Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2554

รีทรีตกับทีมอัมพวา

วันที่ 7/3/2011

เมื่อวันที่ 26/2/2011 ที่ผ่านมา ทีมงานคริสตจักรลูกนิมิตใหม่อัมพวา (จ.สมุทรสงคราม) นำโดยพี่อ้อย-จันจิรา ได้จัดให้มีรีทรีตสำหรับทีมอัมพวาขึ้น โดยใช้สถานที่เป็นบ้านใหม่ริมน้ำของพี่กุ้งพี่ยี่ คู่สามีภรรยาผู้มีน้ำใจกว้างขวาง

ทีมงานอัมพวาและทีมงานผู้ทรงเกียรติในวันดังกล่าว ประกอบไปด้วย พี่อ้อย พี่เว้ง น้องไหม น้องแพร พี่ตุ้ม พี่โอ น้องเบลสซิ่ง ดร.สมนึก อ.เดวิด-อ.แพม พี่แอ๊ด พี่ปรีดา พี่วี น้องสังวรณ์ น้องแป้งร่ำ (Church of Joy) และ คุณ Brett-Susie มิชชันนารีจากทีม Life Point

รถตู้ออกจากคริสตจักรแต่เช้าโดยมีพลขับพี่วีนำพาทีมงานไปถึงอัมพวา บริเวณตลาดน้ำ ครูปรีดา ครูแอ๊ด ครูแป้งร่ำ รับหน้าที่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนประมาณ 30 คน จากนั้นจึงใช้เวลาเพื่อความอิ่มหนำและฮากระจายกันบริเวณตลาดน้ำอัมพวา

ช่วงบ่าย ทีมงานคริสตจักรลูกนิมิตใหม่ บางใหญ่ ได้แก่ พี่ตุ๊กตา อ.เอ็มม่า และฉัน ก็ไปร่วมสมทบด้วย ส่วนครอบครัวพี่อ้อยพี่เว้งก็เดินทางตามมาสมทบในภายหลัง ตามติดมาด้วยน้องสังวรณ์ เราเริ่มรายการในเวลาประมาณ 17.00 น.

Come, now is the time to worship (1)

นำนมัสการโดยพี่โอ พร้อมมือกีตาร์ คือพี่ตุ๊กตา

ทีมงานได้รับเกียรติจากอาจารย์ก้องภพ ภู่จันทร์ ศบ.คริสตจักรใจสมานสมุทรสงคราม มาแบ่งปันฟื้นฟู

คริสตจักรใจสมาน สมุทรสงคราม เป็นคริสตจักรแห่งเดียวในจังหวัดสมุทรสงคราม ในขณะที่จังหวัดเล็กๆ 3 อำเภอแห่งนี้มีวัดกว่า 200แห่ง ดังนั้น การต่อสู้ในย่านฟ้าอากาศจึงมีค่อนข้างหนัก แต่อาจารย์ก้องภพก็หนุนใจว่า ทีมอัมพวาจะทำงานของพระคริสต์ได้สำเร็จอย่างแน่นอน เนื่องจากมีการอธิษฐานและนมัสการเชิงลึกที่สัมผัสพระทัยพระบิดา เช่นเดียวกับทีมบางใหญ่ที่จะทำงานอย่างสำเร็จด้วย

พระธรรม มก.4:35-41 พระเยซูทรงห้ามพายุ

35เย็นวันนั้น พระองค์ได้ตรัสแก่เหล่าสาวกทั้งหลายว่า "ให้พวกเราข้ามไปฝั่งฟากข้างโน้นเถิด" 36เมื่อลาประชาชนแล้ว เขาจึงเชิญพระองค์เสด็จไปในเรือที่พระองค์ประทับอยู่นั้น และมีเรืออื่นหลายลำไปด้วย 37และพายุใหญ่ได้บังเกิดขึ้น และคลื่นก็ซัดเข้าไปในเรือจนเรือจวนจะเต็มอยู่แล้ว 38ฝ่ายพระองค์บรรทมหนุนหมอนหลับอยู่ที่ท้ายเรือ เหล่าสาวกจึงมาปลุกพระองค์ทูลว่า "อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายกำลังจะจมอยู่แล้ว ท่านไม่เป็นห่วงบ้างหรือ" 39พระองค์จึงทรงตื่นขึ้นห้ามลม และตรัสแก่ทะเลว่า "จงสงบเงียบซิ" แล้วลมก็หยุด คลื่นก็สงบเงียบทั่วไป 40พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า "ทำไมเจ้ากลัว เจ้าไม่มีความเชื่อหรือ" 41ฝ่ายเขาก็เกรงกลัวนักหนา และพูดกันและกันว่า "ท่านนี้เป็นผู้ใดหนอ จนชั้นลมและทะเลก็เชื่อฟังท่าน"


บทเรียนที่ได้รับ-
- เราต้องไม่ลืมว่าเราเป็นใคร “เราเป็นผู้เชื่อ เราเป็นบุตรของพระเจ้า”
- พระเจ้าจะได้รับเกียรติผ่านฤทธิ์เดชของพระองค์ที่อยู่ในตัวเรา เราจึงไม่ควรวิตกมากเกินไป เพราะสิ่งนี้จะเหนี่ยวรั้งการจำเริญเติบโตของเราในพระเ ทำให้เราไม่เกิดผล ไม่เห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่
- การวิตกกังวลเกินเหตุเป็นสิ่งที่ไร้ค่า
- ความวิตกกังวล ต้องไม่มากเกินไปจนขาดความเชื่อไว้วางใจ
- ถ้าเราทำอะไรไม่ได้เลย ก็อย่าวิตกกังวลมากเกินไป
- เพชรแท้ต้องไม่กลัวการเจียระไน คริสเตียนแท้ต้องไม่กลัวการทดสอบ
- พระเยซูทรงประทับอยู่กับสาวกของพระองค์ พระเยซูทรงประทับอยู่กับเรา แล้วเราจะกลัวอะไร
- ความเชื่อของเราอยู่ในพระเจ้า แม้เรือจวนจะจม เราก็ไม่ต้องกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่ว่าลมพายุจะแรงแค่ไหน จะพัดมาจากทิศทางใดก็ตาม เราก็สามารถผ่านไปได้อย่างสบายๆ เสมอ

อาจารย์ก้องภพเกิดมาในครอบครัวมุสลิม กระทั่งวันหนึ่งในช่วงยุคฟองสบู่แตก เกิดหนี้สิน NPL จนหมดตัว ไม่สามารถพึ่งใครได้ แต่ได้รับความรักและกำลังใจจากพี่น้องคริสเตียน และพบว่าพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเป็นพระคัมภีร์อัศจรรย์ที่มีฤทธิ์เดช อาจารย์ก้องภพจึงถวายใจให้พระเยซู และรับใช้พระองค์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การรับใช้ของอาจารย์ก้องภพนั้นมีทั้งการทดลองและการทดสอบ แต่อาจารย์ก้องภพก็ผ่านมาได้เสมอโดยพระหัตถ์ขวาอันมีชัยของพระเจ้า

พระธรรมอพยพ 17:10-13 ประทับใจฉันเป็นพิเศษมาเนิ่นนาน ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงตั้งฉันให้เป็นผู้สนับสนุนผู้รับใช้ของพระองค์ [10โยชูวาก็ทำตามคำสั่งของโมเสส ออกสู้รบกับพวกอามาเลข ส่วนโมเสส อาโรน และเฮอร์ ก็ขึ้นไปบนยอดภูเขานั้น 11โมเสสยกมือขึ้นเมื่อไร อิสราเอลก็ได้เปรียบเมื่อนั้น ท่านลดมือลงเมื่อไร พวกอามาเลขก็เป็นต่อเมื่อนั้น 12แต่มือของโมเสสเมื่อยล้า เขาทั้งสองก็นำก้อนหินมาวางไว้ให้โมเสสท่านนั่ง อาโรนกับเฮอร์ก็ช่วยยกมือท่านขึ้นคนละข้าง มือของท่านก็ชูอยู่จนตะวันตกดิน 13ฝ่ายโยชูวาปราบอามาเลขกับประชาชนของเขาพ่ายแพ้ไปด้วยคมดาบ] ฉันจึงขอเป็นอาโรนที่ปฏิบัติงานพร้อมกับเฮอร์ในการช่วยยกมือโมเสสขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์ ร้องทูลต่อพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ เพื่อขอทรงประทานชัยชนะให้กับคริสตจักรของพระองค์ ให้ผู้รับใช้และคริสตจักรของพระองค์มีชัยในทุกสงคราม ซึ่งอาโรนก็มิเพียงอธิษฐานเท่านั้น เขายังรับใช้พระเจ้าด้วยการสนับสนุนโมเสสในหลายๆ ด้าน ส่วนที่เด่นมากเลยก็คือการพูดนี่แหละ พระเจ้าทรงจัดเตรียมอาโรนให้กับโมเสส เพราะโมเสสพูดไม่เก่ง อาโรนจึงมาเติมเต็มในส่วนที่โมเสสขาดอยู่ [อพย.4:14-16]

14ฝ่ายพระเจ้ากริ้วโมเสส จึงตรัสว่า "เจ้ามีพี่ชายคืออาโรนคนเลวีไม่ใช่หรือ เรารู้แล้วว่าเขาเป็นคนพูดเก่ง บัดนี้เขากำลังเดินทางมาพบเจ้า เมื่อเขาเห็นเจ้าเขาจะดีใจ 15เจ้าจงพูดกับเขา และบอกให้เขาพูด แล้วเราจะอยู่ที่ปากของเจ้า และปากของเขา และจะสั่งสอนเจ้าทั้งสองให้รู้ว่า ควรทำประการใด 16เขาจะเป็นผู้พูดแก่ประชากรแทนเจ้า เขาจะเป็นปากแทนเจ้า และเจ้าจะเป็นดังพระเจ้าแก่เขา

ผู้รับใช้พระเจ้าที่รัก! หากพระองค์ทรงเรียกคุณให้เป็นผู้นำแล้ว คุณก็ได้รับการเจิมตั้งเป็นพิเศษจากเบื้องบน คุณจึงไม่ต้องกลัวสิ่งใด เมื่อคุณดำเนินชีวิตแห่งการเชื่อฟังต่อพระพักตร์พระเจ้า องค์เยโฮวายิเรห์จะทรงจัดเตรียมทุกสิ่งที่จำเป็นให้กับคุณ โดยเฉพาะทีมงานผู้ร่วมรับใช้พระเจ้า พระเจ้าจะไม่ให้คุณขาดคนงานเลย ดังกรณีของโมเสสที่พูดไม่เก่ง พระเจ้าประทานอาโรนที่พูดเก่งให้กับเขา โมเสสจึงเพียงพูดกับพระเจ้าและพูดกับอาโรนเท่านั้น ในทำนองเดียวกัน มีส่วนใดที่ผู้รับใช้พระเจ้าทำไม่ได้หรือไม่ถนัดบ้างละ พระเจ้าจะส่งอาโรนเข้ามาในชีวิตของคุณ! [อพย.4:27-31]
27พระเจ้าตรัสกับอาโรนว่า "จงไปพบกับโมเสสในถิ่นทุรกันดาร" เขาก็ไปพบกับท่านที่ภูเขาของพระเจ้าและสวมกอดท่าน 28โมเสสจึงเล่าให้อาโรนฟังถึงพระดำรัส ซึ่งพระเจ้าตรัสเมื่อทรงใช้ตน และถึงหมายสำคัญทั้งปวงซึ่งพระองค์ทรงกำชับให้กระทำ 29โมเสสกับอาโรนเรียกประชุมบรรดาผู้ใหญ่ของชนชาติอิสราเอลพร้อมกัน 30แล้วอาโรนจึงกล่าวถึงพระดำรัสทั้งหมดซึ่งพระเจ้าตรัสแก่โมเสส และทำหมายสำคัญต่างๆ นั้นต่อหน้าประชาชน 31ฝ่ายประชาชน เมื่อได้ยินว่าพระเจ้าเสด็จมาเยี่ยมเยียนชนชาติอิสราเอล และทอดพระเนตรเห็นความทุกข์ยากของเขาแล้ว ก็เชื่อ เขากราบลงนมัสการ


หลังจากแบ่งปันพระคำแล้ว เราได้ร่วมใจกันอธิษฐานเผื่อพันธกิจของคริสตจักรลูกอัมพวาและบางใหญ่ ขอพระเจ้าทรงโปรดเพิ่มเติมภาระใจให้กับพี่น้องในคริสตจักรนิมิตใหม่ให้เข้ามามีส่วนรับใช้กับทีมอัมพวาและบางใหญ่ รวม ถึงคริสตจักรลูกแห่งอื่นๆ ตามการทรงเรียกของแต่ละคน บางคราคุณอาจเป็นโมเสส แต่บางคราคุณอาจจะเป็นอาโรนก็เป็นได้ มาร่วมกันรับใช้นะคะ! เพราะเราเชื่อว่านิมิตที่ตั้งหวังไว้นั้นจะสำเร็จ

จากนั้นเราอธิษฐานเป็นพิเศษสำหรับผู้นำหลักของอัมพวาและบางใหญ่ คือ พี่อ้อยและพี่ตุ๊กตา สองพี่น้องกอดคอกันกลม น้ำตาแห่งความเปรมปรีดิ์หยาดริน

เราเดินทางไปรับประทานอาหารแสนอร่อยริมน้ำ และกลับมานมัสการต่อในภาคกลางคืน โดย ดร.สมนึก Brett-Susie ได้เดินทางกลับกรุงเทพฯ ก่อน

Come, now is the time to worship (2)

คุณโตน ผู้รับใช้เคียงข้างอาจารย์ก้องภพ เป็นผู้นำนมัสการพร้อมเล่นกีตาร์ การเจิมเทลงมาอย่างมาก การเคลื่อนไหวของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นไปอย่างซาบซึ้ง ทุกเสียงเพลง ทุกคำอธิษฐาน ทุกคำแบ่งปัน ทุกคำหนุนใจ นำมาซึ่งความชื่นบานยอดยิ่งในฝ่ายวิญญาณ

พระธรรมกิจการ 12:1-17 ทรงช่วยเปรโตให้พ้นจากคุก
1คราวนั้นกษัตริย์เฮโรดได้เหยียดพระหัตถ์ออกทำร้ายบางคนในคริสตจักร 2ท่านได้ฆ่ายากอบพี่ชายของยอห์นด้วยดาบ 3เมื่อท่านเห็นว่าการนั้นเป็นที่ชอบใจพวกยิว ท่านก็จับเปโตรด้วย นี่เป็นระหว่างเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ 4เมื่อจับเปโตรแล้ว จึงให้จำคุก ให้ทหารสี่หมู่ๆละสี่คนคุมไว้ ตั้งใจว่า เมื่อสิ้นเทศกาลปัสกา แล้วจะพาออกมาให้แก่คนทั้งหลาย 5เพราะฉะนั้นเปโตรจึงถูกจำไว้ในคุก แต่ว่าคริสตจักรได้อธิษฐานพระเจ้าเพื่อเปโตรด้วยใจร้อนรน 6ในคืนวันนั้นเอง ครั้นเฮโรดจะพาเปโตรออกมา เปโตรนอนหลับอยู่ระหว่างทหารสองคน มีโซ่สองเส้นล่ามไว้ และคนยามเฝ้าอยู่หน้าประตูคุก 7ดูเถิด มีทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏ และมีแสงสว่างส่องเข้ามาในห้องจำ ทูตองค์นั้นจึงกระตุ้นเปโตรที่สีข้างให้ตื่นขึ้นแล้วว่า "ลุกขึ้นเร็วๆ" โซ่นั้นก็หลุดตกจากมือของเปโตร 8ทูตนั้นจึงสั่งเปโตรว่า "จงคาดเอวและสวมรองเท้า" เปโตรก็ทำตาม ทูตจึงสั่งว่า "จงสวมเสื้อและตามเรามาเถิด" 9เปโตรจึงตามออกไป และไม่รู้ว่าการซึ่งทูตทำนั้นเป็นความจริง คิดว่าได้เห็นนิมิต 10เมื่อออกไปพ้นทหารยามชั้นที่หนึ่งและที่สองแล้ว ก็มาถึงประตูเหล็กที่จะเข้าไปในเมือง ประตูนั้นก็เปิดเองให้ท่านทั้งสอง ท่านจึงออกไปเดินตามถนนแห่งหนึ่ง และในทันใดนั้นทูตสวรรค์ก็ได้อันตรธานไปจากเปโตร 11ครั้นเปโตรรู้สึกตัวแล้วจึงว่า "เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ารู้แน่ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงใช้ทูตของพระองค์มาช่วยข้าพเจ้า ให้พ้นจากอำนาจของเฮโรด และพ้นจากการมุ่งร้ายของพวกยิว" 12เมื่อเปโตรคิดอย่างนั้นแล้ว ก็มาถึงตึกของมารีย์ มารดาของยอห์นผู้มีชื่ออีกว่ามาระโก ที่นั่นมีหลายคนได้ประชุมอธิษฐานกันอยู่ 13พอเปโตรเคาะประตูเล็กในประตูบ้าน มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อโรดามาฟังดู 14เมื่อจำได้ว่าเป็นเสียงของเปโตร เพราะความชื่นชมยินดีก็ยังไม่เปิดประตู แต่วิ่งเข้าไปบอกว่าเปโตรยืนอยู่หน้าประตู 15คนเหล่านั้นจึงพูดกับหญิงนั้นว่า "เจ้าเป็นบ้า" แต่หญิงคนนั้นยืนคำว่าเป็นอย่างนั้นจริง เขาทั้งหลายจึงว่า "เป็นเทวทูตประจำตัวเปโตร" 16ฝ่ายเปโตรยังยืนเคาะประตูอยู่ เมื่อเขาเปิดประตูเห็นท่าน ก็อัศจรรย์ใจ 17แต่เปโตรโบกมือให้เขานิ่ง และเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องที่ องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงพาท่านออกจากคุกอย่างไร แล้วท่านสั่งว่า "จงไปบอกเรื่องนี้แก่ยากอบกับพวกพี่น้องให้ทราบ" เปโตรจึงออกไปเสียที่อื่น


ฤทธิ์อำนาจที่พบในพระธรรมตอนนี้

1.เราพบฤทธิ์อำนาจของมารซานตาน (V. 1-5) มันใช้กษัตริย์เฮโรดเป็นเครื่องมือในการฆ่าล้างทำลายคริสเตียนในเวลานั้น มารใช้อำนาจมืดครอบงำเฮโรด เป็น Anti Christ
•คราวใดก็ตามที่พระกิตติคุณได้เผยแพร่ไป คราวนั้นมารซานตานจะข่มเหงคริสเตียนมาเป็นพิเศษ
•คราวใดที่คริสตจักรทำงานอย่างเกิดผลมากขึ้น คราวนั้นมารจะใช้ใครบางคนมาขัดขวางงานของพระเจ้า
•คราวใดที่คริสตจักรเริ่มเติบโต คราวนั้นมารจะใช้วิธีการทำลายความเชื่อของพี่น้อง
พี่น้องที่รัก เราขอบคุณพระเจ้าเพราะเราพบว่า ฤทธิ์อำนาจของมารซาตานมีขีดจำกัด

2.เราพบฤทธิ์อำนาจของการอธิษฐาน คริสตจักรจะมีสิทธิอำนาจมาก เมื่อสมาชิกถวายชีวิตเพื่ออธิษฐานต่อพระเจ้า ผู้เชื่ออุทิศชีวิตเพื่อการอธิษฐาน…คริสตจักรต้องพาทุกอย่าง พาทุกคนมาหาพระที่นั่งแห่งพระคุณของพระเจ้า [ยก.5:16…คำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมนั้นมีพลังทำให้เกิดผล]

3.เราพบฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า (V.7-11)
เราเห็นภาพของการร่วมใจกันอธิษฐานของพี่น้องในพระคริสต์ แต่เมื่อเปโตรออกจากคุกมาได้จริงๆ เขากลับประหลาดใจ (V.16) ภาพนี้เตือนใจเราให้อธิษฐานด้วยความเชื่อเสมอ!

เบื้องหลังฤทธิ์อำนาจแห่งการอธิษฐาน -> นำเราไปพบฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

สดด.133 ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
1ดูเถิด ซึ่งพี่น้องอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ก็เป็นการดี และน่าชื่นใจมากสักเท่าใด 2เหมือนน้ำมันประเสริฐอยู่บนศีรษะไหลอาบลงมาบนหนวดเครา บนหนวดเคราของอาโรน ไหลอาบลงมาบนคอเสื้อของท่าน 3เหมือนน้ำค้างของภูเขาเฮอร์โมน ซึ่งตกลงบนเทือกเขาศิโยน เพราะว่าพระเจ้าทรงบังคับบัญชาพระพรที่นั่น คือชีวิตจำเริญเป็นนิตย์

อฟ.3:20 พระเจ้าทรงสามารถตอบคำอธิษฐานของเราได้มากกว่าที่เราทูลขอหรือหยั่งคิดได้
ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ กระทำสารพัดมากยิ่งกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้ ตามฤทธิ์เดชที่ประกอบกิจอยู่ภายในตัวเรา

ยรม.33:3 พระเจ้าตรัสว่า “จงทูลเรา แล้วเราจะตอบเจ้า”
จงทูลเรา และเราจะตอบเจ้า และจะบอกสิ่งที่ใหญ่ยิ่งและที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเจ้าไม่รู้นั้นให้แก่เจ้า

มธ.6:8 บางครั้งพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของเรา ก่อนที่เราจะอธิษฐานด้วยซ้ำไป
อย่าทำเหมือนเขาเลย เพราะว่าสิ่งไรซึ่งท่านต้องการ พระบิดาของท่านทรงทราบก่อนที่ท่านทูลขอแล้ว

สิ้นสุดการแบ่งปันพระคำแล้ว เราร่วมใจกันอธิษฐานเผื่อเรื่องต่างๆ และชาวนิมิตใหม่ร่วมใจอธิษฐานเผื่ออาจารย์ก้องภพและคริสตจักรใจสมาน สมุทรสงคราม และเสร็จสิ้นรายการในเวลาประมาณ 23.30 น. ทีมงานคริสจักรลูกบางใหญ่เดินทางกลับกรุงเทพฯ ทีมงานอัมพวาส่วนหนึ่งพักค้างคืนที่อัมพวา

วันอาทิตย์ที่ 27/3/2011
ทีมงานอัมพวาใช้เวลายามเช้าเฝ้าเดี่ยวส่วนตัว และพักผ่อน สัมผัสไอหมอก สายน้ำเย็น ชมความงามตามธรรมชาติ ดูเรือแจวและชาวบ้านที่ตกปลา เมื่อรับประทานอาหารเช้าแล้ว จึงนมัสการร่วมกัน โดยพี่โอเป็นผู้นำนมัสการ และพี่ตุ้มแบ่งปันพระคำ
และแล้ว ทีมงานก็ดีใจมากมายที่เจ้าบ้านฝ่ายชาย พี่ยี่มาร่วมนมัสการกับทีมงานด้วย ทีมงานจึงได้อธิษฐานเผื่อพี่ยี่เป็นพิเศษ
ทีมงานเดินทางกลับมาด้วยพระพรและความเบิกบานใจ ถึงคริสตจักรนิมิตใหม่เวลาประมาณ 13.30 น.

"เราบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่า ถ้าเจ้าเชื่อเจ้าก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า"[ยน.11:40]

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554

เปล่งเสียงของเจ้าหาความเข้าใจ



บุตรชายของเราเอ๋ย ถ้าเจ้ารับคำของเรา และสะสมคำบัญชาของเราไว้กับเจ้า กระทำหูของเจ้าให้ผึ่งเพื่อรับปัญญา และเอียงใจของเจ้าเข้าหาความเข้าใจ เออ ถ้าเจ้าร้องหาความรอบรู้ และเปล่งเสียงของเจ้าหาความเข้าใจ ถ้าเจ้าแสวงปัญญาดุจหาเงิน และเสาะหาปัญญาอย่างหาขุมทรัพย์ ที่ซ่อนไว้ นั่นแหละ เจ้าจะเข้าใจความยำเกรงพระเจ้า และพบความรู้ของพระเจ้า
สภษ.2:1-5

วันที่ 01/03/2011

ชั้นเรียนรวีเมื่อ 27/2/2011 ที่ผ่านมา ศบ.พงษ์ศักดิ์นำพระธรรมสุภาษิตบทที่ 1-2 มาแบ่งปัน แต่ในที่นี้ฉันขออ้างอิงถึง สุภาษิตบทที่ 2 ซึ่งว่าด้วยรางวัลของการแสวงหาปัญญาเป็นหลัก ฉันอ่านสุภาษิตมาก็หลายรอบแต่ก็ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของปัญญาในบริบทนี้ คือเข้าใจว่าเป็นสติปัญญาตามประสามนุษย์ แต่ได้มาถึงบางอ้อเมื่อพี่ตุ๊กตานำพระธรรมบทนี้มาแบ่งปันในกลุ่มเซลเมื่อหลายปีก่อน และบอกพวกเราว่าปัญญาในที่นี้หมายถึงพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของเรานั่นเอง นับตั้งแต่วันนั้นฉันก็ทูลขอสติปัญญาจากผู้เป็นแหล่งแห่งปัญญาเสมอมา ก็ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงเพิ่มเติมความเข้าใจในพระคำของพระองค์ให้เรื่อยๆ (รายละเอียดของบทเรียนในห้องเรียน ไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้นะคะ)

ช่วงซักถาม พี่ดาแม่น้องอีฟสงสัยว่าเราจะอธิษฐานในใจได้ไหม ทั้งบางคนยังอาจมีข้อแย้งด้วยว่าพระคัมภีร์ก็บอกไว้ไม่ใช่หรือว่า พระเจ้าทรงทราบตั้งแต่ก่อนที่เราจะพูดแล้ว แล้วเราจะพูดทำไม (อ้าว! เป็นอย่างงั้นไป) [สดด.139:4 ข้าแต่พระเจ้า แม้ก่อนที่ลิ้นของข้าพระองค์จะพูด พระองค์ก็ทรงทราบความเสียหมดแล้ว] ขอพระเจ้าทรงประทานสติปัญญาให้เราสามารถตีความพระคัมภีร์ได้ถูกต้อง!

ถ้าเรารักใครสักคน เราก็ย่อมอยากจะพูดคุยกับเขาบ่อยๆ เรียกหาเขาตลอดเวลา อยากให้เขามาอยู่ใกล้ๆ อยากจะเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้เขาฟัง ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดที่ผู้เชื่อ ผู้ที่รักพระเจ้า ย่อมต้องการที่จะพูดคุยกับพระเจ้า และปรารถนาร้องเรียกพระองค์ตลอดเวลา!

ศบ.พงษ์ศักดิ์ ให้แง่มุมและตัวอย่างหลายประการในการอธิษฐานออกเสียง เป็นคำตอบที่ชัดเจนมากคือ เราควรอธิษฐานออกเสียง [สภษ.2:3 เออ ถ้าเจ้าร้องหาความรอบรู้ และเปล่งเสียงของเจ้าหาความเข้าใจ] ทั้งยังมีพระคัมภีร์อีกหลายตอนที่สนับสนุนให้เราเปล่งเสียงออกมา เช่น

[ยรม.33:3 จงทูลเรา และเราจะตอบเจ้า และจะบอกสิ่งที่ใหญ่ยิ่งและที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเจ้าไม่รู้นั้นให้แก่เจ้า]

[สดด.62:8 ประชาชนเอ๋ย จงวางใจในพระองค์ตลอดเวลา จงระบายความในใจของท่านต่อพระองค์…]


การเปล่งเสียงอธิษฐานประดุจดังกระแสวิญญาณที่หวานชื่นทว่าแข็งแกร่งซึ่งทะลุทะลวงท้องฟ้าที่แม้เป็นทองสัมฤทธิ์ขึ้นไปสู่สวรรค์ สู่พระกรรณขององค์พระบิดา พระองค์ผู้มิทรงหลับสนิทหรือนิทรา ทรงพร้อมเสมอที่จะฟังเรา ทำให้นึกถึงประสบการณ์ของซาโลมอน [2พศด.1:7 ในคืนนั้น พระเจ้าทรงปรากฏแก่ซาโลมอน และตรัสกับพระองค์ว่า "เจ้าอยากให้เราให้อะไรเจ้า ก็จงขอเถิด"] ขอบคุณพระเจ้า วันนี้เราก็พบประสบการณ์เช่นเดียวกับซาโลมอน พระเจ้าตรัสกับเราว่า “เจ้าอยากให้เราให้อะไรเจ้า ก็จงขอเถิด”

พระคัมภีร์หลายตอนกล่าวถึงว่า พระเจ้าทรงตรัส พระเยซูทรงตรัส ไม่เห็นมีตอนไหนบอกเลยว่า พระเจ้าทรงคิดว่า หรือ พระเยซูทรงคิดว่า…เห็นไหมละคะ ว่าการเปล่งเสียงนั้นมีผลดีมากกว่าจริงๆ ถ้าเราอธิษฐานเผื่อผู้ใดและเปล่งเสียงออกไปด้วยก็จะให้การหนุนใจที่มากยิ่งทีเดียว อย่างไรก็ตาม การอธิษฐานในใจก็มีประโยชน์คะ สามารถใช้ได้ในสถานการณ์ที่สิ่งแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย เช่น เมื่ออยู่ในที่สาธารณะทั่วไป หรือในช่วงเวลาสามัคคีธรรมที่ต้องการความสงบเงียบ เป็นต้น

ขอกลับมาที่แม่ของน้องอีฟต่อนะคะ แม่ดาเล่าว่าเมื่อเห็นข่าวในทีวี เช่น แผ่นดินไหวที่นิวซีแลนด์ น้ำท่วม หรือข่าวอื่นๆ น้องอีฟจะขอให้แม่อธิษฐานเผื่อ พอแม่บอกว่าอธิษฐานแล้ว น้องอีฟก็จะขอให้แม่อธิษฐานดังๆ …แม่ดาจึงรู้สึกว่าพระเจ้าทรงยืนยันให้อธิษฐานดังๆ ผ่านทางลูกสาวและ ศบ.

ส่วนคุณครูแมมนั้นติดอกติดใจเป็นพิเศษกับภาระใจของน้องอีฟ รู้สึกสะท้อนใจว่าตัวเรานั้นห่วงใยผู้คนเหมือนเด็กคนนี้แสดงออกมาหรือไม่ น้องอีฟเรียนรู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยได้ และเราต้องอธิษฐานเพื่อผู้คน!

น้องอีฟเป็นเด็กตุ้ยนุ้ยน่ารัก กำลังจะเข้าเรียนอนุบาลแล้ว เวลาที่ผู้ใหญ่สามัคคีธรรมร่วมกันในกลุ่มเซลพระสิริ น้องอีฟก็มักจะนั่งอยู่ด้วย และเปิดพระคัมภีร์ไปมา กลับหัวกลับหางบ้าง ถามนู่นถามนี่บ้าง ตามประสาเด็ก แต่เธอฟังทุกสิ่งจากผู้ใหญ่ และจดจำทุกการกระทำของผู้ใหญ่เช่นกัน ตลอดทั้งเธอได้เรียนรู้พระคุณความรักของพระเจ้าไปด้วย

ช่วงบ่ายวันเดียวกัน น้องอีฟแต่งตัวสวยไปเยี่ยมป้าสิรินาซึ่งนอนรักษาตัวอยู่ที่ เนอสซิ่งโฮม ขณะข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา น้องอีฟก็ชี้ด้วยความดีใจว่า “ทะเล ทะเล” ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งรถ อดหัวเราะไม่ได้ โลกของเด็กช่างสดสวยและไร้เดียงสาจริงๆ

เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็อดนึกถึงเด็กชาวเขาห่างไกลความศิวิไลซ์กลุ่มหนึ่งที่รวมตัวกันอธิษฐานเพื่อการฟื้นฟูตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง(หลายคนคงได้ดูคลิปวีดีโอที่ อ.ซิดนีย์ วรพงษ์ นำมาให้ดู) หัวใจรักและห่วงใยแบบเด็กๆ ช่างน่ายกย่องจริงๆ (ซาบซึ้ง)

ที่เนอสซิ่งโฮมมีบ่อปลาเล็กๆ อยู่ด้วย น้องอีฟก็ไปนั่งข้างๆ บ่อ เมื่อถามว่าน้องอีฟเห็นอะไรบ้าง น้องอีฟก็ตอบว่า”เห็นปลา เห็นลูกอ๊อด” ฉันแปลกใจเล็กน้อยที่น้องอีฟรู้จักลูกอ๊อดด้วย ก็ไม่คิดว่าเด็กกรุงเทพจะรู้จักน่ะคะ ^_^

นอกจากจะเยี่ยมป้าสิรินาแล้ว น้องอีฟยังไปเยี่ยมคุณยายที่อยู่เตียงข้างๆ ด้วย ไปฟังคุณยายอ่านหนังสือ สร้างความชื่นบานให้กับคุณยายได้อีก

เมื่อคุณได้รู้จักน้องอีฟ คุณจะรักเธอเหมือนกับเรา!

นอกจากน้องอีฟแล้ว เรายังมีนักอธิษฐานตัวน้อยๆ อีกมายมายที่นิมิตใหม่ เดี๋ยวมีโอกาสแล้วจะเล่าให้ฟังอีกนะคะ