Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554

เปล่งเสียงของเจ้าหาความเข้าใจ



บุตรชายของเราเอ๋ย ถ้าเจ้ารับคำของเรา และสะสมคำบัญชาของเราไว้กับเจ้า กระทำหูของเจ้าให้ผึ่งเพื่อรับปัญญา และเอียงใจของเจ้าเข้าหาความเข้าใจ เออ ถ้าเจ้าร้องหาความรอบรู้ และเปล่งเสียงของเจ้าหาความเข้าใจ ถ้าเจ้าแสวงปัญญาดุจหาเงิน และเสาะหาปัญญาอย่างหาขุมทรัพย์ ที่ซ่อนไว้ นั่นแหละ เจ้าจะเข้าใจความยำเกรงพระเจ้า และพบความรู้ของพระเจ้า
สภษ.2:1-5

วันที่ 01/03/2011

ชั้นเรียนรวีเมื่อ 27/2/2011 ที่ผ่านมา ศบ.พงษ์ศักดิ์นำพระธรรมสุภาษิตบทที่ 1-2 มาแบ่งปัน แต่ในที่นี้ฉันขออ้างอิงถึง สุภาษิตบทที่ 2 ซึ่งว่าด้วยรางวัลของการแสวงหาปัญญาเป็นหลัก ฉันอ่านสุภาษิตมาก็หลายรอบแต่ก็ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของปัญญาในบริบทนี้ คือเข้าใจว่าเป็นสติปัญญาตามประสามนุษย์ แต่ได้มาถึงบางอ้อเมื่อพี่ตุ๊กตานำพระธรรมบทนี้มาแบ่งปันในกลุ่มเซลเมื่อหลายปีก่อน และบอกพวกเราว่าปัญญาในที่นี้หมายถึงพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของเรานั่นเอง นับตั้งแต่วันนั้นฉันก็ทูลขอสติปัญญาจากผู้เป็นแหล่งแห่งปัญญาเสมอมา ก็ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงเพิ่มเติมความเข้าใจในพระคำของพระองค์ให้เรื่อยๆ (รายละเอียดของบทเรียนในห้องเรียน ไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้นะคะ)

ช่วงซักถาม พี่ดาแม่น้องอีฟสงสัยว่าเราจะอธิษฐานในใจได้ไหม ทั้งบางคนยังอาจมีข้อแย้งด้วยว่าพระคัมภีร์ก็บอกไว้ไม่ใช่หรือว่า พระเจ้าทรงทราบตั้งแต่ก่อนที่เราจะพูดแล้ว แล้วเราจะพูดทำไม (อ้าว! เป็นอย่างงั้นไป) [สดด.139:4 ข้าแต่พระเจ้า แม้ก่อนที่ลิ้นของข้าพระองค์จะพูด พระองค์ก็ทรงทราบความเสียหมดแล้ว] ขอพระเจ้าทรงประทานสติปัญญาให้เราสามารถตีความพระคัมภีร์ได้ถูกต้อง!

ถ้าเรารักใครสักคน เราก็ย่อมอยากจะพูดคุยกับเขาบ่อยๆ เรียกหาเขาตลอดเวลา อยากให้เขามาอยู่ใกล้ๆ อยากจะเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้เขาฟัง ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดที่ผู้เชื่อ ผู้ที่รักพระเจ้า ย่อมต้องการที่จะพูดคุยกับพระเจ้า และปรารถนาร้องเรียกพระองค์ตลอดเวลา!

ศบ.พงษ์ศักดิ์ ให้แง่มุมและตัวอย่างหลายประการในการอธิษฐานออกเสียง เป็นคำตอบที่ชัดเจนมากคือ เราควรอธิษฐานออกเสียง [สภษ.2:3 เออ ถ้าเจ้าร้องหาความรอบรู้ และเปล่งเสียงของเจ้าหาความเข้าใจ] ทั้งยังมีพระคัมภีร์อีกหลายตอนที่สนับสนุนให้เราเปล่งเสียงออกมา เช่น

[ยรม.33:3 จงทูลเรา และเราจะตอบเจ้า และจะบอกสิ่งที่ใหญ่ยิ่งและที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเจ้าไม่รู้นั้นให้แก่เจ้า]

[สดด.62:8 ประชาชนเอ๋ย จงวางใจในพระองค์ตลอดเวลา จงระบายความในใจของท่านต่อพระองค์…]


การเปล่งเสียงอธิษฐานประดุจดังกระแสวิญญาณที่หวานชื่นทว่าแข็งแกร่งซึ่งทะลุทะลวงท้องฟ้าที่แม้เป็นทองสัมฤทธิ์ขึ้นไปสู่สวรรค์ สู่พระกรรณขององค์พระบิดา พระองค์ผู้มิทรงหลับสนิทหรือนิทรา ทรงพร้อมเสมอที่จะฟังเรา ทำให้นึกถึงประสบการณ์ของซาโลมอน [2พศด.1:7 ในคืนนั้น พระเจ้าทรงปรากฏแก่ซาโลมอน และตรัสกับพระองค์ว่า "เจ้าอยากให้เราให้อะไรเจ้า ก็จงขอเถิด"] ขอบคุณพระเจ้า วันนี้เราก็พบประสบการณ์เช่นเดียวกับซาโลมอน พระเจ้าตรัสกับเราว่า “เจ้าอยากให้เราให้อะไรเจ้า ก็จงขอเถิด”

พระคัมภีร์หลายตอนกล่าวถึงว่า พระเจ้าทรงตรัส พระเยซูทรงตรัส ไม่เห็นมีตอนไหนบอกเลยว่า พระเจ้าทรงคิดว่า หรือ พระเยซูทรงคิดว่า…เห็นไหมละคะ ว่าการเปล่งเสียงนั้นมีผลดีมากกว่าจริงๆ ถ้าเราอธิษฐานเผื่อผู้ใดและเปล่งเสียงออกไปด้วยก็จะให้การหนุนใจที่มากยิ่งทีเดียว อย่างไรก็ตาม การอธิษฐานในใจก็มีประโยชน์คะ สามารถใช้ได้ในสถานการณ์ที่สิ่งแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย เช่น เมื่ออยู่ในที่สาธารณะทั่วไป หรือในช่วงเวลาสามัคคีธรรมที่ต้องการความสงบเงียบ เป็นต้น

ขอกลับมาที่แม่ของน้องอีฟต่อนะคะ แม่ดาเล่าว่าเมื่อเห็นข่าวในทีวี เช่น แผ่นดินไหวที่นิวซีแลนด์ น้ำท่วม หรือข่าวอื่นๆ น้องอีฟจะขอให้แม่อธิษฐานเผื่อ พอแม่บอกว่าอธิษฐานแล้ว น้องอีฟก็จะขอให้แม่อธิษฐานดังๆ …แม่ดาจึงรู้สึกว่าพระเจ้าทรงยืนยันให้อธิษฐานดังๆ ผ่านทางลูกสาวและ ศบ.

ส่วนคุณครูแมมนั้นติดอกติดใจเป็นพิเศษกับภาระใจของน้องอีฟ รู้สึกสะท้อนใจว่าตัวเรานั้นห่วงใยผู้คนเหมือนเด็กคนนี้แสดงออกมาหรือไม่ น้องอีฟเรียนรู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยได้ และเราต้องอธิษฐานเพื่อผู้คน!

น้องอีฟเป็นเด็กตุ้ยนุ้ยน่ารัก กำลังจะเข้าเรียนอนุบาลแล้ว เวลาที่ผู้ใหญ่สามัคคีธรรมร่วมกันในกลุ่มเซลพระสิริ น้องอีฟก็มักจะนั่งอยู่ด้วย และเปิดพระคัมภีร์ไปมา กลับหัวกลับหางบ้าง ถามนู่นถามนี่บ้าง ตามประสาเด็ก แต่เธอฟังทุกสิ่งจากผู้ใหญ่ และจดจำทุกการกระทำของผู้ใหญ่เช่นกัน ตลอดทั้งเธอได้เรียนรู้พระคุณความรักของพระเจ้าไปด้วย

ช่วงบ่ายวันเดียวกัน น้องอีฟแต่งตัวสวยไปเยี่ยมป้าสิรินาซึ่งนอนรักษาตัวอยู่ที่ เนอสซิ่งโฮม ขณะข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา น้องอีฟก็ชี้ด้วยความดีใจว่า “ทะเล ทะเล” ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งรถ อดหัวเราะไม่ได้ โลกของเด็กช่างสดสวยและไร้เดียงสาจริงๆ

เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็อดนึกถึงเด็กชาวเขาห่างไกลความศิวิไลซ์กลุ่มหนึ่งที่รวมตัวกันอธิษฐานเพื่อการฟื้นฟูตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง(หลายคนคงได้ดูคลิปวีดีโอที่ อ.ซิดนีย์ วรพงษ์ นำมาให้ดู) หัวใจรักและห่วงใยแบบเด็กๆ ช่างน่ายกย่องจริงๆ (ซาบซึ้ง)

ที่เนอสซิ่งโฮมมีบ่อปลาเล็กๆ อยู่ด้วย น้องอีฟก็ไปนั่งข้างๆ บ่อ เมื่อถามว่าน้องอีฟเห็นอะไรบ้าง น้องอีฟก็ตอบว่า”เห็นปลา เห็นลูกอ๊อด” ฉันแปลกใจเล็กน้อยที่น้องอีฟรู้จักลูกอ๊อดด้วย ก็ไม่คิดว่าเด็กกรุงเทพจะรู้จักน่ะคะ ^_^

นอกจากจะเยี่ยมป้าสิรินาแล้ว น้องอีฟยังไปเยี่ยมคุณยายที่อยู่เตียงข้างๆ ด้วย ไปฟังคุณยายอ่านหนังสือ สร้างความชื่นบานให้กับคุณยายได้อีก

เมื่อคุณได้รู้จักน้องอีฟ คุณจะรักเธอเหมือนกับเรา!

นอกจากน้องอีฟแล้ว เรายังมีนักอธิษฐานตัวน้อยๆ อีกมายมายที่นิมิตใหม่ เดี๋ยวมีโอกาสแล้วจะเล่าให้ฟังอีกนะคะ

ไม่มีความคิดเห็น: