Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554

Kuantan Retreat

Kuantan Retreat…JF Advance Camp 2010

วันที่ 5/01/2011

ระหว่างวันที่ 25-28/11/2010 ที่ผ่านมา เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ได้เข้าร่วม JF Advance Camp ซึ่งปีที่ผ่านๆ มาจะเน้นในเรื่องของบทเรียนด้านงานมิชชั่น แต่ปีนี้มีรูปแบบที่แตกต่างออกไป เป็นลักษณะของ Retreat ที่เน้นด้านการพักผ่อนและสัมพันธภาพมากกว่า
Jeevan Frontiers (JF) เป็นองค์กรมิชชั่นสัญชาติเอเชีย นำโดย Dr.Simon Mahendra ทันตแพทย์ชาวสิงคโปร์เชื้อสายอินเดีย คำว่า “Jeevan” นั้นเป็นภาษา Hindi แปลว่า “ชีวิต”

นิมิตของ JF คือ คส.1:28 “พระองค์นั่นแหละเราประกาศอยู่ โดยเตือนสติทุกคนและสั่งสอนทุกคนให้มีสติปัญญาทุกอย่าง เพื่อจะได้ถวายทุกคนให้เป็นผู้ใหญ่แล้วในพระคริสต์”

พันธกิจของ JF คือ การขยายแผ่นดินของพระเจ้าตลอดเส้นหน้าต่างที่ 20-30 ของโลก ซึ่งจะประกอบไปด้วย อินเดียเหนือ ปากีสถาน เนปาล ภูฏาณ บังคลาเทศ และเอเซีย

Dr.Simon ผู้ก่อตั้ง JF หาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นทันตแพทย์ รับใช้พระเจ้าเป็นอาชีพหลัก โดยใช้เงินและทั้งสิ้นที่ตนเองมี และผู้ร่วมนิมิตเดียวกันนั้นก็ล้วนเป็นอาสาสมัครซึ่งทำงานในสาขาอาชีพต่างๆ และใช้เงินของตนเองเป็นทุนในการรับใช้พระเจ้า บ้างก็เป็นคนขับแท็กซี่ บ้างก็ทำงานในองค์กรภาครัฐ บ้างก็เป็นลูกจ้างบริษัทเอกชน บ้างก็ทำงานโรงพยาบาล เป็นต้น โดยมีมิชชันนารีซึ่งรับเงินเดือนจาก JF เพียงท่านเดียวเท่านั้น

JF ไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากองค์กรหรือคริสตจักรใด แต่ดำรงอยู่ได้ด้วยความเชื่อ ด้วยความสัตย์ซื่อของผู้ร่วมพันธกิจ ด้วยเครือข่ายอธิษฐานที่กระจายอยู่ในหลายประเทศ

รูปแบบการทำงานของ JF นั้น กลมกลืนกับการทำงานขององค์กรมิชชั่นที่มีอยู่แล้วในแต่ละประเทศ คนของ JF มักใช้วันหยุดพักร้อนเพื่อเดินทางไปประกาศในดินแดนที่ข่าวประเสริฐยังเข้าไปไม่ถึง โดยมียุทธวิธีดังนี้
1. การระดมพล (Mobilization) JF จะมองหาลูกแห่งสันติสุขในชุมชนนั้น (ในที่นี้รวมถึงการระดมทรัพยากรอื่นด้วย)
2. การสร้างสาวก (Discipleship) จากคนท้องถิ่นที่มีภาระใจและมีนิมิตเดียวกัน
3. ริเริ่มดำเนินการเพื่อชุมชน (Community Initiatives) เช่น โครงการแพทย์อาสา โครงการให้ความรู้ต่างๆ
4. การพัฒนาด้านเศรษฐกิจ (Economic Development) เช่น โครงการฟาร์มแพะ โครงการฝึกอาชีพต่างๆ

การลงพื้นที่ในแต่ละแห่งอาจมียุทธวิธีและพัฒนาการที่แตกต่างกัน แต่สิ่งสำคัญซึ่งเป็นหัวใจคือการประกาศข่าวประเสริฐ และเมื่อมีคนกลับใจ ก็จะพัฒนาไปสู่การก่อตั้งคริสตจักร โดยให้คนท้องถิ่นเป็นผู้ดูแลกันเอง จากนั้น JF ก็จะเดินทางต่อไปยังทุ่งนาแห่งอื่น แต่ทั้งนี้ JF ก็มิได้ละทิ้งบทบาทในการเสริมสร้างผู้นำท้องถิ่น โดยผู้นำและคริสตจักรท้องถิ่นนี่แหละที่เป็นผู้ร่วมนิมิตในการขยายพันธกิจออกไปยังพื้นที่ใกล้เคียง

วันแรกของการเดินทาง (25/11/2010)…คลินิคของ Dr.Simon ในย่าน Little India ของสิงคโปร์ ถูกแบ่งเป็นห้องเล็กๆ เพื่อใช้เป็น Office ของ JF มื้อเที่ยงแรก Dr.Simon ได้สั่งอาหารมาเลย์มาเลี้ยงพวกเรา เป็นเหมือนแกงเผ็ดใส่ใบตอง แล้วห่อด้วยกระดาษห่ออาหารอีกทีหนึ่ง และมีน้ำซุปเป็นกองกลาง Dr.Simon เปิบข้าวด้วยมือเลย Herci พี่น้องชาวฟิลิปปินส์เองก็ไม่ขอใช้ช้อนส้อม เมื่อเห็นผู้นำและเพื่อนร่วมทีมเปิบข้าวด้วยมือ ฉันจึงลองเปิบข้าวด้วยมือบ้าง แซบหลายไปอีกแบบหนึ่ง มื้อนี้เรามี Isabel กับ Penny ชาวฟิลิปปินส์มาทานข้าวด้วย

ทานข้าวเสร็จ Dr.Simon ก็แบ่งปันนิมิต JF ให้กับ Penny ฟัง เธอมาทำธุระบางอย่างที่สิงคโปร์ และยังไม่รู้จัก JF ดีนัก Penny เป็น Fundraiser ให้กับองค์กรมิชชั่นด้วย เราจึงได้คุยกันอย่างตื่นเต้นเพราะมีนิมิตตรงกัน จากนั้น พวกเราสาวๆ ก็ไปเดินเล่นกันที่ตลาด Herci จะเป็นผู้ใหญ่สุขุม แต่ Isabel จะเหมือนเด็ก ร่าเริง ช่างพูด ร้องเพลงเก่ง เพราะว่าเป็นนักนมัสการและนักดนตรีที่โบสถ์ด้วย เราจึงมีความสุขมากที่ได้ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าด้วยกัน

ช่วงเย็น เราไปพักผ่อนและรับประทานอาหารเย็นที่บ้านของ Sister Hungleng และเตรียมพร้อมเดินทางสู่กวนตัน
Retreat ครั้งนี้ประกอบไปด้วย ชาวสิงคโปร์ จีน มาเลเซีย อินเดีย ฟิลิปปินส์ และไทย รวมกว่า 30 ชีวิต มีทั้งผู้ใหญ่ วัยรุ่น และเด็ก พวกเราออกเดินทางกลางดึกจากสิงคโปร์โดยรถโคชปรับอากาศมุ่งสู่กวนตัน (Kuantan) มาเลเซีย

วันที่สองของการเดินทาง (26/11/2010)…เรารับอรุณที่เมืองกวนตันด้วยอาหารเช้าตามอัธยาศัย แต่เนื่องจากตลอดทางมีฝนตกเป็นระยะ เราจึงแวะช็อปปิ้งกันที่ห้างสรรพสินค้าใหญ่แห่งหนึ่ง แต่ถ้าเทียบกับห้างในเมืองไทยแล้ว ห้างใหญ่นั้นก็เล็กไปเลยทีเดียว ตกบ่ายเราจึงได้แวะชมวิถีชีวิตของชาวประมงริมฝั่งทะเล เป็นครั้งแรกที่เห็นปากฉลามหลากหลายขนาด แต่เจ้าตัวใหญ่นี่สิ ปากใหญ่ ฟันคม โอ่งทั้งตัวก็งับได้ แล้วคนจะเหลืออะไรละเนี่ย จากนั้นเราเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์เต่า ซึ่งเต่าทั่วโลกจำนวนมาก จะมารวมตัวกันโดยไม่ได้นัดหมาย ณ ชายหาดที่มาเลเซีย ต่อมาประชากรเต่าลดลงมาก จึงได้มีการนำไข่เต่ามาทดลองเลี้ยงในฟาร์ม เมื่อโตแล้วจึงปล่อยลงทะเล

เราถึงโรงแรม Legend ที่พักในช่วงเย็น เมื่อเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้วก็เข้าห้องประชุม นมัสการ และ Dr.Simon แบ่งปันเรื่องราวจาก ปฐก.14:17-24 ซึ่งเป็นตอนที่กษัตริย์เมลคีเซเดคอวยพรอับราม และอับรามได้ยกหนึ่งในสิบจากข้าวของที่ได้มาถวายแก่เมลคีเซเคค แต่เมลคีเซเดคกล่าวว่า [21 “ขอคืนคนให้แก่เรา แต่ข้าวของนั้นท่านจงเอาไปเถิด”] แต่อับรามก็ไม่รับข้าวของที่เมลคีเซเดคเสนอให้ เพื่อมิให้ใครพูดไว้ว่าบำรุงอับรามให้มั่งมี เพราะความมั่งคั่งของอับรามมาจากพระเจ้า

ความมั่งคั่งของ JF ก็มาจากพระเจ้าเช่นกัน และเพื่อให้ดำรงไว้ซึ่งความมั่งคั่งนั้น ชาว JF ต้องคำนึงถึงสิ่ง 2 ประการนี้
• ความสัตย์ซื่อของคนงาน สัตย์ซื่อต่อพี่น้องในพระคริสต์ และสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า มั่นคงในความเชื่อ กระทำหน้าที่ให้บรรลุผลสำเร็จ
• ใช้สิทธิอำนาจอย่างเต็มใจ คือ เต็มใจที่จะให้อภัย เต็มใจที่จะยืนหยัดร่วมกัน เต็มใจที่จะแจกจ่าย เต็มใจที่จะให้กำลังใจ เห็นคุณค่าของการอยู่ร่วมกันของคนในสังคม

จากนั้นเป็นช่วง Praise Report 2010 ซึ่งเป็นการสรรเสริญพระเจ้าสำหรับพระราชกิจอันมีพระคุณทั้งสิ้นของพระองค์ตลอดช่วงปี 2010 ที่ผ่านมา…JF ให้ความสำคัญกับการอธิษฐานมาก พวกเขาจะไม่รับใช้พระเจ้าโดยไม่อธิษฐานเสียก่อน หลายคนที่เป็นเครือข่ายของ JF นั้น ไม่เคยลงพื้นที่มิชชั่นใดๆ เลย แต่สัตย์ซื่อในการอธิษฐานเสมอ ทั้งในการประชุมอธิษฐานประจำสัปดาห์ การอธิษฐานย่อยอื่นๆ รวมถึงการอธิษฐานเป็นการส่วนตัว …พันธกิจของนักอธิษฐานวิงวอนมิได้สำคัญน้อยไปกว่าพันธกิจของผู้ออกไปปฏิบัติงานมิชชั่นเลย

Dr.Simon และกลุ่มผู้นำ อธิษฐานเผื่อพี่น้องที่มาจากประเทศต่างๆ อธิษฐานกันจนน้ำตาไหลนองหน้า ด้วยคำอธิษฐานที่สัมผัสใจ ซาบซึ้งในความรักของพระเจ้าและพี่น้อง พวกเราจึงสะอึกสะอื้นกันเป็นแถวๆ แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงของผู้นำคนหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างแตะใจมาก “อย่าจำกัดพระเจ้า พระองค์ไม่จำกัด พระองค์ทำได้ทุกสิ่ง” จากที่ร้องไห้อยู่แล้ว คราวนี้ฉันจึงร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิม แง-แง-แง! ใช่แล้ว ฉันต้องกลับใจที่จำกัดพระเจ้า เพราะแม้ฉันจะเชื่อในฤทธานุภาพและความยิ่งใหญ่ของพระองค์เพียงใดก็ตาม แต่ฉันไม่เชื่อในความสามารถของตัวเอง นั่นก็หมายถึงว่า ฉันไม่เชื่อในความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าด้วยเหมือนกัน ฉันมักจะคิดไปว่า ฉันมีของประทานในการรับใช้พระเจ้าน้อยมาก อันนู้นก็ทำไม่เป็น อันนี้ก็ทำไม่ได้ …และสิ่งที่ ศบ.พงษ์ศักดิ์ได้อธิษฐานเผื่อฉันก่อนการเดินทางครั้งนี้ก็ผุดขึ้นมาในมโนนึก “ก้อนดินเล็กๆ ที่ผู้อื่นโยนทิ้งไม่เห็นค่าแล้ว ได้มาอยู่ในมือเรา เราจะค่อยๆ ปั้นมันขึ้นมาให้มีค่า ส่องประกายเจิดจ้า ถวายเกียรติแด่พระเจ้า” ศบ.พงษ์ศักดิ์ ยังบอกด้วยว่าการไป Retreat ครั้งนี้จะได้รับความรู้อย่างมาก ได้รับการหนุนใจ เปรียบเสมือนของขวัญประจำปีจากพระเจ้า หลังจากที่ทำงานเหนื่อยล้ามาทั้งปี ทั้งยังมีคนที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ รอเราอยู่ พร้อมกล่าวถ้อยคำจากพระธรรม 1 คร.2:9 ให้กับฉัน [ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า สิ่งที่ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์] ฉันจึงได้รับการหนุนใจตั้งแต่ยังไม่ได้ออกเดินทาง …ใช่แล้ว!!! ฉันต้องข้ามเส้นอุปสรรคไป และเมื่อถึงที่หมายแล้ว อย่าถอยกลับ ให้ข้ามไป แล้วจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า!!!

วันที่สามของการเดินทาง (27/11/2010)

เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการนมัสการและดื่มด่ำกับพระวจนะ Dr.Simon เทศนาจากพระธรรม มคา. บทที่ 4 โดยกล่าวถึงพระธรรมทุกข้อ แต่ฉันฟังไม่ทัน จดไม่หมด จึงมีแบ่งปันได้เพียงบางส่วนคะ
ข้อ 1 ในยุคหลังจะเป็นดังนี้ คือภูเขาแห่งพระนิเวศของพระเจ้า จะถูกสถาปนาขึ้นให้สูงที่สุดในจำพวกภูเขาทั้งหลายและจะถูกยกขึ้นให้เหนือบรรดาเนินเขา ชนชาติทั้งหลายจะหลั่งไหลเข้ามาหา…เราคือภูเขาของพระเจ้า และเราต้องร่วมกันสร้างภูเขา เพื่อบรรดาประชาชาติจะเข้ามาบนภูเขาแห่งนี้
ข้อ 2 และประชาชาติเป็นอันมากจะมากล่าวว่า "มาเถิด ให้เราขึ้นไปยังภูเขาของพระเจ้า ยังพระนิเวศแห่งพระเจ้าของยาโคบ เพื่อพระองค์จะทรงสอนวิถีของพระองค์แก่เรา และเพื่อเราจะเดินในมรรคาของพระองค์" เพราะว่าพระธรรมจะออกมาจากศิโยน และพระวจนะของพระเจ้าจะออกมาจากเยรูซาเล็ม
ข้อ 3 พระองค์จะทรงวินิจฉัยระหว่างชนชาติทั้งหลายเป็นอันมาก และจะทรงตัดสินเพื่อบรรดาประชาชาติอันแข็งแรงที่อยู่ไกลออกไป และเขาทั้งหลายจะตีดาบของเขาให้เป็นผาลไถนา และหอกของเขาให้เป็นขอลิด ประชาชาติจะไม่ยกดาบต่อสู้กันอีก เขาจะไม่ศึกษายุทธศาสตร์อีกต่อไป…พระเจ้าทรงตัดสินเพื่อบรรดาประชาชาติอันแข็งแรงที่อยู่ไกลออกไป
ข้อ 5 ด้วยว่าบรรดาชนชาติทั้งหลายต่างก็ดำเนิน ในนามแห่งพระของตน แต่เราจะดำเนินในพระนามของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเรา เป็นนิตย์สืบๆไป
ข้อ 6 พระเจ้าตรัสว่าในคราวนั้น เราจะรวบรวมคนขาพิการ และจะรวบรวมบรรดาผู้ที่ถูกขับไล่ไป และบรรดาผู้ที่เราได้ให้ทุกข์ใจ…คนพิการ คือ คนที่ไม่สามารถเดินเข้าสู่น้ำพระทัยของพระเจ้าได้ ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของเราที่จะรวบรวมคนพิการเหล่านั้น มิชชั่นของเรามิใช่เพียงแค่การยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือประชาชาติต่างๆ เท่านั้น แต่จะต้องนำการเปลี่ยนแปลงตามแนวทางของพระคริสต์ไปสู่ประชาชาติทั้งมวลด้วย
ข้อ 7 คนที่ขาพิการนั้นเราจะให้เป็นคนที่เหลืออยู่คนที่ถูกทิ้งไปนั้นเราจะให้เป็นชนชาติที่เข้มแข็งและพระเจ้าจะทรงปกครองเหนือเขาที่ภูเขาศิโยน ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนชั่วกัลปาวสาน…เราเป็นผู้สร้างบรรดาประชาชาติทั้งหลายให้เข้มแข็ง เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า
ข้อ 8 โอ หอคอยที่เฝ้าฝูงสัตว์เอ๋ย เจ้าผู้เป็นเนินเขาบุตรีศิโยน ราชอำนาจจะมาสู่เจ้า อาณาจักรดั้งเดิมจะกลับมา คือราชอาณาจักรแห่งบุตรีเยรูซาเล็ม… เราเป็นคนที่คอยเฝ้าฝูงสัตว์ ให้เรามีสิทธิอำนาจเหนือทุกสถานการณ์

นอกจากนั้น ดร.ไซมอน ยังได้แบ่งปันจากพระธรรม ฉธบ.8:18 “ท่านทั้งหลายจงจำพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ให้กำลังแก่ท่านที่จะได้ทรัพย์สมบัตินี้ เพื่อว่าพระองค์จะทรงดำรงพันธสัญญาซึ่งพระองค์ทรงกระทำโดยปฏิญาณต่อบรรพบุรุษของท่าน ดังวันนี้”…ทุกครั้งที่เราได้รับพร ให้เราออกไปเป็นพรต่อคนอื่น นั่นคือพันธสัญญา!!! ทุกสิ่งที่เราทำในงานรับใช้ ก็คือความตั้งใจที่มีต่อพันธสัญญา เราต้องข้ามเขตแดนเดิมๆ ไป เรามีศักยภาพในการกระทำเพื่อพันธสัญญา

ช่วงบ่ายเรามีเวลาสนุกสนานด้วยกันบริเวณชายหาด ช็อปปิ้งสินค้าพื้นเมือง และกลับถึงที่พักในช่วงดึก ฉันได้เห็นความรักความผูกพันของพี่น้องในพระคริสต์ ได้เห็นแบบอย่างของ Family Man ตัวจริงอีกคนหนึ่ง คือ Dr.Simon ที่ครั้งนี้พาลูกสาว 2 คนไปด้วย ลูกสาวคนโตอายุ 13 นาม Esther มีแฝดชาย 2 คน อายุ 11 ชื่อ David กับ Daniel (ไม่ได้เดินทางมาด้วย) ส่วนลูกสาวคนเล็กอายุ 9 ขวบ ชื่อ Ruth โดย Ruth มีพัฒนาการช้ากว่าเด็กวัยเดียวกันมาก แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการรับใช้พระเจ้าของผู้เป็นพ่อเลย ฉันเคยสงสัยพระเจ้าว่าทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดกับผู้รับใช้พระเจ้าที่เข้มแข็งสัตย์ซื่อด้วย หลายครั้งฉันก็มีคำถามว่า “ทำไม ทำไม ทำไม” แต่พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงออกแบบ จัดวาง และควบคุมทุกสิ่ง และสรรพสิ่งทั้งสิ้นนั้นก็เพื่อพระสิริของพระองค์ ฉันจึงไม่อาจนำสติปัญญาอันน้อยนิดของตนไปเทียบเคียงหรือสงสัยพระองค์ได้อีกต่อไป เป็นเรื่องที่ล้ำลึกและเกินความเข้าใจของมนุษย์อย่างฉันจริงๆ

วันที่สี่ของการเดินทาง (28/11/2010)

Dr.Simon เทศนาโดยพระธรรมยอห์น 17 เรื่อง “คำอธิษฐานครั้งสุดท้ายของพระเยซูบนโลกใบนี้” ฉันเชื่อว่าคำอธิษฐานของพระเยซูนั้นจะจับใจและหนุนใจทุกคนด้วยเช่นเดียวกัน

เราต้องทำงานมิชชั่นด้วยแนวคิดแห่งผู้ชนะ และให้มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน [อฟ. 4:11-15]

นิมิตของ JF คือการถวายทุกคนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วให้กับพระคริสต์ เราก็เป็นส่วนหนึ่งในความสมบูรณ์ของพระคริสต์ คนรอบข้างเราก็เป็นส่วนหนึ่งในความสมบูรณ์ของเรา เราสามารถกล่าวกับผู้อื่นได้ว่า “คุณเป็นส่วนหนึ่งในความสมบูรณ์ของฉัน” ทั้งนี้เพราะร่างกายมิได้ประกอบด้วยอวัยวะเดียว [1 คร.12:14-25]

พระคัมภีร์ข้อสุดท้ายที่ Dr.Simon ฝากไว้ คือ [1 คส. 1;27 พระเจ้าทรงชอบพระทัยที่จะสำแดงให้ธรรมิกชนเหล่านั้นรู้ว่า ในหมู่คนต่างชาตินั้นอะไรเป็นความมั่งคั่งแห่งข้อล้ำลึกนี้ คือที่พระคริสต์ทรงสถิตในท่านอันเป็นที่หวังแห่งศักดิ์ศรี] ถ้าคนไม่เห็นพระคริสต์ในชีวิตของเรา นั่นคือ เราล้มเหลว!

ประโยคสุดท้ายที่ Dr.Simon ฝากไว้คือ “Being in Christ before doing!”

เมื่อเสร็จสิ้นการนมัสการแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางจากกวนตันสู่สิงคโปร์ โดยบนรถนั้นมีคุณไกด์คอยเล่าเรื่องตลกให้ฟังตลอดทาง แต่ถ้าคุณไกด์เหนื่อยก็เรียกพวกเราไปร้องเพลงให้ฟัง เราจึงได้ฟังเพลงจากหลายๆ ชาติ อะแฮ่ม ฉันก็ร้องเพลงนมัสการพระเจ้าภาษาไทยให้พวกเขาฟังด้วย พวกเขาชมว่าดีมาก เพราะว่าเขาฟังภาษาไทยไม่ออกนั่นเอง (ฮา)

ช่วงขาออกจากสิงคโปร์ไปมาเลเซียนั้นสะดวกง่ายดาย แต่ช่วงขาเข้าจากมาเลเซียสู่สิงคโปร์นี่สิ ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองตรวจตราเข้มข้น ซักถามยิก เพราะมีคนหนีเข้าเมืองจำนวนมากที่แอบขึ้นรถโดยสารและเข้าสิงคโปร์โดยเส้นทางนี้ เรามาถึงปลายทางที่ออฟฟิศสิงคโปร์ในช่วงดึก ประมาณห้าทุ่ม แต่ถนนหนทางร้านรวง ตลอดจนลานกว้างส่วนกลางบริเวณ Little India กลับคราคร่ำไปด้วยชาวอินเดียจำนวนมากเป็นหลักพัน ตอนแรกคิดว่ามีหนังกลางแปลงซะอีก เมื่อสอบถามจึงทราบว่าทุกคืนวันอาทิตย์ ชาวอินเดียผู้ใช้แรงงานอยู่ในสิงคโปร์จะมาพบปะพักผ่อนกันบริเวณนี้ ซึ่ง JF ก็ฉวยโอกาสประกาศข่าวประเสริฐและสำแดงพระคริสต์กับพวกเขาเสมอ…ค่ำคืนนี้พักผ่อนที่บ้าน Ms.Hungleng ผู้ซึ่งได้ขายบ้านใหญ่หลังงาม และกำลังจะย้ายออกไปอยู่บ้านที่หลังเล็กกว่าเดิมในบริเวณใกล้เคียงกัน ทั้งนี้เพราะลูกๆ แต่งงานออกเรือนกันหมดแล้ว เหลือเพียง 2 สามีภรรยา คุณแม่ และคนทำงานบ้าน 3 คน จึงมีแนวคิดในการย้ายบ้านเพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย ฉันว่าเป็นไอเดียที่ดีมากๆ เลย อย่างไรก็ตาม บ้านของ Ms.Hungleng หลังนี้ก็เป็นพรต่อพวกเราจนถึงวินาทีสุดท้าย

วันที่ห้าของการเดินทาง (28/11/2010)

ฉันใช้เวลาช่วงเช้ากับพี่น้องชาวฟิลิปปินส์ 2 คน คือ Herci, Isabel ซึ่งพักอยู่ที่บ้าน Ms.Hungleng ด้วยกัน Ms.Hungleng น่ารักมาก พาเราไปส่งถึงสนามบิน ทั้งๆ ที่ต้องย้ายบ้านแล้ว…เธอหนุนใจและอธิษฐานอวยพรให้กับพวกเราอีกครั้งหนึ่ง ที่เราจะพบกันใหม่ใน JF Advance Camp 2011! ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะจัดขึ้นที่ไหน ฉันแอบเชียร์ให้ Dr.Simon มาจัด Camp ที่ประเทศไทยบ้าง พอหลายคนทราบเรื่องก็ช่วยกันเชียร์ใหญ่…อืม ไม่มีใครรู้ แต่พระเจ้าทรงรู้!!!

เติมน้ำมัน

วันที่ 28/12/2010

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันพาคุณแม่ไปเยี่ยมญาติที่ดอนเมือง ขณะอยู่ดอนเมืองก็สังเกตว่าน้ำมันรถใกล้หมดแล้ว แต่ก็คาดว่าสามารถขับต่อไปได้จนถึงพระรามสอง โดยตั้งใจจะเติมน้ำมันที่ปั้มใกล้บ้าน ระยะทางจากดอนเมืองถึงบ้านที่ถนนพระรามสองนั้น ประมาณ 60 กม. ฉันเหลือบไปดูบาร์น้ำมันอีกครั้งเมื่อถึงโลตัสพระรามสอง ปรากฎว่ามีสัญญาณเตือนแว้บๆ ว่าปริมาณน้ำมันเหลือน้อยเต็มทีแล้ว คนขับมือใหม่เคยอ่านในคู่มือบอกไว้ว่าเมื่อมีสัญญาณเตือน จะสามารถขับไปได้อีก 20 กม. แต่ฉันไม่รู้ว่าสัญญาณเตือนนั้นเกิดขึ้นตอนไหน แต่ก็มั่นใจว่าจะสามารถขับไปถึงปั้มข้างหน้าได้ แต่เนื่องจากฉันวิ่งอยู่เลนใน ประกอบกับเป็นช่วงดึก ขับเพลินเกินห้ามใจ (น้าน!) ปรากฎว่าขับรถเลยทางออกเส้นคู่ขนานที่จะไปถึงปั้มน้ำมัน ดังนั้น จึงวิ่งผ่านปั้มน้ำมันโดยที่ไม่สามารถเข้าไปเติมน้ำมันได้ ยกเว้นว่าต้องไปยูเทิร์นกลับมา เอาละสิ งานเข้า! ถ้าไปยูเทิร์นก็ไม่รู้ว่าน้ำมันจะหมดกลางทางหรือเปล่า เพราะทางยูเทิร์นที่บ้านนั้นไกลมาก ฉันจึงตัดสินใจเลี้ยวเข้าบ้านก่อน

วันรุ่งขึ้นลุงข้างบ้านก็มาดูรถให้ ลุงบอกให้ดูที่เข็มน้ำมัน แต่รถของฉันเป็นคนละรุ่นกับของลุง ลุงจึงช่วยอะไรไม่ได้ ลุงบอกว่าอย่าขับไปเลย ฉันจึงไม่กล้าขับรถออกจากบ้าน เพราะกลัวว่าน้ำมันจะหมดกลางทางก่อนถึงปั้ม ตั้งใจว่าตอนเย็นจะซื้อน้ำมันมาเติมเอง แต่ขณะที่อยู่บนรถโดยสารประจำทางนั้น คำเทศนาของ ศบ.พงษ์ศักดิ์ เมื่อช่วงวานนี้ก็ลอยเข้ามา “คริสเตียนจำนวนมากมีความเชื่อ และรักษาความเชื่อไว้อย่างดี แต่ไม่ยอมใช้” โอ๊ะโอ๋! สัญญาณกระแทกใจ สำนึกได้ว่าตนเองมีความเชื่อน้อย และไม่ยอมใช้ความเชื่ออีกต่างหาก ทำไมล่ะ ในเมื่อฉันเชื่อในการอัศจรรย์ของพระเจ้า ฉันเชื่อว่าพระองค์ทรงรักษาโรค ฉันเชื่อในฤทธิ์เดชนานาประการของพระองค์ พระองค์ทรงฤทธิ์และห่วงใยในทุกสิ่งไม่ใช่หรือ แต่ทำไมฉันไม่มั่นใจในเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ทำไมฉันจึงพลาดไปแล้วล่ะ คือ ดำเนินชีวิตด้วยสิ่งที่ตามองเห็น ไม่ได้ดำเนินชีวิตในความเชื่อเหมือนที่ระบุไว้ในพระคัมภีร์ [2คร.5:7 เพราะเราดำเนินโดยความเชื่อ มิใช่ตามที่ตามองเห็น] นอกจากนั้น คำพยานของผู้รับใช้หลายคนกรณีที่รถน้ำมันหมด แต่ก็วิ่งต่อไปได้ด้วยการอัศจรรย์ของพระเจ้าก็ผุดขึ้นมาตอกย้ำ ทั้งเพลงและข้อพระคำเกี่ยวกับความเชื่ออีกหลายบทหลายตอนก็แย่งกันผุดขึ้นมาในมโนนึก ไม่ว่าจะเป็นเพลง “จงมีความเชื่อในพระองค์เถิด” นิยามความเชื่อที่ลือลั่นในพระธรรมฮีบรู [ฮบ.11:1 ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง] หรือคำอุปมาเรื่องเมล็ดพืช [ลก.17:6 พระองค์จึงตรัสว่า "ถ้าพวกท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่ง ท่านก็จะสั่งต้นหม่อนนี้ได้ว่า "จงถอนขึ้นออกไปปักในทะเล" และมันจะฟังท่าน] ฯลฯ มิเพียงเท่านั้น พระสัญญาที่ฉันได้ยึดไว้เสมอ คือ [1พกษ.17:16 แป้งในหม้อก็ไม่หมดน้ำมันในไหก็ไม่ขาด] ก็ผุดขึ้นมาทิ้งท้าย โดยปกติแล้วฉันมักจะท่องพระคำข้อนี้เป็นประจำ แถมเติมไปด้วยว่า “เงินในกระเป๋าก็ไม่หมด น้ำมันรถก็ไม่ขาด” อ้าว แล้วสักแต่ท่องหรือเปล่าเนี่ย!!!
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ก็ต้องกลับใจคะ ต้องกลับใจใหม่ร่ำไปเลยนะฉันเนี่ย จากนั้น ฉันจึงมีความเชื่อเต็มขนาดว่าวันต่อไปจะขับรถออกจากบ้านไปถึงปั้มน้ำมันได้ โดยการดูแลจากพระเจ้า

เช้าวันต่อมา ขณะกำลังสตาร์ทรถ ลุงข้างบ้านก็มาถามว่าซื้อน้ำมันมาหรือยัง ลุงจะช่วยเติมให้ (คุณลุงน่ารักมาก ขอพระเจ้าอวยพร) ฉันจึงกล่าวขอบคุณลุงและตอบว่า “หนูเชื่อว่าจะขับรถไปถึงปั้มน้ำมันได้คะ” ขอบคุณพระเจ้า ในที่สุด ฉันได้เติมน้ำมันทันเวลา
นอกจากบทเรียนเรื่องความเชื่อแล้ว ยังมีอีกบทเรียนหนึ่งสำหรับฉันคือ เรื่องความรอบคอบระวังระไวรอบด้าน ฉันเป็นมนุษย์คนหนึ่ง มีความจำกัด มีความอ่อนแอ แต่ฉันก็ไม่ธรรมดาตรงที่ฉันมีพระเจ้า ฉันสามารถอธิษฐานขอในสิ่งที่ฉันไม่มีได้ ฉันขอครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อที่จะเป็นคนดีรอบคอบ [มธ.5:48 เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ]

นับแต่นี้ไป ฉันคงต้องเติมน้ำมันรถให้อยู่ในระดับที่พร้อมใช้งานได้เสมอ เพื่อที่อาการน้ำมันรถใกล้หมดถังจะไม่มากวนใจให้หวาดเสียวเล่นอีก และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ การเฝ้าระวัง เติมน้ำมันในฝ่ายวิญญาณให้พร้อมอยู่เสมอ เช่นเดียวกับหญิงพรหมจรรย์ทั้ง 5 คนที่เติมน้ำมันในตะเกียงของตน เพื่อรอรับองค์เจ้าบ่าว ซึ่งจะเสด็จมาโมงยามใดก็มิรู้ได้ [มธ.25]