจากนิมิตใหม่ค่อนข้างมาก ต้องใช้ระยะเวลาเดินทางมากขึ้น มี ค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพิ่มขึ้น เหน็ดเหนื่อยมากขึ้น แล้ววันหนึ่งมารที่วนเวียนอยู่รอบตัวก็ใส่ความคิดให้ว่า ทำไมต้องไปนมัสการในที่ไกลบ้านด้วย เปลืองเวลา เปลืองค่าเดินทาง เปลืองกำลัง ทั้งๆ ที่คริสตจักรใกล้บ้านก็มี หากเดินทางก็ประมาณแค่ 10 นาที เท่านั้น และคริสตจักรนั้นก็เป็นคริสตจักรสังกัดแบ๊บติสต์ มีผู้นำที่มีชื่อเสียงดี เป็นผู้ดูแลคริสตจักร

แต่เมื่อคิดดังนั้นแล้ว ก็ต้องรีบกลับใจแบบด่วนจี๋ เพราะฉันมีท่าทีที่ไม่ถูกต้อง จึงขอการชำระจากพระเจ้า และฉันก็จะไม่กลับไปคิดเช่นนั้นอีก หลังจากเคลียร์หัวใจเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว ฉันได้เล่าให้กับพี่สาวคนหนึ่งฟังด้วย เพื่อขอแรงอธิษฐานปกป้องความคิดของฉันไว้ให้อยู่ใต้บังคับของพระคริสต์

มิขึ้นอยู่กับว่าคริสตจักรแห่งหนึ่งจะดีมากไปกว่าคริสตจักรแห่งใด มิขึ้นอยู่กับว่าใกล้หรือไกล มิขึ้นอยู่กับเหตุผลใดๆ แต่ขึ้นอยู่กับว่า เราจะอยู่ในที่ๆ เราเลือก หรือจะอยู่ในที่ๆ พระเจ้าเลือก? หากเราทำตามใจตนเอง ไม่ได้ทำตามที่พระเจ้าเลือก เราก็มิต่างอะไรจากชาวอิสราเอลที่ต่อมาได้หันหลังให้กับสถานนมัสการที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ คือ พระวิหารกรุงเยรูซาเล็ม โดยเขาหันไปนมัสการพระอื่น และตั้งแท่นบูชาตามสถานที่สูงขึ้นเอง อันเป็นเหตุให้พระเจ้าทรงพิโรธ และนำมาซึ่งการล่มสลายของอาณาจักร จนต้องตกไปเป็นเชลยในต่างแดน

[สดด.84:7-10 เขาไปด้วยมีกำลังมาเพิ่มขึ้นๆ เขาจะเข้าเฝ้าพระเจ้าในศิโยน ข้าแต่พระเจ้าจอมโยธา ขอทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์ ข้าแต่พระเจ้าของยาโคบ ขอทรงเงี่ยพระกรรณ ขอทอดพระเนตร ข้าแต่พระเจ้า โล่ของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทอดพระเนตรหน้าผู้รับเจิมของพระองค์ เพราะวันเดียวในบริเวณพระนิเวศของพระองค์ ดีกว่าพันวันในที่อื่น ข้าพเจ้าจะเป็นคนเฝ้าประตูพระนิเวศของพระเจ้าของข้าพเจ้า ดีกว่าอยู่ในเต็นท์ของความอธรรม]
วิถีแห่งการนมัสการของเรานั้น เราสามารถนมัสการพระเจ้าได้ทุกหนทุกแห่งและทุกเวลา แต่ขอที่เรานั้นจะไม่พลาดการนมัสการพระเจ้าร่วมกับพี่น้อง ณ คริสตจักรซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้อย่างเฉพาะเจาะจงสำหรับเรา

สดด.84:11-12 เพราะพระเจ้าทรงเป็นดวงอาทิตย์และเป็นโล่ พระองค์ทรงปูนความชอบและเกียรติ พระเจ้ามิได้ทรงหวงของดีอันใดไว้เลย จากบุคคลผู้เดินอย่างเที่ยงธรรม ข้าแต่พระเจ้าจอมโยธา บุคคลที่วางใจในพระองค์ก็เป็นสุข]
ในอนาคต ยังไม่รู้ว่าพระเจ้าจะทรงนำเราไปอยู่คริสตจักรใดหรือไม่ แต่เมื่อเรานมัสการพระเจ้าด้วยสุดใจของเราเสมอ เราก็มิต้องเกรงกลัวสิ่งใด เราพร้อมเสมอที่จะอยู่ เราพร้อมเสมอที่จะไป เราวางใจได้เสมอว่าพระเจ้าจะทรงนำเราไปในวิถีราบ เพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์ …ฮาเลลูยา!

สายฝน…สายพระพร

วันที่ 25/5/2010

[สดด 65:4] สุขจริงหนอ ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกและนำมาใกล้ ให้พำนักอยู่ในบริเวณพระนิเวศของพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายจะอิ่มเอิบด้วยความดีแห่งพระนิเวศของพระองค์ คือพระวิหารบริสุทธิ์ของพระองค์

เชื่อเป็นการส่วนตัวว่าพี่น้องทุกท่านต้องรักบทสดุดี รักการนมัสการสรรเสริญ เพราะการสรรเสริญเป็นกุญแจสำคัญที่จะเปิดประตูเข้าไปสู่การทรงสถิตของพระเจ้า…สดุดีทุกบทมีฤทธิ์เดชและความงดงามอย่างยิ่ง วันนี้จึงขอนำพี่น้องอิ่มเอิบไปกับพระธรรมสดุดีบางส่วนในบทที่ 65 ด้วยกันคะ คราใดที่อ่านสดุดีบทนี้ ครานั้นก็ นึกถึงพระคุณและพระพรของพระองค์ และรู้สึกอิ่มเอิบด้วยความดีของพระองค์เป็นที่สุด

[สดด 65:9] พระองค์ทรงเยี่ยมเยียนแผ่นดินโลก และทรงรดน้ำ พระองค์ทรงกระทำให้อุดมยิ่ง แม่น้ำของพระเจ้ามีน้ำเต็ม พระองค์ทรงจัดหาข้าวให้ เพราะทรงจัดเตรียมโลกไว้เช่นนั้นแหละ

ข้อนี้สร้างความเบิกบานใจให้ยิ่งนัก นึกถึงสายฝนที่พระองค์ประทานมาให้ นึกถึงพระพรของพระองค์ที่ไหลรดลงมา สายฝนที่รดแผ่นดินโลกนำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินฉันใด สายพระพรที่ไหลหลั่งมาจากพระองค์ ก็นำมาซึ่งความอุดมสมบูรณ์ในชีวิตของเราฉันนั้น

[สดด 65:10] พระองค์ทรงรดน้ำ ตามรอยไถของมันอย่างอุดม และให้ขี้ไถราบลง ให้อ่อนละมุนด้วยฝน และทรงอวยพรผลิตผลของมัน

การปลูกพืชนั้นต้องเริ่มด้วยการเตรียมดินเสียก่อน หากพื้นที่เล็กก็อาจใช้แรงคน ถ้ากว้างขึ้นมาหน่อยก็อาจใช้แรงควาย แต่ถ้าต้องการให้เสร็จโดยไว ก็ต้องใช้รถไถ ซึ่งการไถโดยทั่วไปนั้นเกษตรกรจะไถ 2 ครั้งด้วยกัน ได้แก่ การไถครั้งแรก ที่เรียกว่า ไถบุกเบิกหรือไถดะ เป็นการพลิกดิน จากนั้นจึงมีการไถครั้งที่ 2 หรือเรียกว่าไถแปร ไถพรวน ซึ่งเป็นการย่อยดินที่ถูกพลิกในครั้งแรกให้แตกออกจากกัน ทำให้ดินร่วนละเอียดเพียงพอ ทำให้แปลงปลูกเรียบสม่ำเสมอ มีผลต่อการระบายน้ำผิวดิน อันจะก่อให้เกิดสมดุลย์นิเวศน์ในดิน ซึ่งเหมาะแก่การปลูกพืช และการดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตในดิน

เกษตรกรดั้งเดิมนั้น จะปลูกพืชผลโดยอาศัยดินฟ้าอากาศเป็นสำคัญ เช่น ชาวนาจะรอคอยฝนเพื่อเข้าสู่ฤดูแห่งการหว่าน ชาวนาจะรู้ว่าฝนจะตกชุกมากน้อยเพียงใดในรอบปี ทั้งยังรู้ว่าจะต้องไถดินเมื่อใด เพื่อที่ว่าเมื่อหว่านพืชลงไปแล้ว จะมีฝนตกลงมาพอดี อันจะช่วยให้พืชผลเติบโตดังปรารถนา

พระเจ้าทรงรดน้ำในแผ่นดินโลกโดยฝนของพระองค์ ทรงรดไปตามรอยไถที่ชาวนาได้เตรียมไว้ ทำให้สภาพดินเหมาะยิ่งขึ้นในการเจริญเติบโตของพืช ทั้งดินบริเวณนั้นก็จะซับน้ำเก็บไว้ข้างใต้ เพียงพอสำหรับพืชที่จะหยั่งรากลึกลงไปดูดซับน้ำมาหล่อเลี้ยงจนเติบโตเกิดผล…หากจะเปรียบกับชีวิตของเรา ก็จำเป็นต้องมีการไถพรวนเตรียมดินเช่นกัน [ยรม.4:3 พระเจ้าตรัสกับคนยูดาห์และแก่ชาวเยรูซาเล็มว่า "จงทุบดินที่ไถไว้แล้วนั้น และอย่าหว่านลงกลางหนาม] โดยสำนวนฉบับอมตธรรมกล่าวชัดเจนเข้าใจง่ายขึ้นไปอีกว่า “จงไถพรวนดินแข็งแห่งจิตใจของเจ้า และอย่าหว่านเมล็ดพืชลงกลางดงหนาม” คือการให้เราทลายความแข็งกระด้างในจิตใจเหมือนกับการพรวนดินที่แข็ง ต้องเอาความบาปที่ทำให้จิตใจแข็งกระด้างออกไปก่อน เพื่อที่เมล็ดแห่งคำสั่งสอนของพระเจ้าจะสามารถหยั่งรากได้ โดยการเชื่อฟังพระองค์ อันเป็นประตูสู่การรับพระพรได้อย่างเต็มขนาด สมดังพระพรแห่งการเชื่อฟังซึ่งปรากฎในเฉลยธรรมบัญญัติ 28:1-14

[สดด 65:11-13] พระองค์ทรงให้ปีเป็นยอดด้วยความอุดมสมบูรณ์ของพระองค์ รอยรถของพระองค์มีความไพบูลย์ย้อยหยด ทุ่งหญ้าในถิ่นทุรกันดารก็หยดย้อย เนินเขาคาดเอวด้วยความชื่นบาน ป่าพงห่มตัวด้วยฝูงแพะแกะ หุบเขาพราวไปด้วยข้าว เขาโห่และร้องเพลงพร้อมกันด้วยความชื่นบาน

สรรเสริญพระเจ้าสำหรับผู้ที่เขียนและแปลพระคัมภีร์ ช่างรจนาถ่ายทอดได้อย่างสละสลวย งดงามหมดจดยิ่งนัก พระพรอันไพบูลย์ของพระเจ้านั้น มิเพียงมีมาชั่วครั้งชั่วคราว ทว่ามีความย้อยหยดและหยดย้อยตลอดคืนวันชีวิตของเรา และเมื่อชีวิตของเรามีพระพรของพระเจ้าเต็มปรี่ พระพรนั้นก็จะไหลล้นออกไปสู่ผู้อื่นต่อไป ลองกลับไปอ่านพระคัมภีร์ข้างต้นอีกครั้งสิคะ ทุ่งหญ้า เนินเขา ป่าไม้ ฝูงสัตว์ พืชพรรณต่างๆ ล้วนโห่ร้องเพลงด้วยความชื่นบาน ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อพระพรของพระเจ้าไหลรดแผ่นดินโลก ไหลรดชีวิตของแต่ละคนดังนี้แล้ว การสรรเสริญโห่ร้อง การร้องเพลง และความชื่นบานยอดยิ่งก็จะบังเกิดขึ้นเต็มแผ่นดินโลก

พี่น้องคะ… ความบาปนั้นยังคงมีอยู่ แต่ก็ไม่มากกว่าพระคุณของพระองค์
ความพ่ายแพ้ยังอาจต้องประสบอยู่ แต่ก็ไม่มากกว่าชัยชนะในพระองค์
ความเกลียดชังยังคงปรากฎอยู่ แต่ก็ไม่มากกว่าความรักของพระองค์
ความทุกข์ก็ยังคงวนเวียนอยู่ แต่ไม่มากกว่าสันติสุขจากพระองค์
ความยากจนก็ยังคงต้องพบอยู่ แต่ไม่มากกว่าพระพรของพระองค์

ขอพระเจ้าผู้ทรงพระสิริ ทรงเทพระพรอันไพบูลย์ย้อยหยดของพระองค์ลงมายังชีวิตของทุกท่าน ขอความโปรดปรานของพระองค์อยู่เหนือท่านเสมอ ขอพระองค์ทรงสถาปนาชัยชนะให้กับท่านทั้งหลายเสมอไป ขอการเชื่อฟังของเรานั้นเป็นดั่งเครื่องหอมบูชาที่พอพระทัยสำหรับพระองค์ ขอถวายเกียรติทั้งสิ้นแด่พระองค์

[ฉธบ.28:1-14] 1"ถ้าท่านทั้งหลายเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน และระวังที่จะกระทำตามพระบัญญัติของพระองค์ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงตั้งท่านไว้ให้สูงกว่าบรรดาประชาชาติทั้งหลายทั่วโลก 2พระพรเหล่านี้จะตามมาทันท่าน ถ้าท่านทั้งหลายฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน 3ท่านทั้งหลายจะรับพระพรในเมือง ท่านทั้งหลายจะรับพระพรในทุ่งนา 4พงศ์พันธุ์ของตัวท่านเอง ผลแห่งพื้นดินของท่านและพันธุ์แห่งสัตว์ของท่านจะรับพระพร คือฝูงวัวของท่านที่เพิ่มขึ้น ฝูงแกะของท่านที่เพิ่มลูกขึ้น 5กระจาดของท่าน และรางนวดแป้งของท่านจะรับพระพร 6ท่านจะรับพระพรเมื่อท่านเข้ามา และท่านจะรับพระพรเมื่อท่านออกไป 7"พระเจ้าจะทรงกระทำให้ศัตรูผู้ลุกขึ้นต่อสู้ท่านพ่ายแพ้แก่ท่าน เขาจะออกมาต่อสู้ท่านทางหนึ่ง และหนีจากท่านเจ็ดทาง 8พระเจ้าจะทรงบัญชาพระพรให้แก่ฉางของท่าน และบรรดากิจการที่ท่านกระทำ และพระองค์จะทรงอำนวยพระพรแก่ท่านในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน 9พระเจ้าจะทรงตั้งท่านให้เป็นชนชาติบริสุทธิ์แด่พระองค์ ดังที่พระองค์ทรงปฏิญาณแก่ท่านแล้ว ถ้าท่านรักษาพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน และดำเนินในมรรคาของพระองค์ 10และชนชาติทั้งหลายในโลกจะเห็นว่าเขาเรียกท่านตามพระนามพระเจ้า และเขาทั้งหลายจะเกรงกลัวท่าน 11พระเจ้าจะทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ของตัวท่านเอง ผลของฝูงสัตว์ของท่านและผลแห่งพื้นดินของท่าน ในแผ่นดินซึ่งพระเจ้าทรงปฏิญาณแก่บรรพบุรุษว่าจะให้ท่าน 12พระเจ้าจะเปิดคลังฟ้าอันดีของพระองค์ประทานฝนแก่ท่านตามฤดู กาลและทรงอำนวยพระพรแก่กิจการน้ำมือของท่าน และท่านจะให้ประชาชาติหลายประชาชาติขอยืม แต่ท่านจะไม่ขอยืมเขา 13ถ้าท่านเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ และระวังที่จะกระทำตาม พระเจ้าจะทรงกระทำให้ท่านเป็นหัวไม่ใช่เป็นหาง กระทำให้สูงขึ้นทางเดียวมิใช่ให้ต่ำลง 14และถ้าท่านไม่หันเหไปจากถ้อยคำซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ โดยหันไปทางขวามือหรือทางซ้าย ไปติดตามปรนนิบัติพระอื่น

เงาะ…ลูกแห่งสันติสุข

วันที่ 24/05/2010

มีคำกล่าวว่า “งานรับใช้พระเจ้านั้น ถ้าเราไม่ทำ พระเจ้าก็ไม่เสียหายอะไร แต่เราต่างหากที่เสียโอกาส” (คำนำฝากโดยครูแมม จากการอบรม GLS)คำกล่าวนี้สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าในพระธรรม 2 ทธ.4:2 ให้ประกาศพระวจนะ ให้ขะมักเขม้นที่จะทำการทั้งในขณะที่มีโอกาสและไม่มีโอกาส…]

สถานการณ์บ้านเมืองเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้หลายคนต้องหยุดงาน แต่ขอบคุณพระเจ้าเสมอที่พระเจ้ามิเคยหยุดราชกิจของพระองค์ พระองค์ไม่เคยหลับสนิทหรือนิทรา [สดด.121:4 ดูเถิด พระองค์ผู้ทรงอารักขาอิสราเอล จะไม่ทรงหลับสนิทหรือนิทรา] ด้วยเหตุนี้ คริสเตียนซึ่งเป็นลูกของพระองค์ก็มิอาจหยุดได้เช่นกัน ดังจะเห็นได้จากพี่น้องจำนวนมากที่ไม่หยุดอธิษฐาน ไม่หยุดรับใช้! ทีมงานคริสตจักรลูกที่อัมพวาก็ได้ฉวยโอกาสเข้าไปรับใช้พระเจ้าในช่วงเวลาดังกล่าว เช่นเดียวกับทีมงานคริสตจักรลูกที่บางใหญ่ ที่ได้ฉวยโอกาสนี้ไว้ด้วย และแน่นอนว่ายังมีอีกหลายทีมงานและหลายคริสจักรที่เดินหน้ารับใช้พระองค์โดยมิหยุดหย่อน

ขอบคุณพระเจ้า เราสามคน อันได้แก่ ครูแมม ครูตุ๊กตา และฉัน ได้ไปเยือนตลาดน้ำวัดศรีประวัติ เมื่อวันที่ 21/5/2010 ที่ผ่านมา โดยครูตุ๊กตาเล่าเรื่องสนุกพร้อมแง่คิดและนำเด็กร้องเพลง ส่วนครูแมมก็สอนเด็กโดยวิธีการมอนเตอเซอรี่ ซึ่งเป็นหลักสูตรของ YWCA แห่งเดียวในประเทศไทย ขณะกำลังสอนเด็กๆ อยู่นั้น เด็กหญิงตัวเล็กคนหนึ่งก็วิ่งกระหืดกระหอบผ่านมา เราจึงชวนเธอมานั่งเรียนด้วย แต่โดยความซุกซนของเธอ เธอก็จะนิ่งไม่เป็น นั่งได้สักพักหนึ่งเธอก็จะออกไปวิ่งอีก วิ่งไปวิ่งมา แล้วก็กลับมานั่งหอบตามเดิม ความช่างเจรจาของเธอนั้นฉันขอมอบโล่อันดับหนึ่งให้เลย เธอเป็นที่รู้จักของชาวบ้านหลายคน และชาวบ้านหลายคนก็รู้จักเธอเช่นกัน เธอเป็นที่รักของคนแถบนั้น

เงาะ เด็กหญิงวัย 4 ขวบ เล่าไปหอบไปอย่างฉะฉานว่า บ้านเธออยู่ไกลออกไปจากชุมชนวัดศรีประวัติ หากจำไม่ผิดก็พระราม 7 นู่นเลย พ่อของน้องเงาะขับมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ส่วนแม่ทำงานที่รถไฟฟ้าใต้ดิน ในช่วงวันหยุดเธอจะมาอยู่กับพ่อคุณแม่คุณที่ชุมชนฯ (หมายถึงคุณตา คุณยาย ในภาษาของชาวอยุธยา) เราทราบจากคุณแนนซี่ (แม่ของมีมี่) ว่าแม่คุณป่วยเป็นโรคเบาหวาน สายตามองไม่ค่อยเห็น เราจึงขอไปเยี่ยมที่บ้าน โดยมีเงาะน้อยนำทาง อันเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความสัมพันธ์กับชาวบ้านอีกหลายคน ชาวบ้านรู้ว่าเราเป็นคริสเตียน และยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เราจะไปสอนหนังสือให้กับลูกหลานของเขา เส้นทางขากลับจากบ้านน้องเงาะถึงบริเวณตลาดน้ำ เป็นดังนี้

-บ้านน้องเงาะ พบแม่คุณของเงาะ ครูตุ๊กตาและครูแมมได้เล่าข่าวประเสริฐ และอธิษฐานเผื่อแม่คุณ
-บ้านประธานชุมชน พบคุณแหม่มลูกสาวประธานชุมชน ซึ่งมีตำแหน่งผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านด้วย กำลังพักผ่อนอยู่กับน้องมิกกี้ หลานชายวัย 3 ขวบ คุณแหม่มอัธยาศัยดี ต้อนรับและให้ข้อมูลหลายประการเกี่ยวกับชุมชน
-บ้านตัว พ. จำชื่อคนบ้านนี้ไม่ได้ จำได้เพียงว่าหลานสาวคนหนึ่งชื่อเพื่อน ส่วนคนอื่นก็มีชื่อเป็นตัวอักษร พ. เราพบคุณป้าอัธยาศัยดี และหลานๆ วัยประถม มัธยม หลานสาว 3 คน หลานชาย 1 คน คุณป้าเล่าให้เราฟังว่าหลานแต่ละคนมีลักษณะเด่นอย่างไร และอยากให้หลานๆ มาเรียนกับเรา
-บ้านน้องแป้งวัยมัธยม นั่งอยู่กับคุณยาย น้องเงาะวิ่งเข้าไปหอมและกอดคุณยายบ้านนี้ด้วยความสนิทสนม
-บ้านน้องแพร น้องแม็ค คาดว่าน่าจะจำชื่อเด็กไม่ผิด น้องแพรขี้อาย ทั้งสองน่าจะอยู่ในช่วงปฐมวัย
-พ่อคุณของน้องเงาะซึ่งนั่งอยู่ที่ศาลาริมน้ำ ได้ฟังข่าวประเสริฐ และเราอธิษฐานเผื่อพ่อคุณซึ่งเป็นต้อหิน ตามองไม่ค่อยเห็น พ่อคุณอยากหายโรคเพื่อจะได้ทำงานหาเลี้ยงชีพได้ พ่อคุณเปิดใจมากทีเดียว ซึ่งเราก็ฝากไว้ในเวลาของพระเจ้า
-ป้าเขียด หญิงม่ายซึ่งนั่งสูดยานัตถ์อยู่ที่ศาลาริมน้ำ ครูแมมสังเกตุว่าป้าแกสนใจฟังพวกเราตั้งแต่เรากำลังสนทนาอยู่กับพ่อคุณแล้ว ดังนั้น เราจึงฉวยโอกาสเล่าข่าวประเสริฐให้ป้าเขียดฟังเช่นกัน ครูตุ๊กตาบอกว่า รู้สึกว่าป้าจะรับเชื่อ และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อนำรับเชื่อแล้ว อธิษฐานเผื่อ คุณป้าก็ยิ้มสดชื่นขึ้นมาทันที คุณป้ามีปัญหาเรื่องเข่าและขาที่ไม่แข็งแรงนัก
-ร้านขายน้ำ เนื่องจากได้รับมอบหมายให้ไปซื้อน้ำ จึงได้รู้จักกับคนขายน้ำ เขาไม่มีลูกหลาน แต่ได้ชักชวนลูกค้ารายอื่นให้ส่งลูกหลานมาเรียน และมีคนสนใจ ซึ่งเราคงต้องไปสร้างความสัมพันธ์และประชาสัมพันธ์ต่อไป

ระหว่างที่เราใช้เวลากับพ่อคุณและป้าเขียดอยู่นั้น เงาะน้อยก็ไม่ได้หายไปไหน ยังคงพยายามมาชวนคุยชวนเล่นตามประสาเด็ก แต่เมื่อเราขอให้เงาะไปนั่งหลับตาอธิษฐานรอ เมื่อเสร็จธุระแล้วเราจะไปเรียก เงาะก็จัดการนั่งหลับตาปี๋ในท่าขัดสมาธิ บางทีก็แอบเปิดตา ชำเลืองมามองเรา เป็นที่น่าเอ็นดู

น้องเงาะทำให้ฉันนึกถึงขนมปัง 5 ก้อน และปลา 2 ตัว ของเด็กคนหนึ่ง ซึ่งพระเยซูทรงใช้เลี้ยงคนถึง 5,000 คน การเลี้ยงอาหาร 5,000 คน ด้วยขนมปัง 5 ก้อน และปลา 2 ตัว เป็นอีกพระราชกิจหนึ่งที่ลือลั่นขององค์พระเยซู มีปรากฎอยู่ในพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม โดยในพระธรรมยอห์นระบุชัดเจนถึงแหล่งที่มาของขนมปังและปลานั้น [ยน.6:9 "ที่นี่มีเด็กคนหนึ่งมีขนมบารลีห้าก้อนกับปลาสองตัว แต่เท่านั้นจะพออะไรกับคนมากอย่างนี้"]

พระเยซูตรัสใน มธ.18:3-5 ว่า "เรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่านไม่กลับใจเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดถ่อมจิตใจลงเหมือนเด็กเล็กคนนี้ ผู้นั้นจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์ ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็กเช่นนี้คนหนึ่งในนามของเรา ผู้นั้นก็รับเราด้วย” สาวกในขณะนั้นยอมรับเด็กน้อย ยอมรับอาหารจากเด็กน้อย ส่วนเด็กน้อยผู้นั้นก็ยอมให้พระเยซูใช้สิ่งที่เขามีอยู่เพื่อพระราชกิจของพระองค์ การอัศจรรย์ดังกล่าวจึงเกิดขึ้น แต่หากสาวกผู้นั้นไม่ทูลพระเยซูถึงสิ่งที่เด็กผู้นั้นมี หากเขาไม่ถ่อมใจรับอาหารจากเด็กผู้นั้น รวมถึง หากเด็กไม่ยอมสละสิ่งที่ตนเองมีเพื่อมอบแด่พระเยซูล่ะ ผลลัพท์จะออกมาเป็นอย่างไรนะ แต่ฉันก็เชื่อว่าพระราชกิจของพระเยซูจะสำเร็จ เพียงแต่ว่าพระองค์อาจใช้ผู้อื่น หรืออาจใช้วิธีการอื่น เพราะพระองค์ทรงทราบแล้วว่า พระองค์จะทรงกระทำประการใด

ครูแมมให้ฉายาเงาะว่า “ฑูตสวรรค์” และ “น้องเงาะแห่งตลาดน้ำวัดศรีประวัติ” และโดยส่วนตัว ฉันก็เชื่อจากหัวใจว่าบุคลิกลักษณะบางประการที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในเด็กหญิงเงาะคนนี้ จะเป็นสิ่งที่พระเจ้าสามารถใช้เธอได้ เป็นพระพรต่อคนเป็นอันมาก เพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์ [มธ.13:32 เมล็ดนั้นเล็กกว่าเมล็ดทั้งปวง แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่กว่าผักอื่น และจำเริญเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้"]

เก็บตก…งานอธิษฐานอวยพรประเทศไทย

วันที่ 11/05/2010

[2พศด.7:14 ถ้าประชากรของเราผู้ซึ่งเขาเรียกกันโดยชื่อของเรานั้นจะถ่อมตัวลง และอธิษฐานและแสวงหาหน้าของเรา และหันเสียจากทางชั่วของเขา เราก็จะฟังจากสวรรค์ และจะให้อภัยแก่บาปของเขา และจะรักษาแผ่นดินของเขาให้หาย]


ด้วยวิกฤติการเมืองไทยในปัจจุบัน คณะกรรมการประสานงานคริสตจักรโปรเตสแตนท์แห่งประเทศไทย หรือ(กปท.) ร่วมกับ เครือข่ายอธิษฐานอวยพรประเทศไทย จึงได้จัดงาน "อธิษฐานเผื่อประเทศไทย" ไปครั้งแรกเมื่อวันอาทิตย์ที่ 25 /4/2010 ณ คริสตจักรวัฒนา และจัดเป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 9/5/2010 ณ หอประชุมโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย

นักอธิษฐานทั้งชายหญิงหลากหลายวัยจากหลายคริสตจักร ไม่แบ่งแยกคณะนิกาย ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด แถมด้วยชาวต่างชาติอีกนิดหน่อย ได้หลั่งไหลมารวมใจกันเป็นหนึ่ง ด้วยเชื่อว่าคำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมมีพลังทำให้เกิดผล [ยก.5:16] และเชื่อว่าสถานการณ์ต่างๆ จะคลี่คลายไปด้วยดี โดยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งในครั้งแรกนั้นมีผู้เข้าร่วมอธิษฐานเกือบหลักพัน และในครั้งที่ 2 มีผู้เข้าร่วมอธิษฐานกว่าพันคน และเราคาดหวังว่า หากมีการอธิษฐานในครั้งที่ 3 จะมีนักอธิษฐานไปร่วมงานกันมากกว่าทั้ง 2 ครั้งที่ผ่านมา

ก่อนถึงวันอธิษฐาน ฉันได้บอกครูแมมว่าไม่สะดวกไปร่วมอธิษฐานครั้งนี้นะ แต่เมื่อถึงวันอาทิตย์ช่วงเช้าฉันก็ตัดสินใจยกเลิกธุระส่วนตัว เพื่อไปร่วมนัดสำคัญอธิษฐานเพื่อชาติ ทั้งเมื่อฟังเทศนา ศบ.พงษ์ศักดิ์ซึ่งได้แบ่งปันเกี่ยวกับเอสเธอร์ ก็ยิ่งปลุกใจให้ลุกขึ้นสู้ ยืนหยัดอยู่บนช่องโหว่อ้อนวอนเพื่อประเทศไทยของเรา ครูแมมไม่รู้หรอกว่าฉันมีธุระสำคัญอะไร แต่ครูแมมเล่าว่า ครูแมมเชื่อว่าฉันจะต้องมาร่วมงานอธิษฐานครั้งนี้ ถึงแม้ฉันจะพูดไว้ว่าไม่มาก็ตาม…เป็นสิ่งที่หนุนใจมากเลยคะครูแมม ขอบคุณครูแมมนะคะ ที่เชื่อในส่วนดีของน้องเสมอ

ช่วงแรกของรายการมีการนำนมัสการโดยกลุ่ม True Worshiper จากนั้นจึงเป็นการอธิษฐาน สลับกับการนมัสการเป็นระยะๆ โดยงานนี้ ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ ได้ขึ้นมาแบ่งปันพระพรให้กับพวกเราอีกครั้ง

อ.ธงชัย ตั้งชื่อพวกเราว่า “ศอฉ.” เอ๊ะ! คืออะไรนะ พอได้ยินฉอฉิ่งก็นึกไปถึงอะไรที่เฉยๆ เฉื่อยๆ นะ แต่เปล่าเลย เพราะคำนี้หมายถึง “ศูนย์รวมอธิษฐานเฉพาะกิจ” ฮากันตรึม คิดได้ไงไม่รู้ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับสติปัญญาอันล้ำเลิศที่พระองค์ทรงประทานให้กับท่านอาจารย์ ซึ่งโดยการรวมตัวของ ศอฉ. นี่แหละที่จะทำให้ “นปช.”เดิมๆ เปลี่ยนเป็น “แนวร่วมเพื่อการประกาศข่าวประเสริฐแห่งชาติ” …AMEN!

นอกจากนั้น อาจารย์ยังกล่าวด้วยว่า เมื่อคริสเตียนอ้อนวอน การอวยพรก็จะเกิดขึ้น และเรายังต้องออกไปประกาศข่าวประเสริฐ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้ม็อบอันตรธานไป เมื่อนั้นแหละ ประเทศไทยก็จะสามารถออกจากปัญหาได้…AMEN!

ถ้าเจ้าเชื่อ…เจ้าก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

วันที่ 10/05/2010

วันนี้มีเรื่องราวของพี่น้องในโบสถ์มาเล่าสู่กันฟังคะ เป็นเรื่องราวของอีกชีวิตหนึ่ง ที่ถึงแม้จะเป็นคริสเตียนได้ไม่ถึงปี แต่ก็มีชีวิตที่ได้รับการเจิมที่สุดยอด อันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เสมอในสายพระเนตรของพระบิดา

“การเจิมที่สุดยอด” คือ ชีวิตของคนผู้นั้นที่เปลี่ยน และมีผลต่อคนอื่น เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า
พี่น้อยแบงค์เป็นพี่สาวที่น่ารัก มีหัวใจซึ่งจดจ่อที่พระเยซู ปรารถนาจะเป็นเหมือนพระเยซู ปรารถนาที่จะรับใช้พระองค์ผู้ทรงพระชนม์ ฉันรู้จักพี่น้อยครั้งแรกในโซนอธิษฐาน ซึ่งพี่อิ๋วเป็นคนชวนมา และตั้งแต่นั้น พี่น้อยเป็นสาวกที่สัตย์ซื่อในการเข้าร่วมโซนอธิษฐาน และเข้าร่วมกลุ่มเซลล์ Holiness และพระสิริ ทั้งยังเข้าร่วมกิจกรรมอื่นๆ ที่คริสตจักรจัดขึ้นโดยมิได้ขาด แม้ว่าจะต้องหยุดขายของอันเป็นแหล่งรายได้ของตนเองก็ตาม (พี่น้อยไม่รู้หรอกว่าฉันเล่าเรื่องของเธอ อย่างไรก็ตาม ขอการปกป้องจากพระเจ้าอยู่เหนือชีวิตของเธอเสมอ และขอที่พี่น้อยจะได้รับบำเหน็จทั้งในแผ่นดินสวรรค์ และที่แผ่นดินโลก)

พี่น้อยเป็นแบบอย่างของผู้ถ่อมใจ พี่น้อยบอกเสมอว่า “มีอะไรก็บอกพี่นะ เตือนพี่นะ สอนพี่นะ พี่เป็นคริสเตียนใหม่ ไม่รู้อะไรมาก พี่ก็จะเผลอทำอะไรแบบบ้านๆ” พี่น้อยหารู้ไม่ว่า ในความเป็นบ้านๆ ของพี่น้อยนี่แหละที่หนุนใจคนเป็นจำนวนมาก พี่น้อยเป็นคนหนึ่งที่ตั้งใจเรียนพระคัมภีร์ทุกครั้ง ตั้งใจอธิษฐานโดยตลอด ตั้งใจนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง ตั้งใจกระทำทุกอย่างเพื่อรับใช้พระเจ้า พี่แขกก็ยังชมให้ฟังว่า พี่น้อยหนุนใจพี่แขกมากในการช่วยเหลือพี่แขกเก็บข้าวของต่างๆ โดยไม่ต้องเอ่ยปากขอ พี่น้อยมีของประทานในการปรนนิบัติชัดเจนมาก รักการประกาศ และมีหัวใจแห่งการเชื่อฟังเป็นที่สุด

ในวัย 50 นี้ พี่น้อยต้องขายของหน้าธนาคารกรุงเทพ สาขาประดิพัทธิ์ นั่นเป็นเหตุให้เราตั้งฉายาคุณเธอว่า “พี่น้อยแบงค์” พี่น้อยต้องตรากตรำทำงานกลางค่ำกลางคืน ไม่ว่าฝนจะตก ไม่ว่าจะร้อน หรือเหน็บหนาว ก็นั่งสูดดมควันรถ ขายของอยู่ริมถนน ตั้งแต่ช่วงหลังพระอาทิตย์ตกดินจนถึงเที่ยงคืน กว่าจะกลับถึงบ้านแถวรามอินทราสายไหมก็รุ่งขึ้นของอีกวัน กระนั้นก็ดี พี่น้อยก็เป็นขาประจำในการเรียนพระคัมภีร์ช่วงเย็นวันเสาร์กับพี่ลี่ และช่วงเช้าวันอาทิตย์กับ อ.ธงชัย

ก่อนที่จะรู้จักพระเจ้า พี่น้อยขายหนังสือมือสองนานาชนิด เน้นไปที่หนังสือปืน หนังสือเกย์ หนังสือพระ แต่เมื่อรู้จักพระเจ้าแล้ว พี่น้อยก็ทิ้งสิ่งเก่าๆ ไปสิ้น และเริ่มต้นสิ่งใหม่ หันมาขายหนังสือน้ำดีมือสองเล็กๆ น้อยๆ ควบคู่กับการขายพรมเช็ดเท้า ส่งผลให้รายได้ลดลงฮวบใหญ่ แต่พี่น้อยยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า โดยเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อจะทรงเลี้ยงดูพี่น้อยดุจเลี้ยงแกะ สมดังสดุดี 23 ที่พี่น้อยจารึกไว้ในดวงใจ

รายได้เพียงเล็กน้อยนี้ มิใช่ใช้จ่ายเพียงลำพัง พี่น้อยต้องจุนเจือลูกชาย ลูกสะใภ้ และหลานสาววัยทารก ซึ่งอยู่บ้านเดียวกัน อีกทั้งยังต้องจัดเตรียมบางส่วนช่วยเหลือลูกสาววัยประมาณ 10 ขวบ ซึ่งอยู่บ้านอีกหลังหนึ่งด้วย อย่างไรก็ตาม พี่น้อยเป็นนักถวายตัวยง นอกจากสิบลดแล้ว เธอได้ถวาย 100 บาท ทุกเดือน ด้วยใจกว้างขวางและยินดี เพื่อสนับสนุนผู้รับใช้พระเจ้าเต็มเวลาท่านหนึ่ง

พี่น้อยย้ำบ่อยครั้งว่า “มีอะไรก็บอกพี่นะ จะให้ทำอะไรก็บอก ไปไหนก็บอกพี่ด้วยนะ ป่ะ ไปไหนไปกัน” ล่าสุดนี้ เมื่อวันจันทร์ที่ 3/5/2010 ที่ผ่านมา พี่น้อยก็ไปเดินอธิษฐานกับพวกเราแถวคริสตจักรลูกที่บางใหญ่ แต่บางช่วงเราก็ขับรถอธิษฐานกัน 4 สาว โดยมีพี่ตุ๊กตาและพี่ปุ้ยเป็นผู้หญิงนั่งแถวหน้า เราเชื่อว่าการอธิษฐานของเรานั้นจะรื้อทลายฟ้าสวรรค์ที่เป็นทองสัมฤทธิ์ แม้เราจะไม่เห็นผลในการอธิษฐานโดยทันที แต่การอธิษฐานนี้จะก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวในย่านฟ้าอากาศ เกิดการเขย่าที่แผ่นดินโลก และเกิดการสั่นสะเทือนในฟ้าสวรรค์ เราอธิษฐานตลอดเส้นทาง เผื่อทุกร้าน ทุกบ้านที่พบ ทุกสถานที่และผู้คนที่เจอะเจอ หรือแม้กระทั่งสิ่งที่เรานึกขึ้นมาได้

อ้าว! ไปไกลอีกแล้ว ย้อนกลับมาเรื่องพี่น้อยต่อนะคะ เมื่อวันเสาร์ที่ 8/5/2010 พี่น้อยร่วมเดินทางไปทำพันธกิจที่คริสตจักรลูก อ.แกลง จ.ระยอง ร่วมกับพี่อิ๋ว พี่สุภาพ และน้องยุ้ย กว่าจะกลับถึงบ้านก็หลายทุ่ม เมื่อถึงวันอาทิตย์ก็ยังมาเข้าร่วมฝึกอบรมอัลฟาในช่วงบ่าย และต่อด้วยการไปอธิษฐานเพื่อประเทศไทยที่วัฒนาวิทยาลัยอีกด้วย

เมื่อถามพี่น้อยว่า “เหนื่อยไหม” พี่น้อยตอบว่า “มันก็เหนื่อยมากนะ แต่ถ้าเราเชื่อว่าเราทำได้ เราก็จะทำได้ และถ้าเราเชื่อว่าเราสู้ไหว เราก็จะสู้ไหว เราชื่นชมยินดี” โอ้โห! พี่น้องคะ ช่างเป็นคำหนุนใจจริงๆ ทำให้ระลึกถึงพระคำข้อนี้ [ยน.11:40 พระเยซูตรัสกับเธอว่า "เราบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่า ถ้าเจ้าเชื่อเจ้าก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า"]

ใช่แล้วค่ะ ทุกสิ่งบรรดามีที่เกิดขึ้นนั้น จะใหญ่ตามขนาดความเชื่อของเรา [ฮบ.11:1 ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง] ถ้าเรามีความเชื่อเล็ก เราคงทำได้เพียงเรื่องเล็ก หากเรามีความเชื่อที่ใหญ่ สิ่งที่ยิ่งใหญ่ก็สามารถเกิดขึ้นได้

มีหนังสือ 2 เล่ม คือ Think Big - The Magic of Thinking BIG หรือ คิดใหญ่ ไม่คิดเล็ก และ Thinking out of the box หรือ คิดนอกกรอบ ที่ได้ให้ความสำคัญกับแนวความคิดของมนุษย์ อันนำไปสู่ผลลัพท์ที่ยิ่งใหญ่ โดยหนังสือทั้ง 2 เล่มนี้ถูกตีพิมพ์เป็นภาษาต่างๆ จำนวนมาก และได้รับความนิยมระดับโลก ทว่า หนังสือนี้เพิ่งเกิดขึ้นในยุคนี้เท่านั้น และแนวคิดที่นำเสนอก็เป็นเพียงบางเสี้ยวมุมเท่านั้น มิอาจเทียบกับวิถีล้ำลึกในพระคัมภีร์ ซึ่งกำเนิดมาแล้วเป็นพันๆ ปีได้

พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ทรงเป็นพระเจ้าซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ดังนั้น เราจึงมองไม่เห็น และไม่สามารถเห็นได้ ทั้งเราเองก็ไม่เหมาะสมที่จะเห็นพระองค์ด้วย เพราะทรงบริสุทธิ์ ทรงสง่าราศียิ่งนัก

หากเรามีภาพของพระเจ้าที่ไม่ยิ่งใหญ่และไม่ชัดเจนมากพอ หรือการที่เรายังสงสัยอยู่ นั่นก็เป็นเพราะพระเจ้าในความคิดของเราเล็กเกินไป เป็นการจำกัดพระเจ้าอยู่ในกรอบความคิดแคบๆ ของเรา เพราะเรามีความเชื่อไม่ใหญ่พอ และเมื่อมีความเชื่อที่ไม่ใหญ่พอเช่นนี้แล้ว เราจะเห็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร เราจะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้อย่างไร

วันนี้ ฉันจึงต้องถามตัวเองซ้ำอีกครั้งว่า “มีความเชื่อที่ใหญ่ในองค์พระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่เพียงใด”

ขอพระเจ้าทรงโปรดอวยพรให้ทุกท่านได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์…Amen!

สรุปคำเทศนา...โยนาห์…พร้อม!!!

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม 2553 ณ คริสตจักรนิมิตใหม่ ศบ.พงษ์ศักดิ์ อังศ์ธราธร นำพระวจนะของพระเจ้ามาแตะใจเราอีกครั้งหนึ่ง ในหัวข้อ “พระเมตตาที่ไม่สิ้นสุด” โดยเน้นไปที่พระธรรมโยนาห์ บทที่ 1-4

เมื่อเอ่ยถึงโยนาห์ คนทั่วไปก็จะนึกถึงโยนาห์ในท้องปลา…แต่วันนี้ เรามานึกถึงโยนาห์ในมุมมองใหม่ดีกว่า คือ เป็นโยนาห์ที่สำรอกออกมาจากปลาแล้ว

1.โยนาห์หลบหนีพระเจ้า (บทที่ 1)
ไอ๋หยา! โดนเต็มๆ เลยค่ะ ก็เป็นคนหนึ่งที่เคย (บ่อยด้วย) หลบหนีพระเจ้า พระเจ้าตรัสอย่างชัดเจนผ่านทางพระวจนะของพระองค์ แต่ก็ละเลยเพิกเฉย กล่าวคือ สิ่งที่ไม่ควรทำ-กลับทำ ส่วนสิ่งที่ควรทำนั้น-กลับไม่ทำซะงั้น

โยนาห์ หมายถึง นกพิราบ นิสัยทั่วไปก็บินไปบินมา พระเจ้าให้ไปนีนะเวห์ กลับหนีไปที่อื่นซะนี่ แต่ยังไงก็หนีไม่พ้น ฮ่า ฮ่า ลงเรือไปแล้ว สุดท้ายก็ถูกโยนออกมาให้ปลางับอยู่ดี ส่วนปลานี้ก็ไม่ธรรมดานะ เพราะเป็นปลามหึมาที่พระเจ้าสั่งมา… แต่เราต้องไม่เหมือนโยนาห์ในประเด็นนี้นะ เมื่อพระเจ้าทรงเรียกชัดเจนให้เราทำอะไรแล้ว อย่าหนี! เพราะมิเพียงเราจะเดือดร้อนเท่านั้น แต่เพื่อนบ้านจะเดือดร้อนด้วย หากเรายังหนีพระเจ้าอยู่ แสดงถึงการไม่เห็นด้วยกับพระองค์ บ้างก็หนีด้วยการย้ายงาน ย้ายกลุ่ม ย้ายโบสถ์ ย้ายสิ่งอื่นๆ แต่ไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ต้องกลับใจด่วนจี๋เลยทีเดียว

พระเจ้าจะทรงให้เราไปในที่ซึ่งพระองค์ประสงค์ ไม่ใช่ในที่ซึ่งเราเองอยากจะไป หากพระเจ้าทรงกำหนดให้เราอยู่ตรงจุดไหนแล้ว พระเจ้าจะทรงอวยพรเราอย่างแน่นอน ดังนั้น หากพระเจ้าทรงเรียกแล้ว ให้เราลุกขึ้นและลงมือปฏิบัติด้วย…มีบางคนที่ฟื้นฟูแล้ว สักพักก็เหมือนเดิม อันนี้ก็เรียกว่าหนีเหมือนกัน…อย่าหนีพระเจ้าเลยค่ะ หนีพระองค์ไม่พ้นหรอก เหนื่อยเปล่า! [สดด.139:7-10 ข้าพระองค์จะไปไหน ให้พ้นพระวิญญาณของพระองค์ได้ หรือข้าพระองค์จะหนีไปไหนให้พ้นพระพักตร์ของพระองค์ ถ้าข้าพระองค์ขึ้นไปยังสวรรค์ พระองค์ทรงสถิตที่นั่น ถ้าข้าพระองค์จะทำที่นอนไว้ในแดนผู้ตาย พระองค์ทรงสถิตที่นั่น ถ้าข้าพระองค์จะติดปีกแสงอรุณ และอาศัยอยู่ที่ส่วนของทะเลไกลโพ้น แม้ถึงที่นั่น พระหัตถ์ของพระองค์จะนำข้าพระองค์และพระหัตถ์ขวาของพระองค์จะยึดข้าพระองค์ไว้]

2.โยนาห์กลับใจ (บทที่ 2)
อึก อึก อึก โยนาห์คงดื่มน้ำไปหลายอึกเมื่ออยู่ในท้องปลา ไม่รู้ว่าโยนาห์ว่ายน้ำเป็นหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ เราว่ายน้ำเป็น บางครั้งยามนั่งเรือในทะเลไกล เรายังเมาคลื่นเลยอ่ะ แต่นี่โยนาห์อยู่ในท้องปลาที่ว่ายไปมาในทะเลใหญ่ลึกกว้าง แล้วจะเหลือเหรอโยนาห์ ทว่า ในช่วงเวลาที่ทำอะไรไม่ได้เลยนี่แหละ การอธิษฐานก็ยิ่งเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน โยนาห์อธิษฐานต่อพระเยโฮวาห์จากภายในท้องปลา ว้าว! เห็นไหมล่ะว่า ไม่ว่าเราจะอธิษฐานอยู่ที่ไหน จะอธิษฐานในใจ หรือเสียงเบาเสียงดัง พระเจ้าก็ทรงฟังเสมอ…โยนาห์กลับใจแล้ว พี่น้องเอ๋ย [ยนา.2:9 แต่ข้าพระองค์จะถวายสัตวบูชาแด่พระองค์ พร้อมด้วยเสียงโมทนาพระคุณ ข้าพระองค์บนไว้อย่างไร ข้าพระองค์จะแก้บนอย่างนั้น การที่ช่วยกู้นั้นเป็นของพระเจ้า]

3.นีนะเวห์กลับใจ (บทที่ 3)
เราได้เห็นหลายครั้งแล้วว่า เมื่อคนหนึ่งคนกลับใจ ก็เป็นเหตุให้เกิดการกลับใจในระดับที่ใหญ่ขึ้นตามมา เช่นเดียวกับโยนาห์นี่ไง เมื่อเขากลับใจ ก็นำพานีนะเวห์เมืองใหญ่ให้กลับใจได้เช่นเดียวกัน

[ยนา.3:1-2 แล้วพระวจนะของพระเจ้ามาถึงโยนาห์เป็นคำรบสองว่า "จงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์นครใหญ่ และประกาศข่าวแก่เมืองนั้นตามที่เราบอกเจ้า"]
พระวจนะของพระเจ้ามาถึงโยนาห์เป็นคำรบสองแล้ว อันที่จริงโยนาห์นั้นน่านับถือมาก เพราะฉันเองนั้นเคยต้องให้พระเจ้าทรงตรัสหลายครั้ง กว่าจะยอมในเรื่องบางเรื่อง แต่นั่นก็ทำให้ได้รับบทเรียนอย่างมากทีเดียว…พระเจ้าบอกคุณให้รับใช้พระองค์ในด้านใดหรือเปล่า คุณยอมพระองค์โดยทันทีหรือเปล่า อย่าให้พระองค์ต้องตรัสเป็นคำรบสองเลยนะคะ (โดยส่วนตัวแล้ว ถ้ารู้สึกว่าตัวเองดื้อก็จะร้องเพลงย้อมใจคะ “ข้ายอมทุกสิ่ง” ร้องเพลงนี้ทีไรก็ต้องกลับใจทุกที ขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาจารย์อานุภาพ ผู้แต่งเพลงนะคะ)

ฝ่ายโยนาห์นั้นไม่รอช้า เขาลุกขึ้นกระทำตามพระบัญชาของพระองค์ [ยนา.3:3-4 ดังนั้นโยนาห์จึงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์ ตามพระวจนะของพระเจ้า ฝ่ายนีนะเวห์เป็นนครใหญ่โตมากทีเดียว ถ้าจะเดินข้ามเมืองก็กินเวลาสามวัน โยนาห์ตั้งต้นเดินเข้าไปในเมืองได้ระยะทางเดินวันหนึ่ง และท่านก็ร้องประกาศว่า "อีกสี่สิบวัน นีนะเวห์จะถูกคว่ำ"]

โยนาห์เดินข้ามเมืองเป็นเวลา 3 วัน แต่เขาเสียเวลาไปอยู่ในท้องปลา 3 วัน ก่อนหน้านี้ นี่ถ้าเขายอมพระเจ้าตั้งแต่ครั้งแรก งานเขาก็เสร็จไปตั้งแต่ 3 วันแรกแล้ว…เอ๊ะ! ฉันเคยเป็นเหมือนโยนาห์ (อีกแล้ว)

เมื่อได้ยินว่านีนะเวห์ถูกคว่ำ ก็มีการอดอาหารอธิษฐานกันทั่วเมือง ทั้งคนและสัตว์…โอ้โห! เป็นภาพที่สวยงามมากคะพี่น้อง อดนึกถึงตัวเองไม่ได้ว่า เมื่อเราเห็นว่าประเทศของเราอยู่ในสภาวะที่คลอนแคลนปานจะถูกคว่ำ เราจะนิ่งดูดายได้อย่างไร เราจะไม่ตั้งใจร้องทูลต่อพระเจ้าหรือ เราจะไม่อดอาหารหรือ เราจะไม่กลับใจเพื่อชาติหรือ…อยู่เฉยไม่ได้แล้วคะพี่น้อง ต้องยอมอดอาหารเพื่อชาติกันบ้างแล้วล่ะ นี่ดีนะที่เจ้ามอมแมม สุนัขที่บ้านชิงตายไปซะก่อน ม่ายงั้นจะจับมันมาอดอาหารเพื่อชาติบ้าง (หงิง หงิง) [ยนา.3:7-9 พระองค์ทรงออกพระราชกฤษฎีกา ประกาศไปทั่วนครนีนะเวห์ว่า "โดยอำนาจกษัตริย์และบรรดาขุนนางทั้งหลาย คนหรือสัตว์ ไม่ว่าฝูงสัตว์ใหญ่หรือฝูงสัตว์เล็กห้ามลิ้มรสสิ่งใดๆ อย่าให้กินอาหารอย่าให้ดื่มน้ำ ให้ทั้งคนและสัตว์นุ่งห่มผ้ากระสอบ ให้ตั้งจิตตั้งใจร้องทูลต่อพระเจ้า เออ ให้ทุกคนหันกลับเสียจากการประพฤติชั่ว และเลิกการทารุณซึ่งมือเขากระทำ ใครจะรู้ได้ พระเจ้าอาจจะทรงกลับและเปลี่ยนพระทัย คลายจากพระพิโรธอันรุนแรงเพื่อว่าเราจะมิได้พินาศ"]

พระเจ้าทรงดีเสมอ ทรงกลับพระทัย ยกโทษให้กับเมืองนีนะเวห์ [ยนา.3:10 เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรการกระทำของเขาแล้วว่า เขากลับไม่ประพฤติชั่วต่อไป พระเจ้าก็ทรงกลับพระทัย ไม่ลงโทษตามที่พระองค์ตรัสไว้ และพระองค์ก็มิได้ทรงลงโทษเขา] พระบิดาที่รัก ขอทรงโปรดยกโทษให้กับลูก และยกโทษให้กับประเทศไทยด้วยเช่นเดียวกัน

4.พระเมตตาที่ไม่สิ้นสุด (บทที่ 4)
เมื่อพระเจ้าทรงยกโทษให้กับนีนะเวห์ โยนาห์กลับไม่พอใจซะนี่ โกรธขนาดอยากตายไปเลย ประชดชีวิตอันรันทด [ยนา.4:3 ข้าแต่พระเจ้า เพราะฉะนั้นบัดนี้ ขอพระองค์ทรงเอาชีวิตของข้าพระองค์ไปเสีย เพราะว่าข้าพระองค์ตายเสียก็ดีกว่าอยู่"] … อันนี้ขำไม่ออกนะคะ เพราะฉันเองก็เคยหงุดหงิดเหมือนกันว่าทำไมพระเจ้าไม่ลงโทษคนนั้น คนชั่วคนนั้น คนบาปคนนู้น ซึ่งเป็นท่าทีที่ผิดอย่างมากของฉัน เพราะฉันไปตัดสินเขา ไปล่วงเกินราชอำนาจของพระเจ้า พระองค์จะทรงเป็นองค์พิพากษาที่ใหญ่ยิ่งเพียงองค์เดียว ฉันเห็นเฉพาะเวลาที่คนนั้นทำบาปทำไม่ดี แต่ฉันไม่เห็นตอนที่เขากลับใจ สารภาพบาปกับพระเจ้า และฉันมีความรักน้อยนิดแถมมีเงื่อนไข ไม่เหมือนความรักของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์ [ยนา.4:2 …เพราะข้าพระองค์ทราบว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยพระคุณ และทรงพระกรุณา ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคงและทรงกลับพระทัยไม่ลงโทษ]

อาการอยากตายของโยนาห์ ณ ต้นละหุ่ง ทำให้นึกถึงอาการอยากตายของเอลิยาห์ ณ ต้นซาก เหตุใดผู้ยิ่งใหญ่ทั้ง 2 ท่าน จึงมีอาการคล้ายคลึงกันอย่างนี้ หลายคนมีคำตอบอยู่ในใจสำหรับตนเอง ฉันเองก็มีเหมือนกัน โอกาสหน้าจะเล่าประสบการณ์นี้สู่กันฟังนะคะ

การรับใช้พระเจ้านั้นทำให้คุณหมดแรงกายแรงใจหรือเปล่า เคยท้อแท้หรือไม่ เคยหันหลังกลับหรือเปล่า หรือเคยคิดทำร้ายตัวเอง เคยคิดอยากจากโลกอันสวยงามนี้ไปหรือไม่ เรามาเป็นเหมือนโยนาห์ที่ปลาสำรอกออกมาแล้วดีไหม เรามาเป็นเหมือนอาจารย์เปาโลดีไหม [ฟป.1:21 เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้านั้น การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร]

มีคนไทยบางคนที่รู้สึกว่ากรุงเทพฯ นี้ไม่ปลอดภัยซะแล้ว หนีไปอยู่ประเทศอื่นที่เขาสงบสุขดีกว่า แต่เราคริสเตียนไทยจะไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าจะไม่ลงโทษประเทศของเรา ทรงโปรดปรานหวงแหนกรุงเทพมหานครของเรา ด้วยนครนี้มีโยนาห์ผู้ชอบธรรมเป็นอันมาก

[ยนา.4:11 ไม่สมควรหรือที่เราจะหวงเมืองนีนะเวห์นครใหญ่นั้น ซึ่งมีพลเมืองมากกว่าหนึ่งแสนสองหมื่นคน ผู้ไม่ทราบว่าข้างไหนมือขวาข้างไหนมือซ้าย และมีสัตว์เลี้ยงเป็นอันมากด้วย]
โยนาห์…พร้อม!

คุณเป็นใคร

วันที่ 30/4/2010

เป็นครั้งแรกในชีวิตของฉันที่อ่านพระธรรม 1 พงศาวดาร ด้วยความเพลิดเพลิน เพราะแต่ไหนแต่ไร เมื่ออ่านมาถึงพระธรรมเล่มนี้ เป็นอันต้องอ่านแบบผ่านตา รีบเร่งให้จบ หรือบางครั้งก็ข้ามไปเลย ไม่อ่านเอาซะดื้อๆ ก็แหม! รายชื่อเป็นกองพะเนินมากมาย น่าเวียนหัวออก

สารานุกรมวิกิพิเดีย ให้คำนิยามเกี่ยวกับพงศาวดารไว้ว่า “การบันทึกพงศาวดาร” ในภาษาอังกฤษมาจากคำว่า “Chronicle” ซึ่งแผลงมาจากภาษาลาตินว่า “chronica” จากภาษากรีก “χρονικά” ที่มาจากคำว่า “χρόνος” หรือ “chronos” หรือ “เวลา” หมายถึงการบันทึกความเป็นจริงและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ตามลำดับเวลาที่เกิดขึ้น โดยทั่วไปแล้วการบันทึกก็จะให้ความสำคัญระหว่างเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เขียนจากมุมมองของผู้บันทึก

ในแง่ของพระคริสตธรรมนั้น หนังสือพงศาวดาร เป็นหนังสือที่เรียงลำดับบุคคลวงศ์วานต่างๆ ในพระคัมภีร์ เป็นลำดับพงศ์ตั้งแต่อาดัม จนถึงอับราฮัม เรื่อยมาจนถึงยูดาห์ บุตรคนที่ 4 ของยาโคบ ซึ่งเป็นต้นวงศ์ของพระเยซู และโดยทางพระเยซูคริสต์นี่เอง เราจึงถูกนับเป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม [กท.3:29 และถ้าท่านเป็นของพระคริสต์แล้ว ท่านก็เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม คือเป็นผู้รับมรดกตามพระสัญญา]

โอ้โห! สุดยอดไปเลยใช่ไหมคะ เรามีสิทธิพิเศษ เราเป็นทายาทร่วมกันกับพระคริสต์ เราไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย [รม.8:17 และถ้าเราทั้งหลายเป็นบุตรแล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ เมื่อเราทั้งหลายทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์นั้น ก็เพื่อเราทั้งหลายจะได้ศักดิ์ศรีด้วยกันกับพระองค์ด้วย]

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ฉันจะไม่อ่านรายชื่อพงศ์พันธุ์ของตนเองได้อย่างไร ฉันต้องกลับใจใหม่ อ่านรายชื่อทุกรายชื่ออีกครั้งด้วยความระมัดระวัง ด้วยความยำเกรง ด้วยความซาบซึ้งและขอบพระคุณพระบิดา

บ่อยครั้งเหมือนกันที่ฉันละเลย ดำเนินชีวิตดั่งไม่รับรู้ว่าตัวเองเป็นใครในพระคริสต์ วันนี้จึงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ต้องกลับใจใหม่ นำเข็มขัดแห่งความจริงมาคาดเอวอีกครั้ง…คาดความจริงไว้ให้แน่น และตระหนักว่าสิ่งที่เป็นจริงเกี่ยวกับพระคริสต์ก็เป็นจริงเกี่ยวกับตัวฉันและตัวคุณด้วย

ข้อความด้านล่างต่อไปนี้ ได้มาจากพี่สาวคนหนึ่ง นานมากแล้ว คาดว่าหลายคนคงเคยได้รับแล้ว อย่างไรก็ตาม วันนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เราจะคาดเอว และบินลัดฟ้าไปสู่พระทัยพระบิดาด้วยกัน

เนื่องจากคุณเป็นธรรมิกชนคนหนึ่งในพระคริสต์ตามการทรงเรียกของพระเจ้า คุณจึงมีส่วนร่วมในมรดก ของพระคริสต์ สิ่งใดที่เป็นจริงเกี่ยวกับพระคริสต์ เดี๋ยวนี้ก็มาเป็นจริงกับตัวคุณด้วย เพราะคุณอยู่ในพระคริสต์ มันเป็นเอกลักษณ์ส่วนหนึ่งของคุณ
รายการข้างล่างนี้ระบุว่า แท้จริงแล้วคุณเป็นใครในพระคริสต์โดยใช้เอกพจน์บุรุษที่ 1 คุณลักษณะโดยเฉพาะ ตามข้อพระคัมภีร์เหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า คุณกลายมาเป็นใครตอนบังเกิดใหม่ฝ่ายวิญญาณ คุณไม่สามารถซื้อ หรือเพียรพยายามทำอะไรเพื่อให้มันมาได้ ก็เหมือนคนที่เกิดในเมืองไทย ย่อมไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายาม หรือเงินทองอะไร เพื่อซื้อสิทธิและเสรีภาพที่เขามีอยู่แล้วในฐานะถือสัญชาติไทย ธรรมนูญไทยให้การรับรองเขาเพราะเขาเกิดในเมืองไทย ทำนองเดียวกันพระวจนะ พระเจ้าก็ให้การรับรองคุณลักษณะโดยเฉพาะเหล่านี้ แก่คุณ เพียงเพราะคุณบังเกิดในชนชาติบริสุทธิ์ของพระเจ้าโดยความเชื่อในพระคริสต์ (หนุนใจให้ใส่ชื่อคุณเอง แทนคำว่าฉัน อ่านเสียงดังๆ ให้ศัตรูกระเจิง)

ฉันเป็นใคร

•ฉันเป็นเกลือของโลกนี้ (มธ. 5.13)
•ฉันเป็นความสว่างของโลกนี้ (มธ.5.14)
•ฉันเป็นลูกของพระเจ้า (ยน.1.12)
•ฉันเป็นส่วนหนึ่งของเถาองุ่นแท้ เป็นท่อให้ชีวิตพระคริสต์ผ่านออกไป (ยน.15.1,5)
•ฉันเป็นสหายของพระคริสต์ (ยน.15.15)
•พระคริสต์ทรงเลือกฉัน และแต่งตั้งฉันไว้เพื่อให้ผลของพระองค์เกิดขึ้นในชีวิตฉัน (ยน.15.16)
•ฉันเป็นทาสความชอบธรรม (รม.6.18)
•ฉันเป็นทาสพระเจ้า (รม.6.22)
•ฉันเป็นบุตรพระเจ้า พระเจ้าเป็นบิดาฝ่ายวิญญาณของฉัน (รม.8.14-15, กท.3.26; 4.6)
•ฉันเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์และมีส่วนในมรดกร่วมกับพระองค์ (รม.8.17)
•ฉันเป็นพระวิหาร-ที่ประทับ-ของพระเจ้า พระวิญญาณของพระองค์และชีวิตของพระองค์ดำรงอยู่ในฉัน (1คร.3.16;6.19)
•ฉันผูกพันกับองค์พระผู้เป็นเจ้าและมีใจเดียวกับพระองค์ (1คร.6.17)
•ฉันเป็นอวัยวะของพระกายพระคริสต์ (1คร.12.27,อฟ.5.30)
•ฉันเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว (2คร.5.17)
•พระเจ้าทรงทำให้ฉันคืนดีกับพระองค์ทางพระคริสต์แล้ว และทรงโปรดให้ฉันช่วยคนอื่นคืนดีกับพระองค์ด้วย (2คร.5.18-19)
•ฉันเป็นบุตรของพระเจ้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ (กท.3.26,28)
•ฉันเป็นทายาทของพระเจ้า เพราะฉันเป็นบุตรของพระองค์ (กท.4.6-7)
•ฉันเป็นธรรมิกชนผู้บริสุทธิ์หมดจด (อฟ.1.1, 1คร1.2, ฟป.1.1, คส.1.2)
•ฉันเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า-ที่ทรงสร้างขึ้น-ในพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ประกอบการดีของพระองค์ (อฟ.2.10)
•ฉันเป็นพลเมืองเดียวกันกับธรรมิกชนบริสุทธิ์คนอื่นๆในครอบครัวของพระเจ้า (อฟ.2.19)
•ฉันเป็นคนที่ถูกจำจองเพราะเห็นแก่พระเยซูคริสต์ (อฟ.3.1,4.1)
•ฉันเป็นคนชอบธรรมและบริสุทธิ์ที่แท้จริง (อฟ.4.24)
•ฉันเป็นชาวสวรรค์ และกำลังนั่งอยู่ในสวรรค์สถาน (ฟป.3.20, อฟ.2.6)
•ชีวิตฉันซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า (คส.3.4)
•ฉันเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ให้เป็นคนบริสุทธิ์ และเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรัก (คส.3.12, 1ธส.1.4)
•ฉันเป็นลูกของความสว่าง มิใช่ลูกของความมืด (1ธส.5.5)
•ฉันเป็นชนบริสุทธิ์ที่ได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้า (ฮบ.3.1)
•ฉันเป็นคนหนึ่งที่มีส่วนร่วมในชีวิตของพระคริสต์ (ฮบ.3.14)
•ฉันเป็นศิลาที่มีชีวิตก้อนหนึ่งของพระเจ้าที่กำลังถูกก่อขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายวิญญาณ (1ปต.2.5)
•ฉันเป็นสมาชิกคนหนึ่งในเผ่าพันธุ์ที่พระองค์ทรงเลือกไว้ เป็นปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ และเป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ (1ปต2.9-10)
•ฉันเป็นคนต่างด้าวต่างแดนที่อาศัยอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราว (1ปต.2.11)
•ฉันเป็นปฏิปักษ์กับมารซาตาน (1ปต.5.8)
•ฉันเป็นบุตรของพระเจ้า และเมื่อพระคริสต์เสด็จกลับมา ฉันจะเป็นเหมือนพระองค์ (1ยน.3.1-2)
•ฉันบังเกิดจากพระเจ้า และมารร้ายแตะต้องฉันไม่ได้ (1ยน.5.18)
•ฉันไม่ได้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงนามว่า”เราเป็น” (อพย.3.14,ยน.8.24,24,58)
•แต่ฉันเป็นอย่างที่เป็นอยู่นี้ ก็เนื่องด้วยพระคุณพระเจ้า (1คร.15.10)

ฮบ.3:14 “เพราะเรามีส่วนร่วมกับพระคริสต์ ถ้าเราเพียงแต่ยึดความไว้วางใจที่เรามีอยู่ ในตอนต้น ไว้ให้มั่นคงจนถึงที่สุด”