Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันจันทร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2553

ออกรถและออกรส…และขอบพระคุณ

ออกรถและออกรส…และขอบพระคุณ
วันที่ 22/01/2010
ออกรถแล้วจ้า!!!
อะอ้า แต่ออกรถจักรยานนะ สองล้อขี่เพลินไล่ตามตะวันยามเช้ายามเย็น สดชื่นหลาย เพื่อนก็แซวว่า นี่ขนาดมันออกรถจักรยาน มันยังกระดี้กระด้าขนาดนี้ ถ้ามันออกรถเก๋ง มันจะกระดี้กระด้าขนาดไหนเนี่ย?...คือว่า อันนี้ก็ตอบไม่ได้เหมือนกันนะคะ แต่ที่แน่ๆ ไม่ว่าจะออกรถอะไร ชีวิตของฉันก็ออกรส มีความชื่นชมยินดีและขอบพระคุณพระเจ้าอยู่เสมอแหละ
“ขอเชิญองค์ผู้เป็นต้นกำเนิดของพระพรทุกอย่าง ปรับหัวใจของข้าพระองค์ให้ขับขานพระคุณของพระองค์ กระแสความเมตตาที่ไม่เคยหยุดยั้ง เรียกร้องบทเพลงแห่งการสรรเสริญที่ก้องกังวานที่สุด” (โรเบิร์ต โรบินสัน)
ชีวิตที่เกิดมาของเราซึ่งดำรงอยู่จนทุกวันนี้นั้น ก็เป็นเหตุให้เราสรรเสริญ ขอบพระคุณพระเจ้า และทุกสิ่งที่เรามี เราก็ได้ลิ้มรสความสุข และขอบพระคุณพระเจ้าอีกเช่นกัน ฉะนั้น ไม่ว่าเราจะเจอะเจอเรื่องเล็กหรือใหญ่ ไม่ว่าจะเจอะเจอเรื่องที่ดูแสนธรรมดาหรือสุดแสนมหัศจรรย์ก็ตาม ชีวิตเราก็มีสีสัน ออกรสแห่งความสุข และขอบพระคุณพระเจ้าได้เสมอ

ในเว็บไซต์ www.gracezone.org เขียน 12 บทกลอน แห่งการขอบพระคุณไว้อย่างน่ารักว่า
...........1............
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับนาฬิกาปลุก ทำให้ฉันต้องลุกขึ้นตื่นแต่เช้า
เพื่อเตรียมตัวไปทำงานทั้งหนักเบา เพื่อเข้าเฝ้าพระองค์ผู้ทรงนำ
............2.............
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับเปลือกตา ที่เปิดได้ยากกว่าสิ่งไหนๆ
โดยเฉพาะตอนเช้าๆยิ่งหนักใจ แต่ถ้าปิดตลอดไปคงไม่ดี
............3............
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับแปรงสีฟัน ใช้ทุกวันมีฟันสวยสดใส
ขอบคุณที่แปรงฟันใช้ไม่ยากไป ง่วงขนาดไหน ยังใช้ได้ถูกวิธี
............4...........
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการอาบน้ำ แสนชุ่มฉ่ำร่างกายกระฉับกระเฉง
สระผม ฟอกสบู่พร้อมร้องเพลง จิตวิญญาณก็ครื้นเครงมีกำลัง
.............5...........
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับเสื้อผ้า แม้ไม่มากเหลือคณาให้เลือกสรร
แต่มีใส่ทุกวันได้ไม่ซ้ำกัน คนนับพันยังต้องขอรอจากเรา
............6...........
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับรถติดๆ ได้หยุดคิดวันนี้พร้อมแค่ไหน
ได้สังเกตสิ่งรอบข้างก่อนผ่านไป ทนไม่ไหวลงเดินได้ร่างกายแข็งแรง
............7...........
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการงาน ทำให้ทุกวันมีความหมาย
คนไม่มีงานทำตั้งมากมาย จะลำบากหรือสบายตั้งใจทำ
............8...........
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับข้าวร้านเก่า กินแล้วกินเล่าจนแม่ค้าจำหน้าได้
อาหารเดิมๆ เลยไม่รู้จะกินอะไร ช่วยให้ผอมลงได้ตั้งหลายโล
.............9..........
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับผู้คน ผ่านเวียนวนดีไม่ดีมีหลากหลาย
ได้บทเรียนช่วยเปลี่ยนภายในใจ ฝึกฝนให้รู้จักรักทุกคน
...........10..........
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับสันติสุข เหนือความทุกข์ที่เข้ามาทับถม
มีปัญหามากมายยังชื่นชม จะยิ้มข่มเหล่ามารที่โจมตีเรา
............11...........
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการพักผ่อน ทั้งเตียงนอนหมอนผ้าห่มแสนอบอุ่น
กลิ่นตอนหลับคราบน้ำลายที่เคยคุ้น นับพระคุณที่ผ่านมาตลอดทั้งวัน
...........12...........
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับวันพรุ่งนี้ สิ่งดีๆที่รออยู่ข้างหน้า
ขอทรงปกป้องในยามนิทรา ทุกสิ่งที่ประทานมาขอบพระคุณ

1 เธสะโลนิกา 5:18
“จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย”

วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553

ในเวลาของพระเจ้า

ในเวลาของพระเจ้า
วันที่ 21/01/2010
"บีทีเอสแล่นทับ สาวแบงก์ โชคดีรอดหวิด"
เวลา 08.10 น. วันที่ 20 มกราคม 2553 เกิดเหตุระทึกขวัญกลางกรุง เมื่อนางจิราพร เกียรติชูศักดิ์ อายุ 56 ปี เป็นพนักงานธนาคารทหารไทย เกิดอุบัติเหตุพลัดตกลงบนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส ใกล้สถานีหมอชิต ในช่วงเวลาเดียวกับที่มีรถขบวนหนึ่งกำลังจะเข้าเทียบสถานี แต่โชคดีที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำสถานี เห็นเหตุการณ์เข้าพอดี จึงได้ตัดสินใจกดอุปกรณ์อีเอ็มที เพื่อให้สัญญาณขบวนรถไฟ ที่กำลังวิ่งมาด้วยความเร็วสูง หยุดการเดินรถกระทันหัน แต่ด้วยความที่รถขบวนดังกล่าววิ่ง มาด้วยความเร็วสูง จึงไม่สามารถหยุดรถได้ทัน จึงได้วิ่งเลยไปหยุดคร่อมอยู่บนร่างของหญิงสาวโชคร้ายพอดี ทำให้สามารถรอดชีวิตไปได้อย่างหวุดหวิด ท่ามกลางเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจ ของประชาชนจำนวนมาก ที่กำลังเข้ามาใช้บริการที่สถานีดังกล่าว เนื่องจากอยู่ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน

ภายหลังจากเกิดเหตุระทึกขวัญผ่านไป ทางเจ้าหน้าที่ได้สั่งหยุดเดินรถชั่วคราว และได้ลงไปให้การช่วยเหลือ นางจิราพร ซึ่งได้รับบาดเจ็บศีรษะแตกเล็กน้อย ส่ง รพ.วิภาวดี และเมื่อสามารถเคลียร์เส้นทางได้เสร็จสิ้น จึงได้เปิดเดินรถตามปรกติ เมื่อเวลาประมาณ 08.45 น. ที่ผ่านมา ส่วนสาเหตุของอุบัติเหตุในครั้งนี้ คาดว่า น่าจะเป็นเพราะความเร่งรีบ เพราะกำลังอยู่ในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน เมื่อเห็นรถกำลังจะเข้าเทียบสถานี จึงได้พยายามรีบวิ่ง เพื่อให้สามารถไปขึ้นรถได้ทัน จึงได้เกิดเบียดเสียดกับคนอื่น ๆ ที่กำลังรอขึ้นรถจนทำให้เกิดอุบัติเหตุตกลงไปดังกล่าว ที่มา : http://www.thairath.co.th/content/region/59918

เมื่ออ่านข่าวนี้แล้วก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับหญิงผู้รอดชีวิตนั้น และก็ได้อุทาหรณ์สอนใจเป็นการส่วนตัวด้วยว่า ทุกอย่างที่เราทำนั้นควรทำอย่างเต็มกำลังโดยไม่ชักช้า แต่ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน แม้ว่าเราจะอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่เร่งรีบและต้องแข่งขันสูงของโลกใบนี้ก็ตาม การเร่งรีบเกินควรก็ก่อให้เกิดความเสียหายได้เช่นกัน เราไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมหญิงผู้นั้นจึงเร่งรีบนัก แต่จากข่าวระบุว่าเป็นเพราะชั่วโมงเร่งด่วน ดังนั้น หากหญิงผู้นั้นไม่รีบร้อนเกินไป รอรถจอดสนิทก่อนแล้วจึงก้าวเข้าไป หรืออาจต้องออกจากบ้านเร็วหน่อยเพื่อหลีกเลี่ยงชั่วโมงเร่งด่วน ก็จะสามารถไปทำงานได้ทันเวลา ไม่ต้องเข้าไปกลิ้งอยู่ในรางรถไฟฟ้าหรือเข้าโรงพยาบาล
คริสเตียนเราก็เช่นกัน ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น ขอให้มอบไว้กับพระคริสต์ ให้ทุกวันเวลาอยู่ในพระองค์
พระองค์ทรงย้ำเตือนฉันในเรื่องนี้สดๆ ร้อนๆ เมื่อวานนี้เอง
“ในเวลา ในเวลาของพระเจ้า ทรงเฝ้าดู ชีวิตให้อยู่ ในน้ำพระทัย
โอ้ พระเจ้า ข้าขอมอบใจ มอบถวาย ชีวิตทั้งกาย เพื่อจะได้ อยู่ในเวลาของพระองค์”…

เพลงในเวลาผุดขึ้นมาในมโนนึกเป็นเพลงแรกยามเช้า เอ๊ะ! แต่เนื้อร้องถูกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่ค่อยถนัดเรื่องเพลงซะด้วยสิ แต่ก็เอาเป็นว่าเพลงนี้ประทับใจมาก เปรียบเสมือนพระวิญญาณมาย้ำเตือนให้วางใจในพระองค์ เชื่อมั่นวางใจอย่างไม่หวั่นไหว ทุกสิ่งที่คาดหวัง แผนการที่หวังใจ ทุกสิ่งที่ร้องทูล พระองค์ทรงเงี่ยพระกรรณฟัง และพระองค์จะทรงตอบเราแน่ ด้วยความรัก ความสัตย์ซื่อ และความชอบธรรมของพระองค์
บางครั้งนะ ท้องทะเลก็คำรน ท้องฟ้าก็คำราม แผ่นดินโลกก็สั่นสะท้าน ภูเขาก็สั่นสะเทือน ไม้ใหญ่ก็กวัดแกว่ง ดังนั้น หัวใจที่บอบบางน่ารักของเราก็หวั่นไหวได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรารอคอยบางสิ่งบางอย่างซึ่งร้องทูลต่อพระองค์มานานนับปี…แต่ก็เตือนตัวเองว่า อย่าหวั่นไหวใหญ่โตหรือคร้ามกลัวเลย พระเจ้าทรงอยู่กับเรา พระเจ้าทรงสถิตท่ามกลางมหานคร เราก็จะไม่โคลงเคลงย้ายไป [สดด.46:5 พระเจ้าทรงสถิตกลางพระมหานคร เธอจะไม่โคลงเคลงย้ายไป พอรุ่งอรุณพระเจ้าก็ทรงช่วยเธอไว้]
ในเวลาของพระองค์!
[สดด.69:13 ข้าแต่พระเจ้า แต่ส่วนข้าพระองค์ ข้าพระองค์อธิษฐานต่อพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า ในเวลาอันเหมาะสม โดยความรักมั่นคงอันอุดมของพระองค์ ขอทรงโปรดตอบข้าพระองค์ด้วยความอุปถัมภ์อย่างวางใจได้]

วันศุกร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2553

สุขสันต์วันเสียสละ

สุขสันต์วันเสียสละ
วันที่ 12/1/2010
วันเกิดของฉันได้เวียนมาครบรอบอีกปีหนึ่ง และก็ได้ผ่านไปแล้วเช่นกัน ทว่า วันเกิดปีนี้ฉันมีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เหมือนเดิม อันนำมาซึ่งการกลับใจ และนำไปสู่ความอิ่มเอมใจในท้ายที่สุด
หากย้อนไปถึงวันเกิดในทุกปีที่ผ่านมา เท่าที่จำความได้ ฉันไม่เคยมีงานเลี้ยงวันเกิดมาก่อน และจนถึงบัดนี้ก็ไม่ได้ปรารถนาที่จะมีงานเลี้ยงวันเกิดสำหรับตัวเองด้วย เพราะฉันคงทำตัวไม่ถูก คงจะเขินอายมากกว่าจะมีความสุข อย่างไรก็ตาม ในทุกปีนั้น ฉันคาดหวังรางวัลและของขวัญจากญาติสนิท คนใกล้ชิดและเพื่อนฝูงเสมอ ฉันได้ลุ้นทุกปีว่า ใครจะให้อะไรฉันบ้างในวันเกิด และเปิดกล่องของขวัญด้วยความตื่นเต้น (บวก งก…แหะ แหะ)
ในวันเกิดของฉัน ฉันคิดถึงแต่การรับ ในขณะที่วันเกิดของใครบางคนนั้น มีแต่การให้
ใช่แล้ว! ในวันประสูติขององค์พระเยซู เป็นวันแห่งการให้ มีแต่ภาพของการเสียสละ
• พระบิดาได้ทรงสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ (ยน.3:16)
• พระเยซู ได้สละพระเกียรติของพระองค์ด้วยความถ่อมพระทัย จากสวรรค์ชั้นฟ้า สู่รางหญ้าสกปรก เพื่อเรา
• นางมารีย์ ได้สละศักดิ์ศรีของสตรี ตั้งครรภ์ก่อนสมรส ภายใต้แรงเหยียดหยามดูถูกของสังคม
• โยเซฟ ยอมรับนางมารีย์ ซึ่งสังคมประนามหยามเหยียด มาเป็นภรรยา ได้สละความสุขสบายส่วนตัว ดูแลนางมารีย์และพระเยซูน้อยด้วยความรัก
• โหราจารย์ทั้ง 3 ได้สละลาภยศ สรรเสริญ ที่พึงได้จากการแจ้งข่าวให้กษัตริย์เฮโรดทราบ และเดินทางรอนแรมมาเข้าเฝ้าพระกุมาร
• คนเลี้ยงแกะ ได้สละฝูงแกะของตน ซึ่งเปรียบเสมือนชีวิตและความอยู่รอดของเขา ไปเข้าเฝ้าพระกุมาร เพราะแกะนั้นอ่อนแอนัก ห่างจากผู้เลี้ยงเพียงนิดเดียว มันก็อาจจะตายได้
นี่เป็นภาพความเสียสละอันยิ่งใหญ่ในฉากประสูติขององค์พระเยซูฉากเดียวเท่านั้น ซึ่งความเสียสละที่ยิ่งใหญ่อันสืบเนื่องจากการกำเนิดของพระกุมารเยซูนั้น ยิ่งเด่นชัดมากขึ้น เป็นราชกิจอันมีพระคุณทั้งสิ้นที่เราไม่อาจลืม และยังทรงฤทธิ์มหัศจรรย์จนถึงทุกวันนี้
ในวันเกิดของฉัน มีคนเสียสละเพื่อฉันมากมายเช่นกัน ฉันมีพระเยซูคริสต์ซึ่งสละชีวิตของพระองค์เพื่อไถ่คนบาปอย่างฉัน ฉันมีแม่ที่ยอมเจ็บปวดทรมานจากการอุ้มครรภ์และการคลอด แถมยังต้องเลี้ยงดูให้เติบใหญ่ ฉันมีญาติพี่น้องที่ให้ความช่วยเหลือ ฉันมีแพทย์และพยาบาลคอยสาละวนยามฉันเกิด และมีผู้ใดอีกบ้างที่ต้องเสียสละ จากการลืมตาดูโลกของฉัน
“ชีวิตคือของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากพระเจ้า” ใช่แล้ว ชีวิตของฉันมีค่าสำหรับพระเจ้า พระองค์ทรงดำริให้มีฉันก่อนที่จะสร้างโลก ทรงถักทอฉันในครรภ์มารดาอย่างอ่อนโยน ทรงให้ฉันมีชีวิตจนถึงทุกวันนี้ ชีวิตของฉันจึงเป็นหนี้พระองค์ และหนี้เช่นนี้ ใช้เท่าไรคงไม่มีวันหมด แต่ฉันจะทำได้ด้วยชีวิตและหัวใจที่ถวายแด่พระองค์
ปี 2010 ฉันทูลขอจากพระเจ้าให้ทรงสอนฉัน หล่อหลอมฉันให้เป็นบุคคลที่เสียสละอย่างพระคริสต์ ซึ่งแน่นอนว่า เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เนื่องด้วยความบาปและความอ่อนแอในชีวิตของฉัน แต่ฉันก็ขอที่พระองค์จะให้กำลังและสติปัญญาแก่ฉัน ขอทรงเปลี่ยนฉันให้มีความเสียสละมากขึ้น มากกว่าทุกปีที่ผ่านมา มากขึ้น และมากยิ่งขึ้นตลอดชีวิตของฉัน
อธิษฐาน: พระบิดาเจ้าข้า พระบิดาผู้ยิ่งใหญ่และสูงสุด ขอทรงโปรดประทานจิตที่กอปรไปด้วยฤทธิ์ความรัก ความเมตตา ความเสียสละ และความถ่อมใจ ให้กับพี่น้องทุกท่าน รวมทั้งฉันด้วย เพื่อให้ทุกวันในชีวิตของเรา จะเป็นวันแห่งความรัก วันแห่งความเมตตา วันแห่งการเสียสละ วันแห่งความถ่อมใจ วันแห่งการสรรเสริญพระเจ้า และวันแห่งการถวายเกียรติแด่พระองค์
• เมื่อถึงคราให้ เราทั้งหลายจึงให้อย่างมีความสุข ให้ด้วยใจกว้างขวาง เพื่อให้เกิดการขอบพระคุณพระเจ้า ซึ่งการให้นี้มิได้จำกัดอยู่เฉพาะทรัพย์สิ่งของเท่านั้น แต่หมายรวมถึง การให้ความรัก ห่วงใย การดูแลเอาใจใส่ การเตือนสติ การสั่งสอน การหนุนใจ การให้ความรู้ การให้เวลา การรับใช้กันและกัน และอื่นๆ [2คร.9:11 โดยทรงให้ท่านทั้งหลายมีสิ่งสารพัดมั่งคั่งบริบูรณ์ขึ้น เพื่อให้ท่านมีแจกจ่ายอย่างใจกว้างขวาง ซึ่งโดยเราจัดแจก จะให้เกิดการขอบพระคุณพระเจ้า]
• เมื่อถึงครารับ เราทั้งหลายจึงรับอย่างมีความสุข รับด้วยความถ่อมใจ และขอบพระคุณพระเจ้า อย่างมิรู้ลืม
[กจ.20:35ข] พระองค์ตรัสว่า "การให้ เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ"

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553

จอมเจ้านายและจอมกษัตริย์

จอมเจ้านายและจอมกษัตริย์
วันที่ 4/12/2009
บนรถเมล์ยามเช้าเมื่อหลายวันก่อน กระเป๋ารถเมล์ได้แซวเด็กผู้ชายน่ารักอายุประมาณ 5 ขวบคนหนึ่งว่า “หล่อจังเลยนะ ขนตางอนสวยด้วย ขอได้ไหมเนี่ย” เด็กก็ตอบว่า “ไม่ได้ครับ มีคนให้มา” กระเป๋าจึงถามอีกว่า ใครให้มาล่ะ เด็กตอบอย่างน่ารักว่า “หัวหน้าให้มา หัวหน้าอยู่บนสวรรค์ครับ” แล้วคุณแม่ก็จูงเด็กลงจากรถไป
บทสนทนานั้นจบแล้ว แต่ความประทับใจของฉันยังไม่จบ เด็กตัวแค่นี้พูดได้เต็มปากเต็มคำว่า สิ่งที่เขามีนั้นมาจากหัวหน้าของเขา และหัวหน้าของเขาอยู่บนสวรรค์ ฉันไม่รู้ว่าความหมายที่แท้จริงที่เด็กคนนี้พูดคืออะไร แต่ฉันก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับเด็กคนนี้ ขณะเดียวกันก็หันมาสำรวจตัวเองด้วยว่า ฉันได้ให้ความสำคัญกับหัวหน้าที่อยู่บนสวรรค์ จอมกษัตริย์และจอมเจ้านายผู้ล้ำเลิศที่อยู่บนสวรรค์หรือไม่ เพียงไร
คำว่าเจ้านายทั้งในภาษาอังกฤษและภาษาไทยมีคำที่มีความหมายใกล้เคียงกันจำนวนมาก เช่น boss head; master; chief; employer; หัวหน้า; นายจ้าง; นาย; ผู้บังคับบัญชา; เจ้าขุนมูลนาย ส่วนคำที่ตรงกันข้ามคือคำว่า ลูกน้อง; ลูกจ้าง; ผู้ใต้บังคับบัญชา เป็นต้น ซึ่งการเป็นลูกน้องในลักษณะนี้อาจเป็นเพียงชั่วคราว เช่น ในฐานะลูกน้องในที่ทำงาน เมื่อลาออกจากงาน ก็ไม่ถือว่าเป็นลูกน้องอีกต่อไป คำว่าลูกน้องนี้ จึงต่างจากคำว่าทาสมาก
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของทาส (Slave) ว่า คือ ผู้ที่อุทิศตนแก่สิ่งที่เลื่อมใสศรัทธา เช่น เป็นทาสความรู้, ผู้ที่ยอมตนให้ตกอยู่ในอํานาจสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น เป็นทาสการพนัน เป็นทาสยาเสพติด เป็นทาสความรัก เป็นทาสเงิน; บ่าวทั่วไป, ผู้ที่ขายตัวลงเป็นคนรับใช้หรือที่นายเงินไถ่ค่าตัวมา เรียกว่า ทาสนํ้าเงิน, ผู้ที่เป็นลูกของทาสนํ้าเงิน เรียกว่า ทาสในเรือนเบี้ย, ทาสที่เอาเงินไปซื้อมา เรียกว่าทาสสินไถ่, ผู้ที่เป็นคนเชลย เรียกว่า ทาสเชลย
การเป็นทาสในลักษณะที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเป็นความจำใจ มิใช่ เต็มใจ แต่หากกล่าวว่า เราเป็นทาสของพระคริสต์ กลับให้ความหมายที่ลึกซึ้ง นำมาซึ่งความชื่นชมยินดีและสันติสุข ซึ่งเราขอบคุณพระเจ้าที่เรามิได้เป็นทาสของบาปหรือของโลกอีกต่อไป [รม.6:22 แต่เดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลายพ้นจากการเป็นทาสของบาป และกลับมาเป็นทาสของพระเจ้าแล้ว ผลสนองที่ท่านได้รับก็คือการชำระให้บริสุทธิ์ และผลสุดท้ายคือชีวิตนิรันดร์]
ในฐานะทาสของพระเจ้าสูงสุด…หมดทั้งชีวิต หมดที่เรามี จึงเป็นของพระองค์ เราถวายตัวด้วยสุดหัวใจ ถวายชีวิต ถวายครอบครัว ถวายทรัพย์สมบัติ ถวายหน้าที่การงาน และทุกสิ่งในการครอบครองของเราแด่พระองค์ สำนึกว่าพระเจ้าทรงสร้างเรามาเพื่อนมัสการพระองค์ รับใช้พระองค์ [1คร.9:19 เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้ามิได้อยู่ในบังคับของผู้ใด ข้าพเจ้าก็ยังยอมตัวเป็นทาสรับใช้คนทั้งปวง เพื่อจะได้ชนะใจคนมากยิ่งขึ้น]
เราเป็นผู้ทาสของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ทรงเป็นพระบิดาเหนือบิดาทั้งปวง ทรงเป็นเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งปวง และทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง (King of kings and Lord of lords) เราเป็นผู้ทาสที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ [วว.17:14…พระเมษโปดกจะทรงมีชัยชนะ เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นจอมเจ้านาย และทรงเป็นจอมกษัตริย์ และผู้ที่อยู่กับพระองค์นั้น เป็นผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียกและทรงเลือกไว้ และเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ ก็จะมีชัยด้วย"]

อย่ากลัวเลย

อย่ากลัวเลย
วันที่ 2/12/2009
ไม่ต้องกลัว! อย่ากลัว! อย่ากลัวเลย! โอ้โห คำพูดประมาณเนี้ย ได้ยินมาตั้งนานแล้ว ใครๆ ก็พูดได้ พูดกันง่ายเนอะ แต่ทำยาก!...อืม ถูกต้องแล้วคร้าบ ลำพังตัวเราเองนั้นไม่สามารถทำได้หรอก เราต้องพึ่งพาและเชื่อฟังพระเจ้าผู้สูงสุด เพราะสิ่งนี้มิใช่ข้อควรปฏิบัติ แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ เป็นคำสั่งจากพระเจ้า
[ยชว.1:9 “เราสั่งเจ้าไว้แล้วมิใช่หรือว่าจงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าตกใจหรือคร้ามกลัวเลย เพราะว่าเจ้าไปในถิ่นฐานใด พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าทรงสถิตกับเจ้า"]
พระวจนะเพียงข้อเดียวก็ทำให้เราหายจากความกลัวได้แล้ว Amazing จริงๆ แต่ก็ยิ่งตื่นตะลึงทึ่ง Amazing ยิ่งไปกว่านั้น คือ มีพระสัญญาอีกมากมายจากพระเจ้าที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือแห่งชีวิต ทั้งพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่…พระสัญญาทั้งปวงจากพระเจ้ายิ่งใหญ่และสูงค่า ก่อให้เกิดความเชื่อและวางใจ ทลายความกลัวทั้งสิ้นออกไปจากจิตใจของเรา
ความกลัวอยู่คู่กับฉันมาตั้งแต่เด็ก พอเกิดมาปุ๊บก็ร้องไห้จ้าเลย (แม่เล่าให้ฟัง) ไม่รู้กลัวอะไรสินะ และเนื่องจากพ่อกับแม่แยกทางกัน การเลี้ยงดูลูกจึงตกเป็นของแม่เพียงลำพัง จนกระทั่งอายุประมาณ 4-5 ขวบ แม่ก็พาไปฝากไว้กับย่า เพราะแม่ต้องเดินทางมาหางานทำที่กรุงเทพ ในเวลานั้นฉันไม่อยากจากแม่เลย กลัวไปหมด กลัวแม่มีสามีใหม่ กลัวแม่ทิ้งฉันไปอย่างที่คนอื่นชอบใส่ไฟ เมื่ออยู่กับย่า ฉันก็ต้องเจอพ่อด้วย พ่อเป็นลูกชายคนโตของครอบครัว แต่ชีวิตพ่อเป็นชีวิตของการสัมมะเลเทเมา กินเหล้า เที่ยวเตร่ มีภรรยาหลายคน ซึ่งพ่อก็อยู่กับใครไม่ได้เลย เมื่อมีลูกแล้วก็เป็นต้องได้เลิกรากันทุกราย ปล่อยให้ฝ่ายหญิงหอบลูกจากไป พ่อมีลูก 4 คน จากภรรยา 3 คน (แต่พ่อมีภรรยามากกว่านั้น) ฉันกลัวพ่อมาก เพราะพ่อชอบกินเหล้า อาละวาด ทำร้ายร่างกาย แต่ในเวลานั้นไม่มีทางเลือก ความกลัวจึงเกาะกินฝังลึกในจิตใจ จนฉันตั้งใจว่าจะไม่แต่งงานเด็ดขาด เพราะกลัวครอบครัวที่แตกแยก จนกระทั่งเติบโตขึ้นมา ความคิดก็เปลี่ยนไป ฉันยอมรับการมีครอบครัวแล้ว แต่กลับมีความกลัวแบบใหม่เกิดขึ้น คือ กลัวไม่ได้แต่งงาน (อ้าว!)
นอกจากความกลัวข้างต้นแล้ว ยังมีความกลัวอื่นๆ ที่ฉันเผชิญ เช่น กลัวการไม่เป็นที่ยอมรับ กลัวความล้มเหลวพ่ายแพ้ กลัวไม่มีเพื่อน กลัวไม่มีใครรัก กลัวสอบตก กลัวไม่สวย กลัวไม่มีเงินใช้ กลัวถูกทำร้ายร่างกาย กลัวโรคภัยไข้เจ็บ กลัวอุบัติเหตุ กลัวพิการ หรือแม้กระทั่ง กลัวความตาย
ขอบคุณพระเจ้า เมื่อได้รู้จักองค์พระเยซูคริสต์ พระวจนะของพระเจ้าได้กู้ฉันออกมาจากความกลัว ความกลัวแต่ละรายการค่อยๆ ถูกขจัดออก แต่ด้วยความบาปและความอ่อนแอของตัวฉันเอง ความกลัวบางรายการก็ยังมิอาจขจัดออกได้ ล่าสุดก็พบประสบการณ์ที่พระเจ้าทรงเยียวยา ทรงขจัดความกลัวในระดับลึกออกไปจากจิตใจของฉัน
ฉันไม่กลัวการอยู่เป็นโสด เพราะพระเจ้าทรงให้หมายสำคัญว่าฉันจะมีครอบครัว
ฉันไม่กลัวว่าใครจะไม่รัก เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก ทรงรักฉันอย่างไม่อาจอธิบายได้
ฉันไม่กลัวการไม่ได้รับการยอมรับ เพราะพระเจ้าทรงประทานสติปัญญาและจิตใจที่แน่วแน่ให้
ฉันไม่กลัวการไม่มีเพื่อน เพราะพระเยซูเป็นสหายเลิศของฉัน
ฉันไม่กลัวแม่ไม่รัก เพราะพระเจ้าทรงตรัสว่าแม่รักฉัน และแม่ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าแม่รักฉันจริงๆ
ฉันไม่กลัวที่จะไม่สวย เพราะพระเจ้าทรงทอดพระเนตรที่จิตใจ ให้ฉันจดจ่ออยู่กับความงามภายใน
ฉันไม่กลัวความยากจน เพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้ประทานสิ่งสารพัดให้ฉันอย่างเพียงพอ
ฉันไม่กลัวโรคร้ายแรง เพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้ปกป้อง ทรงเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ
ฉันไม่กลัวถูกใส่ร้ายหรือถูกเข้าใจผิด เพราะพระเจ้าทรงแก้คดีให้ฉัน
ฉันไม่กลัวอุบัติเหตุ เพราะพระเจ้าทรงเสด็จนำหน้าฉัน ทรงเป็นพระกำลังและป้อมปราการของฉัน
ฉันไม่กลัวพิการ เพราะพระเจ้าจะพยุงฉันไว้
ฉันไม่กลัวความตาย เพราะฉันรู้ว่า ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์ และตายไปก็ได้กำไร
[ฉธบ.31:6 จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่ากลัวหรืออย่าครั่นคร้ามเขาเลย เพราะว่าผู้ที่ไปกับท่านคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน พระองค์จะไม่ทรงปล่อยท่านให้ล้มเหลวหรือทอดทิ้งท่านเสีย"]
ทว่า ความกลัวบางรายการก็ยังเกาะกินหัวใจของฉันอยู่ คือ กลัวภัยมืดจากมนุษย์ ซึ่งการเยียวยาได้เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อน ในขณะที่ฉันต้องเดินทางกลับจากโรงเรียนพระคริสต์ธรรม ซอยสวนพลู ถึงที่พักถนนประดิพัทธ์ ฉันต้องนั่งรถแท็กซี่ยามค่ำคืนตามลำพัง ซึ่งฉันกลัวมาก เนื่องจากมีประสบการณ์ที่ไม่ดีจากแท็กซี่ ซึ่งยังฝังใจอยู่ เมื่อขึ้นแท็กซี่ทีไร ฉันจึงอกสั่นขวัญแขวนทุกที บางคราก็ถึงกับจับไข้กันไปเลย
พี่สาวในพระคริสต์คนหนึ่งพยายามท้าทายให้ฉันหลุดพ้นจากอาการกลัวตรงจุดนี้ แต่ฉันก็ทำไม่ได้ ความกลัวขณะนั้นมากจนเกินอธิบาย…ฉันคิดและดำเนินชีวิตในฝ่ายโลก ขณะที่พี่สาวดำเนินในฝ่ายวิญญาณ ด้วยการมองข้ามปัญหา ข้ามพ้นความกลัวตามธรรมดาสามัญของมนุษย์ และให้ความจริงแห่งพระคุณของพระเจ้าเข้าครอบครองจิตใจ
ขอบคุณพระเจ้า ในขณะที่มีความกลัว ความสว่างของพระเจ้าก็ส่องทะลุกำแพงหัวใจ ทะลายความกลัวนั้นออกอย่างสง่างาม เราต้องดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ก็จริง แต่เราเป็นลูกของพระเจ้า ทรงรักและห่วงใยเราทั้งหลายเสมอ และผู้เชื่อทุกคนก็จะมีฑูตสวรรค์ประจำตัวคอยปกป้องเราเสมอ…คุณเชื่อเช่นนั้นหรือไม่? … ฉันต้องโมทนาขอบพระคุณพระเจ้าอีกครั้ง และขอบคุณพี่สาวที่แสนดีที่คอยท้าทายและหนุนใจเสมอมา ขอพระเจ้าได้รับเกียรติยศทั้งสิ้น
ความกลัวล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากเล่าให้เพื่อนที่ทำงาน 2 คน ฟังว่าไปซื้อบ้านมาหลังหนึ่ง อยู่สมุทรสาคร แต่ยังไม่ได้ย้ายไปอยู่นะ เพราะยังไม่ได้ตบแต่ง ต้องติดมุ้งลวดและผ้าม่านก่อน บ้านหลังนั้นมีกระจกใสอยู่รอบบ้าน ถ้าไม่มีผ้าม่าน ก็ไม่สะดวกที่จะอยู่แน่นอน เพื่อนก็ถามว่า แล้วไม่ติดเหล็กดัดเหรอ ฉันก็ตอบไปว่าไม่ติดหรอก เพราะหมู่บ้านนั้นไม่มีขโมย บ้านส่วนใหญ่ก็ไม่ติดเหล็กดัด และ ศบ.ก็ให้ความเห็นเมื่อครั้งไปนมัสการถวายบ้านว่า ไม่ต้องติดเหล็กดัดหรอก เพื่อนก็บอกว่า หมู่บ้านนั้นไม่มีขโมยมาก่อนเลย แต่ทั้งหมู่บ้านมันจะเข้าบ้านฉันบ้านเดียว อ้าว! ไฉนเพื่อนพูดเช่นนี้เล่า และเพื่อนอีกคนก็บอกว่า วันหยุดนี้จะไปติดมุ้งลวดกับผ้าม่านไม่ใช่เหรอ มีใครไปเป็นเพื่อนไหม “ไม่มีค่า” คือคำตอบของฉัน เพื่อนก็บอกว่าระวังนะโว้ย เราเป็นผู้หญิง และช่างก็เป็นผู้ชายทั้งนั้น ยิ่งถ้าเค้ารู้ว่าบ้านนี้มีแต่ผู้หญิงก็อันตราย จากนั้นเพื่อนก็พูดแล้วพูดอีกถึงอันตรายต่างๆ นานา…ในเวลานั้น ความกลัวในสิ่งที่เพื่อนพูดได้เกาะกินหัวใจของฉัน จนขาดสันติสุข ตลอดวันศุกร์ แต่ขอบคุณพระเจ้า พระองค์ทรงทันเวลาเสมอ พระเจ้าทรงขจัดความกลัวออกไปในเช้าวันเสาร์
ฉันไม่กลัวสิ่งที่มองไม่เห็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว พูดง่ายๆ คือ ไม่กลัวผีหรือวิญญาณใดๆ ทั้งนั้น ยิ่งเมื่อมารู้จักพระเจ้า ก็ยิ่งไม่กลัวสิ่งเหล่านี้เลย ไม่ว่าจะเป็นศักดิเทพ อิทธิเทพ หรือวิญญาณชั่วในสถานฟ้าอากาศ เพราะพระเยซูได้ปราบมันลงแล้ว อยู่ใต้ฝ่าพระบาทของพระองค์ [คส.2:15 พระองค์ทรงปลดเทพผู้ครองและศักดิเทพเสีย พระองค์ได้ทรงประจานเขา และชนะเขาโดยกางเขนนั้น]
วิธีการรับมือกับวิญญาณเหล่านั้นก็ง่ายมาก คือ ไม่ต้องข้องแวะกับมัน แต่เมื่อใดที่ต้องมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง มันก็อาจทำให้ตกใจบ้าง แต่ฉันไม่เคยกลัว เพราะรู้ว่าพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าผู้ใดที่อยู่ในโลก ฉันไม่กลัวสิ่งเหล่านี้หรอก แต่ฉันกลับกลัวสิ่งที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ อ้าว! ถ้าอย่างนั้นก็แย่นะสิ…และพระวจนะของพระเจ้าก็ผุดขึ้นมาในมโนนึก ขจัดความกลัวตรงนี้ไปเสีย [สดด.118:6 มีพระเจ้าอยู่ฝ่ายข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่กลัวมนุษย์จะทำอะไรแก่ข้าพเจ้าได้เล่า]
เราต้องเผชิญกับเหตุการณ์และผู้คนอีกมากมายตลอดชีวิตของเรา หากเราต้องก้าวไปอย่างหวาดกลัว สันติสุขก็มิอาจดำรงอยู่ได้ แต่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะอยู่กับเราเสมอไปจนจนกว่าจะสิ้นยุค [มธ.28:20] ดังนั้น เราจะไม่หวั่นไหว เราผจญทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลัง [ฟป.4:13] หน้าที่ประการเดียวของเราคือ เชื่อและวางใจพระเจ้าอย่างแท้จริง ซึ่งจะนำมาทั้งความรอดในฝ่ายกาย ฝ่ายใจ ฝ่ายวิญญาณ ตลอดจนถึงความไพบูลย์ในพระคริสต์
ฮาเลลูยา!
สรรเสริญและขอบพระคุณพระเจ้า หากคุณไม่กลัวสิ่งใดเลย แต่หากว่าคุณกำลังเผชิญกับความกลัวหรือกำลังหวั่นไหวกับสิ่งใดก็ตาม ขอได้รับการหนุนใจโดยพระวจนะของพระเจ้า ใช้พระแสงดาบแห่งพระองค์ประหารความกลัวและศัตรูทั้งสิ้นที่เข้ามาจู่โจมคุณ พระแสงนั้นสามารถฟาดฟันและทลายปัญหาทุกประการในชีวิตของคุณได้อย่างทะลุทะลวง
[อสย.41:10 “อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าขยาด เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะหนุนกำลังเจ้า เออ เราจะช่วยเจ้า เออ เราจะชูเจ้าด้วยมือขวาอันมีชัยของเรา”]

พระเจ้าประทาน

พระเจ้าประทาน
วันที่ 26/11/2009
โดยพระคุณของพระเจ้า ทรงประทานบ้านหลังใหม่ให้ ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2552 แต่เนื่องจากบ้านอยู่ค่อนข้างไกลจากถนนใหญ่ จึงมีแนวคิดอยากได้รถยนต์สักคันหนึ่ง แต่ฉันไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อรถยนต์ ดังนั้น การจะได้รถยนต์มาก็ต้องพึ่งพระเจ้าเท่านั้น แต่จู่ๆ ก็กลับมีความคิดขึ้นมาว่า โอ้โห! พระเจ้าประทานบ้านให้ตั้งหลังหนึ่งแล้ว ทั้งๆ ที่ฉันไม่สมควรจะได้รับ แล้วยังจะไปขอรถยนต์จากพระเจ้าอีกเหรอ ว่าแล้วก็เกิดอาการเกรงใจขึ้นมาซะนี่ แต่พี่สาวที่เคารพรัก 2 ท่าน ก็ให้ความเห็นตรงกันว่า พระเจ้าย่อมให้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราซึ่งเป็นลูกของพระองค์ และพี่สาวคนหนึ่งก็ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า รถยนต์เป็นความจำเป็นสำหรับชีวิตของฉันไปซะแล้ว พระเจ้าทรงเห็นความจำเป็นนั้น พระองค์จะประทานให้อย่างแน่นอน เราสามารถขอจากพระเจ้าได้ เพราะทรงยิ่งใหญ่ไม่จำกัด เราขอได้เลย โดยไม่ต้องเกรงใจ หลายคนเป็นเช่นนี้ ไม่กล้าขอของดีจากพ่อ เพราะเกรงใจพ่อ แต่เวลาทำบาปไม่เห็นเกรงใจพ่อเลย (อุ๊บ!!! จุกค่ะ เพราะโดนเต็มๆ)
เมื่อได้อ่านหนังสือเรื่อง “ชีวิตที่เหลือเชื่อ” ของ ออรัล โรเบิร์ต ก็ยิ่งเพิ่มความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงไม่ประจักษ์แก่ตาว่า ทรงเห็นความจำเป็นของเราแต่ละคน ทรงพร้อมเสมอที่จะประทานให้ตามที่เราทูลขอ วินาทีนี้ฉันจึงมีความเชื่ออย่างหมดหัวใจว่าพระองค์จะประทานรถยนต์ให้คันหนึ่งแน่นอน โดยวิธีการของพระองค์ …อย่างไรก็ตาม เราจะไม่ไปจดจ่ออยู่ที่พระพรมากกว่าพระเจ้าผู้ทรงประทานพระพร เราต้องเรียนรู้หลักการจัดการทางการเงินจากพระเจ้าด้วย
โรเบิร์ต กล่าวว่า เขาเรียนรู้หลัก 10 ประการ เพื่อจัดการกับการเงินส่วนตัวและในพันธกิจ ดังนี้
1. เริ่มกันที่จุดเริ่มต้นของสติปัญญาทางการเงิน…ถ้าพันธกิจและชีวิตไม่ได้ปลูกเมล็ดของสิบลด ไม่ได้ถวายและช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาสอย่างสม่ำเสมอแล้ว เราก็จะไม่มีวันเก็บเกี่ยวผลผลิตอันอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงตั้งพระทัยไว้สำหรับชีวิตและพันธกิจของเรา [มลค.3:8-10 จะฉ้อพระเจ้าหรือ แต่เจ้าทั้งหลายได้ฉ้อเรา แต่เจ้ากล่าวว่า 'เราทั้งหลายฉ้อพระเจ้าอย่างไร' ก็ฉ้อในเรื่องทศางค์ {หรือ สิบชักหนึ่ง} และเครื่องบูชานั่นซี 9เจ้าทั้งหลายต้องถูกสาปแช่งด้วยคำสาปแช่ง เพราะเจ้าทั้งหลายทั้งชาติฉ้อเรา10พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า จงนำทศางค์เต็มขนาดมาไว้ในคลัง เพื่อว่าจะมีอาหารในนิเวศของเรา จงลองดูเราในเรื่องนี้ดูทีหรือว่า เราจะเปิดหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ให้เจ้า และเทพรอย่างล้นไหลมาให้เจ้าหรือไม่”] สิบลดเป็นสิ่งบริสุทธิ์แด่พระเจ้า ดังนั้น การดูแลสิบลดจึงเป็นการไว้วางใจอันศักดิ์สิทธิ์
2. เราต้องยึดมาตรฐานที่สูงกว่าต่อพระเจ้าและมนุษย์…[ลก.12:48 แต่ผู้ที่มิได้รู้ แล้วได้กระทำสิ่งซึ่งสมจะถูกเฆี่ยน ก็จะถูกเฆี่ยนน้อย ผู้ใดได้รับมาก จะต้องเรียกเอาจากผู้นั้นมากและผู้ใดได้รับฝากไว้มาก ก็จะต้องทวงเอาจากผู้นั้นมาก”] เราต้องใช้ชีวิตด้านการเงินราวกับว่าทุกเช้าหนังสือพิมพ์จะรายงานการเงินส่วนตัวของเราขึ้นหน้าหนึ่ง
3. แสวงหาสติปัญญาที่มาจากพระเจ้าในการบริหารการเงิน … [สภษ.4:6 อย่าทอดทิ้งเธอ และเธอจะรักษาเจ้าไว้ จงรักปัญญา และปัญญาจะระแวดระวังเจ้า]
4. แสวงหาพระเจ้าและความเจริญรุ่งเรืองฝ่ายวิญญาณของพระองค์ แล้วเราจะอยู่ในที่ซึ่งไม่ขาดแคลน [ฟป.4:19 และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานสิ่งสารพัดที่พวกท่านขาดอยู่นั้น จากทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์ในพระเยซูคริสต์] พระเจ้าทรงต้องการให้เราประสบความสำเร็จในทุกด้านของชีวิต รวมทั้งการเงินของเราด้วย เพื่อทำราชกิจของพระองค์ทั่วโลก สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับการที่เราไม่ขัดสนในความจำเป็นของเราก่อน ความเจริญรุ่งเรืองของพระเจ้าสำหรับเราแต่ละคนคือ การมีมากกว่าเพียงพอเพื่อสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกให้เราทำ ถ้าหัวใจของเราจริงใจในการหว่านและการเกี่ยว พระเจ้าก็จะทรงสนองความจำเป็นทั้งสิ้นของเราจากทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์ ขอให้เราลงลึกมากขึ้นสู่การหว่านเมล็ดแห่งความเชื่อ และคาดหวัง “เวลาอันสมควร” ของพระเจ้า ซึ่งเราจะได้เก็บเกี่ยวอย่างอัศจรรย์
5. ดูแลความจำเป็นทางการเงินของครอบครัวคุณ…ลำดับความสำคัญของพระเจ้าคือว่า พระองค์ทรงให้ความสำคัญแก่ครอบครัวเป็นอันดับแรก [1ทธ.3:4-5 เราต้องเป็นคนครอบครองบ้านเรือนของตนได้ดี อบรมบุตรธิดาของตนให้อยู่ในโอวาทและมีใจนอบน้อม 5เพราะว่าถ้าชายคนใดไม่รู้จักครอบครองบ้านเรือนของตน คนนั้นจะดูแลคริสตจักรของพระเจ้าอย่างไรได้] ถ้าเราไม่สนใจครอบครัว เราก็กำลังหว่านเมล็ดของความขุ่นเคือง หากหว่านเมล็ดไม่ดี ก็จะนำการเก็บเกี่ยวที่ไม่ดีมา จึงเป็นความรับผิดชอบที่จะต้องดูแลการเงินของครอบครัวอย่างเหมาะสม
6. ระวังเรื่องหนี้สิน…[สภษ.22:7 คนมั่งคั่งปกครองเหนือคนยากจน และคนขี้ยืมก็เป็นทาสของคนให้ยืม]…อาจจะมีการจับจ่ายใช้สอยมากเมื่อเราเริ่มงานใหม่ หรือครอบครัวใหม่ ซึ่งคงจะต้องมีหนี้สิน โดยเฉพาะการซื้อบ้านหรือรถ สิ่งเหล่านี้เป็นหนี้ชั่วคราวที่ยอมรับได้ เพราะว่าหนี้ที่เราก่อนั้นเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินที่มีคุณค่าเท่าเทียมกันหรือมากกว่า แต่เราจะไม่ก่อหนี้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน อย่างเช่น หนี้จากบัตรเครดิต และบรรดาเงินกู้ต่างๆ เป้าหมายของเราควรจะเป็นการปลดหนี้และคงสภาพไร้หนี้นั้นอย่างเร็วที่สุด ถ้าเรารู้สึกว่าเราต้องยืมเงินเพื่อการรับใช้ของเรา มันก็ควรจะเกี่ยวพันกับทรัพย์สินซึ่งได้รับการทรงนำโดยตรงจากพระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นแหล่งที่พึ่งของเรา เหนือสิ่งอื่นใดคือการได้รับพระทัยของพระเจ้า 100% ก่อน และทำตามอย่างสุดใจ แล้วเราจะไม่พลาด
7. หลีกเลี่ยงเล่ห์เหลี่ยมและความฝัน [สภษ.18:17 บุคคลผู้แถลงคดีของตนก่อนก็ดูเหมือนเป็นฝ่ายถูก จนกว่าฝ่ายตรงข้ามจะมาสอบสวนเขา] บางคนจะมาหาเราด้วยการลงทุนที่มีศักยภาพ และคำชักชวนของเขาก็น่าฟัง แต่โรเบิร์ตได้เรียนรู้ว่า จะไม่พึ่งคนอื่นให้จัดเตรียมความมั่งคั่งให้ เราควรจะพึ่งพระเจ้าในฐานะแหล่งที่พึ่งแห่งการจัดเตรียมของเรา
8. หาคนหนึ่งซึ่งเราจะรายงานต่อเขา…นี่คือแผนการของพระเจ้าสำหรับเราที่จะรายงานต่อคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณมากกว่าเรา แสวงหาพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน เพื่อจะนำเราไปยังผู้ซึ่งคุณภาพชีวิตภายในและความซื่อสัตย์ไม่มีที่ติ นอกจากนั้น สำหรับคนที่แต่งงานแล้ว เรายังต้องตัดสินใจร่วมกับคู่สมรสอีกด้วย
9. น่าแปลก เราจะรับมือกับความสำเร็จได้ยากกว่าความล้มเหลว!…มันเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับเรา ให้คงความระมัดระวัง เมื่อเราถวายตัวเชื่อฟังพระเจ้า ติดตามพระองค์อย่างสุดใจของเรา และแสวงหาการทรงนำและสติปัญญาของพระองค์ แล้วเราจะสำเร็จ…ในเวลาแห่งความสำเร็จนั้นเองที่เราจะต้องยอมฟังพระเจ้าและการทรงเรียกของเราอย่างที่สุด…จงระวังเมื่อเราต้องการซื้อทุกสิ่งที่เราไม่เคยมีหรือเคยต้องการมาก่อน ระวังเมื่อเราเริ่มคิดว่า เราไม่สามารถทำบาป ระวังเมื่อการดำเนินชีวิตส่วนตัวของเรากับพระเจ้าน่าเบื่อ และการใช้เวลาส่วนตัวกับพระเจ้าถูกละทิ้ง เวลานั้นเองที่เราได้นำตัวเองมาถึงสถานการณ์อันตราย

10. จงแน่ใจว่าเราได้ดูแลธุรกิจของพระเจ้า แล้วพระองค์จะดูแลธุรกิจของเราอย่างแน่นอน…การเป็นผู้อารักขาตามที่พระเจ้าทรงต้องการนั้น จะเป็นการเดินของความเชื่อเสมอ เราสามารถก้าวออกมาด้วยความเชื่อ และไปถึงศักยภาพตามที่พระเจ้าได้ทรงเรียกเรา เราสามารถตื่นตัวกับความเชื่อมาก โดยไม่สงสัย แล้วการอัศจรรย์ก็จะเกิดขึ้น!

มีเรื่องเล่าว่า เมื่อดินกลบปิดเมล็ดหนึ่งนั้น มันบอกกับเมล็ดว่า “เราปิดเจ้าแล้ว”
เมล็ดตอบว่า “ไม่ เจ้าไม่ได้ปิด เราจะโตทะลุเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะหนักแค่ไหนก็ตาม เรามีชีวิตของพระเจ้าอยู่ในเรา”
และมันก็เป็นจริง เติบโตและเติบโต เกิดผลและเกิดผล และเพิ่มพูนอย่างมาก ชีวิตของพระเจ้าอยู่ในเมล็ดที่คุณปลูก

หมายเหตุ: ศึกษาเรื่องนี้เพิ่มเติมได้จากหนังสือ “ชีวิตที่เหลือเชื่อ” เขียนโดย ออรัล โรเบิร์ต (Still doing the impossible by Oral Roberts) แปลโดย อ.วรพงศ์ จริยพฤทธิพงศ์ บทที่ 13 สำนักพิมพ์แม่น้ำ

ขอพระเจ้าทรงโปรดอวยพรทุกท่าน ขอพระองค์ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดที่พวกท่านขาดอยู่นั้น จากทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์ในพระเยซูคริสต์…Amen!

บ้านแห่งความสุข

บ้านแห่งความสุข
วันที่ 20/11/2009
“บ้านเรา แสนสุขใจ แม้จะอยู่ที่ไหน ไม่สุขใจเหมือนบ้านเรา คำว่าไทย ซึ้งใจ เพราะใช่ทาสเขา ฯลฯ” เพลงบ้านเรา แสนสุขใจ ของลุงสุเทพ วงศ์กำแหง ได้ยินมาตั้งแต่เด็ก เพราะคุณแม่ชอบเปิดค่า
อีกเพลงหนึ่งเกี่ยวกับบ้านที่คุณแม่ชอบเปิด ก็ขับร้องโดยคุณพี่สวลี ผกาพันธ์ (พี่ของคุณยาย) ด้วยเพลง....บ้านของเรา....ที่ร้องว่า “บ้าน คือวิมานของเรา เราซื้อเราเช่า เราปลูกของเรา ตามใจ”… ฉันชอบท่อนต่อไปนี้มากเลย…”บ้าน ฉัน มีเพลงฝันให้ฟัง มีเสียงระฆัง จากกังสดาลพริ้งไป มีสวนไม้ดอก ผลิบานก้านกอช่อใบ มีความรัก มีน้ำใจ มีให้อภัย มีกรุณา…บ้าน คือวิมานของเรา ยามพบความเศร้า รีบกลับบ้านเรา จะเปรมปรีดา เพราะบ้านมีรัก น้ำใจอภัยกรุณา คอยเราอยู่ทุกเวลา ในชายคาเขตบ้านของเรา”
มีคนเคยตั้งคำถามด้วยนะว่า House กับ Home ที่แปลว่าบ้านนั้น ต่างกันอย่างไร? โอกาสนี้จึงขอหยิบยกความหมายมาให้ชมกันเลยดีกว่าค่ะ
House (อ่านว่า เฮ้าส์) แปลว่า บ้าน…คำนี้เป็นคำนาม หมายถึงการเรียกบ้านที่เป็นหลังๆ บ้านที่สร้างขึ้นด้วยอิฐ ด้วยปูน เราจะใช้คำว่า House ในความหมายด้านกายภาพ ด้านโครงสร้างของบ้าน ในความหมายที่จับต้องได้ เช่น ช่างกำลังสร้างบ้านให้ฉัน "บ้าน" ในประโยคนี้จะใช้คำว่า House
Home (อ่านว่า โฮม) แปลว่า บ้าน…คำนี้เป็นคำนาม ใช้เรียกแทนบ้าน แต่จะเป็นด้านในความหมายด้าน อารมณ์ความรู้สึก ไม่ใช่ในความรู้สึกที่เป็นหลังๆ มีหลังคามีผนัง แต่บ้านในความหมายของ Home จะเป็นแนว บ้านนี้มีรัก มีความอบอุ่น มีความสุข มีกำลังใจให้กันและกัน ในการเปรียบเทียบความหมายเชิงลึกของสองคำนี้ นิยมใช้ประโยคดังต่อไปนี้ ในการเปรียบเทียบให้เห็นภาพ
A house is made of brick and stone.
A home is made of "love" alone.
เนื่องจากฉันเพิ่งย้ายจากคอนโดไปอยู่บ้าน เมื่อพบเจอกลุ่มเพื่อนจึงเกิดการโต้วาทีเล็กๆ ว่า อยู่บ้านหรืออยู่คอนโดจะดีกว่ากันนะตัวเอง และแต่ละฝ่ายก็งัดเหตุผลมาสนับสนุนความคิดของตน
ฝ่ายที่ชอบคอนโด ก็ให้เหตุผลว่า คอนโดอยู่ง่าย พื้นที่ไม่มาก ไม่ต้องทำความสะอาดมาก เดินทางสะดวก ประหยัด ปลอดภัย มี รปภ. มีระบบของการบริหารคอนโดแบบนิติบุคคลเป็นผู้ดูแล ฯลฯ แต่ถ้าอยู่บ้านแล้วมีข้อจุกจิกกวนใจมาก เพื่อนบ้านวุ่นวาย เดินทางไกล ไม่ปลอดภัย ไม่สะดวก ยิ่งอยู่ไปนานๆ ก็จะมีรายการต้องซ่อมแซมวุ่นวาย หาช่างก็ลำบาก บางที่ก็น้ำท่วม ปลวกขึ้น อีกต่างหาก
ฝ่ายที่ชอบบ้าน ก็ให้เหตุผลว่า บ้านมีพื้นที่มาก อบอุ่น มีพื้นที่ให้วิ่งเล่น ปลูกต้นไม้ ไม่เหมือนคอนโดที่ได้แต่ที่ลอยฟ้า อึดอัดอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยม ต่างคนต่างอยู่ และถ้าเกิดอัคคีภัยขึ้นมาก็ไม่เหลืออะไรเลย ขณะที่บ้านนั้นยังเหลือที่ดิน
สำหรับฉันซึ่งเคยอยู่ทั้งบ้านและคอนโด ก็มีความเห็นว่าทั้งบ้านและคอนโดก็มีข้อได้เปรียบเสียเปรียบแตกต่างกันไป สุดแล้วแต่ว่าใครจะเหมาะกับแบบไหนมากกว่า โดยส่วนตัวนั้นคิดว่าหากจะอยู่เป็นโสดเช่นนี้ตลอดไป อยู่คอนโดดีที่สุดค่ะ เพราะสะดวกสบาย ปลอดภัย และประหยัดเงินและประหยัดเวลากว่า เพราะหากอยู่บ้านจะต้องเดินทางไกล ค่ารถก็แพง นอกจากนั้น การอยู่คอนโดยังมีเวลาเหลือไปทำกิจกรรมอย่างอื่นที่ชอบอีกด้วย ทั้งยังไม่ต้องกังวลเรื่องโจรผู้ร้าย เมื่อมีอะไรเสียหายชำรุด ก็แจ้งนิติบุคคล เขาก็มาซ่อมดูแลให้…แต่คอนโดคงไม่เหมาะกับคนที่มีครอบครัวเป็นแน่ (ความเห็นส่วนตัว) เนื่องจากคอนโดจะมีความจำกัดในตัวของมันเอง จึงเหมาะกับคนทำงาน แต่ถ้าเป็นครอบครัวที่มีผู้สูงอายุหรือเด็กแล้วละก็ คอนโดน่าจะเป็นคำตอบสุดท้ายของการเลือกอยู่อาศัย เพราะถึงแม้ว่าคอนโดจะมีฟิตเนสชั้นดี สระว่ายน้ำหรู ห้องซาวน่า สนามเด็กเล่น สวนบนดิน หรือแม้แต่สวนลอยฟ้า แต่ก็ไม่มีความเป็นส่วนตัวเมื่อไปใช้บริการ มีเวลาเปิดปิด หากเป็นบ้านเราเอง ที่แม้ว่าจะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันดังที่กล่าวมา แต่เราสามารถออกมาเดินเล่นบริเวณบ้านเมื่อไรก็ได้
บางคนก็มีคำถามต่ออีกว่า บ้านนอกกับบ้านเมืองกรุงแบบไหนจะดีกว่ากัน….อ้าว! มันก็นานาจิตตังอีกนั่นแหละค่ะ บางคนก็ไปไกลถึงนอกประเทศเลยนะ แต่คนที่เคยอยู่ต่างประเทศหลายคนบอกว่า เมืองไทยดีที่สุด ซึ่งฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะไม่เคยอยู่ที่ไหนนานๆ นอกจากเมืองไทย (ฮา)
ฉันจึงคิดว่าอยู่ที่ไหนก็ได้ค่ะ ในที่ซึ่งมีความรัก ว้าว! (ซึ้งไหม) ไม่ว่าที่นั่นจะเป็นคอนโดในเมืองศิวิไลซ์ บ้านน้อยใหญ่กลางกรุง ชานเมือง หรือชายทุ่ง เพราะความรักเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในอันที่จะประสานความสุขในบ้านหลังทุกหลัง และก็ไม่สำคัญด้วยว่าจะเป็นบ้านของตัวเองหรือไม่ ยิ่งเฉพาะพี่น้องที่ต้องออกไปรับใช้พระเจ้าในที่ห่างไกลจากบ้านด้วยแล้ว ก็ต้องพบกับเพื่อนพี่น้องที่อาจจะไม่คุ้นเคย แต่หากมีความรักเป็นใหญ่ในที่ใดแล้ว ที่นั่นก็เป็นบ้านอีกหลังหนึ่ง ซึ่งเหมาะสำหรับการอยู่อาศัยอย่างมากทีเดียว
ทั้งนี้ สิ่งสำคัญที่สุดของที่สุดในการอยู่อาศัยอย่างมีความสุขคือ บ้านที่ก่อไว้บนศิลา (บ้านที่มีพระคริสต์เป็นใหญ่)ทำให้บ้านซึ่งเราอยู่นั้น เป็นบ้านแห่งการนมัสการพระเจ้า และที่ใดซึ่งมีการนมัสการพระเจ้า ที่นั่นแหละก็เป็นพระนิเวศของพระองค์ [สดด.84:4 ความสุขเป็นของบุคคลที่อาศัยในพระนิเวศของพระองค์เขาร้องเพลงสรรเสริญพระองค์เสมอ]
ขอพระเจ้าทรงโปรดอวยพรให้พี่น้องทุกท่านมีความสุขกับการอยู่อาศัยในบ้านบนโลกใบนี้ ซึ่งเรารู้เสมอว่า วันหนึ่งผู้เชื่อทุกคนจะได้ไปอยู่บ้านเดียวกัน บ้านนิรันดร์บนสวรรค์ ที่ซึ่งเราจะสรรเสริญพระเจ้าร่วมกันตลอดนิรันดร์กาล

บ้านหลังใหม่

บ้านหลังใหม่
วันที่ 16/11/2009
โดยการทรงนำของพระเจ้า นกน้อยน่ารัก (แหวะ…หลงตัวเอง) ก็จำจากจรคอนโดที่ประดิพัทธ์ไปปักหลักอยู่ ณ บ้านหลังใหม่ ไกลออกไปทางตอนใต้ของกอทอมอ บ้านเดี่ยวหลังเล็กๆ น่ารัก น่าอยู่ นกน้อยก็ทำรังแต่พอตัว
แต่กว่าจะได้บ้านหลังนี้มาก็มีขั้นตอนและประสบการณ์มาบอกกล่าวเล่าขานสู่กันฟัง เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะขายคอนโด สายตาก็เริ่มสอดส่องหาบ้านหลังใหม่ ซึ่งเมื่อต้นเดือนตุลาคม 2009 ที่ผ่านมาก็ไม่พลาดชมมหกรรมคอนโด บ้านและที่ดิน ซึ่งจัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ได้โบว์ชัวร์มาเป็นกระตั๊ก แต่ก็จะเลือกเฉพาะโซนที่สนใจและราคาที่สามารถซื้อหาได้ เมื่อได้มาแล้วก็กระดี๊กระด๊า นั่งดูทีละโครงการ เปรียบเทียบราคาและทำเล ซึ่งเน้นความสบายใจของคุณแม่สุดที่รักเป็นหลัก ราคาและการเดินทางสะดวกเป็นรอง อ่ะ! แต่ลืมบอกไปว่า ฉันขอที่อยู่ใหม่ซึ่งจะเป็นพระพรสำหรับผู้อยู่อาศัย และสำหรับผู้ที่มาเยี่ยมเยียน จะได้มีโอกาสต้อนรับผู้รับใช้พระเจ้า มิชชันนารี ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงมากมาย ตลอดจนแขกแปลกหน้า ถวายแด่พระเจ้าเพื่อใช้ในราชกิจของพระองค์ ขอฑูตสวรรค์นำหน้าไปพิทักษ์โอบล้อมบ้านหลังนั้นไว้ ขอสภาพแวดล้อมที่ดี มีเพื่อนบ้านคริสเตียน และมีเพื่อนบ้านที่น่ารักที่อนาคตจะเป็นคริสเตียนด้วย (อาเมน) ดูเหมือนว่าฉันจะขอเยอะ แต่ฉันก็เชื่อว่าเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่พระองค์จะให้สิ่งดีๆ กับลูกของพระองค์ และทรงประทานพระสัญญาว่า “จงขอ แล้วจะได้” (ขอบคุณพระเจ้าค่ะ)
การดูโบว์ชัวร์อย่างเดียวไม่พอแน่ ว่าแล้วก็ต้องตระเวนไปดูของจริง ให้เห็นกับตา ดูทั้งสภาพแวดล้อม ความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการ ที่ดินมีภาระผูกพันไหม ทุนจดทะเบียนเท่าไร ใช้วัสดุก่อสร้างแบบไหน ระบบความปลอดภัยและสาธารณูปโภคอื่นๆ เป็นอย่างไร รวมถึงบริการหลังการขายด้วย ที่สำคัญคือ ต้องเป็นราคาที่สามารถหาซื้อได้โดยไม่เดือดร้อน
กลไกอย่างหนึ่งในการโฆษณาขายบ้านก็จะโชว์ราคาเริ่มต้นก่อน แต่เมื่อไปถึงจริงๆ ก็พบว่าบ้านราคาดังกล่าวนั้นมีเพียงไม่กี่หลัง บางโครงการก็อาจจะมีหลังเดียว แต่มีตำหนิ หรืออยู่บนทางสามแพร่งตามความเชื่อของเขา หรืออยู่ในโซนอับเฉา ตามหลักฮวงจุ้ย เป็นต้น ส่วนของแถมก็มักจะอ้างว่าหมดแล้ว ทางด้านการคมนาคมก็มักจะอ้างว่าใกล้รถไฟฟ้า ใกล้ห้างดัง ใกล้โรงพยาบาล ใกล้สถานที่สำคัญมากมาย แต่เมื่อไปดูพื้นที่จริงก็พบว่าเป็นความใกล้แบบกิโลแม้ว ไม่ใช่แค่เดินทางแป๊บเดียว แต่เป็นสองแป๊บ สามแป๊บ หรือหลายแป๊บ บางแห่งกล่าวอ้างถึงขนาดว่าเดินทางจากสนามบินเพียง 5 นาที แหม่ เจ้าประคุณเอ๋ย จะเดินทางได้ 5 นาที จริงๆ นั้น ก็ต่อเมื่อเหยียบคันเร่งแบบจมมิด ประมาณว่าอยู่ในสนามแข่งรถซิ่ง และมีข้อแม้ด้วยว่าบนถนนจะต้องไม่มีรถแม้แต่คันเดียว ฉะนั้น เราจึงจะไปถึงที่หมายแบบสบายผิดกัน ภายใน 5 นาที (ฮา)
การหาบ้านหลังใหม่ครั้งนี้ได้นำฉันไปสู่การกลับใจอีกครั้งหนึ่ง ด้วยว่าฉันคิดอยากได้บ้านหลังใหญ่พื้นที่เยอะๆ แหะ แหะ ความโลภครอบงำจิตใจ [1ทธ.6:10 ด้วยว่าการรักเงินทองนั้นเป็นมูลรากแห่งความชั่วทั้งมวล และเพราะความโลภนี่แหละ จึงทำให้บางคนห่างไกลจากความเชื่อ และตรอมตรมด้วยความทุกข์] ฉันได้เอาใจไปใส่กับบ้านบนโลกซึ่งเป็นปัจจัยภายนอก ที่ไม่ยั่งยืน แต่จะผุพังแปรสภาพไป มากกว่าพระเยซู ผู้ซึ่งทรงจัดเตรียมบ้านนิรันดร์บนสวรรค์ไว้ให้กับฉัน ทั้งๆ ที่พระองค์ก็ทรงสอนให้เราดำเนินชีวิตที่พอดีสมตัว และมุ่งเน้นส่ำสมทรัพย์สมบัตินิรันดร์ [มธ.6:19-20 อย่าส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในโลก ที่อาจเป็นสนิมและที่แมลงกินเสียได้ และที่ขโมยอาจขุดช่องลักเอาไปได้ แต่จงส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ ที่ไม่มีแมลงจะกินและไม่มีสนิมจะกัด และที่ไม่มีขโมยขุดช่องลักเอาไปได้]
ฉันแอบอิจฉาเพื่อนบางคนนิดๆ ว่า ช่างดีอะไรเช่นนี้ที่เขาเกิดมาแล้วมีบ้านพร้อมอยู่ ไม่ต้องระเห็จระเหเร่ร่อน และไม่ต้องดิ้นรนซื้อหาบ้านด้วยตนเอง อันนี้ฉันก็ผิดอีกเต็มประตู ปล่อยให้วิญญาณของความอิจฉาดังคาอินอิจฉาอาเบลมาครอบงำ เพราะว่าพระเจ้าจะกรุณาผู้ใดพระองค์ก็จะทรงกรุณาผู้นั้น พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความโปรดปราน พระหัตถ์ของพระองค์มิทรงสั้น พระกรรณของพระองค์มิได้ตึงหนวก พระสัญญาของพระองค์ก็ไม่เคยล้มเหลว ความรักของพระองค์ไม่เคยยั้งหยุด พระพรของพระองค์ไม่เคยสิ้นสุด พระเมตตาคุณก็หลั่งลงมาอยู่เสมอ [รม.9:15 เพราะพระองค์ตรัสกับโมเสสว่า เราประสงค์จะกรุณาผู้ใด เราก็จะกรุณาผู้นั้น และเราจะเมตตาใคร เราก็จะเมตตาผู้นั้น]
จำเป็นต้องคุกเข่าลงต่อพระพักตร์พระเจ้า สารภาพบาป กลับใจ ถ่อมใจลงต่อพระองค์ น้อมนำความคิดทุกประการให้อยู่ใต้บังคับจนถึงรับฟังพระคริสต์ มีท่าทีแบบใหม่ แล้วทูลพระองค์ว่า “พระองค์เจ้าข้า แล้วแต่พระองค์ สุดแต่น้ำพระทัยของพระองค์”
บ้านหลังใหม่ที่ได้มานี้ จึงเป็นพระคุณของพระเจ้าโดยแท้! ทรงเสด็จนำหน้าฉัน ทรงเปิดประตูให้สำหรับการซื้อขาย ตลอดจนการดำเนินเรื่องกับธนาคารและหน่วยงานราชการ ตลอดจนการเจรจากับผู้เกี่ยวข้องต่างๆ ให้เป็นไปอย่างราบรื่นในเวลาของพระองค์…ขอบพระคุณพระเจ้า!
[สดด.127:1-2 ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงสร้างบ้าน บรรดาผู้ที่สร้างก็เหนื่อยเปล่า ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงเฝ้าอยู่เหนือนคร คนยามตื่นอยู่ก็เหนื่อยเปล่า เป็นการเหนื่อยเปล่า ที่ท่านลุกขึ้นแต่เช้ามืดนอนดึก และกระหืดกระหอบกินอาหาร เพราะพระองค์ประทานแก่ผู้ที่รักของพระองค์ ให้หลับสบาย]

พระคริสต์.....มาแล้ว

พระคริสต์.....มาแล้ว
ยน1:1414พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์ คือพระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา
สดด9:10-11 บรรดาผู้ที่รู้จักพระนามของพระองค์ก็วางใจในพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า เพราะว่าพระองค์มิได้ทรงทอดทิ้งบรรดาผู้ที่เสาะแสวงหาพระองค์ จงร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ผู้ซึ่งประทับในศิโยน
จงบอกเล่าถึงพระราชกิจของพระองค์ ในท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย
บทเรียนจาก อาจารย์ ดร.นันทชัย มีชูธน เมื่อวันเสาร์ที่ 7/11/2009 ได้ให้สูตรเด็ด ๆ หลายสูตร เช่น
คนไม่รู้จักพระเจ้า ผลลัพภ์คือ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เพราะฉะนั้น เราเองจงพยายามรู้จักพระเจ้า และสอนคนให้รู้จักพระเจ้าให้มาก เพื่อคนจะเชื่อฟังพระเจ้า ในพระธรรมอพยพนั้น พระเจ้าทรงให้เกิดการทุกข์ยาก ปองร้าย เข่นฆ่า กดขี่ ข่มเหง ใจดื้อกระด้าง ภัยพิบัติ บ่น กับชนอิสราเอล โมเสส อียิปต์ เพื่อพระองค์จะประกาศให้รู้ว่า...เรา.คือพระเจ้า หากเราเองรู้จักพระเจ้า เราจะเชื่อฟัง ยำเกรง(เกรงกลัวจนตัวสั่น) ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์
คำถาม ชีวิตของเราคนไทย เจออะไรที่เป็นการถูกข่มเหงบ้าง เรามีกินจนไม่ต้องพึ่งพระเจ้า เรามีเงินมากจนไม่ต้องขอพระองค์ เราอยู่สุขสบายจนไม่ต้องหาที่ลี้ภัย เรามีทุกอย่างจนไม่ต้องขอพระเจ้าเลี้ยงดู เราไม่ต้องเผชิญภัยพิบัติจนไม่ต้องขอการช่วยกู้...แล้วอะไรจะเป็นตัวผลักดันเราให้อยากรู้จักพระเจ้า ลองทำสิ่งใหม่
เบียดเบียนตนเองเพื่อพระเจ้า
เคยตื่น หกโมงเช้า ก็ ตื่น ตีห้าเพื่อพระเจ้า อธิษฐาน อ่านพระคำ
เคยกินอาหารมื้อแพง ๆ ก็ เปลี่ยนมากินอย่างประหยัด แล้วเอาเงินนั้นไปให้ผู้ยากไร้
สิ่งที่คุ้นเคยทั้งหลายแหล่ที่เคยมี เคยเป็น เคยทำ เคยชอบ ลดลงและให้เวลากับพระเจ้ามากขึ้น
แปลกแต่จริง คนทำงาน 6 วัน ได้กำไรมากกว่า คนที่ทำงาน 7 วัน เพราะทำงาน 7 วันนั้น อายุสั้นลงเพราะคุณทำงานมากจนไม่มีเวลาพักผ่อน พระเจ้าประทานวันเวลาให้เราได้พักสงบ หยุดจากการงานทั้งสิ้นแล้วมานั่ง นอน กิน พูด เดินเล่นกับพระเจ้า พระพรคือ ไปดีมาดี มีชีวิตยืนยาวบนแผ่นดินโลก ชีวิต เป็นพร
โปรดระวัง งานคือรูปเคารพ และหลายครั้งงานรับใช้ที่ท่านบอกว่ารับใช้พระเจ้า(อย่างตามใจฉัน)ก็เป็นรูปเคารพเช่นกัน เราว่าเราทำพันธกิจมากมาย น่ากลัวมากหากวันนั้นที่เข้าสู่การพิพากษา พระองค์ตรัสว่า เราไม่รู้จักเจ้า เพราะแม้แต่การคืนดีกับพระเจ้าเรายังอิดออด และไม่ไปคืนดีกับพี่น้อง พระเจ้าเกลียดบาปเช่นนี้ แต่ขอบพระคุณพระเจ้านะเพราะพระเจ้ารักเรา แม้เราเป็นผู้ทำผิดพันธสัญญา แต่คนที่ถูกลงโทษคือ พระเยซู
นมัสการวันเสาร์นี้ ศบ.พงษ์ศักดิ์ อังศ์ธราธร ได้ตั้งคำถามว่า ลมหนาวพัดมาแล้ว เราคิดถึงอะไร ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า คริสต์มาส โอ...พระคริสต์ มา พระผู้ช่วยให้รอดผู้ซึ่งได้รับการเจิม มา เราเตรียมพร้อมรับพระองค์แล้วหรือยัง พระเยซูคริสต์มาเพราะเหตุผลใด พระองค์มาเพื่อทำอะไร แล้วเราคริสตชนเราได้ทำตามพระองค์ไหม?
พระเยซูคริสต์เสด็จมาบังเกิด เพื่อ...พันธกิจ
1. การคืนดี 2 คร5:1919คือพระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกันกับพระองค์โดยพระคริสต์ มิได้ทรงถือโทษในการผิดของเขา และทรงมอบเรื่องการคืนดีกันนั้นให้เราประกาศ
2. การทำลายกิจการของมารซาตาน 1ยน3:7-10พระองค์ 7ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้ใครชักจูงท่านให้หลง ผู้ที่ประพฤติชอบก็ชอบธรรมเหมือนอย่างพระองค์ชอบธรรม 8ผู้ที่กระทำบาปก็มาจากมาร เพราะว่ามารได้กระทำบาปตั้งแต่เริ่มแรก พระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาปรากฏก็เพราะเหตุนี้ คือเพื่อทรงทำลายกิจการของมาร 9ผู้ใดบังเกิดจากพระเจ้า ผู้นั้นไม่กระทำบาป เพราะสภาพของพระเจ้าดำรงอยู่กับผู้นั้นและเขากระทำบาปไม่ได้ เพราะเขาเกิดจากพระเจ้า 10ดังนี้แหละ จึงเห็นได้ว่าผู้ใดเป็นบุตรของพระเจ้า และผู้ใดเป็นลูกของมาร คือว่าผู้ใดที่มิได้ประพฤติชอบ และไม่รักพี่น้องของตน ผู้นั้นก็มิได้มาจากพระเจ้า
3. การสร้างแผ่นดินสวรรค์บนแผ่นดินโลก คส1:1313พระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอำนาจของความมืด และได้ทรงย้ายเรามาตั้งไว้ในแผ่นดินแห่งพระบุตรที่รักของ มธ6:10 10ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก 2ทธ4:1818องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงโปรดช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากการร้ายทุกอย่าง และจะทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ของพระองค์ พระสิริจงมีแด่พระองค์สืบๆไปชั่วนิตย์นิรันดร์ อาเมน วว11:1515และทูตสวรรค์องค์ที่เจ็ดก็เป่าแตรขึ้น และมีเสียงหลายๆเสียงกล่าวขึ้นดังๆในสวรรค์ว่า “ราชอาณาจักรแห่งพิภพนี้ ได้กลับเป็นราชอาณาจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา และเป็นของพระคริสต์ของพระองค์ และพระองค์จะทรงครอบครองตลอดไปเป็นนิตย์
นับถอยหลังเข้าสู่วันคริสต์มาส..ว่า เราจะ
 คืนดีกับพระเจ้า คืนดีกับตนเอง คืนดีกับพี่น้อง คืนดีกับคนอื่น และนำคนอื่นมาคืนดีต่อพระเจ้า
 ร่วมมือกับพระเจ้าทำลายกิจการของมารซาตานไม่ว่าจะเป็น การแตกแยก ใจโกรธเคือง เห็นแก่ตัว เย่อหยิ่งอวดดีจองหอง มุทะลุ พูดโกหก นินทาว่าร้าย เกียจคร้าน ดื้อ กบฎ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ยกตนข่มผู้อื่น โมโหฉุนเฉียว ล่วงประเวณี คดโกง หน้าซื่อใจคด รู้ว่าสิ่งใดดีแต่ไม่ทำ ฯลฯ
 ดำเนินชีวิตเหมือนคนแผ่นดินสวรรค์ นำคนเข้ามาสู่แผ่นดินสวรรค์ที่ในแผ่นดินของคนเป็น
 ที่สวรรค์ไม่มีงานทำ จงทำการประกาศข่าวประเสริฐนำวิญญาณมาถึงชีวิตนิรันดร์ในโลกนี้ เพราะนั่นคือสิ่งที่เราจะนำไปถวาย ณ บัลลังค์ในฟ้าสวรรค์ เมื่อนั้นพระองค์จะตรัสว่า
28พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในโลกใหม่คราวเมื่อบุตรมนุษย์จะนั่งบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองนั้น พวกท่านที่ได้ติดตามเรามาจะได้นั่งบนบัลลังก์สิบสองที่ พิพากษาชนอิสราเอลสิบสองเผ่า 29ผู้ใดได้สละบ้าน หรือพี่น้องชายหญิงหรือบิดามารดา หรือลูกหรือไร่นาเพราะเห็นแก่นามของเรา ผู้นั้นจะได้ผลร้อยเท่าและจะได้ชีวิตนิรันดร์ด้วย มธ19:28-29
เรามาร่วมกันในพันธกิจเพื่อพระนามของพระเจ้าจะเป็นที่รู้จักต่อประชาชาติ คริสตมาสนี้อย่าปล่อยเวลาผ่านไปด้วยงานเลี้ยงสนุกสนาน ให้ของขวัญที่เสื่อมสลาย ที่วันเวลาผ่านไปผู้คนยังคงเดินในเงามืดอีกต่อไป
มาร่วมกันยอมให้แสงสว่างของพระคริสต์เจิดจ้าในชีวิตของเรา เขาจะเห็นพระองค์ในชีวิตเราเสมอ
อย่าให้ใครต้องพูดว่า คริสเตียนเป็นอย่างนี้หรือ นี่หรือคริสเตียนที่รักพระเจ้า พระเจ้าเป็นอย่างนี้หรือแล้วเขาก็วิ่งหนีพระเจ้าไป เพราะเรา

คำอธิษฐานโดยพระวจนะ สดด9:13-20
ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงพระกรุณาแก่ข้าพระองค์ ขอทรงทอดพระเนตรว่าข้าพระองค์ต้องทนทุกข์ทรมาณเพราะคนที่เกลียดชังข้าพระองค์เพียงใด ข้าแต่พระองค์ ผู้ทรงยกข้าพระองค์ขึ้นจากประตูของความตาย เพื่อข้าพระองค์จะกล่าวคำสรรเสริญพระองค์ และจะเปรมปรีดิ์ในการช่วยกู้ของพระองค์ ที่ในประตูทั้งหลายแห่งชาวศิโยน บรรดาประชาชาติได้จมลงในหลุมซึ่งเขาทำไว้ และเท้าของเขาติดตาข่ายซึ่งเขาเองซ่อนดักไว้ พระเจ้าทรงเผยพระองค์ให้ปรากฎแจ้ง แล้วพระองค์ทรงพิพากษา ทรงดักคนอธรรมด้วยกิจการของเขาเอง คนอธรรมจะต้องถอยไปสู่แดนผู้ตาย คือประชาชาติทั้งมวลที่ลืมพระเจ้า เพราะพระองค์จะไม่ทรงลืมคนขัดสนเสมอไป และความหวังของคนยากจนจะไม่พินาศไปเป็นนิตย์ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงลุกขึ้น อย่าให้มนุษย์มีชัยได้ แต่ให้บรรดาประชาชาติถูกพิพากษาต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ทั้งสิ้น ข้าแต่พระเจ้าขอทรงให้เขายำเกรง และให้บรรดาประชาชาติทราบว่า เขาทั้งหลายเป็นเพียงมนุษย์เท่านั้น
อธิษฐานในพระนามพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน
*ติดตามบันทึกบทเรียนของพระเจ้าผ่าน อาจารย์ดร.นันทชัย มีชูธน จากคุณรัฐติยา สิงห์ลอ ตอนต่อไป อธิษฐานเพื่อเธอด้วย และอธิษฐานขอพระเจ้าใช้เราในการประกาศทุกวันเวลาในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา คริสเตียนในประเทศไทยจะทวีคูณขึ้นเป็นร้อยเท่า ...รักพระเจ้า รักเพื่อนบ้าน เหมือนรักตนเอง มองในฝ่ายวิญญาณ ทำงานโดยพระวิญญาณ จงเป็นเหมือนต้นไม้บนภูเขา โฮเรบ ที่มีไฟแห่งพระวิญญาณลุกโชติช่วง แต่ต้นไม้นั้นไม่ตาย
หากวันนี้คุณรับใช้ในพันธกิจ การงานมากมาย แต่ต้นไม้ชีวิตคุณกำลังเหี่ยวเฉาใกล้จะตาย จงตื่นขึ้นรีบมอบต้นไม้นั้นให้พระเจ้าใช้ มิใช่ใช้พระเจ้าให้ทำตามใจเรา อันตราย อธิษฐานเพื่อกันและกันงานพระเจ้าเคลื่อนด้วยคำอธิษฐาน เพราะเป็นงานใหญ่ไม่สามารถอยู่ภายใต้กฎหรืองบของมนุษย์ได้
“ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่ถ้อยคำของเราจะสูญหายไปหามิได้เลย” มก13:31 การงานทั้งสิ้นที่เราทำในโลกจะสูญสิ้นล่วงไปตามกาลเวลา แต่ถ้อยคำ พระวาทะ ความจริงคือพระเยซูคริสต์ จะไม่สูญหายไป
จงอธิษฐาน 2ธส3:1-5 1พี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดจงอธิษฐานเผื่อเรา เพื่อว่ากิตติคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้แผ่ไป และมีชัยเหมือนอย่างที่ได้เป็นไปในหมู่พวกท่านแล้ว 2และเพื่อเราจะได้พ้นจากคนพาลชั่วร้าย เพราะว่าไม่ใช่ทุกคนเชื่อ 3แต่ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสัตย์ซื่อ จะทรงเสริมกำลังท่านทั้งหลาย และทรงป้องกันท่านไว้ให้พ้นจากซึ่งชั่วร้าย 4เรามีความวางใจในท่านเนื่องจากองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ท่านกำลังประพฤติและจะประพฤติต่อไปตามที่เรากำชับท่าน 5ขอพระเป็นเจ้าทรงนำใจของท่านทั้งหลายให้เข้าถึงความรักของพระเจ้า และถึงความมั่นคงของพระคริสต์ เอเมน
ประทุม ชัยอักษรเวช krumamc@gmail.com
8 /11/2009

The Call : พระพรจากพระเจ้า ผ่าน ศจ.ดร.นันทชัย มีชูธน

The Call : พระพรจากพระเจ้า ผ่าน ศจ.ดร.นันทชัย มีชูธน
วันที่ 9/11/2009
สู่อพยพ
เมื่อวันเสาร์ที่ 7/9/2009 ที่ผ่านมา สมาชิกในโครงการ The Call & Life Impact ได้มีโอกาสสรรเสริญพระเจ้า ด้วยเรื่องราวคำพยานจากชีวิตของ อ.นันทชัย ซึ่งเราต่างก็ได้รับการหนุนใจ ได้รับพระพร ได้รับการเสริมกำลังใหม่ ได้รับการเติมไฟ ผ่านการสอนและแบ่งปันของอาจารย์
ฉันไม่อาจที่จะบันทึกพระพรที่ได้รับในวันนั้นได้ทั้งหมด จึงทำได้เพียงแบ่งปันบทเรียนในบางเสี้ยวมุมเท่านั้น
มนุษย์นั้นเป็นคนบาป แต่มนุษย์ซึ่งเป็นคนบาปและชั่วร้ายนี้ สามารถมายืนอยู่ใกล้พระเจ้าซึ่งบริสุทธิ์อย่างยิ่งได้ โดยที่มนุษย์ไม่ตาย ด้วยเพราะพระเยซู…ขอบคุณพระเยซู
พระเจ้าทรงพระคุณมากล้น ทรงอ่อนสุภาพ เราจึงรู้สึกสนิทสนมกับพระองค์ในฐานะพระบิดา ในฐานะสหายเลิศ ในฐานะครู และในอีกหลายฐานะ แต่อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงยิ่งใหญ่ เราจึงต้องรับใช้พระเจ้าด้วยความยำเกรง ด้วยความเกรงกลัวจนตัวสั่น ทั้งยังต้องสร้างรากฐานให้มั่นคงด้วยพระคัมภีร์ [สดด.112:1 จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด คนที่เกรงกลัวพระเจ้าก็เป็นสุข คือผู้ปีติยินดีเป็นอันมากในพระบัญญัติของพระองค์]
การสร้างรากฐานให้มั่นคงในพระคัมภีร์นั้น ต้องศึกษาอย่างสมดุลทั้งพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ พระคัมภีร์เดิมเป็นคำถาม คำถามมากมายบันทึกไว้ถึงเศษสามในสี่ของพระคัมภีร์ ส่วนที่เหลืออีกหนึ่งในสี่ก็เป็นคำตอบ บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ใหม่
พระธรรมอพยพ ได้เผยให้เราทราบถึงพันธสัญญา (Covenant) ซึ่งเป็นพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกระทำผิดพันธสัญญานั้น ฝ่ายนั้นจะต้องตาย…แต่โดยพระคุณพระเจ้า พระเยซูได้ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว เพื่อคนผิดบาปอย่างเรา
ถูกเบียดเบียนเพื่อเพิ่มทวี [อพย.1:12]
ด้วยพระสัญญาของพระเจ้าที่ทรงให้ไว้กับอับราฮัมว่าจะให้มีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง มากดังดวงดาวบนท้องฟ้า และเม็ดทรายในท้องทะเล ชาวอิสราเอลในอียิปต์จึงทวีจำนวนมากยิ่งขึ้น จนฟาโรห์เองก็หวั่นๆ ถ้าอย่างนั้นก็เกณฑ์มาใช้แรงงานซะให้หนักหนำใจเลย…แต่อัศจรรย์ค่ะพี่น้อง เพราะยิ่งถูกเบียดเบียน ก็ยิ่งเพิ่มทวี [อพย 1:12 แต่ยิ่งถูกเบียดเบียนมากเท่าไร ชนชาติอิสราเอลก็ยิ่งทวีมากขึ้น และยิ่งแพร่หลายออกไป ชาวอียิปต์ก็ครั่นคร้ามต่อชนชาติอิสราเอล] บทเรียนนี้โดนใจฉันอย่างจัง เพราะบางครั้ง ฉันก็อยู่ใน Comfort Zone มากเกินไป จึงตั้งใจไว้ว่า แม้จะไม่มีใครมาเบียดเบียน ฉันก็จะเบียดเบียนตัวเองเพื่อพระคริสต์ กล่าวคือ ต้องตื่นเช้าขึ้น ดูรายการทีวีน้อยลง เพื่อใช้เวลากับพระเจ้า อธิษฐาน นมัสการ อ่านพระคัมภีร์ รวมถึง เข้มแข็งในการอดอาหารอธิษฐานมากขึ้น
ไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น [อพย.1:15-21]
ถ้าเราเชื่อฟังและยำเกรงพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ เราก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น เหมือนนางผดุงครรภ์ชาวฮีบรู 2 คน ที่ยำเกรงพระเจ้ามากกว่ากษัตริย์อียิปต์ ไม่ยอมฆ่าเด็กชายชาวฮีบรู พระเจ้าจึงทรงโปรดปรานนาง [อพย.1:17 แต่นางผดุงครรภ์ยำเกรงพระเจ้า จึงมิได้ทำตามพระบัญชาของกษัตริย์อียิปต์ ปล่อยให้บุตรชายรอดชีวิต…อพย.1:20 พระเจ้าจึงทรงโปรดปรานนางผดุงครรภ์นั้น ประชาชนยิ่งทวีมากขึ้น และมีกำลังเข้มแข็งมาก]
ลอยมันออกไป [อพย.2:1-10]
ชีวิตเราเป็นของพระเจ้า ทุกสิ่งในชีวิตของเรา เวลาของเรา ครอบครัวของเรา การงานของเรา ทรัพย์สินของเรา ก็ล้วนเป็นของพระเจ้า ถ้าเรามีของรักของหวง จงลอยสิ่งนั้นให้กับพระเจ้า แล้ววันหนึ่งสิ่งนั้นจะลอยกลับมายังเรา พร้อมเพิ่มทวี ดังคุณแม่ของโมเสส ที่แม้ว่าจะรักลูกมากเพียงไร แต่ก็ยอมที่จะลอยออกไป ฝากไว้กับพระเจ้า เมื่อโมเสสลอยไปพบธิดาฟาโรห์ คุณแม่ของโมเสสก็ยังกลายเป็นแม่นม ได้ลูกกลับมาสู่อ้อมอก ทั้งยังได้เงินค่าจ้างจากธิดาฟาโรห์ และโมเสสก็ได้รับการเลี้ยงดูแบบเจ้าชายอีกด้วย…เห็นไหมละว่า ผลเพิ่มทวีเพียงไร
อีกมุมหนึ่งในฐานะผู้เลี้ยง เราต้องเลี้ยงแกะของพระเจ้าด้วยความรักและเอาใจใส่ ไม่ใช่ปล่อยลอยแพออกไปส่งๆ โดยไม่มีจุดหมาย ให้เราเป็นเหมือนกับคุณแม่ของโมเสสที่ได้วางแผนลอยโมเสสออกไป ต้องอธิษฐาน ต้องจัดเตรียมสานตะกร้าอย่างดี ต้องกะเวลาที่ธิดาฟาโรห์จะมาสรงน้ำ ต้องคำนวณระยะทางและกระแสน้ำที่นำพาโมเสสไป ทั้งยังให้พี่สาวของโมเสสคอยดูเหตุการณ์อยู่ใกล้ๆ อีกด้วย [อพย 2:1-10 1ยังมีชายเผ่าเลวีคนหนึ่ง ได้หญิงสาวคนเลวีมาเป็นภรรยา 2หญิงนั้นตั้งครรภ์คลอดบุตรชาย เมื่อนางเห็นว่าบุตรน่ารัก จึงซ่อนไว้ถึงสามเดือน3ครั้นนางจะซ่อนต่อไปอีกไม่ได้แล้วก็เอาตะกร้าสานด้วยต้นกก ยาด้วยยางมะตอยและชัน เอาทารกใส่ลงในตะกร้า แล้วนำไปวางไว้ที่กอปรือริมแม่น้ำ 4ส่วนพี่สาวยืนอยู่แต่ไกลคอยดูว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นแก่น้อง 5เมื่อพระราชธิดาของฟาโรห์ลงไปสรงที่แม่น้ำ และพวกสาวใช้เดินเที่ยวไปตามริมฝั่ง พระนางทรงเห็นตะกร้าอยู่ระหว่างกอปรือ จึงทรงสั่งให้สาวใช้ไปนำมา 6เมื่อเปิดตะกร้านั้นออกก็เห็นทารกกำลังร้องไห้ พระนางทรงเมตตาทารกนั้น ตรัสว่า "นี่เป็นลูกชาวฮีบรู" 7พี่สาวทารกจึงทูลถามพระราชธิดาของฟาโรห์ว่า "จะให้หม่อมฉันไปหานางนมชาวฮีบรูมาเลี้ยงทารกนี้ให้พระนางไหม" 8พระราชธิดาของฟาโรห์จึงมีรับสั่งว่า "ไปหาเถิด"หญิงสาวนั้นจึงไปเรียกมารดาของทารกนั้นมา 9ฝ่ายพระราชธิดาของฟาโรห์ จึงตรัสสั่งหญิงนั้นว่า "รับเด็กนี้ไปเลี้ยงไว้ให้เราแล้วเราจะให้ค่าจ้าง" หญิงนั้นจึงรับทารกไปเลี้ยงไว้ 10เมื่อทารกเติบใหญ่ขึ้นแล้ว นางก็พามาถวายพระราชธิดาของฟาโรห์ พระนางก็รับไว้เป็นพระราชบุตรของพระนาง ประทานชื่อว่า โมเสส ตรัสว่า "เพราะเราได้ฉุดขึ้นมา {ชื่อ โมเสส คล้ายคำฮีบรูที่แปลว่า ฉุดขึ้นมา} จากน้ำ"]


ถ้ารับใช้พระเจ้าด้วยกำลังของเรา ก็จะถูกเผาผลาญ [อพย 3]
Wow! โมเสสเข้าเฝ้าพระเจ้า ใกล้ชิดเพียงนั้น โดยที่ไม่ตาย! [อพย.3:2-6 2ทูตของพระเจ้าก็ปรากฏแก่โมเสสท่ามกลางพุ่มไม้เป็นเปลวไฟ โมเสสมองดู เห็นพุ่มไม้นั้นมีไฟลุกโชนอยู่ แต่มิได้ไหม้โทรมไป 3โมเสสจึงว่า "ข้าจะแวะเข้าไปดู สิ่งแปลกประหลาดนี้ ว่าเหตุไฉนพุ่มไม้จึงไม่ไหม้" 4ครั้นพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขาเดินเข้ามาดู จึงตรัสออกมาจากพุ่มไม้นั้นว่า "โมเสส โมเสสเอ๋ย"โมเสสทูลตอบว่า "ข้าพระองค์อยู่ที่นี่" 5พระองค์จึงตรัสว่า "อย่าเข้ามาใกล้ที่นี่ ถอดรองเท้าของเจ้าออกเสีย เพราะว่าที่ซึ่งเจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์" 6แล้วพระองค์ตรัสอีกว่า "เราเป็นพระเจ้าของบิดาเจ้า เป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ" โมเสสปิดหน้าเสีย เพราะกลัวไม่กล้ามองดูพระเจ้า] โมเสสเติบโตมาด้วยการเรียนรู้วิทยายุทธแบบเจ้าชายอิยิปต์ เต็มไปด้วยกำลังและสติปัญญา ในขณะที่หนุ่มแน่นเขาพร้อมแล้วที่จะรับใช้พระเจ้า เป็น Somebody แต่พระองค์ทรงเห็นว่ายังไม่ถึงเวลา เวลาของพระองค์เป็นอีก 40 ปี ต่อมา ในเวลาที่เขาเป็นเพียงคนเลี้ยงฝูงแพะแกะ ในเวลาที่เขาเป็น Nobody พระองค์ทรงใช้เขาทำการณ์ใหญ่ โดยพระองค์เสด็จนำหน้า เราเองก็เช่นกัน หากรับใช้พระเจ้าด้วยกำลังของเรา ด้วยความคิด สติปัญญา และวิธีของเรา ก็จะถูกเพลิงเผาผลาญ ทำงานไม่เกิดผล พบเจอผู้คนก็ไม่เป็นพร…โอ พระเจ้า อย่าให้เราเป็นเช่นนั้นเลย
เข้าสุหนัต [อพย.4:24-26]
เมื่องานเข้า! เป็นรับสั่งจากเบื้องบน โมเสสก็ไม่สามารถแก้ตัวได้อีกต่อไป…เขาจึงพร้อมแล้วที่จะทำงานใหญ่นำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์ แต่ในระหว่างทางจากมิเดียนไปอียิปต์นั้น พระเจ้าจะทรงประหารชีวิตของท่านเสีย…เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะเขาบกพร่องในเรื่องเล็กๆ แต่เป็นเรื่องใหญ่ เพราะเป็นเรื่องของการไม่เชื่อฟัง ก็เขามิได้เข้าสุหนัตให้บุตรชายนะสิ แต่ขอบคุณพระเจ้าที่เขามีภรรยาที่เฉียบแหลม เธอไหวเหลือเกิน เธอจัดการเรียบร้อย [อพย.4:24-26 ณที่พักระหว่างทาง พระเจ้าเสด็จมาพบโมเสส และจะทรงประหารชีวิตของท่านเสีย 25นางศิปโปราห์จึงเอาหินคมตัดหนังที่ปลายองคชาตบุตรชายของตน แล้วเอาไปแตะเท้าของโมเสสกล่าวว่า "จริงนะ ท่านเป็นเจ้าบ่าวแห่งโลหิตแก่ฉัน"26พระเจ้าจึงทรงละท่านไป นางจึงกล่าวว่า "ท่านเป็นเจ้าบ่าวแห่งโลหิต" เนื่องจากพิธีเข้าสุหนัต] เราเองก็เช่นกัน ก่อนที่จะรับใช้พระเจ้า ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่ เราต้องระวังระไว อย่าได้ซ่อนบาปของตนไว้เด็ดขาด
ข้ามทะเลแดง [อยพ.14]
หลายครั้งที่ชีวิตเราก็โดนขนาบแทบจะกระดิกไม่ไหว แต่ขอจงอย่าท้อแท้สิ้นหวัง เพราะพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครก็ขวางเราไม่ได้ เหมือนชาวอิสราเอลที่ถูกขนาบ ข้างหน้าก็ทะเลแดง ข้างหลังก็กองทัพอียิปต์ ดูเหมือนว่าความตายรออยู่ข้างหน้า แต่พระเจ้าเท่านั้น ที่เป็นผู้สร้างและกำหนดชีวิตของเรา ขอเพียงเรานิ่งสงบ และรอคอยพระเจ้า (ด้วยการอธิษฐาน) พระองค์จะนำพาเราให้พ้นจากการไล่ล่าของศัตรูที่อยู่ด้านหลัง นำพาเราข้ามทะเลแดง กระโดดข้ามกำแพงอุปสรรคที่อยู่ข้างหน้า [อพย.14:13-14 13โมเสสจึงเตือนประชากรว่า "อย่ากลัวเลย มั่นคงไว้ คอยดูความรอดที่จะมาจากพระเจ้า ซึ่งพระองค์จะประทานให้แก่ท่านทั้งหลายในวันนี้ด้วยคนอียิปต์ ซึ่งท่านทั้งหลายเห็นในวันนี้ แต่นี้ไปจะไม่ได้เห็นอีกเลย 14พระเจ้าจะทรงรบแทนท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงสงบอยู่เถิด"]
น้ำขม [อพย.15:23]
อุตส่าห์หนีจากกองทัพอียิปต์และข้ามทะเลแดงมาได้ กลับต้องมาเจอน้ำขมซะนี่ (น้ำขมนะคะ บ่ใช่น้ำผึ้งขม ละครน้ำเน่าอ่ะ) แต่ขอบคุณพระเจ้า เหตุการณ์ที่ตำบลมาราห์สอนเราว่า ห้ามกระโจนเข้าไปหาสิ่งที่เราอยากได้ มิฉะนั้นมันจะขม ชีวิตจะพบแต่ความขม…อะไรก็ตามที่เป็นของเราแล้ว ไผก็สิแย่งบ่ได้ ฉะนั้น จงรอคอยพระเจ้าเสมอ [อพย.15:23 ครั้นมาถึงตำบลมาราห์ เขาก็กินน้ำที่ตำบลมาราห์ นั้นไม่ได้ เพราะน้ำขม เหตุฉะนั้นจึงตั้งชื่อว่ามาราห์ {แปลว่า ความขม}]
บัญญัติสิบประการ [อพย.20:1-17]
1. อย่ามีพระเจ้าอื่นใด
2. อย่าทำรูปเคารพสำหรับตน
3. อย่าออกพระนามพระเจ้าของเจ้าอย่างไม่สมควร
4. จงระลึกถึงวันสะบาโต
5. จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า
6. อย่าฆ่าคน
7. อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา
8. อย่าลักทรัพย์
9. อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน
10. อย่าโลภ
ขอพระเจ้าทรงโปรดให้เราเป็นคริสเตียนที่รักษาบัญญัติ 10 ประการ ไว้ให้มั่น
สูตรเด็ดจากอาจารย์นันทชัย
1. การไม่รู้จักพระเจ้า แปรผันผกผันกับ การไม่เชื่อฟังพระเจ้า หมายถึง เหตุที่เราไม่เชื่อฟังพระเจ้า เพราะเราไม่รู้จักพระองค์ ดังนั้น ผลลัพธ์ของคนที่รู้จักพระเจ้าคือ ผู้นั้นเชื่อฟังพระเจ้าอย่างหมดใจ
2. การทำงานหนัก แปรผันผกผันกับ การรู้จักพระเจ้า หมายถึง ยิ่งทำงานหนักมากเท่าไร ก็จะทำให้เรารู้จักพระเจ้าน้อยลงเท่านั้น ดังนั้น หากต้องการรู้จักพระเจ้ามากขึ้น ต้องทำงานหนักให้น้อยลง และใช้เวลากับพระองค์มากขึ้น
แฮะ แฮะ จดได้แค่นี้ค่ะ 
หากพี่น้องหลงรักพระธรรมอพยพ สามารถพบกับความตื่นเต้นเช่นนี้ได้ในชั้นเรียนรวีวารศึกษา ทุกวันอาทิตย์ เวลา 8.30 น. โดย ศจ.ธงชัยของเรา ณ คริตจักรนิมิตใหม่นะคะ (ช่วงนี้กำลังเรียนพระธรรมอพยพอยู่พอดีเลย)
ฝากพี่น้องอธิษฐานเผื่อ
อาจารย์นันทชัยนำภาพพันธกิจอีสาน ซึ่งอาจารย์ได้ริเริ่มเมื่อหลายปีก่อน ด้วยภาระใจที่จะนำความรอดและความรู้ไปสู่ชุมชน โดยฐานที่มั่นอยู่ที่บ้านโนน จังหวัดร้อยเอ็ด ปัจจุบันสอนหนังสือให้กับเด็กกว่า 200 คน และมีผู้มาร่วมนมัสการในวันอาทิตย์ประมาณ 50 คน ฝากพี่น้องอธิษฐานเผื่อสำหรับการรับใช้ของอาจารย์ สุขภาพ ครอบครัว การดูแลจากพระเจ้า การเขียนหนังสือ ตำรา วิชาการต่างๆ และขอพระเจ้าทรงประทานครูอาสาสมัครและทุนทรัพย์ในการขยายพันธกิจอีสาน ที่ซึ่งทุ่งนากำลังเหลืองอร่าม
น้องเพียว นิสิตหนุ่ม ปี 1 จากรั้วมหาวิทยาลัยรังสิต ได้มาขับร้องเพลงสากล ให้พวกเราฟัง 2 เพลง ไพเราะมากค่ะ ภรรยา ศบ.บอกว่าฟังแล้วน้ำตาไหล…มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงนำเด็กบ้านนอกจากบ้านโนนมาร้องเพลงสากลให้คนเมืองกรุงฟังได้ ปัจจุบันน้องเพียวเรียนด้านดนตรี Jass ด้วยทุนของสมเด็จพระพี่นางฯ โดยตั้งใจว่าเมื่อสำเร็จการศึกษา จะกลับไปรับใช้พระเจ้าด้วยการสอนหนังสือที่บ้านเกิด
น้องบุ๋ม นิสิตสาว ปี 4 เอกเปียโน จากรั้วจันทร์เกษม มาช่วยเปิดทำนองเพลงในขณะที่น้องเพียวขับร้อง บุ๋มไม่รู้ว่าพ่อแม่ของตนเป็นใคร รู้แต่ว่าผู้ที่อุปการะเธออยู่นั้นเป็นพ่อกับแม่ของเธอ เธอถูกเก็บมาจากกองขยะ หน้าคริสตจักร เธอเล่นเปียโนเก่งมาก และเป็นเด็กดี
ขอถวายเกียรติทั้งสิ้นแด่พระองค์ และขอพระเจ้าทรงโปรดอำนวยพรทุกท่าน

ธงชัยโบกสะบัด

ธงชัยโบกสะบัด
วันที่ 15/10/2009
ระยะนี้หากใครได้ชมรายการทีวีช่วงหกโมงเย็น ก็จะเห็นภาพการร้องเพลงชาติไทย เวียนไปตามจังหวัดต่างๆ ซึ่งให้ภาพของความสามัคคีที่เป็นพลังสร้างชาติของเรา ประชาชนทุกเพศ ทุกวัย ยิ้มเริงร่าร้องเพลงชาติไทย พร้อมทั้งโบกธงชาติไทยปลิวไสว เห็นแล้วอดนึกถึงองค์พระเจ้าของเราไม่ได้ องค์เยโฮวาห์ นิสสี (Jehovah Nissi) “พระเจ้าทรงเป็นธงชัยของเรา”
เราทุกคนปรารถนาจะเห็นบรรดาประชาชาติทั้งสิ้นสรรเสริญพระเจ้า เขาจะยกเสียงขึ้นนมัสการพระนามของพระองค์ ชูมือ ชูใจ ชูธง ถวายแด่พระเจ้า “พระเจ้าทรงเป็นธงชัยของเรา”
“พระเจ้าทรงเป็นธงชัยของเรา” ทรงเป็นอย่างที่ทรงเป็น ทั้งเมื่อวานนี้ เวลานี้ และในวันพรุ่งนี้ แต่ดูเหมือนว่าหลายครั้งฉันจะลืมความจริงนี้เสียสนิท ในยามที่งานรุมเร้า ยุ่งเหยิง สุขภาพแย่ หรือมีความทุกข์ยากใจประดังเข้ามาซ้อนๆ กัน โอ้ย! ปวดร้าวใจสิ้นดี… “เหตุไฉนเราลืมพระเจ้าบ่อย ใจเป็นทุกข์โดยไม่มีเหตุ เพราะการไหว้วอนเราได้ท้อถอย ไม่ได้ทูลผู้ทรงฤทธิ์เดช” บทเพลงสหายเลิศผุดเข้ามาในความคิด ใช่แล้ว บางครั้งฉันปล่อยให้การงานฝ่ายเนื้อหนังเข้ามาครอบงำ รู้ทั้งรู้ว่า Busy นั้น เป็นกลลวงของซาตาน และผู้ที่รักงาน รักเกียรติ รักความสำเร็จ ก็จะตกลงไปในกลลวงนั้น ฉันเองก็เคยเป็นเช่นนั้น เป็นผู้พ่ายแพ้
พระเยซูไม่เคยพ่ายแพ้ ทรงเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต “สูงยิ่งเหนือบรรดาเทพผู้ครอง เหนือศักดิเทพ เหนืออิทธิเทพ เหนือเทพอาณาจักร และเหนือนามทั้งปวงที่เขาเอ่ยขึ้น มิใช่ในยุคนี้เท่านั้น แต่ในยุคที่จะมาถึงด้วย” [อฟ.1:21] เหตุนี้เอง เมื่อเราถวายตัวถวายใจให้กับพระเยซูแล้ว เราก็มีส่วนในมรดกแห่งพระคริสต์เช่นกัน นั่นคือ เรามีส่วนในชัยชนะร่วมกับพระองค์
หากคุณไม่เคยท้อแท้หรือพ่ายแพ้เลย ก็ขอบคุณพระเจ้า หากคุณเคยท้อแท้หรือพ่ายแพ้ ก็ขอบคุณพระเจ้า ที่คุณผ่านพ้นมาได้ หากคุณกำลังท้อแท้หรือพ่ายแพ้อยู่ ก็ขอบคุณพระเจ้าเช่นเดียวกัน เพราะในยามท้อแท้ พ่ายแพ้ อ่อนแอ เราก็ยังคงมีพระองค์ที่เป็นลี้ภัย เป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่เสมอในยามยากลำบาก พระองค์ทรงยิ่งใหญ่เหนือศัตรูและปัญหาทั้งปวง ขอเพียงคุณยึดพระเจ้าไว้ให้มั่น ตั้งพระองค์ไว้ตรงหน้าเสมอ เข้าเฝ้าพระองค์ด้วยมือสะอาดและใจบริสุทธิ์ …เมื่อพระองค์เป็นผู้นำกองทัพแล้ว พระองค์ไม่เคยแพ้ คุณก็จะไม่แพ้เช่นเดียวกัน เหมือนดังโมเสสที่ชูมือของท่านต่อพระเจ้าจนตะวันตกดิน จนกระทั่งโยชูวาสามารถปราบอามาเลขได้ แล้วโมเสสจึงสร้างแท่นบูชาถวายพระองค์ [อพย.17:15 โมเสสจึงสร้างแท่นบูชาเรียกชื่อว่าเยโฮวาห์นิสสี {แปลว่า พระเยโฮวาห์ทรงเป็นธงของข้า}]
จงมุ่งมั่นก้าวไปในมรรคาของพระองค์ พึ่งพาพระองค์ในทุกฝีก้าว ยกชูพระองค์เหนือชีวิต โบกธงแห่งชัยชนะเพื่อสรรเสริญพระองค์ สร้างแท่นบูชาถวายพระองค์ ด้วยการนำคนทุกเผ่าพันธุ์ ทุกชาติทุกภาษาเข้ามาหาพระเจ้า เพื่อให้ธงชัยโบกสะบัดทั่วพื้นแผ่นดินโลก “พระเจ้าทรงเป็นธงชัยของเรา”

Whatever will be, will be

Whatever will be, will be
วันที่ 12/10/2009
Que Sera, Sera : : Whatever will be, will be . When I was just a little girl. I asked my mother What will I be?
Will I be pretty? Will I be rich? Here's what she said to me: เมื่อยังเด็กเล็กอยู่.......ตอนนั้นหนูถามแม่ว่า เมื่อโตขึ้นแม่จ๋า..... หนูจะโตเป็นอะไร จะมีหน้าตาสวย หรือร่ำรวยบ้างหรือไม่ คำตอบตราตรึงใจ แม่สอนให้ได้คำนึง
Que sera, sera. Whatever will be, will be. The future's not ours to see. Que sera, sera. What will be, will be.
"เคว เซรา เซรา"........สเปนว่าพูดได้ซึ้ง สิ่งไรจะเกิดจึง...ต้องเกิดแน่มิแปรผัน อนาคตนั้นเล่า...สุดที่เจ้าจะหยั่งมัน
เขาจึงเปรยเปรียบกัน...ว่า "เคว เซรา เซรา" ฯลฯ
บทเพลงกังวานใสจากเด็กไร้เดียงสาในโฆษณาทางทีวีชิ้นหนึ่ง สร้างความตราตรึงซาบซึ้งให้กับผู้คนจำนวนมาก ยิ่งชมภาพโฆษณาไปด้วยแล้ว ก็ให้จับใจยิ่งนัก
เมื่อครั้งยังเด็ก ฉันก็เฝ้าถามผู้ใหญ่เช่นกันว่า โตขึ้นหนูจะเป็นอะไรดี หนูจะทำอะไรดี คุณตาคุณยายก็ให้คำตอบว่า “อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด” อ้าว! ทำไมคุณตาคุณยายจึงตอบกวนๆ กำปั้นทุบดินแบบนี้ละคะ?
ด้วยเหตุที่เป็นเด็กกำพร้าพ่อ และไม่ได้อยู่กับแม่ ฉันจึงวาดหวังอนาคตที่สวยหรู ฝันจะได้อยู่พร้อมหน้ากันพ่อแม่ลูก เป็นครอบครัวที่อบอุ่น แต่ในสภาวะที่ขาดทั้งพ่อและแม่ ได้ทำให้ฉันกลายเป็นคนคิดมาก วิตกจริตทั้งเรื่องราวในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เห็นไหมว่ากังวลมากเป็นสามเท่าเลย เรื่องราวในอดีตที่ไม่ดี ฉันก็จดจำจนกลายเป็นความขมขื่น เรื่องราวปัจจุบัน ฉันก็พยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดด้วยกำลังของฉันเองจนเหนื่อยเกินไป เรื่องราวในอนาคต ฉันก็กลัวความไม่แน่นอน
ขอบพระคุณพระเจ้า ถึงแม้ว่าฉันจะขาดพ่อ แต่ฉันก็ไม่ขาดรัก ด้วยว่าได้รับความรักจากญาติพี่น้องและครูบาอาจารย์เพื่อนฝูงอย่างถ้วนหน้า ยิ่งเมื่อได้รู้จักองค์พระบิดา ความรักที่เคยใฝ่ฝันหาก็ได้รับการเติมเต็มจนล้นปรี่ พระเจ้าทรงเป็นผู้จัดเตรียมให้กับลูกกำพร้าและหญิงม่าย ฉันจึงไม่ขัดสนอะไร และพระองค์นี่เองที่ทรงสอนฉันให้มองชีวิตด้วยมุมมองใหม่ [มธ.6:34 "เหตุฉะนั้น อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว]
“ปัญญาจารย์กล่าวว่า อนิจจัง อนิจจัง อนิจจัง อนิจจัง สารพัดอนิจจัง” [ปญจ.1:2] ทุกอย่างแปรเปลี่ยนผัน ไม่มีอะไรแน่นอน แต่ขอบพระคุณพระเจ้า เพราะเรารู้แน่ว่าเราจะเป็นอะไร เราจะอยู่ที่ไหน เมื่อสุดปลายทางชีวิต แต่ก็มิใช่ว่าขณะที่มีชีวิตอยู่นั้น เราจะอยู่ไปวันๆ โดยไม่ทำอะไรเลย เรายังคงต้องทำในส่วนของเรา คือ มีชีวิตด้วยการพึ่งพาพระเจ้าในทุกทาง ปรารถนาพระองค์แบบใจจะขาด รักพระองค์จนหมดหัวใจ ปิติยินดีในพระองค์และทุกสิ่งที่เป็นของพระองค์
“จงปีติยินดีในพระเจ้า และพระองค์จะประทานตามใจปรารถนาของท่าน” [สดด.37:4]

พบอาจารย์ไมค์

พบอาจารย์ไมค์
วันที่ 8/10/2009
เมื่อวันที่ 6/8/2009 คริสตจักรนิมิตใหม่ได้เชิญ อาจารย์ไมค์ เรเยส ผู้รับใช้หนุ่มชาวฟิลิปปินส์มาแบ่งปันและอธิษฐานเผื่อทุกคน อาจารย์ไมค์ฝ่ารถติดกลางกรุงมาถึงนิมิตใหม่ด้วยความกระตือรือล้น และความกระตือรือล้นของอาจารย์ไมค์ก็ไม่เคยตก ยังคงอยู่ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบรายการ อาจารย์ไมค์ได้รับการเจิมและฤทธิ์เดชจากพระเจ้าอย่างมาก
อาจารย์ไมค์รู้จักพระเจ้ามาตั้งแต่เด็ก โดยพระคำที่ทำให้อาจารย์ไมค์รักการอธิษฐานคือ 1 ยน.5:14 “และนี่คือความมั่นใจที่เรามีต่อพระองค์ คือถ้าเราทูลขอสิ่งใดที่เป็นพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงโปรดฟังเรา”
จากนั้น พระธรรม อฟ.1:17-19 ก็ช่วยให้อาจารย์ไมค์เติบโตในฝ่ายวิญญาณมากขึ้น ”ข้าพเจ้าอธิษฐานว่า ขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา คือพระบิดาผู้ทรงพระสิริทรงโปรดประทานให้ท่านทั้งหลาย มีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา และความประจักษ์แจ้งในเรื่องความรู้ถึงพระองค์ และขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อท่านจะได้รู้ว่า ในการที่พระองค์ทรงเรียกท่านนั้น พระองค์ได้ประทานความหวังอะไรแก่ท่าน และรู้ว่า มรดกของพระองค์สำหรับธรรมิกชนมีสง่าราศีอันอุดมบริบูรณ์เพียงไร และรู้ว่า ฤทธานุภาพอันใหญ่ของพระองค์มีมากยิ่งเพียงไร สำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อ ตามอำนาจของพระกำลัง และฤทธานุภาพอันใหญ่ยิ่งของพระองค์”
อาจารย์ไมค์รักที่จะเป็นพยาน และตระหนักว่าหัวใจแห่งการเป็นพยาน คือ “การได้ใช้เวลากับพระเจ้า” ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้ในฝ่ายโลก ดังเช่นที่หลายคนทึ่งในตัวของเปโตรกับยอห์น กจ.4:13 “เมื่อเขาเห็นความกล้าหาญของเปโตรกับยอห์น และรู้ว่าท่านทั้งสองขาดการศึกษาและเป็นคนสามัญ ก็ประหลาดใจ แล้วสำนึกว่าคนทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู”
เมื่อรู้เคล็ดลับดังนี้แล้ว อาจารย์ไมค์ก็ทุ่มเทใจใช้เวลากับพระเจ้ามากขึ้น และร้องทูลต่อพระองค์ด้วย อฟ.3:16-19 “ขอให้พระองค์ทรงโปรดประทานกำลังเรี่ยวแรงมากฝ่ายจิตใจแก่ท่าน โดยเดชพระวิญญาณของพระองค์ตามความไพบูลย์แห่งพระสิริของพระองค์ เพื่อพระคริสต์จะทรงสถิตในใจของท่านทางความเชื่อ เพื่อว่าเมื่อท่านได้วางรากลงมั่นคงในความรักแล้ว ท่านก็จะได้มีความสามารถหยั่งรู้พร้อมกับธรรมิกชนทั้งหมด ถึงความกว้าง ความยาว ความสูง ความลึก คือให้ซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์ซึ่งเกินความรู้ เพื่อท่านจะได้รับความไพบูลย์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม”
ประสิทธิภาพของเรานั้น ขึ้นอยู่กับเวลาที่เราอยู่กับพระเยซู ยิ่งเราหิวกระหายพระเจ้ามากเท่าไร พระองค์ก็จะทรงเทฤทธิ์เดชมากเท่านั้น และจยิ่งกว่านั้น ขอให้เราเป็นเช่นใน 1 คร.2:2 “เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่แสดงความรู้เรื่องใดๆในหมู่พวกท่านเลย เว้นแต่เรื่องพระเยซูคริสต์และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน”
ความกล้าหาญก็มาจากการใช้เวลากับพระเยซูเช่นกัน เมื่ออธิษฐานด้วยความกล้าหาญ โซ่ตรวนจะหลุดจากเรา กจ.4:31 “เมื่อเขาอธิษฐานแล้ว ที่ซึ่งเขาประชุมอยู่นั้นได้หวั่นไหว และคนเหล่านั้นประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้กล่าวพระวจนะของพระเจ้าด้วยใจกล้าหาญ”
หากเมื่อเราอยู่ท่ามกลางศัตรูฝ่ายวิญญาณ อาทิ ดงไสยศาสตร์หรือพ่อมดหมอผี ก็จงสรรเสริญพระเจ้า
เราต้องอธิษฐานด้วยความเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงตอบ สิ่งที่พระองค์ตรัสไว้แล้วจะไม่คืนกลับไป ดุจดังฝนที่ไหลหล่นมา ก็จะรดแผ่นดินโลก มิใช่กลับคืนสู่ฟ้า อสย.55:10 "เพราะฝนและหิมะลงมาจากฟ้าสวรรค์ และไม่กลับที่นั่นเว้นแต่รดแผ่นดินโลก กระทำให้มันบังเกิดผลและแตกหน่อ อำนวยเมล็ดแก่ผู้หว่านและอาหารแก่ผู้กินฉันใด”
เราต้องวางใจว่าคำอธิษฐานที่ออกจากปากของเรานั้น เมื่อกล่าวออกไปแล้วจะไม่ไร้ผลเช่นกัน ยรม.1:12 “แล้วพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า เจ้าเห็นถูกต้องดีแล้ว เพราะเราเฝ้าดูถ้อยคำของเรา เพื่อให้กระทำสำเร็จ" แม้ว่าพระเจ้าจะตรัสสิ่งเหล่านี้ไว้นานแล้ว แต่เราสามารถมั่นใจได้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นจริง เพราะพระเยซูทรงเหมือนเดิม ฮบ.13:8 “พระเยซูคริสต์ยังทรงเหมือนเดิมในเวลาวานนี้ และเวลาวันนี้ และต่อๆ ไปเป็นนิจกาล”
การอัศจรรย์เกิดขึ้นได้โดยความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ มก.16:17-18 “มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะบังเกิดขึ้นที่นั้น คือเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา เขาจะพูดภาษาแปลกๆ เขาจะจับงูได้ ถ้าเขากินยาพิษอย่างใด จะไม่เป็นอันตรายแก่เขา และเขาจะวางมือบนคนไข้คนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค" ดังนั้น จงดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ 2 คร.5:7 “เพราะเราดำเนินโดยความเชื่อ มิใช่ตามที่ตามองเห็น”
พระเจ้าทรงอยู่กับเรา จงอย่ากังวลหรือทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆ ฟป.4:6-7 “อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์” พระเจ้าทรงตรัสกับเราเช่นนี้ และจะทรงกระทำให้สำเร็จตามพระวจนะของพระองค์ ฮบ. 4:12 “เพราะว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆแทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย”
พระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างกัลปจักรวาล ฮบ.11:3 “โดยความเชื่อนี้เอง เราจึงเข้าใจว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างกัลปจักรวาล ด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น” ความเชื่อเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น แต่จงยึดไว้ให้มั่น เพราะพระองค์ทรงสัตย์ซื่อ ฮบ.10:23 “ขอให้เรายึดมั่นในความหวังที่เราทั้งหลายเชื่อและรับไว้นั้น โดยไม่หวั่นไหว เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงประทานพระสัญญานั้นทรงสัตย์ซื่อ”
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือ “ความถ่อมใจ” จงถ่อมใจลงกับพระเจ้า
อย่าให้ความบาปชนะเราได้ เราอยู่ใต้พระคุณ เมื่อเราอ่อนแอ ให้เราทูลขอพระคุณจากพระเจ้า รม.6:14 “เพราะว่าบาปจะครอบงำท่านทั้งหลายต่อไปก็หามิได้ เพราะว่าท่านทั้งหลายมิได้อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ”
เราต้องการพระองค์ เราต้องการพระคุณของพระองค์ จงกล่าวถ้อยคำของพระเจ้า จงพูดพระสัญญาของพระองค์ เมื่อเราอธิษฐานตามถ้อยคำและพระสัญญาของพระองค์ แสดงว่าเราเห็นด้วยกับพระองค์ แล้วพระองค์ผู้ทรงสัตย์ซื่อในถ้อยคำของพระองค์ จะทรงกระทำให้สำเร็จ
อาจารย์ไมค์เต็มล้นไปด้วยไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทุกคำพยานนั้นแตะต้องใจ เกิดการกลับใจ ฟื้นใจ และหนุนใจ พระคำพรั่งพรูออกจากปากของอาจารย์ไมค์อย่างมากมายจนจดไม่ทัน (บางครั้งก็ฟังไม่ทันด้วยแหละ) ดังนั้น จึงนำมาแบ่งปันได้เพียงเท่านี้ค่ะ
ขอพระเจ้าทรงโปรดอวยพรและเจิมอาจารย์ไมค์มากยิ่งขึ้น และยิ่งขึ้น ขอน้ำพระทัยของพระองค์จะสำเร็จอย่างมโหฬารในชีวิตของอาจารย์ไมค์ เพื่อถวายเกียรติทั้งสิ้นแด่พระองค์

หินเหล็กไฟ

หินเหล็กไฟ
วันที่ 8/10/2009
“สาธุการแด่พระเจ้า พระบิดาแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา พระบิดาผู้ทรงความเมตตา พระเจ้าแห่งความชูใจทุกอย่าง” [2คร.1:3]
ระยะนี้พระเจ้าทรงให้ฉันรับใช้พระองค์ด้วยการมีส่วนรับทราบเรื่องราวการทนทุกข์ และความในใจของพี่น้องบางท่าน ในขณะเดียวกัน พระองค์ก็ทรงสอนและหนุนใจฉันผ่านชีวิตของพี่น้องเหล่านั้นด้วยเช่นกัน
แน่นอนว่าในโลกนี้เราจะประสบความทุกข์ยาก แต่พระคริสต์ทรงตรัสว่า “จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว”[ยน.16:33 เราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว] ซึ่งฉันก็ได้เห็นว่าพระสัญญาของพระองค์นั้นเป็นจริงทุกประการ เมื่อพี่น้องผู้ทุกข์ยากทนได้จนถึงที่สุดแล้ว ผู้นั้นก็ได้รับรางวัล [มธ.24:13 แต่ผู้ใดทนได้จนถึงที่สุดผู้นั้นจะรอด]
“อด” หมายถึง ไม่ได้ในสิ่งที่อยากได้ “ทน” หมายถึง ได้ในสิ่งที่ไม่อยากได้…แต่เราต้องทั้งอดและทน คือ “อดทน”
ทว่า ในความอดทนของเรานั้น เรามีองค์พระเจ้าทรงนำหน้าเราอยู่ [อสย.50:7 เพราะว่าพระเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้า เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ขายหน้า เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงตั้งหน้าของข้าพเจ้าอย่างหินเหล็กไฟ และข้าพเจ้าทราบว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้อาย] “พระเจ้าตั้งหน้าของข้าพเจ้าอย่างหินเหล็กไฟ” หมายถึง พระเจ้าทรงประทานฤทธิ์กำลังให้กับเราในความทรหดอดทนจนถึงที่สุด และไม่มีใครมาสู้ได้ พระเจ้าทรงเป็นผู้หล่อหลอมเราให้แข็งแกร่งด้วยใจชื่นชมยินดี เพื่อกำชัยชนะเหนือศัตรูและปัญหาทั้งมวล [อสค.3:9 เราได้กระทำให้หน้าผากของเจ้าแข็งขันอย่างเพชรที่แข็งกว่าหินเหล็กไฟ อย่ากลัวเขาเลย อย่าท้อถอยเมื่อเห็นหน้าเขา เพราะเขาเป็นพงศ์พันธุ์ที่มักกบฏ]
เป็นดัง “หินเหล็กไฟ” หมายถึง อ่อนโยนและถ่อมใจต่อพระพักตร์พระเจ้า เข้มแข็งและกล้าหาญต่อหน้าศัตรู/ปัญหา โดยในทุกปัญหาและความทุกข์ยากของเรานั้น พระเจ้าแห่งความชูใจทรงอยู่กับเราเสมอ ความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นกับเรานั้น จึงหาได้เปล่าประโยชน์ไม่
[2คร.1:4-7 พระองค์ผู้ทรงชูใจเราในการทุกข์ยากทั้งสิ้นของเรา เพื่อเราจะสามารถชูใจคนเหล่านั้น ที่มีความทุกข์ยากอย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วยความชูใจ ซึ่งตัวเราเองได้รับจากพระเจ้า เพราะว่าเรามีส่วนทนทุกข์กับพระคริสต์มากฉันใด ความชูใจของเราเนื่องจากพระคริสต์ก็มากฉันนั้น ที่เราทนความทุกข์ยากนั้น ก็เพื่อให้ท่านได้ความชูใจและความรอด และที่เราได้รับความชูใจ ก็เพื่อให้ท่านได้รับความชูใจด้วย ซึ่งท่านจะได้รับเมื่อเพียรสู้ทนความทุกข์เหมือนอย่างเราได้ทนนั้น เราจึงมีความหวังแน่นอนในท่านทั้งหลาย เพราะเรารู้ว่า ท่านทั้งหลายได้มีส่วนในความทุกข์ยากของเราฉันใด ท่านทั้งหลายจะได้มีส่วนในความชูใจของเราฉันนั้น]
สรรเสริญพระเจ้า! เป็นพระคุณอันใหญ่หลวงยิ่ง พระองค์ทรงรักเรามากมายเหลือเกิน ยามใดที่เราทุกข์ยาก เราก็เป็นดังหินเหล็กไฟ ที่ยังคงยึดพระองค์ไว้มั่น ยิ่งทุกข์ยาก เราก็ยิ่งเทใจแสวงหาพระองค์มากยิ่งขึ้น ยิ่งขัดสน เราก็ยิ่งหิวกระหายหาพระองค์มากยิ่งขึ้น และเช่นนี้แหละ ที่พระองค์จะเทพระพรอันมากล้นลงมายังชีวิตของเรา มากยิ่งกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้ ความทุกข์ยากนั้นก็มีอยู่เพียงครู่หนึ่ง แต่ความโปรดปรานจะมีมากมายตลอดวันเวลาชั่วชีวิตของเรา …โอ! ไม่อาจพรรณนาได้
[สดด.90:15 ขอทรงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายยินดีให้มากวัน เท่ากับที่พระองค์ได้ทรงให้ข้าพระองค์ทุกข์ยากนั้น และให้มากปีเท่ากับที่ข้าพระองค์ได้ประสบการร้าย]
สรรเสริญ ขอบพระคุณ องค์พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์

ที่หมายแห่งชัยชนะ

ที่หมายแห่งชัยชนะ
วันที่ 7/10/2009
ฉักฉึกฉัก เสียงดังจากเครื่องจักรรถไฟ วิ่งตรงมาโดยเร็วไว เสียงรถไฟมันดังฉึกฉัก…ปู๊น ปู๊น
ข่าวรถไฟขบวนด่วนตรัง-กรุงเทพฯ ตกรางที่สถานีเขาเต่า ต.หนองแก อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา นำมาซึ่งการเสียชีวิตจำนวนหนึ่ง การบาดเจ็บจำนวนมาก ซึ่งประเมินค่ามิได้ ทั้งยังสูญเสียเวลา เสียขวัญกำลังใจ เสียทรัพย์สิน เสียชื่อเสียง และเสีย เสีย เสีย อีกหลายสิ่งหลายอย่าง โดยเรื่องนี้มีส่วนที่เกี่ยวข้อง 4 ส่วนคือ ขบวนรถไฟ, ระบบราง, ระบบไฟสัญญาณจราจร และบุคลากร ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลในเบื้องต้นได้รับการยืนยันว่าใน 3 ส่วนแรกไม่มีปัญหา เพราะรถไฟขบวนดังกล่าวเป็นรถใหม่ ขณะที่ระบบรางและระบบสัญญาณไฟจราจรบริเวณที่เกิดเหตุก็ได้มาตรฐาน จึงเหลือแต่เรื่องบุคคลที่ต้องรอผลการตรวจสอบต่อไป
หลายคนเล็งไปที่ความผิดพลาดของคนขับ ซึ่งก็คือผู้ที่กุมพวงมาลัย กุมชีวิตของผู้คนจำนวนมากไว้ ในรถไฟขบวนเดียวกันมีผู้คนมากมายหลากหลายวัย ฐานะ อาชีพ ผิวพรรณ ประสบการณ์ และความนึกคิด หากคนขับมีความพร้อม รถไฟก็คงไม่ตกราง
เหตุการณ์ข้างต้นทำให้ฉันนึกถึงแม่ทัพในทีมอธิษฐาน 24 หน่วยขึ้นมา หากจะเปรียบไปแล้วก็เสมือนว่าแม่ทัพนั้นเป็นคนขับรถไฟ (แป่ว) อ่ะ อ่ะ แต่ภารกิจนี้ยิ่งใหญ่ เนื่องด้วยต้องนำทัพ นำคนจำนวนมากไปสู่จุดหมายที่ตั้งหวังไว้ โดยจุดหมายของคริสตจักรคือความไพบูลย์ในพระคริสต์ ซึ่งคริสตจักรนิมิตใหม่มีพระเจ้าเดียวเป็นผู้สูงสุดเหนือคริสตจักร มีอาจารย์สุวรรณี ชวนศิริกุล และอาจารย์อีกหลายท่านเป็นที่ปรึกษาในกองทัพอธิษฐาน มีศิษยาภิบาลเป็นแม่ทัพใหญ่ มีแม่ทัพอีก 4 คน เป็นผู้นำในการรบ คือ พี่อ้อย พี่ครูแมม พี่ตุ้ม และมีตุ๊กตา ทั้งยังมีกองหนุน กองหน้า กองหลัง ทั้งในและนอกทีมอธิษฐาน 24 หน่วย
ด้วยเหตุที่แม่ทัพมีความสำคัญ จึงจำเป็นอย่างมากที่แม่ทัพนั้นจะต้องใช้เวลากับพระเจ้ามากเป็นพิเศษ เพื่อเสริมกำลังและความแข็งแกร่งให้กับตนเอง และเพื่อให้เกิดฤทธิ์เดชเมื่อบัญชาการรบหรือออกรบ
เมื่อคนขับรถไฟมีความพร้อมเต็มที่ ก็จะสามารถนำผู้โดยสารจำนวนมาก ผ่านเส้นทางคดเคี้ยว ผ่านภูเขาหลายลูก ผ่านป่าดงน้อยใหญ่ ผ่านผืนน้ำ ผ่านภูมิอากาศต่างๆ ผ่านเหตุการณ์และผู้คนมากมาย ไปถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัย ดุจดังแม่ทัพในหน่วยรบที่มีความพร้อม ก็จะสามารถนำพาสมาชิกซึ่งต้องเผชิญกับสงครามอยู่ในถิ่นทุรกันดารไปถึงที่หมาย คือดินแดนแห่งพันธสัญญาได้อย่างมีชัยเช่นเดียวกัน
ขอบพระคุณพระเจ้าที่คริสตจักรนิมิตใหม่มีแม่ทัพที่กล้าหาญ เป็นนักรบที่มีการเจิมและฤทธิ์เดชจากพระเจ้า ไม่กลัวการสงคราม เนื่องด้วยพระเจ้าตรัสไว้ [2พศด.20:15 … พระเจ้าตรัสดังนี้แก่ท่านทั้งหลายว่า "อย่ากลัวเลย และอย่าท้อถอยด้วยคนหมู่มหึมานี้เลย เพราะว่าการสงครามนั้นไม่ใช่ของท่าน แต่เป็นของพระเจ้า]
ขอบพระคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงฝึกมือของเราให้ทำสงคราม [สดด.18:34 พระองค์ทรงฝึกมือของข้าพเจ้าให้ทำสงคราม ดังนั้นแขนของข้าพเจ้าสามารถโก่งคันธนูทองสัมฤทธิ์ได้]
วันนี้จึงขอหนุนใจพี่น้องทั้งหลายให้ดำเนินชีวิตด้วยการระวังระไวรอบด้าน เพราะเราอยู่ในสนามรบฝ่ายวิญญาณ เราต้องรู้กลอุบายของมัน “จงน้อมใจยอมฟังพระเจ้า จงต่อสู้กับมาร และมันจะหนีท่านไป” [ยก.4:7] และขอหนุนใจพี่น้องมิให้ท้อถอยในการอธิษฐานเผื่อกันและกัน เผื่อผู้นำทุกระดับในคริสตจักรของเรา รวมถึงคริสตจักรอื่นๆ ด้วย เพราะทุกคริสตจักรเป็นพระกายของพระคริสต์ ไม่มีการแบ่งชาติ ภาษา เผ่าพันธุ์ คณะ นิกาย เพราะเรา “มีกายเดียวและมีพระวิญญาณองค์เดียว เหมือนมีความหวังใจอันเดียวที่เนื่องในการที่ทรงเรียกท่าน มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อเดียว บัพติศมาเดียว พระเจ้าองค์เดียวผู้เป็นพระบิดาของคนทั้งปวง ผู้ทรงอยู่เหนือคนทั้งปวง และทั่วคนทั้งปวง และในคนทั้งปวง” [อฟ.4:4-6]
ขอถวายเกียรติแด่พระเจ้าของเรา…ฮาเลลูยา!

แรงดลใจ

แรงดลใจ
วันที่ 02/10/2009
เมื่อวันที่ 26/9/2009 ที่ผ่านมา คริสตจักรนิมิตใหม่ได้รับเกียรติจากอาจารย์นิกร สิทธิจริยาภรณ์ มาบรรยายในหัวข้อเกี่ยวกับการประกาศ ซึ่งตลอดการสอนของอาจารย์นิกรนั้น เต็มล้นไปด้วยพระพร สีสัน และความร่าเริงยินดี ถ้าวันนั้นใครไม่ได้หัวเราะ ก็เห็นทีต้องไปผ่าตัดต่อมอารมณ์ขันซะแล้ว (คิก คิก)
เมื่อมองดูแววตาทุกคนช่างสุขล้นระคนสุขสันต์ สีหน้าและแววตาของหลายๆ คน บ่งบอกถึงความกระตือรือร้น อย่างเห็นได้ชัด แสดงว่าเขาได้สัมผัสและเข้าใจถึงคำว่า “การประกาศ”ได้ลึกซึ้งมากกว่าเดิม เขาได้รับแรงดลใจที่ใหม่สด
เรารู้ไหมว่าแรงดลใจเป็นอย่างไร มาจากไหน เกิดได้อย่างไร มีวันหมดไปไหม หมดแล้วจะหาใหม่ที่ใด ขอจากคนอื่นได้ไหม.... แรงดลใจคือพลังอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นจากภายใน ซึ่งผลักดันให้เราทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำหรือไม่เคยคิดจะทำเลยในชีวิตนี้ได้ พวกเราทุกคนหรือฉันเองก็สามารถมีแรงดลใจได้ สำคัญที่เราต้องเลือกแหล่งของแรงดลใจอย่างถูกต้อง นั่นก็คือ แรงดลใจซึ่งมาจากองค์พระเจ้า เราจะไม่เหมือนยูดาสที่มีแหล่งของแรงดลใจมาจากมาร [คส.1:29 เพื่อเหตุนี้เองข้าพเจ้าจึงตรากตรำทำงานด้วยความอุตสาหะ เข้มแข็งด้วยพลังที่พระองค์ทรงดลใจข้าพเจ้าอยู่]
พระเจ้าทรงเป็นแรงดลใจของเรา ด้วยความรักและสำนึกในพระคุณพระเจ้า เราจึงถวายตัวรับใช้พระเจ้าด้วยการประกาศข่าวประเสริฐ ซึ่งการประกาศนั้นจำเป็นต้องฝึกฝน อาจารย์นิกรให้ข้อคิดว่าการฝึกเพื่อการประกาศนั้นมี 2 ด้านด้วยกัน คือ
1. ภายใน ต้องดำเนินชีวิตให้สมกับข่าวประเสริฐของพระคริสต์ ต้องมีการคืนดีทั้ง 5 ด้าน คือ คืนดีกับพระเจ้า คืนดีกับตนเอง คืนดีกับผู้อื่น ช่วยผู้อื่นให้คืนดีกัน ช่วยผู้อื่นให้คืนดีกับพระเจ้า ทั้งยังต้องมีความสัตย์ซื่อ ดุจดังทาสที่ดีงามและฉลาด
2. ภายนอก ต้องฝึกตนเองเพื่องานของพระเจ้า เตรียมตัวให้พร้อมที่จะประกาศกับคนได้ทุกประเภท
“เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้ามิใช่เรื่องของคำพูด แต่เป็นเรื่องฤทธิ์เดช” [1คร.4:20] ดังนั้น การประกาศข่าวประเสริฐที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช ต้องมั่นใจว่าพระเจ้าทรงอยู่ด้วย รักษาความบริสุทธิ์ และพึ่งพาพระวจนะของพระเจ้า [ยน.17:17 ขอทรงโปรดชำระเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง]
นักประกาศจำเป็นต้องเรียนรู้ด้านศาสนศาสตร์ด้วย โดยวิชาที่จะต้องเรียนมี ดังนี้
1. หลักศาสนศาสตร์
2. เหตุผลหลักข้อเชื่อ
3. ศาสนาเปรียบเทียบ
4. ปรัชญาคริสเตียน
5. หลักและวิธีการประกาศ
พระเจ้าทรงต้องการให้เราก้าวออกไปด้วยฤทธิ์เดชในการเจิมใหม่และพิเศษ ซึ่งนั่นจะเกิดขึ้นก็โดยการอธิษฐานและอดอาหารด้วย เมื่อเราจะประกาศ เราต้องขอพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนาให้ทรงถ่ายทอดวิญญาณแห่งการประกาศแก่เรา และพูดกับพระเจ้าเรื่องคน ก่อนที่จะพูดกับคนเรื่องพระเจ้า อธิษฐานขอให้เรามีคำพูดและเกิดใจกล้าในการประกาศ [อฟ.6:19 และอธิษฐานเพื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อจะทรงประทานให้ข้าพเจ้ามีคำพูดและเกิดใจกล้า ประกาศและสำแดงข้อลับลึกแห่งข่าวประเสริฐได้] อ้อนวอนพระองค์ให้ส่งคนงานมาร่วมกันเก็บเกี่ยว [ลก.10:2 พระองค์ตรัสกับเขาว่า "ข้าวที่ต้องเกี่ยวนั้นมีมากแต่คนงานยังน้อยอยู่ เหตุฉะนั้นพวกท่านจงอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนา ให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวพืชผลของพระองค์] เราต้องสวมยุทธภัณฑ์ ยึดพระวจนะของพระองค์ไว้ให้มั่น พระเจ้าทรงเฝ้าอยู่เหนือพระวจนะของพระองค์ และทรงรอที่จะตอบเราอย่างสัตย์ซื่อ
ขอถวายเกียรติทั้งสิ้นแด่พระองค์ พระเจ้าเดียวของเรา!

เหตุใดจึงร้องไห้

เหตุใดจึงร้องไห้
วันที่ 1/10/2009
ผลสำรวจเผย ผู้หญิงใช้เวลาร้องไห้ในชีวิต 1 ปีกับ4 เดือน…ผลสำรวจโดย WWW.TheBabyWebsite.com กระทำต่อกลุ่มตัวอย่าง 3 พันคน ระบุว่า ผู้หญิงจะใช้เวลาในชีวิตร้องไห้เฉลี่ยราว 1 ปี กับ 4 เดือน เริ่มตั้งแต่ช่วงเป็นเด็กอายุ 1-3 ขวบ เด็กผู้หญิงจะใช้เวลาร้องไห้ 2 ชม.และ 5 นาทีต่อวัน เพราะล้ม เหนื่อย และถูกออกคำสั่ง ส่วนช่วงวัยรุ่น เด็กสาวจะใช้เวลาร้องไห้ราว 2 ชม.และ 13 นาทีต่อสัปดาห์ สาเหตุจากการเปลี่ยนทางฮอร์โมนเพศ เถียงกับเพื่อน ๆ อกหัก และถูกกักบริเวณ ส่วนในช่วงอายุ 19-25 ปี พวกเธอจะเสียน้ำตาให้แก่หนังเศร้าซึ้ง ความไม่แน่ใจในความสัมพันธ์ระยะยาวกับคนรัก และการสูญเสียคนรัก และเมื่ออายุ 25 ปี สาเหตุใหญ่ที่จะทำให้ผู้หญิงเสียน้ำตาคือเรื่องระเบิดอารมณ์ ซึ่งรวมทั้งถูกคู่รักทิ้ง ได้ยินเรื่องร้ายของคนอื่น และรู้สึกเหนื่อยล้า โดยทั้งหมดนี้เท่ากับว่า ผู้หญิงจะใช้เวลาร้องไห้ในชีวิตเฉลี่ย 12,000 ชม. (ข้อมูลจากประชาชาติธุรกิจออนไลน์ วันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 17:22:06 น)
ข้อมูลข้างต้นนั้นมิได้หมายถึงผู้หญิงทุกคน แต่ก็ให้ภาพบางประการที่น่าสนใจ แต่เพื่อให้ข้อมูลที่เข้มข้นมากขึ้นน่าจะมีการสำรวจด้วยว่าผู้ชายใช้เวลาร้องไห้ในชีวิตมากเพียงใด แต่ที่แน่ๆ ใครละว่าผู้ชายร้องไห้ไม่เป็น เพราะแม้แต่กษัตริย์ดาวิด มหาบุรุษผู้เข้มแข็ง ก็ยังร้องไห้ด้วยความทุกข์หลายครั้ง [สดด.6:6 ข้าพระองค์อ่อนเปลี้ยด้วยการคร่ำครวญ และหลั่งน้ำตาท่วมที่นอนทุกคืน ที่เอนกายก็ชุ่มโชกไปด้วยการร้องไห้] ฮือ ฮือ น่าสงสารดาวิดยิ่งนัก…เพียงแค่อ่านพระคัมภีร์ก็ทำให้หลายคนร้องไห้ได้แล้ว
พระเยซูเองก็ทรงกันแสงเนื่องด้วยสงสารกรุงเยรูซาเล็ม [ลก.19:41 ครั้นพระองค์เสด็จมาใกล้เห็นกรุงแล้ว ก็กันแสงสงสารกรุงนั้น] พระเยซูทรงกันแสงด้วยความสะเทือนพระทัยและทรงเป็นทุกข์เนื่องด้วยการจากไปของลาซารัส [ยน.11:32-36 ครั้นมารีย์มาถึงที่ซึ่งพระเยซูประทับอยู่และเห็นพระองค์แล้ว จึงกราบลงที่พระบาทของพระองค์ทูลว่า "พระองค์เจ้าข้า ถ้าพระองค์ประทับอยู่ที่นี่ น้องชายของข้าพระองค์ก็คงไม่ตาย" เมื่อพระเยซูทรงเห็นเธอร้องไห้ และพวกยิวที่มากับเธอก็ร้องไห้ด้วย พระองค์ก็ทรงสะเทือนพระทัยและทรงเป็นทุกข์ พระองค์ตรัสว่า "พวกเจ้าเอาศพเขาไปไว้ที่ไหน" เขาทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า เชิญเสด็จมาดูเถิด" พระเยซูทรงพระกันแสง …] นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายตอนของพระคัมภีร์ที่บอกเราว่าพระเยซูของเราทรงเป็นทุกข์และสะเทือนพระทัยเพียงไร
หลายครั้งที่การร้องไห้นั้นเป็นความตื้นตันใจยินดี แต่การร้องไห้อันเนื่องมาจากการทนทุกข์หรือเจ็บปวดก็มิอาจหลีกเลี่ยงได้เช่นกัน แต่โดยพระคุณของพระเจ้า ไม่ว่าเราจะต้องร้องไห้เพราะความทุกข์ประการใดก็ตาม เราก็แน่ใจได้เต็มร้อยว่าพระเจ้าทรงรักเรา ทรงเปลี่ยนการไว้ทุกข์เป็นการเต้นรำ ทรงทอดพระเนตรหัวใจที่บอบช้ำของเรา ทรงประสงค์จะเช็ดน้ำตาทุกๆ หยดของเรา เพราะน้ำตาแต่ละหยดของเรานั้นกระทบพระทัยพระบิดายิ่งนัก
พระวิญญาณบริสุทธิ์เจ้าข้า ขอทรงโปรดประทับตราที่วิญญาณจิตของเราทุกคน เพื่อจะระลึกไว้เสมอว่าพระองค์ทรงโปรดปรานเรายิ่งนัก ทรงประสงค์ให้เรามีความชื่นบานในรักของพระองค์เสมอนิรันดร์ [สดด.30:5 เพราะพระพิโรธของพระองค์นั้นเป็นแต่ชั่วขณะหนึ่งและความโปรดปรานของพระองค์นั้นตลอดชีวิต การร้องไห้อาจจะอ้อยอิ่งอยู่สักคืนหนึ่ง แต่ความชื่นบานจะมาเวลาเช้า] …ฮาเลลูยา!

สตรีกับการรับใช้

สตรีกับการรับใช้
วันที่ 24/9/2009
[1ทธ.2:12 “ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ผู้หญิงสั่งสอนหรือใช้อำนาจเหนือผู้ชาย แต่ให้เขานิ่งๆ อยู่”] ถ้อยคำในจดหมายฝากของท่านเปาโลถึงทิโมธีประโยคนี้ทำให้หลายคนนำมาใช้ในบริบทที่ว่าสตรีไม่ควรเป็นผู้นำในคริสตจักร สตรีไม่ควรเทศนาให้บุรุษฟัง เป็นต้น ฉันเองก็ถูกสั่งสอนมาเช่นนั้นเหมือนกัน ทว่า แนวคิดในลักษณะนี้กลับวิ่งสู้ฟัดอยู่ภายในใจฉัน เพราะฉันได้เห็นพระเจ้ากระทำกิจที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ผ่านบรรดาสตรีผู้สัตย์ซื่อจำนวนมาก ทั้งในแง่ของการเป็นศิษยาภิบาล ผู้ทำหน้าที่สั่งสอนเทศนา และงานอื่นๆ คริสตจักรเองก็เติบโตเกิดผลดี เป็นพระพรต่อสมาชิกและชุมชนใกล้ไกล
เมื่อไม่นานมานี้ ผู้รับใช้สตรีท่านหนึ่งถามฉันว่า คิดอย่างไรกับการที่สตรีมีบทบาทในการเป็นศิษยาภิบาลและเทศนา ซึ่งวันนั้นฉันก็ให้ความเห็นจากใจว่า สตรีสามารถเป็นศิษยาภิบาลและเทศนาได้
Ed Silvoso นักเขียนคริสเตียนผู้ยิ่งใหญ่ได้กล่าวยกย่องสตรีว่า “สตรีคืออาวุธลับของพระเจ้า” (God's Secret Weapon) ซึ่งหากสตรีท่านใดได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก็จะได้รับการหนุนใจอย่างมากทีเดียว ต่อมาฉันได้อ่านเรื่องราวของ จอห์น เวสเล่ย์ ผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่ในศตวรรษที่ 17 ท่านยอมรับสิทธิสตรีที่จะประกาศข่าวประเสริฐ ท่านได้เขียนถึงแมรี่ บอซานเควท นักเทศน์สตรีเมธอดิสต์ในสมัยแรกๆ ว่า “ผมคิดว่า ความมั่นคงของจุดหมายนี้ขึ้นอยู่กับการที่คุณได้รับการทรงเรียกพิเศษ” ท่านรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อก่อตั้งคณะเมธอดิสต์ คือการทำกิจของพระเจ้าในยุคพิเศษ ดังนั้น ท่านไม่แปลกใจเมื่อเห็นพระเจ้าทรงเคลื่อนไหวในวิธีใหม่และแปลกประหลาด สิ่งที่ดีที่สุดคือ พระองค์ทรงสถิตกับเรา
เมื่ออ่านถึงแนวคิดของจอห์น เวสเล่ย์ข้างต้นแล้ว ทำให้หัวใจของฉันปลาบแปลบยินดี ใช่แล้วค่ะ “การทรงเรียกที่พิเศษ และการเคลื่อนไหวในวิธีใหม่และแปลกประหลาดของพระเจ้า” หากคุณเป็นสตรีที่พระเจ้าทรงเรียกเป็นพิเศษ เพื่อรับใช้เรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือหลายเรื่องเป็นการเฉพาะเจาะจง คุณก็ไม่จำเป็นต้องหวั่นไหวกับคำทักท้วงที่ไม่เห็นด้วยของมนุษย์ มนุษย์ผู้ซึ่งต้องตาย ผู้ซึ่งถูกทำให้เหมือนหญ้า [อสย.51:12 "เรา คือเราเองผู้เล้าโลมเจ้า เจ้าเป็นผู้ใดเล่าที่กลัวมนุษย์ผู้ซึ่งต้องตาย คือกลัวบุตรของมนุษย์ซึ่งถูกทำให้เหมือนหญ้า] สตรีที่รักคะ หากคุณเดินตามน้ำพระทัยพระเจ้า ก็อย่ากลัวมนุษย์เลย [สดด.118:6 มีพระเจ้าอยู่ฝ่ายข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่กลัว มนุษย์จะทำอะไรแก่ข้าพเจ้าได้เล่า]
เมื่อใคร่ครวญในบริบทที่ท่านเปาโลเขียน ก็ได้รับเรม่าว่า ท่านเปาโลเองมิได้กีดกันสตรีแต่อย่างใด ตรงกันข้าม ท่านให้เกียรติสตรี และปรารถนาที่จะให้ชีวิตของสตรีเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ลองพิจารณา 1 ทิโมธี 2:9-15 อีกครั้งนะคะ
• เปาโลยกย่องสตรีที่ประดับใจด้วยความดี มิใช่สตรีที่ประดับกายด้วยเครื่องประดับและอาภรณ์ชิ้นงาม [1ทธ.2:9-10 ฝ่ายพวกผู้หญิงก็เหมือนกัน ให้แต่งตัวสุภาพเรียบร้อย ไม่ใช่ถักผมหรือประดับกายด้วยเครื่องทองและไข่มุก หรือเสื้อผ้าราคาแพง แต่ให้ประดับด้วยการกระทำดี ซึ่งสมกับหญิงที่ประกาศตัวว่าถือพระเจ้า]
• เปาโลยกย่องสตรีที่รักการเรียนรู้ ถ่อมสุภาพ ไม่เย่อหยิ่ง อวดตัว [1ทธ.2:9-11 ให้ผู้หญิงเรียนอย่างเงียบๆและด้วยใจนอบน้อม]
• เปาโลยกย่องสตรีที่ให้เกียรติบุรุษ ซึ่งพระเจ้าได้ให้สิทธิอำนาจในการเป็นผู้นำ อย่างไรก็ตาม เมื่อพระเจ้าทรงให้สิทธิอำนาจแก่สตรีเพื่อที่จะเป็นผู้นำในบางกรณี ผู้ใดก็มิอาจลิดรอนสิทธิอำนาจนี้ได้เช่นกัน ดังนั้น สตรีจึงสามารถเป็นผู้นำได้ สามารถสั่งสอนเทศนาต่อสาธารณชนชายหญิงได้ ทั้งนี้ ต้องรับใช้พระเจ้าด้วยความปรารถนาที่จะถวายเกียรติแด่พระองค์ มิใช่ความปรารถนาอันมักใหญ่ใฝ่สูงหรือต้องการมีอำนาจเหนือผู้ใด กล่าวคือ ต้องนิ่งสงบต่อพระเจ้าและถ่อมใจเป็นอย่างมาก [1ทธ.2:9-12-14 ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ผู้หญิงสั่งสอนหรือใช้อำนาจเหนือผู้ชาย แต่ให้เขานิ่งๆอยู่ ด้วยว่าพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างอาดัมขึ้นก่อน แล้วจึงถึงเอวา และอาดัมไม่ได้ถูกหลอกลวง แต่ผู้หญิงนั้นได้ถูกหลอกลวงจึงได้กระทำบาป]
• เปาโลยกย่องสตรีในฐานะพระหัตถกิจแห่งการทรงสร้างของพระเจ้า ตลอดจนสรรเสริญพระเจ้าในความรอดที่สตรีได้รับ ทั้งยังยกย่องสตรีในฐานะมารดาผู้ให้กำเนิดเชื้อสายแห่งอับราฮัม ยกย่องในฐานะผู้ดำรงอยู่ในความเชื่อ ความรัก ความบริสุทธิ์ และความอ่อนสุภาพ ถ่อมใจ [1ทธ.2:15 แต่ถึงกระนั้นผู้หญิงก็จะรอดได้ด้วยการมีบุตร ถ้ายังดำรงอยู่ในความเชื่อ ในความรักและในความบริสุทธิ์ ด้วยความสงบเสงี่ยม]
สุภาพสตรีที่รัก! ไม่มีเวลาสำหรับการท้อใจแล้ว…แผ่นดินสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว
พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงโปรดอวยพรบรรดาสตรีทั้งหลายของพระองค์ ให้เป็นสตรีที่ดีเลิศ กล้าหาญ ด้วยหัวใจที่ประเสริฐ เทิดทูนและยำเกรงพระองค์อย่างสูงสุด เพื่อทุกคนที่เห็นชีวิตของเธอนั้นจะรู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเธอ ขอทรงโปรดอวยพรสตรีทุกคนอย่างมโหฬารในทุกด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรับใช้พระองค์ ทั้งที่เต็มเวลาและไม่เต็มเวลา พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงรู้ว่าสตรีเหล่านั้นรับใช้พระองค์ด้วยความเต็มใจ ในฐานะเจ้าสาวของพระคริสต์ ผู้ที่เทใจทำทุกสิ่งเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเสด็จมาขององค์เจ้าบ่าว …ถวายพระเกียรติยศทั้งสิ้นแด่พระองค์