Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วินัยของน้องหมา (ข้างถนน)

วันที่ 18/8/2011

เช้านี้ขณะที่รถติดไฟแดงอยู่บริเวณสี่แยกสามย่าน ซึ่งเบื้องหน้าเป็นจามจุรีสแควร์นั้น พลันก็เหลือบเห็นน้องหมาตัวหนึ่งเดินข้ามทางม้าลายด้วยอาการระวังหน้าระวังหลังอย่างดี น้องหมาข้ามถนนเพียงลำพัง โดยไม่มีคนหรือเพื่อนหมาไปด้วยเลย แต่น้องหมาสร้างความประทับใจด้วยการข้ามถนนตรงทางม้าลาย แบบพอดีเป๊ะ! พอข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งได้แล้ว มันก็ยืนกระดิกหางอยู่บริเวณพุ่มไม้ของ กทม.

อดคิดไม่ได้ว่าบางครั้งตัวฉันก็ข้ามถนนแบบมั่วๆ ไม่ใช้ทางม้าลาย เหตุเพราะยึดความสะดวกเป็นที่ตั้ง …แหม รู้สึกอายน้องหมาจริงๆ

การเคารพกฎจราจรเป็นสิ่งที่ดี ในกรณีข้ามถนนก็เช่นกัน ต้องใช้ทางม้าลายเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนน และเพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง

พระคริสต์ธรรมคัมภีร์ให้ความสำคัญกับเรื่องวินัยมาก ดัง สภษ.6:23 กล่าวว่า “เขาตายเพราะขาดวินัยในชีวิต และเพราะความโง่อย่างยิ่งของเขา เขาจึงหลงเจิ่นไป”

คนขาดวินัยนั้นเป็นคนโง่ และไม่ใช่โง่ธรรมดานะ พระคัมภีร์เรียกคนประเภทนี้ว่า “โง่อย่างยิ่ง” จนทำให้คนประเภทนี้หลงเจิ่นไป เมื่อคริสเตียนหลงเจิ่นไป ก็เท่ากับว่าตายในฝ่ายวิญญาณ ซึ่งมิเพียงเท่านั้น อาจรุนแรงถึงขั้นตายจากโลกนี้ไปเลยก็ได้

วันนี้ทำให้กลับมาฉุกคิดอีกว่า มีส่วนไหนในชีวิตบ้างที่ต้องฝึกวินัยอย่างแรง
งานเข้า!!!


วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

บทเรียนจากน้องหมา

วันที่ 14/8/2011

ระหว่างวันที่ 12-13 สิงหาคมที่ผ่านมา ชาวนิมิตใหม่ส่วนหนึ่งได้เข้าร่วมค่ายอธิษฐานที่อัมพวา เรามีบทเรียนฝ่ายวิญญาณและกิจกรรมมากมายตั้งแต่เช้าจรดดึก ยามค่ำคืนเวลานิทรา พวกเราหลายคนจึงหลับสนิท ฉันพักห้องเดียวกับครูแมม เมื่อถึงที่พักครูแมมก็จัดการอาบน้ำอาบท่าราตรีสวัสดิ์ไปก่อนซะแล้ว…คร่อก!

กลางดึก ณ รีสอร์ทริมน้ำแม่กลอง ควรจะเงียบสงัด หรือหากมีเสียงบ้างก็ควรจะเป็นแมลง จิ้งหรีดเรไร หรือนกกลางคืน ซึ่งสิ่งที่กล่าวไปแล้วนั้นมันก็มีอยู่หรอก แต่ฉันตื่นขึ้นมาเพราะเสียงอันไม่พึงประสงค์ของน้องหมาฝูงใหญ่ เห่าเสียงดังรับส่งกันไปมา บางครั้งก็เป็นเสียงแบบเห่าตัวเดียว บางครั้งก็เป็นเหมือนเสียงหมาหมู่ (ฮา) ซึ่งฉันแยกไม่ออกหรอกว่ามันเห่าเพราะอะไร แต่ครูแมมบอกตอนเช้าว่า มันไม่น่าจะเห่าเพราะว่าทะเลาะกันหรอก

พี่น้องบางท่านจะมีความสามารถพิเศษในการแยกเสียงสัตว์ได้ เช่น พี่เต็ม พี่สาวที่โบสถ์เรานี่เอง พี่เต็มสามารถแยกเสียงแมวร้องได้ชนิดขั้นเทพ เธอระบุเสียงได้ว่า แมวร้องเพราะหิว ร้องเพราะขี้อ้อน ร้องหาคู่ หรือร้องเพราะโดนเหยียบหาง!

รีสอร์ทที่เราไปพักนั้นชื่อว่าบ้านแสงจันทร์ และบ้านเรือนไม้หลังเล็กแต่ละหลังก็จะมีชื่อที่ลงท้ายว่าจันทร์ เช่น บ้านที่ครูแมมกับฉันพัก ชื่อว่า บ้านชิดจันทร์ แต่ฉันแอบเปลี่ยนชื่อเป็น “บ้านชิดหมา” ก็บ้านเราเป็นบ้านหลังแรกที่ติดถนน จึงได้รับสิทธิพิเศษในการฟังเสียงน้องหมาแบบใกล้ชิด ชิดหมา

ฉันแยกเสียงน้องหมาไม่ออกหรอก แต่ว่าเมื่อเหล่าหมู่หมาเห่าแบบจัดเต็มขนาดนั้น ใครจะไปทนนอนอยู่ได้ เพลียจะแย่ เห่ากันอยู่นั่นแหละ เห่านานซะด้วย คิดว่ามากกว่าครึ่งชั่วโมง ทำยังไงกับมันดีนะ ฉันเอามืออุดหูไปสักพักหนึ่ง ก็ไม่ช่วยอะไรเลย ครูแมมลุกขึ้นจากเตียง ฉันกะว่าครูแมมอาจจะไปจัดการกับหมาน่ะ แต่ครูแมมลุกมาดูนาฬิกาและเดินเข้าห้องน้ำ และกลับมานอนตามปกติ ฉันไม่รู้หรอกว่าครูแมมทำยังไง แต่สักพัก ก็มีสัญญาณบ่งบอกว่าครูแมมหลับสบายแฮไปแล้ว

ครูแมมชิงหลับไปซะแล้ว ฉันจึงอธิษฐานอยู่ในใจ แต่เอ๊ะ! อธิษฐานยังไงดี ตอนแรกคิดในใจว่าจะอธิษฐานขอให้ฑูตสวรรค์ปิดปากหมา แต่นั่นเป็นฉันคนเก่า และถ้าเป็นฉันคนเก่ากว่าที่ยังไม่รู้จักพระเยซูละก็ เจ้าหมาหมู่พวกนั้นคงได้กินไม้หน้าสามยามค่ำคืนเป็นแน่

ครั้งนี้ฉันกลับนึกถึงบรรดาผู้รับใช้มากมาย โดยเฉพาะมิชชันนารีที่อยู่ห่างไกล บางคนก็อยู่ในประเทศที่เมื่อเราได้ยินชื่อแล้วก็ต้องเกาหัวแหงกๆ ว่า “มีชื่อประเทศนี้อยู่ในโลกด้วยหรือนี่?” ผู้รับใช้พระเจ้าแต่ละคนอาจจะหลับๆ ตื่นๆ อยู่ตลอดคืน เนื่องจากความไม่ปลอดภัยในสถานที่อยู่ บางคนอาจจะหลับลงท่ามกลางเสียงปืนและไฟสงคราม บางคนอาจจะหลับลงท่ามกลางเสียงร้องของคนยากจนและเจ็บป่วย บางคนอาจจะหลับลงไปโดยไม่แน่ใจว่าจะสามารถมีชีวิตรอดอยู่เพื่อเห็นแสงตะวันของอีกอรุณรุ่งหนึ่งได้หรือไม่ บางคนหลับลงด้วยความหนาวจับขั้ว บ้างก็หลับลงด้วยความเหงาลึกจับใจ บ้างก็หลับลงด้วยอากาศที่ร้อนระอุจับจิต และมีอีกมากมายหลายคนที่ไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอนเป็นหลักแหล่ง และมีอีกหลายคนที่อาจจะไม่ได้นอนในยามค่ำคืนด้วยซ้ำไป…คิดได้ดังนั้นแล้ว ฉันก็ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงให้ฉันนอนหลับอาศัยอยู่ในที่ปลอดภัย อยู่ใกล้ๆ คุณแม่ฝ่ายวิญญาณที่ฉันรัก ฉันอธิษฐานขอให้ทุกคนได้หลับอย่างสันติในทุกค่ำคืน

รุ่งเช้าของอีกวัน หัวข้อน้องหมาถูกหยิบยกมาถกก่อนเรื่องอื่น ครูแมมเล่าให้ฟังว่าตื่นมาเพราะเสียงน้องหมา จึงลุกขึ้นมาดูนาฬิกาพบว่าเป็นเวลาตีสาม ครูแมมจัดการกับน้องหมาโดยคิดว่าเป็นเสียงดนตรี เสียงกลอง และพระเจ้าก็ทรงสนองตอบนิสัยคิดบวกนี้ เพราะเจ้าอึ่งอ่างก็พากันร้องขึ้นขานรับ ครูแมมจึงหลับลงด้วยทำนองขับกล่อมจากธรรมชาติของพระผู้สร้าง

“ถ้าเจ้านั่ง เจ้าจะไม่กลัว เมื่อเจ้านอน ก็จะหลับไปอย่างผาสุขสดชื่น” [สภษ.3:24]

หมดใจ

วันที่ 11/8/2011

เพียงระยะเวลาสองสามเดือนที่ผ่านมา ฉันก็ประสบกับภาวะหมดกำลังใจถึงขีดสุด และหมดกำลังกายถึงขีดสุด อ้าว! ไหงเป็นงั้นล่ะ?

สาเหตุสำคัญของอาการหมดแรงกาย หมดแรงใจ นั้น สามารถสรุปได้ง่ายๆ ว่า เกิดจากภาวะขาดความสมดุลย์ คือ มีบางสิ่งบางอย่างหรือหลายอย่างที่บกพร่องไป หรือไม่เป็นอย่างที่ควรเป็นนั่นเอง ซึ่งหากจะกล่าวถึงอาการหมดแรง ก็เพราะว่าใช้แรงมากเกินไป มากเกินกว่าขีดความสามารถของตนเอง ร่างกายจึงขาดความสมดุลย์ ส่วนอาการหมดแรงใจ ก็เกิดจากหัวใจไม่แข็งแรง ไม่พร้อมที่จะรับกับสภาพความเปลี่ยนแปลง ไม่สามารถเผชิญเหตุการณ์หรือผู้คนมากมายที่รุมเร้า เพราะหัวใจไม่ได้สมดุลย์กับหัวใจพระเยซู
หมดแรงกายนี่ยังพอไหว เพราะพักผ่อนก็หาย แต่หมดแรงใจนี่สิ งานเข้า!!!

หากไม่มีพระเจ้า ชีวิตคงไร้ซึ่งความหมาย หากไม่มีพระองค์ ฉันคงจมลงกับความทุกข์ความบาปแห่งความท้อใจ แน่นอนว่าในช่วงชีวิตของเราย่อมมีวาระแห่งความท้อใจบ้าง แต่เมื่อเราตั้งพระเจ้าไว้ตรงหน้าเสมอ เราก็สามารถชนะความท้อใจนั้นได้ ทว่า ในแต่ละครั้งที่รู้สึกท้อใจนั้นพระเจ้าก็ทรงฉุดฉันขึ้นมาจากหลุมเลนตมอันน่าสลดด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน โดยในครั้งนี้ พระองค์ทรงนำให้ค้นพบหนังสือเล่มหนึ่งคือ “คำอธิษฐานเพื่อเสริมชีวิตภายในให้เข้มแข็ง” ของ ไมค์ บิคเคิล หนังสือเล่มบางๆ แต่เนื้อหาอัดแน่นไปด้วยพลัง
ฉันขอคัดลอกข้อความบางส่วนจากท่านไมค์ มานำเสนอ ดังนี้

“เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าต่อพระบิดาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ครอบครัวทั้งหมดในสวรรค์และแผ่นโลกก็ได้ชื่อมาจากพระองค์ ขอให้พระองค์ทรงโปรดประทานกำลังเรี่ยวแรงมากฝ่ายจิตใจแก่ท่าน โดยเดชพระวิญญาณของพระองค์ ตามความไพบูลย์แห่งสง่าราศีของพระองค์” (อฟ.3:14-16)

หลักการพื้นฐานในแผ่นดินของพระเจ้า คือ ที่พระเจ้าจะเสริมชีวิตภายในของเราให้เข้มแข็งขึ้น ถ้าเราขอจากพระองค์ ในเอเฟซัส 3:16 เปาโลขอให้พระเจ้าเสริมเรี่ยวแรงชีวิตภายในของผู้เชื่อชาวเอเฟซัส เป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่เราต้องเข้าใจคำอธิษฐานนี้ เพราะนี่เป็นคำอธิษฐานหนึ่งที่สำคัญที่สุดเท่าที่เราจะอธิษฐานได้ ชีวิตภายในของเรา คือ วิญญาณของเราซึ่งประกอบไปด้วยความคิด อารมณ์ และความตั้งใจ นี่เป็นที่ที่เราเชื่อมสัมพันธ์และมีปฏิสัมพันธ์กับพระเยซูโดยตรง

การอธิษฐานเพื่อสิ่งภายนอก เช่น งานรับใช้ ความก้าวหน้าด้านการเงิน ครอบครัว หรือความช่วยเหลือในสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตก็เป็นไปตามหลักการพระคัมภีร์ อย่างไรก็ตาม หลายคนไม่เคยมีเวลาได้อธิษฐานเพื่อชีวิตภายในของตนให้เข้มแข็งขึ้น กำลังกายของเราเพิ่มหรือลดลงได้ฉันใด กำลังฝ่ายวิญญาณก็เช่นกัน เราอาจจะแยกแยะไม่ได้เสมอไปว่า พระวิญญาณเสริมกำลังเราเมื่อไรแน่ เพราะปกติพระองค์ทำทีละนิดๆ ถ้าเราขอจากพระเจ้าสม่ำเสมอ พระวิญญาณจะปลดปล่อยกำลังของพระองค์ให้ทีละเล็กละน้อย และเมื่อเวลาผ่านไปเราจะรู้สึกได้ถึงกำลังใหม่ที่เกิดขึ้น

เข้าสู่การอธิษฐานอันลึกซึ้ง…ส่วนสำคัญที่สุดในชีวิตของเรา คือ ชีวิตภายในของเรา นี่จึงควรเป็นจุดเน้นหลักจริงๆ เมื่อเราอธิษฐานเผื่อชีวิตส่วนตัวของเรา พระเจ้าปรารถนาจะอวยพรชีวิตภายในของเราให้มีกำลังและฤทธิ์เดช แต่พระองค์รอคอยให้เราขอจากพระองค์ กำลังนี้จำเป็นต่อหัวใจเรา เพื่อช่วยเราดำเนินชีวิตที่ชอบธรรมต่อหน้าพระเจ้า และให้ยืนหยัดต่อต้านการประนีประนอมได้

หนังสือของท่านไมค์แบ่งเป็น หัวข้ออธิษฐานแรก คือ คำอธิษฐานสิบประการเพื่อรับกำลังสำหรับชีวิตภายใน หัวข้ออธิษฐานที่สองมีประโยคสั้นๆ ที่ท่านใช้เวลาพูดคุยกับพระวิญญาณ นอกจากนั้น ท่านยังได้เพิ่มหลักการอธิษฐาน 3 ประการ ที่ใช้อธิษฐานเรื่องคำบรรยายถึงพระลักษณะของพระเยซูที่ท่านพบในพระคัมภีร์

ท่านไมค์แนะนำด้วยว่า ให้เราอธิษฐานอย่างมีเสรีภาพ โดยหนุนใจให้เราทำตามลมแห่งการดลใจเวลาอธิษฐาน เมื่อเราอธิษฐานยาวขึ้น นานขึ้น และเปลี่ยนไปตามกาลเวลา พระเจ้าจะสัมผัสเราและนำเราไปในทิศทางแห่งน้ำพระทัยของพระองค์

เราถวายรักหมดใจแด่องค์พระเจ้า แต่เราอย่าเป็นคนใจหมดรัก อย่าให้ใจหมดแรง เพราะหากเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับคนหมดลม (หายใจ)…สู้โว้ย!


จากนิมิตใหม่สู่ปลายแผ่นดินโลก

วันที่ 29/7/2011

รับนิมิต
• ทราบไหมคะว่ามีคนกี่พันล้านคนที่ต้องเข้านอนโดยไม่มีอาหารทุกคืน?
• ทราบไหมคะว่ามีคนกี่พันล้านคนที่ต้องเร่ร่อนโดยไม่มีที่ให้ซุกหัวนอนเป็นหลักแหล่ง?
• ทราบไหมคะว่ามีคนกี่พันล้านคนที่เกิดมา มีชีวิต ใช้ชีวิต และจากโลกนี้ไปโดยไม่เคยได้ยินเรื่องของพระเยซู?
• คุณห่วงใยคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้ามากเพียงใด คุณเต็มใจที่จะสละเวลา เงินทอง พลังงาน ความสะดวกสบาย และความปลอดภัย เพื่อนำเขามาเชื่อพระเยซูหรือไม่?

คำถามข้างต้นกระแทกหัวใจเราผู้เรียนไครอสอย่างยิ่ง***
ไครอสคืออะไรนะหรือ ไครอส (Kairos) เป็นภาษากรีก ซึ่งหมายถึง “โอกาสหรือเวลา” แล้วสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับเราผู้เชื่ออย่างไร?

รับพรเพื่อเป็นพร
เป็นเวลาของผู้เชื่อทุกคนที่ต้องตัดสินใจว่าเมื่อเรารับพระพรแล้ว จะส่งต่อพระพรไปยังบรรดาประชาชาติได้อย่างไร? ถึงเวลาแล้วใช่ไหมที่เราจะทุ่มเทมากขึ้นเพื่อการเผยแพร่พระกิตติคุณไปทั่วโลก?

คริสเตียนระดับโลก
เป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจหากเราได้ทำงานชิ้นสำคัญในระดับประเทศ และยิ่งกว่านั้นอีก หากเราได้ทำงานใหญ่ระดับโลก แต่จะยิ่งกว่านั้นอีกสักเท่าไร หากเราเป็นคริสเตียนระดับโลก โดยการเสริมกำลังจากพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ถึงเวลาแล้วใช่ไหมที่เราจะทำงานใหญ่ระดับโลก ด้วยการทุ่มเทอุทิศชีวิต กาย ใจ เพื่อตอบสนองพระมหาบัญชาด้วยความรักท่วมท้นในองค์พระผู้สร้าง

ทุ่มเทเพื่อพระคริสต์
เมื่อคุณทุ่มเทเพื่อสิ่งใดก็ตาม หมายถึง มีบางสิ่งบางอย่างที่คุณพร้อมที่จะสละทั้งชีวิตเพื่อสิ่งนั้น มันเป็นสิ่งเดียวกันกับที่พระคริสต์ทรงทุ่มเทให้เพื่อโลกนี้ เรายอมทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อพระองค์ เห็นนิมิต และเห็นด้วยกับยุทธวิธีที่เรียกร้องเอาทุกสิ่งจากชีวิตของเรา (คัดลอกมาจากบทเรียน)

จุดเปลี่ยน
ครูแมมแบ่งปันว่าตนเองได้เปลี่ยนมุมมองการอ่านพระคัมภีร์ จากเดิมที่อ่านเพื่อตัวเอง คือ หาคำหนุนใจ หาพระสัญญา ฯลฯ ก็เปลี่ยนเป็น “อ่านเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า” ฉันจึงเป็นอีกคนหนึ่งที่ขอเปลี่ยนด้วยเหมือนกัน กล่าวคือ อ่านพระคัมภีร์แล้วก็น้อมนำความคิดทุกประการให้อยู่ใต้บังคับของพระคริสต์ ขอหัวใจของเราที่จะเป็นเหมือนพระทัยพระเยซู หัวใจรัก หัวใจมิชชั่น หัวใจที่ไม่ปรารถนาให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศเลย และเดินตามรอยพระบาทพระเยซู รอยพระบาทที่งดงามแห่งการประกาศข่าวประเสริฐไปทุกหนแห่ง

สานนิมิตใหม่
นิมิตใหม่ที่มีมาถึงเรานั้นต้องได้รับการสานต่อ นิมิตที่เราต้องสยบยินยอมอย่างยินดี เราพร้อมที่จะรับการเปลี่ยนแปลงทีละขั้นตอน เพื่อที่เราจะไม่ยึดติดสิ่งใดๆ ในโลก ไม่กลัวการสูญเสีย ยินยอมกระทำทุกอย่างเพื่อให้พระเจ้าได้รับเกียรติท่ามกลางประชาชาติ ขอพระวิญญาณผลักดันให้เราเสาะหาทุกวิถีทางที่จะมีส่วนในพระราชกิจของพระองค์ อาจทรงเรียกให้รับใช้ข้ามวัฒนธรรม หรืออาจทรงเรียกให้เป็นผู้อยู่แนวหลัง และอยู่ในฐานะผู้สนับสนุนที่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญบางอย่างได้ จะเห็นได้ว่างานมิชชั่นไม่สามารถสำเร็จได้โดยคนๆ เดียว ดังนั้น เราจึงต้องร่วมมือร่วมใจกัน และขอที่เราจะทำหน้าที่ตามการทรงเรียกของแต่ละคนให้สำเร็จก็แล้วกัน

[กจ.20:24 แต่ข้าพเจ้ามิได้ถือว่า ชีวิตของข้าพเจ้าเป็นสิ่งมีค่าและประเสริฐสำหรับตัวข้าพเจ้า แต่ในชีวิตของข้าพเจ้าขอทำหน้าที่ให้สำเร็จก็แล้วกัน และทำการปรนนิบัติที่ได้รับมอบหมายจากพระเยซูเจ้า คือที่จะเป็นพยานถึงข่าวประเสริฐ ซึ่งสำแดงพระคุณของพระเจ้านั้น]

* บทเรียนไครอส ประกอบด้วย 8 บทเรียน เน้นสอนให้คริสเตียนเข้าใจบทบาทของตัวเองในการทำให้พระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์สำเร็จ หลักสูตรนี้จึงเหมาะกับคริสเตียนทุกคน นอกจากนั้น หลักสูตรนี้ยังเป็นหลักสูตรที่มิชชันนารีทุกคนต้องผ่านการอบรมก่อนเดินทางไปสู่สนามมิชชั่นด้วย หลักสูตรไครอสประกอบด้วย บทเรียน, วีดิโอ, กลุ่มอภิปราย และกิจกรรมพิเศษ

เราจะอยู่กับเจ้า

วันที่ 19/7/2011

มีใครบ้างไหมที่สัญญากับคุณว่าจะอยู่กับคุณตลอดไป บางคนอาจตอบว่า “มี” แต่มีใครบ้างไหมที่ทำตามสัญญาเช่นว่านั้นได้ตลอด แน่นอนที่คำตอบคือ “ไม่มี”

ฮาเลลูยา! มีท่านผู้หนึ่งที่สัญญากับเราว่า “เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค” (มธ.28:20) และท่านกระทำตามสัญญาเช่นว่านั้นได้ สัญญาดังกล่าวถือเป็นพระสัญญาข้อโปรดของฉันเลยทีเดียว อ่านทีไร ได้ยินทีไร นึกถึงทีไรก็หนุนใจทุกที

บางครั้งเมื่อประสบกับภาวะการทำงานที่ยากลำบากหรือมีอุปสรรคบางประการหรือหลายประการ ก็ทำให้ท้อแท้ชิมิ? เวลามีงานสักชิ้นเข้ามาเนี่ยก็ต้องร้องโอ้โห! “งานเข้า!” แต่ไม่ยักมีปัจจัยช่วยเหลือเข้ามาแฮะ ทำไมเป็นอย่างนั้นละ?

การทำงานประจำวันในฐานะพนักงานบริษัทนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไรนัก แต่ก็ไม่ยากซะทีเดียว เพราะมีปัจจัยเบื้องต้นที่เกื้อหนุนการทำงานให้ประสบความสำเร็จ ที่เรียกกันว่า 4 M หรือ ทฤษฏีทางเศรษฐกิจร่วมกับทฤษฏีทางการบริหารการผลิต คือ Man, Money, Material, Management (คน, เงิน, เครื่องมือ อุปกรณ์ สถานที่ และทรัพยากรอื่นๆนอกเหนือจากที่กล่าวมา, การจัดการ) กล่าวคือ มีงบประมาณให้ มีแผนงานสั่งตรงมาจากบริษัท มีผู้บังคับบัญชาคอยให้คำปรึกษา มีเพื่อนร่วมงานคอยให้การสนับสนุน มีลูกน้องคอยช่วยแบ่งเบาภาระ มีเครื่องมืออุปกรณ์ให้ เป็นต้น ซึ่งเป็นธรรมดาของการทำงานในโลกธุรกิจหรืองานในฝ่ายโลกทั่วไป ทว่า การทำงานรับใช้พระเจ้านั้นมีความแตกต่างกันชนิดหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว เพราะในหลายครั้ง เงินก็ไม่มี แผนงานก็ไม่มี ทีมงานก็ไม่มี เครื่องไม้เครื่องมือก็ไม่มี(แง แง แง) ทำไมนะ พระเจ้าให้ทำงานรับใช้พระองค์ แต่พระองค์ไม่ทรงเตรียมอะไรให้เลย ก็ไหนทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียมไม่ใช่หรือ? ช่างขัดแย้งกับพระคัมภีร์ซะจริงเชียว “พระสัญญาของพระองค์เป็นจริงทุกประการ ไม่เคยล้มเหลวแม้แต่คำเดียว” มิใช่หรือ ดังนั้น ต้องมีบางอย่างผิดพลาดแน่เลย (ในส่วนที่เกี่ยวกับเรานะ ไม่เกี่ยวกับพระเจ้า) หรือไม่ก็มีเหตุผลบางอย่างที่ซ่อนเร้นอยู่ ซึ่งเราไม่รู้ (ส่วนนี้เป็นกิจของพระเจ้าที่จะทรงกระทำ)

งานใหญ่ประการหนึ่งของกษัตริย์ซาโลมอน คือ การสร้างพระวิหารถวายพระเจ้า ซึ่งกษัตริย์ดาวิด พระบิดา ได้ทรงจัดเตรียมแผนงาน เงินทอง เครื่องมือ อุปกรณ์ ตลอดจนช่างผู้ชำนาญในสาขาต่างๆ ไว้ให้ ชนิดที่ว่า “จัดเต็ม” โอ้ว!!! ซาโลมอน คร้าบ ช่างดีอะไรเช่นนี้ ขอแอบอิจฉาหน่อยนะคะ บวกกับความน้อยใจ เอ๋ พอเป็นเรา ไหงไม่มีใครเตรียมอะไรไว้ให้เลย?

ที่กล่าวมานั้นเป็นการตัดพ้อต้อว่าพระเจ้า ซึ่งก็ผิดมหันต์เต็มทีที่เราไม่เข้าใจพระลักษณะของพระองค์ หากกลับไปอ่านพระคัมภีร์อีกครั้งหนึ่งอย่างตั้งใจ อ่านไปเพียงไม่กี่บทกี่ตอน เราก็จะพบความสัตย์ซื่อของพระองค์ที่หาใดเทียบเทียม พระองค์ไม่ใช่เพียงพระเจ้าที่ทำให้มนุษย์สบายใจเหมือนที่หลายคนกล่าวถึงเท่านั้น หากพระองค์เองเป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คือ มีฤทธิ์มากเกินกว่าที่จะกล่าวถึงหรือคิดได้ทั้งหมด สิ่งที่พระองค์ตรัสจึงเป็นจริงทุกประการอย่างแน่แท้ที่สุด

เมื่อวิเคราะห์เพียงส่วนท้ายของพระธรรมมัทธิว 28:20 สิ่งที่พระองค์ตรัสว่า “เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค”จึงพบความหมายมากมายเกินบรรยาย แต่ก็ขอบรรยายในมุมมองที่เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งแห่งความอัศจรรย์ของพระสัญญานี้เท่านั้น เนื่องจากฉันไม่สามารถอธิบายได้ทั้งหมด ด้วยสติปัญญาและความรู้ที่จำกัด

การเดินกับพระเจ้าในแต่ละวันนั้นอัศจรรย์และตื่นเต้นอย่างยิ่ง ในความธรรมดาที่ไม่ธรรมดานี่แหละ คือการอัศจรรย์ที่ยากจะบรรยาย ในพระกิตติคุณกล่าวถึงตั้งแต่ก่อนที่พระเยซูจะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ จนกระทั่งค่อยๆ เติบโต และเริ่มพระราชกิจของพระองค์บนโลกนี้ ถึงการตรึงตายที่ไม้กางเขน ตลอดจนการฟื้นคืนพระชนม์ ราชกิจก่อนเสด็จกลับสู่สวรรค์ ราชกิจเมื่อทรงอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า

พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าอย่างที่ทรงเป็น อย่างที่ทรงตรัสว่า “เราเป็น” องค์เยโฮวาห์ยิเรห์จึงทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียมอย่างแท้จริง เป็นสิ่งอัศจรรย์ที่สุดที่ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงอยู่กับเราตั้งแต่ก่อนก่อร่างสร้างโลก ก่อนเราเกิด ทรงกำหนดแน่นอนอย่างไม่ผิดพลาดว่าผู้ใดจะเป็นพ่อเป็นแม่เรา ทรงจัดวางอย่างไม่ผิดพลาดว่าเราจะเกิดเป็นชนชาติใด ภาษาใด ทรงจับตาดูเราอยู่ในแต่ละย่างก้าวของชีวิต ทรงนับแม้กระทั่งเส้นผมหรือลมหายใจเข้าออกของเรา ทรงเก็บน้ำตาที่ไหลรินแต่ละหยดของเราอย่างใส่พระทัย หากฉันบรรยายต่อไป บรรยายอย่างไรก็ไม่หมดว่าพระองค์ทรงดีต่อเราเพียงใด รู้เพียงว่า ในบางครั้งที่แม้จะรู้สึกว่าก้าวผ่านบางชั่วโมงด้วยความยากลำบาก พระเจ้าก็ทรงจับตาดูเราอยู่ พระองค์ทรงรักเราและปรารถนาที่จะเทพระพรอันอุดมลงสู่ชีวิตของเรา ทรงให้เรานมัสการพระองค์ เพื่อพระพรที่ไม่ยั้งหยุดจะไหลหลั่งลงมาอย่างชื่นใจ ทรงให้เรารับใช้พระองค์ เพื่อให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จในชีวิตของเรา เพื่อบำเหน็จที่ไม่มีวันร่วงโรยซึ่งพระองค์ได้ทรงเตรียมไว้เพื่อเรา ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่รับใช้พระองค์ตามการทรงนำของพระองค์ เราก็จะไม่ขาดแคลนสิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นทีมงาน งบประมาณ แผนงาน และอื่นๆ

พระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการดีแล้ว พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ พระองค์กระทำให้สำเร็จผ่านเรา การที่พระองค์มีพระมหาบัญชาให้กับเรานั้น พระองค์มิได้สั่งแล้วสั่งเลย หากทรงจัดเตรียมปัจจัยอันแสนวิเศษมากมายไว้ให้แก่เรา

หากกล่าวถึงด้านคนหรือทีมงาน ความจริงคือ ไม่มีใครอยู่กับใครได้ตลอดชีวิต และการทรงเรียกของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน พระเจ้าอาจจะนำคนบางคนเข้ามาในชีวิตเรา เพื่อให้ร่วมงานกับเราในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วก็จากไปเพื่อทำในส่วนของเขา ส่วนเราก็ทำในส่วนของเรา ทว่า พระเจ้าทรงบอกวิธีเตรียมทีมงานด้วยการอ้อนวอนพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าของนาให้ส่งคนงานลงมา เมื่อเราอ้อนวอนอธิษฐาน พระวิญญาณก็จะทรงดลใจและนำใครบางคนที่มีนิมิตเดียวกันเข้ามาในชีวิตของเรา

หากกล่าวถึงด้านเงินหรืองบประมาณ ความจริงคือ พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง ทั้งคลังทรัพย์ของพระองค์นั้นบริบูรณ์เป็นอันมาก พระองค์ย่อมไม่หวงสิ่งดีอันใดไว้สำหรับคนที่รักพระองค์ เรื่องเงินจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับพระองค์ เมื่อมีพระองค์ก็มีทุกสิ่งจริงๆ หลายครั้งที่เมื่อต้องการงบประมาณสำหรับบางเรื่องที่พิเศษออกไป พระเจ้าก็ทรงมีวิถีทางที่เราคิดไม่ถึง และหลายครั้งเช่นกันที่คำอ้อนวอนของเราได้แตะต้องพระทัยพระองค์ การดลใจจึงเกิดขึ้นถึงใครบางคนที่มีของประทานในการถวายซึ่งอาจจะอยู่คนละมุมโลกกับเรา ให้เกิดภาระใจในการถวายอย่างเต็มใจ

หากกล่าวถึงด้านอุปกรณ์เครื่องมือ ความจริงคือ พระเจ้าทรงมอบแผนที่ชีวิตให้กับเรา ที่เป็นมากยิ่งกว่าอุปกรณ์ซะอีก สิ่งนั้นคือ พระคัมภีร์ เมื่อเราค้นดูอย่างตั้งใจในแต่ละบทแต่ละตอน และเลือกหยิบใช้อุปกรณ์ฝ่ายวิญญาณชิ้นนี้ด้วยใจอธิษฐาน โอ้โห! พี่น้องคะ เครื่องมือใดๆ ในโลกนี้ก็แทบจะเล็กน้อยลงไปเลยเชียว

หากกล่าวถึงด้านแผนงานน่ะหรือ ความจริงคือ พระเจ้าทรงประทานสติปัญญาให้เราคิดและวางแผนงานตามสถานการณ์ เมื่อเราทูลขอสติปัญญาจากพระองค์ คำว่าจนปัญญาจึงไม่มีสำหรับคนที่รักพระองค์เช่นกัน ทั้งในพระคัมภีร์เอง พระเจ้าก็ทรงให้แบบอย่างของนักวางแผนและนักปฏิบัติมากมายให้กับเรา

มิเพียงเท่านั้น พระเยซูยังทำให้เราดูอีกต่างหาก ทรงเป็นพระอาจารย์ เป็นแบบอย่างให้กับเราในทุกเรื่อง ขอย้ำอีกครั้งว่าในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการนมัสการ การอธิษฐาน การประกาศ การสั่งสอนเทศนา การปฏิบัติต่อคนในทุกชนชั้น และแบบอย่างอีกมากมาย ทั้งยังตรัสด้วยว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดี ทรงมอบไว้แก่เราแล้ว” (มธ.28:18) ว้าว! เมื่อถึงตรงนี้แล้วก็ยิ่งเห็นพระปัญญาอันเลิศล้ำของพระองค์ในฐานะจอมเจ้านาย พระองค์ทรงมอบสิทธิอำนาจให้กับผู้ทาสอย่างเราก่อน จากนั้น จึงทรงมีพระมหาบัญชาให้กับเรา “เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ (มธ.28:19-20ก) พระมหาบัญชาของพระองค์นั้น ทรงแจ้งรายการพันธกิจในการสร้างสาวกจากมวลประชาชาติไว้เป็นขั้นตอน คือ (1) ออกไป (2) ให้เขารับบัพติศมา (3) สอนเขาให้เชื่อฟังทุกสิ่งที่พระคริสต์ทรงสั่งไว้

ยิ่งไปกว่านั้น พระเยซูยังทรงอยู่กับเราเสมอ ดังที่ทรงตรัสว่า “เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” (มธ.28:20ข) เป็นถ้อยคำจากพระเยซูผู้ทรงฤทธิ์ที่ให้ความมั่นใจและมีฤทธิ์เดชของพระองค์แก่เรา พระองค์ไม่ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะเตรียมอะไรให้กับเราในการทำพันธกิจของพระองค์ ไม่ได้ทรงเตรียมทรัพย์ไว้ให้เรา ไม่ได้ทรงเตรียมทีมงานไว้ให้เรา ไม่ได้เตรียมแผนการไว้ให้เรา แต่ทรงมอบกุญแจแผ่นดินสวรรค์ไว้ให้กับเรา เพื่อให้ได้มาซึ่งทุกสิ่งที่จำเป็นทั้งสำหรับเราและสำหรับผู้อื่น ทรงมอบกุญแจเพื่อให้เราไขประตูแห่งแผ่นดินสวรรค์

พระเยซูผู้ซึ่งประทานพระองค์เองให้กับเรา ผู้ซึ่งบังเกิดเป็นมนุษย์ ผู้ซึ่งสิ้นพระชนม์ ผู้ซึ่งทรงพระชนม์ และผู้ซึ่งจะเสด็จมา พระเยซูผู้นี้ทรงอยู่กับเราเสมอไป ไม่ใช่เพียงแค่สิ้นลมหายใจ แต่ตลอดไป จนกว่าจะสิ้นยุค!

วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554

พระเยซูจะทรงทำสิ่งใด?

วันที่ 15/6/2011

What would Jesus do? พระเยซูจะทรงทำสิ่งใด เป็นหนังสือขายดีที่พลิกวิถีคิดของคนกว่า 15 ล้านคน เขาว่าเช่นนั้น สำหรับฉันแล้วประโยคนี้ประทับใจตั้งแต่ยังไม่ได้อ่านหนังสือ ฉันเองก็ถูกสอนมาว่า ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามให้อธิษฐานทูลถามพระเจ้าก่อน แต่นิสัยของฉันคือ ถามบ้าง ไม่ถามบ้าง ดังนั้น ในหลายครั้งจึงทำตามความคิดความต้องการของตนซะงั้น

การที่พระเยซูทรงสภาพเป็นมนุษย์เหมือนเราเนี่ย ทำให้เราเข้าใจพระองค์ได้มากขึ้น แน่นอนว่าสติปัญญาอย่างเราคงไม่สามารถเข้าใจพระองค์ได้ทั้งหมด แต่การที่เราได้เห็นพระกำเนิดของพระองค์ ตลอดจนพระราชกิจทั้งมวลของพระองค์ กระทั่งการตรึงตายบนไม้กางเขน คำถามที่ว่า “พระเยซูจะทรงทำสิ่งใด?” จึงให้ภาพที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

เพียงเริ่มต้นอ่านหนังสือเล่มดังกล่าวได้ไม่กี่บท ฉันก็รู้สึกได้ถึงกระแสแห่งการสามัคคีธรรมกับพระคริสต์ที่ไหลท่วมท้นใจ และสัญญากับตนเองว่า ไม่ว่าฉันจะทำอะไรก็ตาม ฉันจะถามคำถามนี้ก่อนว่า “พระเยซูจะทรงทำสิ่งใด?” แน่นอนว่าไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวในเรื่องนี้ และบ่อยครั้งไม่มีใครสามารถบอกเราได้ว่าสิ่งที่เราทำนั้นจะเป็นสิ่งเดียวกับที่พระเยซูจะทรงทำหรือไม่ ทว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงฤทธานุภาพทุกหน ทุกแห่ง ทุกเรื่อง จะทรงชี้นำเราได้ พระองค์จะชี้นำเราในบริบทของเรา ตามของประทานของเรา อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร แต่สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่พระเยซูจะทรงทำ

หนังสือเล่มหนึ่งกล่าวถึงของประทานที่พระเจ้าทรงใส่ไว้ในแต่ละคน โดยยกกรณีที่มีคนเดินชนถาดมหาสนิทบนโต๊ะซึ่งตั้งอยู่ในที่ประชุมนมัสการหล่นกระจาย และพระเยซูจะทรงทำสิ่งใดนะหรือ? คนที่มีของประทานด้านปรนนิบัติก็จะกุลีกุจอทำความสะอาด เก็บของให้เข้าที่ คนที่มีของประทานด้านบริหารจัดการ ก็จะจัดการให้มีการเตรียมถาดมหาสนิทใหม่ได้ทันเวลา รวมทั้งคิดวางแผนด้วยว่าควรจะตั้งถาดมหาสนิทอย่างไรเพื่อไม่ให้ใครเดินมาชนอีก คนที่มีของประทานด้านการหนุนใจ ก็ปลอบใจคนที่เดินชน เพราะเขาอาจจะเสียขวัญ คนที่มีของประทานด้านการสอน ก็อาจตักเตือนผู้เดินชนให้มีความระมัดระวังมากขึ้น เป็นต้น

ในฐานะสาวกของพระเยซู เมื่ออ่านจบแล้วฉันก็พบว่ายังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมากมาย และมีอีกหลายสิ่งที่ต้องหยุดทำเช่นเดียวกัน ทั้งนี้มิใช่เพียงเพราะว่าจะดิ้นรนกระเสือกกระสนให้พระเยซูพอพระทัย เพราะแรงจูงใจอันเป็นเหตุให้ฉันประสงค์เดินตามรอยพระบาทของพระองค์คือ เพราะฉันรักพระเยซู! ดังนั้น ฉันจึงปรารถนาที่จะเป็นเหมือนพระเยซู ฉันจะไม่ทำสิ่งใดโดยพลการ โดยที่ยังไม่ได้ถามก่อนว่า “พระเยซูจะทรงทำสิ่งใด?”

[ยน.16:13 เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัส สิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น]

วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วิถีของเราสูงกว่าทางของเจ้า

วันที่ 11/1/2010

อิสยาห์ 55:8-9 เพราะความคิดของเราไม่เป็นความคิดของเจ้า ทั้งทางของเจ้าไม่เป็นวิถีทางของเรา" พระเจ้าตรัสดังนี้ "เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเราสูงกว่าทางของเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าฉันนั้น"

เพื่อให้รู้ว่าเราต้องพึ่งพระองค์
เพื่อให้รู้ว่าเราต้องพึ่งพระองค์ พระเจ้าจะไม่ยอมเด็ดขาดเลย
ที่เวลาเราคิดอะไรแล้วเราก็ได้ตามที่เราคิด
เพราะเมื่อเราทำได้ตามที่เราคิด ตามกำลังของเรานั้น เราก็จะเย่อหยิ่งจองหอง
เนื่องจากกิเลสตัณหาที่อยู่ในร่างกายของเรา เนื่องจากเชื้อของความบาปที่ยังคงทำงานอยู่ในร่างกายความคิดเก่าๆ มันทำให้เราเย่อหยิ่งจองหอง พระเจ้าจึงไม่อนุญาตให้เราสำเร็จโดยวิธีการและการทำงานของเรา

ครูแมมเล่าให้ฟังว่า ชาวไร่ปลูกมันฝรั่งผู้รักพระเจ้า เผชิญกับภัยแล้งอย่างหนัก เขาได้ทูลขอต่อพระองค์ให้ฝนตก เพื่อที่มันฝรั่งซึ่งปลูกไว้จะได้เติบโตเกิดผล แต่ฝนก็มิได้ตกตามที่ทูลขอ ทว่า มันฝรั่งกลับเติบโตและเกิดผล โอ้โห! ฝนไม่ตก แต่ฝรั่งก็งอกได้ เห็นไหมคะ วิถีของพระเจ้า สูงกว่าทางของเรา ล้ำลึกเกินจินตนาการจริงๆ

เกลือของโลก

วันที่ 14/6/2011

ใครชอบกินเค็มบ้างเอ่ย ยกมือขึ้น…ว้าย! ฉันคนหนึ่งแหละไม่ชอบอาหารเค็ม แต่ถ้าไม่ใส่เกลือหรือน้ำปลาเลยเนี่ย ก็จะทำให้อาหารจืดชืดไม่อร่อยนะ

สมัยเด็กเคยฟังนิทานเรื่อง “เกลือ” มีเศรษฐีคนหนึ่งประกอบอาชีพล่องเรือใหญ่ค้าขายไปตามลำน้ำต่างๆ โดยมีลูกจ้างจำนวนหนึ่งบนเรือ ซึ่งในจำนวนนี้มีสาวใช้ 2 นาง นามว่า นางเม้าท์ และ นางจันทน์ ติดสอยห้อยตามไปด้วย และก็เป็นธรรมดาในละครน้ำเน่า เอ้ย! ในนิทาน ที่ต้องมีนางเอกและก็นางร้าย ด้วยว่าทั้ง 2 นางนั้น ความสวยก็สูสีกัน ทว่า นางเม้าท์นั้นจะสวยเปรี้ยว ขี้เกียจ และขี้อิจฉา ผิดกับนางเอกของเราคือ นางจันทน์ ที่สวยเรียบร้อย ขยัน และถ่อมใจ

แน่นอนว่าเศรษฐีย่อมโปรดปรานนางจันทน์ที่อ่อนหวานน่ารัก นอกจากนั้น ยังโปรดปรานฝีมือทำกับข้าวของนางจันทน์มากกว่าฝีมือของนางเม้าท์ซะอีก ทั้งๆ ที่นางเม้าท์อุตส่าห์ไปร่ำเรียนวิชาทำกับข้าวจากอาจารย์ยิ่งยงศักดิ์มาแล้ว

นางเม้าท์ร่ำเรียนวิชาทำกับข้าวจากอาจารย์ฝีมือดี แต่ก็ยังทำกับข้าวอร่อยสู้นางจันทน์ไม่ได้ วันหนึ่ง นางเม้าท์ก็แอบดูนางจันทน์ทำกับข้าว เห็นนางจันทน์ใส่เกลือลงไปในกับข้าวทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นแกงส้ม ต้มยำ น้ำพริก ผัดผัก และอื่นๆ วันต่อมา นางเม้าท์จึงอาสาแสดงฝีมือทำกับข้าวให้ท่านเศรษฐีบ้าง ซึ่งเศรษฐีก็สนองน้ำใจเธอเป็นอย่างดี

นางเม้าท์เข้าครัว ทำกับข้าวอย่างสุดฝีมือ โดยขโมยเกลือของนางจันทน์มาใส่ในกับข้าวทุกชนิด แต่เนื่องจากต้องการให้อร่อย ชนะใจท่านเศรษฐี นางเม้าท์จึงใส่เกลือไปหลายช้อน อาหารจึงออกมาแบบสุนัขไม่รับประทาน ท่านเศรษฐีโกรธมาก จึงไล่นางเม้าท์ออก และยกนางจันทน์ขึ้นมาเป็นภรรยาเคียงข้าง…นางจันทน์นั้น นอกจากจะทำกับข้าวเก่งแล้ว ยังค้าขายเก่งด้วย เธอนำเกลือที่มีอยู่ไปขายตามเมืองท่าต่างๆ รวมทั้งทำกับข้าวและขนมมากมายออกขาย ทั้งคู่จึงเจริญขึ้นทั้งชื่อเสียงและเงินทอง

แล้วจะเล่าทำไมเนี่ย ไม่เห็นจะเกี่ยวกับเราเลย…ถ้าอย่างนั้น ตามฉันมาละกัน!

เนื่องจากบ้านของฉันอยู่เขตจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตรก็เป็นมหาชัย และคราใดที่แวะเวียนไปคริสตจักรลูกอัมพวาก็จะได้เห็นนาเกลือเป็นอาณาบริเวณกว้าง เกลือเม็ดขาวกองเรียงรายราวผืนพรมอยู่ในนาสีโคลน ตัดกับฟากฟ้าสีคราม ยามใดที่ได้มองก็มีความสุขภายใน แต่ขณะเดียวกันก็ประหนึ่งว่ามองเห็นเหงื่อเม็ดโป้งของชาวนา และขอบคุณชาวนาเกลือที่ทำให้เรามีเกลือกิน เกลือเป็นสิ่งสามัญประจำบ้านที่ใครก็รู้จัก เพราะมีคุณประโยชน์อนันต์ แต่ก็มีโทษมหันต์นะคะหากใช้ปริมาณมากไป เช่น หากกินเกลือเป็นชามๆ ก็อาจต้องไปนอนอยู่ไอซียูที่รักของพยาบาลแอ๊ดเป็นแน่

ขณะเดียวกันฉันก็นึกถึงคำว่า “เราเป็นเกลือของโลก” ซึ่งเล็งว่าเกลือมีความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งในพระคัมภีร์

พระคัมภีร์กล่าวถึงเกลือไว้ในหลายมุม แสดงถึงความถาวร ความจงรักภักดี ความทนทาน ความสัตย์ซื่อ ประโยชน์ คุณค่า และการทำให้บริสุทธิ์ ทั้งยังมีการใช้เกลือในพิธีถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าอยู่เสมอ

เกลือซึ่งเป็นสิ่งสามัญประจำบ้านนี้ จึงมีประโยชน์ต่อมนุษย์ในโลก และมีคุณค่าสอดคล้องกับแผ่นดินสวรรค์ด้วย
1.ใช้เกลือปรุงอาหารและถนอมอาหาร ปรุงวาจาและถนอมวาจาให้งดงาม
หลายบ้านใช้เกลือหมักปลาร้า ทำอาหารตากแห้ง ดองอาหาร และอีกหลายประการ [โยบ 6:6 จะรับประทานสิ่งที่จืดโดยไม่ใส่เกลือได้หรือ หรือมะเขือมอญมีรสอะไรบ้าง] มิเพียงเท่านั้นเกลือยังให้ภาพของการปรุงวาจาและถนอมวาจาให้งดงามอีกด้วย เราในฐานะคริสเตียนจึงเป็นเกลือที่ช่วยปรุงความดีงามให้กับโลก [คส.4:6 จงให้วาจาของท่านประกอบด้วยเมตตาคุณเสมอ ปรุงด้วยเกลือให้มีรส เพื่อท่านจะได้รู้จักตอบให้จุใจแก่ทุกคน]

2.ใช้เกลือทำความสะอาดบาดแผล ทำความสะอาดทั่วไป รักษาโรค ปรับปรุงให้ดี
เกลือใช้ทำความสะอาดได้ดี ทั้งร่างกายภายในภายนอก รวมถึงข้าวของเครื่องใช้และบ้านเรือนของเราก็มีเกลือเป็นกลเม็ดเคล็ดไม่ลับในการดูแลรักษา ในพระคัมภีร์ให้ภาพประโยชน์จากเกลือตั้งแต่มนุษย์เกิดเลยทีเดียว [อสค.16:4 พูดถึงกำเนิดของเจ้า ในวันที่เจ้าเกิดมานั้นเขามิได้ตัดสายสะดือ และเขาก็มิได้ล้างชำระเจ้า มิได้เอาเกลือถู มิได้เอาผ้าพันเจ้าไว้]

ในพันธสัญญาเดิม พระเจ้ายังทรงอนุญาตให้ใช้เกลือกระทำน้ำให้ดี [2พกษ.2:21 แล้วท่านก็ไปที่น้ำพุ โยนเกลือลงในนั้นและกล่าวว่า "พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราได้กระทำน้ำนี้ให้ดีแล้ว ตั้งแต่นี้ไปจะไม่มีความตายหรือการแท้งลูกมาจากน้ำนี้อีก"] เช่นเดียวกับที่เราต้องเป็นเหมือนเกลือที่สร้างใจสะอาดภายในเรา เป็นศัตรูกับความบาปที่เน่าเฟะ และเราเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยจรรโลงสังคมที่ดีงาม

3.เกลือใช้เป็นปุ๋ยเพิ่มความร้อนให้กับต้นไม้
[ลก 14:34-35 "เกลือเป็นสิ่งดี แต่ถ้าแม้เกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ จะใช้เป็นปุ๋ยใส่ดินก็ไม่ได้ จะหมักไว้กับกองมูลสัตว์ทำปุ๋ยก็ไม่ได้ แต่เขาก็ทิ้งเสียเท่านั้น ใครมีหู จงฟังเถิด”] (มธ.5:13,มก.9:50) คริสเตียนต้องเป็นเกลือที่มีรสเค็มเสมอ เหมือนปุ๋ยที่ใส่ลงไปในดินแล้วทำให้ต้นไม้เจริญงอกงาม เราก็เปรียบดังปุ๋ยนั้นที่ไม่ว่าจะไปทำอะไรอยู่ที่ไหน ก็เป็นพรนำความเจริญงดงามไปสู่ที่นั่น เพราะมีชีวิตที่เกิดผลแห่งพระวิญญาณทั้ง 9 ประการ

4.เกลือใช้ระลึกถึงพันธสัญญา
พันธสัญญาเกลือ เป็นพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงกระทำกับชาวอิสราเอลที่ทำหน้าที่เป็นปุโรหิต สมัยนั้น อิสราเอลต้องถวายเครื่องบูชาให้กับปุโรหิต และปุโรหิตได้รับอนุญาตให้นำเครื่องบูชาเหล่านั้นไปรับประทานได้ แต่ปุโรหิตจะไม่ได้รับทศางค์จากอิสราเอล เพราะคนที่จะได้รับทศางค์จะเป็นพวกเลวี

อิสราเอลจะถวายเครื่องบูชา โดยใช้เกลือเป็นเครื่องชำระ ดังนั้น เกลือจึงเป็นความหมายว่า "ชำระ" นั่นคือ ชำระเครื่องบูชา ชำระชีวิตของเราให้บริสุทธิ์ ให้สะอาด [เลวีนิติ 2:13 "เจ้าจงปรุงบรรดาธัญญบูชาด้วยใส่เกลือ เจ้าอย่าให้เกลือแห่งพันธสัญญากับพระเจ้าของเจ้า ขาดเสียจากธัญญบูชาของเจ้า เจ้าจงถวายเกลือพร้อมกับบรรดาเครื่องบูชาของเจ้า"] มีพระคัมภีร์อีกหลายตอนที่กล่าวถึงเกลือแห่งพันธสัญญานี้ เช่น อสค.43:24, อพย.30:35, กดว.18:19 เป็นต้น

ในสมัยโบราณ เกลือเป็นเครื่องหมายของมิตรภาพระหว่างสองฝ่าย เป็นเครื่องหมายแสดงถึงความจงรักภักดีและการปกป้อง คือ สัญญาที่บ่งบอกถึงความจงรักภักดี สัตย์ซื่อมั่นคง และเป็นสัญญาที่ถาวรยืนนาน คนในตะวันออกกลางใช้คำว่า “มีเกลืออยู่ระหว่างเรา” ดังนั้น ในสมัยพระคัมภีร์ พันธสัญญาเกลือก็คือทั้งสองฝ่ายจะรักษาคำมั่นสัญญาด้วยชีวิตของเรา เช่นเดียวกับที่เราเองเทใจรับการชำระให้สะอาดโดยพระคุณ และให้คำมั่นสัญญากับพระเจ้าว่าเราจะจงรักภักดี สัตย์ซื่อมั่นคงกับกับพระองค์ เป็นเกลือของแผ่นดินโลกตามน้ำพระทัยของพระองค์ ตราบทั้งชีวิตของเรา

จริงๆ แล้ว เรื่องพันธสัญญาเกลือนี้ยังมีความลึกซึ้งจับใจอีกหลากหลายมิติ ซึ่งท่านสามารถสอบถามได้จากกูรูผู้รู้และศิษยาภิบาลของท่านนะคะ…พระเจ้าอวยพรคะ!

อ้างอิง: บทเรียนเรื่องเกลือ โดย พรสวรรค์ จิตต์แจ้ง คจ.ตรัง, http://www.followhissteps.com/web_christianstories/Sermons/foryou2009_08_16.html

สอบตก

วันที่ 15/6/2011

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ได้รับใช้พระเจ้าร่วมกับทีมงานคริสตจักรลูกอัมพวา หลังจากนมัสการร่วมกันแล้ว เราแต่ละคนก็แยกย้ายกันรับใช้ในหน้าที่ต่างๆ พี่อ้อยกับพี่ปุ๊ยสอนภาษาอังกฤษ พี่วรรณกับพี่แอ๊ดเตรียมอาหารและเครื่องดื่ม พี่ติ๊กกับพี่วีดูแลความเรียบร้อยทั่วไป พี่โอนำฉันกับพี่ปรีดาออกเยี่ยมเยียนผู้เชื่อ เดินอธิษฐาน และฉวยโอกาสในการประกาศข่าวประเสริฐบริเวณตลาดน้ำอัมพวาด้วย

เมื่อถึงร้านค้าแห่งหนึ่ง ฉันต้องการซื้อลูกบอลเล็กลายแผนที่โลก ซึ่งผู้ทำมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการบีบเล่นคลายกล้ามเนื้อมือ ลูกบอลมีหลากลาย หลากสีสรร และมีรูปทรงหัวใจด้วยนะ แต่ฉันสนใจลายรูปโลกอย่างเดียวเลย ฉันเคยซื้อมาครั้งหนึ่งแล้วกับหญิงสาววัยรุ่นอัธยาศัยดีคนหนึ่ง แต่คราวนี้สาวรุ่นผู้นั้นไม่อยู่ซะแล้ว กลับกลายเป็นชายสูงวัยหน้าตาหงุดหงิดมาขายแทน แน่นอนว่าเมื่อซื้อของก็ย่อมต้องอยากได้ของดีที่สุด แต่ลูกบอลที่พ่อค้านำมาขายนั้นเหมายกโหลมา จึงมีดีบ้างมีตำหนิบ้างเป็นธรรมดา บางลูกลายหายไปเกือบครึ่ง บางลูกมีรูพรุนใหญ่ เมื่อฉันขอเลือก ลุงจึงไม่ค่อยพอใจนัก แต่ก็อนุญาตอย่างเสียมิได้ ฉันเลือกอย่างใจจดใจจ่อ จนลุงบอกว่าหยิบๆ ไปเถอะ และลุงก็เอื้อมมือมาช่วยหยิบ แต่เจ้าลูกบอลกลมๆ กลับกลิ้งลงคลองซะนี่ แต่ฉันก็ไม่สนใจ ยังคงเลือกต่อไป ก็ฉันไม่ได้ทำมันตกนี่นา ลุงเริ่มหงุดหงิดมากขึ้น “หยิบๆ ไปเถอะ ไม่ต้องเลือกมาก นั่นไง เห็นไหม หล่นน้ำไปแล้วลูกนึง” ฉันก็ไม่สนใจ ยังคงเลือกต่อไป ในใจก็คิดว่า ‘ก็ฉันไม่ได้ทำตกนี่นา’

เมื่อเลือกได้ครบจำนวนที่ต้องการแล้วก็ชำระเงินตามระเบียบ แต่พี่โอซึ่งยืนรออยู่ใกล้ๆกลับรีบกระวีกระวาดในการนำลูกบอลมาคืนลุง แต่ลุงไม่มีที่ตัก พี่โอจึงไปยืมสวิงมือยาว เอ้ย! ด้ามยาวมาจากร้านค้าใกล้ๆ และตักลูกบอลขึ้นมาให้ลุง

เหตุการณ์ที่เล่าให้ฟังข้างต้นมันเกิดขึ้นภายในเวลาอันรวดเร็ว จนฉันก็แทบไม่คิดอะไร จนกระทั่งขณะเดินรั้งท้ายพี่ชายทั้ง 2 คนไปนั้น พลันก็นึกถึงลุง และก็รู้สึกทันทีว่าตัวฉันมีความรักน้อยเหลือเกิน ฉันนึกถึงประโยคหนึ่งที่เคยได้ยินประจำคือ “ถ้าพระเยซูทรงพบเหตุการณ์เช่นเดียวกับเรา พระองค์จะทรงทำสิ่งใด” ประโยคนี้ได้มาจากหนังสือเรื่อง “What would Jesus do” ซึ่งถูกแปลเป็นไทยโดยศูนย์ทีรันนัสในชื่อ “ตามรอยพระบาท” หนังสือเล่มนี้พิมพ์มาตั้งแต่ปี 2004 หลายคนคงอ่านแล้ว แต่ฉันยังไม่ได้อ่านเลย ซื้อมาแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน รอคิวที่จะอ่านอยู่เหมือนกัน หลายคนยืนยันว่าหนังสือเล่มนี้ดีมาก

ฉันหวังใจว่าจะเดินกับพระเยซู ฉันปรารถนาที่จะเดินตามรอยพระบาทพระองค์ ถ้าพระเยซูทรงพบเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้เหมือนฉัน พระองค์คงไม่ทำแบบฉันเป็นแน่…ทำไมนะ กับลูกบอลเล็กๆ ลูกหนึ่ง ที่ถึงแม้ฉันจะไม่ได้ทำมันตกน้ำ ฉันก็ต้องแสดงความช่วยเหลือด้วยการเอามันขึ้นมาจากน้ำไม่ใช่หรือ หรือหากว่าสุดวิสัยไม่สามารถนำมันขึ้นมาได้ ฉันก็ต้องแสดงความมีน้ำใจด้วยการจ่ายค่าลูกบอลนั้นให้ลุงไม่ใช่หรือ และปฏิกิริยาในใจที่ฉันตอบโต้กับลุง ก็ควรจะอ่อนสุภาพแบบเดียวกับพระเยซูไม่ใช่หรือ

วันนั้น ฉันจึงสอบตกเรื่องความรัก!

ถึงอย่างไรก็จะทำ

วันที่ 16/4/2011

เหตุการณ์สึนามิที่ญี่ปุ่นทำให้คนทั่วโลกได้ทึ่งกับคุณภาพประชากรของญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก ซึ่งฉันจะไม่กล่าวซ้ำอีกในที่นี้ แต่สิ่งที่ประทับใจอีกประการและอดจะแบ่งปันไม่ได้คือ การที่คนงานจำนวนหนึ่งต้องกลับไปทำงานในเขตกัมมันตภาพรังสีต่อไปอีกเป็นแรมปี และสิ่งหนึ่งที่พวกเขาทำ คือ การนำเซลล์เม็ดเลือดไปฝากไว้ที่โรงพยาบาล ก่อนที่จะเข้าไปทำงาน เพื่อว่าเมื่อเขาต้องเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวขึ้นมาละก็ เซลล์เม็ดเลือดที่ฝากไว้ก็จะนำมารักษาตัวเองได้!

ทึ่งไหมละคะ ทั้งๆ ที่รู้ว่าอันตรายมาก ก็ยอมเสี่ยงชีวิตเข้าไปทำงาน ด้วยตระหนักในหน้าที่และความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและต่อสังคม

อดไม่ได้ที่จะนึกถึงอาจารย์เปาโล ซึ่งแม้รู้ว่ามีความทุกข์และอันตรายรออยู่ข้างหน้า ท่านก็ยินดีที่จะเดินทางไปประกาศข่าวประเสริฐกับชาวต่างชาติ

ท่านอิสยาห์ ยังคงประกาศ เพราะพระเจ้าบอกให้ประกาศ แม้ว่าประชาชนฟังแล้วฟังเล่าแต่ไม่เข้าใจก็ตาม

ท่านเยเรมีย์ ทำเรื่องประหลาดหลายอย่างด้วยความเต็มใจ เพราะพระเจ้ารับสั่ง…ถ้าพระเจ้าสั่งให้ฉันทำเรื่องประหลาด ฉันคงเป็นคนหนึ่งแหละที่อาจจะบอกว่า “ขอคิดดูก่อนนะคะพระเจ้า” แหะ แหะ ขอพระเจ้าช่วยให้ฉันกลับใจด้วย

ท่านอิสยาห์ ท่านเยเรมีย์ ท่านเอเสเคียล ผู้เผยพระวจนะที่ได้รับการตอบสนองเชิงบวกน้อยมาก ความสำเร็จของพวกเขาไม่ขึ้นอยู่กับว่าประชาชนตอบสนองดีหรือไม่ แต่ขึ้นอยู่กับการเชื่อฟังพระเจ้า และการทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ
พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราเชื่อฟัง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด แม้เราจะไม่ชอบในสิ่งที่พระเจ้าทรงสั่งให้เราทำ อย่าให้ความรู้สึกขัดขวางการเชื่อฟังของเรา

อย่าได้ลืมการทรงเรียกอันสูงส่งของพระเจ้า ด้วยการดำเนินชีวิตมิให้ตกต่ำในความบาป ต้องประกาศและสร้างสาวก ต้องดูแลลูกแกะ เพราะเราเป็นผู้นำ พระเจ้ามอบหมายให้นำผู้อื่น แม้ต้องเสียสละความสุข ความสนุก เวลา และเงินส่วนตัว เราต้องรับผิดชอบผู้ที่ตามมา คนทั่วไปแสวงหาความสุข แต่ผู้รับใช้พระเจ้าต้องสละความสุขบนโลกนี้ เพื่อรับความสุขนิรันดร์ในแดนเบื้องบน (ขออภัยคะ จำแหล่งที่มาไม่ได้)

เชี่ยวชาญในการดี…มีปัญญา

วันที่ 29/10/2010

ฉันเป็นคนที่ด้อยความสามารถทางด้านทักษะอันควรหลายด้านด้วยกัน อาทิ ด้านคณิตศาสตร์/สถิติ/บัญชี ด้านวิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ด้านดนตรี ด้านกีฬา และด้านเครื่องยนต์กลไก ทั้งนี้ มิได้หมายความว่าฉันมีความเก่งในด้านอื่นๆ ที่เหลือนะคะ เพียงแต่ว่าทักษะข้างต้นที่กล่าวมานั้น เป็นสิ่งที่ยากสำหรับฉันจริงๆ ฝึกอย่างไร เข็นอย่างไร ก็ไม่ได้สักที อันคำคมที่ว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น” จึงใช้ไม่ค่อยได้ผลสำหรับฉัน

ผู้ที่มีความสามารถรอบด้าน หยิบจับอะไรก็เกิดผลทุกสิ่ง อาจจะไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันเป็นนัก แต่ในเมื่อฝึกแล้วฝนแล้วไม่ได้ ฉันก็จำเป็นต้องหยุด เพราะฝึกฝนไปก็กลายเป็นความทุกข์ใจ ไร้สันติสุข ต้องยอมรับว่าไม่ใช่ของประทานของฉัน ถ้าฉันเก่งไปซะทุกอย่าง ฉันคงหล่นลงในความบาปแห่งความเย่อหยิ่ง สิ่งที่พระเจ้าไม่ได้ให้นั้น ฝึกอย่างไรทำไม่ได้ แต่สิ่งใดที่พระเจ้าทรงประทานให้ ฝึกเพียงเล็กน้อย หรือในบางกรณีไม่ต้องฝึกเลย ก็สามารถทำได้ ทำเป็นอย่างอัตโนมัติ (เป็นประสบการณ์ส่วนตัวนะคะ บางคนอาจแตกต่างออกไป) แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันขอพระเจ้าเสมอ และไม่ยอมย่อท้อในการฝึกฝนอย่างเด็ดขาด! เพราะสิ่งนั้นเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ก็คือการฝึกฝนให้เชี่ยวชาญในการดีทั้งปวง [รม.16:19 การซึ่งท่านทั้งหลายได้เชื่อฟังก็เลื่องลือไปถึงหูคนทั้งปวงแล้ว ข้าพเจ้าจึงมีความยินดีเพราะท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าใคร่ให้ท่านเชี่ยวชาญในการดี และให้เป็นคนทึ่มในการชั่ว]

การดีทั้งปวงย่อมเริ่มมาจากใจที่บริสุทธิ์ ดีงาม มีปัญญา [สภษ.4:23 จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้านเพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ]

กษัตริย์ซาโลมอนผู้มั่งคั่ง ร่ำรวย รูปหล่อ และเฉลียวฉลาดที่สุดในโลก ได้ทูลขอสติปัญญาจากพระเจ้า และให้คุณค่าของปัญญาอย่างมากมาย ดังปรากฎหลายครั้งในพระธรรมสุภาษิต [สภษ.4:7-8 ที่เริ่มต้นของปัญญาเป็นอย่างนี้คือ จงเอาปัญญา แม้เจ้าจะได้อะไรก็ตาม จงเอาความรอบรู้ไว้ จงตีราคาปัญญาให้สูง และปัญญาจะยกย่องเจ้า ถ้าเจ้ากอดปัญญาไว้ ปัญญาจะให้เกียรติเจ้า]

พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราทั้งหลายดำเนินชีวิตอย่างผู้เชี่ยวชาญในการดี แสวงหาปัญญาและความเข้าใจแห่งพระองค์ ดังนั้น หากผู้ใดขาดสติปัญญา ก็ให้ผู้นั้นทูลขอจากพระเจ้า ฉะนั้นแล้ว ฉันจึงไม่รีรอที่จะทูลขอจากพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำอีก [ยก.1:5 ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญาก็ให้ผู้นั้นทูลขอจากพระเจ้า ผู้ทรงโปรดประทานให้แก่คนทั้งปวงด้วยพระกรุณาและมิได้ทรงตำหนิ แล้วผู้นั้นก็จะได้รับสิ่งที่ทูลขอ]

อันปัญญา มากมาย ในโลกา
ก็ไร้ค่า หากเทียบกับ ปัญญาพระเจ้า
อันความรู้ มากมาย ในหมู่เรา
เป็นเพียงเงา ที่เลือนลาง ต่างจากพระองค์
จึงทูลขอ ปัญญา จากพระเจ้า
มุ่งหมายเอา พระปัญญา ดังประสงค์
จะอย่างไร ก็ไม่ท้อ จะมั่นคง
ถวายองค์ ราชัน ด้วยปัญญา

[สดด.111:10 ความยำเกรงพระเจ้าเป็นที่เริ่มต้นของสติปัญญา บรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามก็ได้ความเข้าใจดี การสรรเสริญพระเจ้าดำรงอยู่เป็นนิตย์]

ฟังใจ

วันที่ 7/5/2010

การผจญภัยล่าสุดในดินแดนพันธสัญญาเดิมนั้น ฉันได้เดินทางมาพบกับโยบ ชายผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ในแต่ละครั้งที่เดินทางมาพบโยบ หรือในแต่ละครั้งที่ได้ยินเรื่องราวของโยบ ก็จะมีบทเรียนใหม่มาให้เสมอ และครั้งนี้ก็เช่นกัน

โยบถูกทดลองอย่างหนักในชีวิต ครั้งแรกซาตานจู่โจมภายนอก คือสูญเสียทรัพย์สมบัติ บริวาร และลูกอันเป็นที่รัก ครั้งที่สองโยบถูกจู่โจมด้วยโรคร้ายรุมเร้า โยบสูญสิ้นแล้วทุกสิ่ง แต่โยบยังสรรเสริญเสมอ เพราะอย่างไรเสีย ก็ยังมีชีวิตอยู่

ในสถานการณ์เช่นนี้ บุคคลใกล้ชิดควรอยู่เคียงข้างและให้กำลังใจ แต่กลับกลายเป็นว่าภรรยายุให้โยบแช่งด่าพระเจ้า เพื่อน 3 คน ที่เดินทางไกลมาก็มิได้ปลอบประโลม แต่กลับประณามว่าเขามีความบาป อย่างไรก็ตาม โยบยืนยันว่าเขาบริสุทธิ์

ความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นมิได้เกิดจากความบาปเสมอไป เรามิอาจรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพระเจ้าและซาตาน แต่ตราบใดที่เรายังวางใจพระเจ้า ความทุกข์ยากก็ไม่สามารถทำให้เราขาดจากความรักของพระองค์ได้

ฉันรู้สึกขอบคุณพี่น้องจำนวนมากที่หนุนจิตชูใจฉันด้วยความรัก มีความหวังใจ และเชื่อในส่วนดีของฉันเสมอ หลายครั้งที่ฉันตกอยู่ในช่วงเวลาของความทุกข์ยากบางประการ ก็มีพี่น้องที่แสดงความเห็นใจ ปลอบโยน และอธิษฐานเผื่อ โดยไม่ต้องมาเซ้าซี้ถามว่าไปทำผิดบาปอะไรมา…แม้บางครั้งการกระทำก็อาจจะผิดพลาด หรือขัดหูขัดตามบ้าง แต่พี่น้องก็เชื่อว่าพระเจ้าจะทำให้ฉันดีขึ้นได้ พี่น้องยังพร้อมที่จะรับฟังปัญหาที่น่าเบื่อหน่ายจากฉันด้วย พี่น้องเชื่อในพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับฉัน พี่น้องจึงปลอบใจฉัน ฟังที่หัวใจของฉัน ฟังเหมือนที่พระเยซูทรงฟังฉัน

ขอบพระคุณพระเจ้า! ขอบคุณพี่น้องทุกคนเหลือเกิน

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ไฮเทคดีไหม

วันที่ 4/9/2010

วันที่ 03 กันยายน พ.ศ. 2553 เวลา 10:17:49 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์; ข้อมูลจากประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ประจำวันที่ 3/9/2010 ระบุว่า ผลวิจัยวัยรุ่นไทยกวาดแชมป์ใช้มือถือสูงสุดในเอเชีย จ้อตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นยันพระอาทิตย์ตก แถมวัยรุ่นไทยมีเพื่อนในเครือข่ายสังคมออนไลน์อันดับหนึ่ง สถิติการมีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะของเด็กไทยยังสูงที่สุดในเอเชียอีกด้วย ร้อยละ 23 ของวัยรุ่นไทยบอกอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมือถือ

หากกล่าวถึงผู้ใช้ระบบออนไลน์โดยรวมในทุกเพศทุกวัย พบว่า ชาวเอเชียมีแนวโน้มการท่องเว็บเพื่อส่งอินสแตนซ์เมสเซจ ฟังเพลง ดูคลิปวีดีโอและเล่นเกมออนไลน์เป็นหลัก ขณะที่ผู้ใช้ในแดนแซมบ้าและแดนหมีขาวกลับใช้เพื่อค้นหาข้อมูลและรับ-ส่งอีเมลมากกว่า ซึ่งเป็นเป็นแบบแผนเดียวกับผู้บริโภคในประเทศพัฒนาแล้ว ผลการสำรวจชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่าแรงจูงใจของการใช้อินเตอร์เน็ตของชาวเอเชียคือ ความบันเทิง ส่วนแรงผลักดันในตลาดโตเต็มที่แล้ว คือ ธุระการงาน

ภาพผู้โดยสารบนรถโดยสารสาธารณะทั้ง รถไฟฟ้าบนดิน ใต้ดิน หรือแม้แต่รถตู้ รถเมล์ ที่เสียบหูฟังเครื่องเล่นเพลงพร้อมกดโทรศัพท์มือถืออัพเดตข้อมูลข่าวสาร เล่นเกมส์ เล่น facebook, Twitter หรือบางครั้งก็ดูทีวีชมละครออนไลน์ ดูจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาของชีวิตเมืองกรุงที่เร่งรีบ

นิวยอร์ก ไทมส์รายงานว่า สมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ไปแล้วสำหรับชีวิตอเมริกันชน ไม่ว่าจะใช้เพื่อติดต่อธุรกิจหรือเพื่อบรรเทาความเบื่อหน่ายก็ตาม เทคโนโลยีอาจช่วยให้งานเสร็จเร็วขึ้น และสร้างความบันเทิงให้มนุษย์ แต่นักวิทยาศาสตร์ได้ออกมาเตือนถึงผลข้างเคียงที่อาจคาดไม่ถึง โดยชี้ว่า เมื่อผู้คนทำให้สมองมีงานยุ่งอยู่ตลอดด้วยสัญญาณดิจิทัล เขากำลังสูญเสียเวลาพักผ่อนที่สำคัญต่อการเรียนรู้และจดจำข้อมูลหรือสร้างสรรค์ไอเดียใหม่ ๆ
ดังนั้น เราหลบเลี่ยงจากอุปกรณ์ไฮเทค มานิ่งสงบอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้ากันดีกว่า!

นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก พบว่า เมื่อหนูทดลองพบประสบการณ์ใหม่ ๆ อาทิ สำรวจพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย สมองของพวกมันจะทำงานในรูปแบบที่ต่างออกไป แต่คลื่นสมองจะเปลี่ยนความรู้ใหม่ๆ ดังกล่าวเป็นความทรงจำแบบถาวรก็ต่อเมื่อหนูพวกนั้นหยุดพักจากการสำรวจแล้วเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ากระบวนการเรียนรู้และจดจำของคนก็มีขั้นตอนไม่ต่างกัน

ลอเรน แฟรงค์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาประจำสถานศึกษาดังกล่าวระบุว่า "เวลาพักผ่อนคือช่วงที่สมองใช้ทบทวนสิ่งที่มันได้พบเจอมาและเปลี่ยนให้เป็นความทรงจำแบบถาวร ถ้าเรากระตุ้นให้สมองต้องทำงานตลอดเวลากระบวนการเรียนรู้เช่นนั้นจะไม่เกิดขึ้น"

งานวิจัยอีกชิ้นจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนก็สอดคล้องกัน โดยพบว่า คนเราจะเรียนรู้หลังจากใช้เวลาท่ามกลางธรรมชาติได้ดีกว่าหลังจากอยู่ในสภาพแวดล้อมอึกทึกครึกโครม การศึกษาชิ้นนี้ชี้ให้เห็นว่าการรับข้อมูลข่าวสารเข้าไปมาก ๆ ทำให้สมองอ่อนเพลียได้

โดยมาร์ค เบอร์แมน นักประสาทวิทยาจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนกล่าวว่า "ผู้คนที่อาศัยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นเครื่องฆ่าเวลา เข้าใจว่าตัวเองกำลังผ่อนคลายสมอง แต่ที่จริงแล้วพวกเขากำลังเร่งให้สมองเหนื่อยล้าขึ้นต่างหาก"

เมื่อทราบดังนี้แล้ว ก็ต้องคิดทวนกันดีๆ อีกครั้งว่า
-จะเปิด BB-Bible หรือจะเล่น BB-blackberry
-จะเปิด Faith Book หรือจะเล่น facebook
-จะพักผ่อนอย่าง “สำราญใจ” หรือจะเลือกสิ่ง “รำคาญใจ”

ขอบคุณพระเจ้า ผู้เชื่อจำนวนมากมีจุดยืน เลือกในสิ่งที่ชอบพระทัยพระเจ้า ใช้อุปกรณ์ไฮเทคอย่างเกิดประโยชน์ แต่เด็กๆ และอนุชนรุ่นใหม่นี่สิ น่าเป็นห่วงยิ่งนัก!

หวังใจ

วันที่ 26/1/2010

“สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ผู้ได้ทรงพระมหากรุณาแก่เรา ทรงโปรดให้เราบังเกิดใหม่ เข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่ โดยการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์” (1 ปต.1:3)

ฉันเคยผิดหวังเสียใจและนึกตำหนิกับบรรดาผู้นำคริสตจักร ผู้สอนพระคัมภีร์ ตลอดจนผู้รับใช้พระเจ้าจำนวนมาก ทั้งๆ ที่บางคนนั้น ฉันก็ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว เพียงแต่ได้ยินและรับทราบเรื่องราวความผิดพลาดของพวกเขาเท่านั้น

ตรงกันข้าม ฉันไม่เคยผิดหวังหรือนึกตำหนิในการกระทำเดียวกัน ลักษณะเดียวกัน หากเกิดขึ้นในคนทั่วไป ทำให้ต้องกลับมาถามตัวเองว่า เป็นเพราะเหตุใดกันแน่…และก็ได้คำตอบว่า ทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นเกี่ยวข้องกับการคาดหวัง เมื่อเราคาดหวังกับผู้คนหรือสถานการณ์ใดแล้ว แต่ผู้คนหรือสถานการณ์นั้นไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังหรือคิดไว้ จึงนำมาซึ่งความผิดหวัง…เมื่อคาดหวังมาก ก็ผิดหวังมาก เมื่อคาดหวังน้อย ก็ผิดหวังน้อย เมื่อไม่คาดหวัง ก็ไม่ต้องผิดหวัง

ความผิดหวังนำมาซึ่งความเสียใจ เมื่อเสียใจมาก ดวงใจก็แตกสลาย ไม่มีสันติสุขทั้งภายนอกและภายใน [สภษ.15:13 ใจที่ยินดีกระทำให้ใบหน้าร่าเริง แต่โดยความเสียใจดวงจิตก็สลายลง] ฉันไม่ชอบอยู่กับความเสียใจ ฉันจึงพยายามอย่างมากที่ผ่านพ้นช่วงเลวร้ายนั้นไปให้ได้ บ่อยครั้งที่ฉันร้องไห้ออกมา และฉันก็บ่นด้วย (การบ่นไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องนะคะ โปรดอย่าเลียนแบบ) พระเจ้าไม่ชอบคนบ่น เพราะนั่นหมายถึงการไม่วางใจ แต่พระองค์ทรงปรารถนาให้เราระบายความในใจต่อพระองค์ [สดด.62:8 ประชาชนเอ๋ย จงวางใจในพระองค์ตลอดเวลา จงระบายความในใจของท่านต่อพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยของเรา]

อย่างไรก็ดี ความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้าก็มีประโยชน์ กระทำให้เกิดความกระตือรือร้น ขวนขวายที่จะแก้ตัวใหม่ [2คร.7:10 เพราะว่าความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้า ย่อมกระทำให้กลับใจใหม่ ซึ่งนำไปถึงความรอดและไม่เป็นที่น่าเสียใจ แต่ความเสียใจอย่างโลกนั้นย่อมนำไปถึงความตาย]

แน่นอนว่ามีหลายวิธีในการรับมือกับความเสียใจ ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลและสถานการณ์ เพียงแต่ฉันขอแบ่งปันวิธีการรับมือกับความเสียใจในผู้คนและสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปดังที่คาดหมายไว้ ดังนี้

1.สารภาพบาปต่อพระองค์ ที่มีใจนึกตำหนิ และคิดล้ำหน้าพระเจ้า ขอการยกโทษและชำระใจจากพระองค์ ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะไปตำหนิผู้อื่น หรือคาดหวังจนเกินความจำเป็น [สดด.51:10 ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงสร้างใจสะอาดภายในข้าพระองค์และฟื้นน้ำใจที่หนักแน่นขึ้นใหม่ภายในข้าพระองค์]
2.อธิษฐานอวยพรผู้คนและสถานการณ์ที่ทำให้เราเสียใจ
3.เปลี่ยนจากคาดหวังเป็นหวังใจ [รม.5:5 และความหวังใจมิได้ทำให้เกิดความเสียใจเพราะผิดหวัง เพราะเหตุว่าความรักของพระเจ้าได้หลั่งเข้าสู่จิตใจของเรา โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว]
4.มีความอดทนเพื่อให้เกิดความหวังใจ [รม.5:4 และความอดทนทำให้เห็นว่าเราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ และการที่เราเห็นเช่นนั้นทำให้เกิดมีความหวังใจ]
5.หวังใจในพระเจ้า มิใช่คาดหวังในมนุษย์ [สดด.33:22 ข้าแต่พระเจ้า ขอความรักมั่นคงของพระองค์ จงอยู่เหนือข้าพระองค์ทั้งหลาย ตามที่ข้าพระองค์หวังใจในพระองค์] พระเจ้าไม่เคยทำให้เราผิดหวัง ในขณะที่มนุษย์อาจทำให้เราผิดหวังได้
6.รอคอยพระเจ้า [พคค.3:26 เป็นการดีที่จะหวังใจและรอคอย ความรอดจากพระเจ้า] ปลูกความเชื่อที่มีต่อพระเจ้าผู้ทรงไม่ประจักษ์แก่ตา [รม.8:24-25 เหตุว่าเราทั้งหลายรอดแม้เป็นเพียงความหวังใจ แต่ความหวังใจในสิ่งที่เราเห็นได้ หาเป็นความหวังใจไม่ ด้วยว่าใครเล่าจะยังหวังในสิ่งที่เขาเห็น แต่ถ้าเราทั้งหลายคอยหวังใจในสิ่งที่เรายังไม่ได้เห็น เราจึงมีความเพียรคอยสิ่งนั้น]
7.ทำงานอย่างเต็มกำลัง ท้อได้แต่ไม่ถอย [1ทธ.4:10 เหตุที่เราตรากตรำทำงานและทนสู้ ก็เพราะว่าเรามีความหวังใจในพระเจ้าผู้ดำรงพระชนม์ พระผู้ช่วยให้รอดของคนทั้งปวง โดยเฉพาะของผู้ที่เชื่อในพระองค์]

พระเจ้าตรัสว่า เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า” (ยรม.29:11)

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เคลียร์เร็ว

เคลียร์เร็ว
วันที่ 24/5/2011

หลายท่านคงได้ผ่านสายตากับโฆษณาวลีที่ว่า “มาเร็ว เคลมเร็ว” ของบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่ง ซึ่งหมายถึงการที่เขาโฆษณาว่าหากมีเหตุเกิดกับลูกค้าแล้ว เจ้าหน้าที่ของบริษัทจะเร่งมาถึงจุดเกิดเหตุโดยเร็ว รวมถึงการที่ลูกค้าจะได้รับบริการอย่างดี หากรถเสียหายก็ซ่อมให้อย่างรวดเร็ว หรือหากต้องมีการชดใช้ใดๆ ก็ได้รับการชดใช้โดยเร็ว…การชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวนั้นเรียกว่า การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือ “เคลม” (Claim) นั่นเอง

การเอาใจเขามาใส่ใจเรานั้นเป็นสิ่งที่งดงาม เมื่อเราเอาใจมาใส่ใจแล้ว เราจะเข้าใจผู้อื่น ดังเช่นที่บริษัทดังกล่าวเข้าใจความต้องการของลูกค้าและต้องการตอบสนองความต้องการของลูกค้าด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งสิ่งนี้เป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับชีวิตเราเช่นกัน

ครูแมมแบ่งปันให้ฟังว่ามัคนายกฝ่ายการเงินของคริสตจักรเป็นปลื้มมากที่ครูแมมนำเงินทดรองพันธกิจลูกน้ำยืนไปเคลียร์อย่างรวดเร็วครบถ้วน ถูกต้อง ครูแมมแบ่งปันว่าเรียนรู้สิ่งนี้มาจาก YWCA และพี่เตือนก็มีส่วนอย่างมากในความดีนี้

ในแวดวงธุรกิจนั้น เมื่อมีการทดรองเงินหรือหยิบยืมสิ่งใดจากใครก็ตาม ต้องนำมาเคลียร์นำมาคืนภายในเวลาที่กำหนด มิฉะนั้น จะไม่สามารถเบิกเงินทดรองครั้งต่อไปได้ หรือหากเป็นกรณีหยิบยืม ผู้ยืมก็จะไม่เชื่อใจเราอีกต่อไป

สรรเสริญพระเจ้าสำหรับมัคนายกจำนวนมากที่อุทิศตนรับใช้พระเจ้าอย่างเต็มกำลัง ทั้งๆ ที่ท่านเหล่านั้นเป็นฆราวาสที่ต้องรับผิดชอบงานในชีวิตประจำวันของตนซึ่งหนักหนาอยู่แล้ว ทว่า ท่านก็รับใช้พระเจ้าด้วยสำนึกในพระคุณของพระองค์ เหตุนี้เอง เราจึงมิอาจละเลยท่านเหล่านั้นได้

มัคนายกมีหน้าที่บริหารจัดการงานของคริสตจักรให้ดำเนินไปด้วยดี ดังนั้น จึงต้องเผชิญปัญหาและความยุ่งยากใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ หลายคนถึงกับพูดว่า “ทำดีก็เสมอตัว ทำไม่ดีก็โดนตำหนิ” แต่ก็ขอบคุณพระเจ้าที่หลายท่านก็ยังคงทำต่อไป การงานเบื้องหลังนี้ต้องสะสางงานหลังบ้านหน้าบ้านที่หยุมหยิมจุกจิกไปจนกระทั่งเรื่องใหญ่โต เป็นภาระที่หนักเอาการทีเดียว

การเคลียร์เร็วของครูแมมจึงสร้างชื่อเสียงดีให้กับคริสตจักรลูกน้ำยืนด้วย เป็นความรับผิดชอบ เป็นการช่วยให้ผู้อื่นที่ต้องทำงานต่อจากเราทำงานได้ง่ายขึ้น เป็นการเข้าใจผู้อื่น เป็นการเคารพสิทธิระหว่างผู้รับใช้ด้วยกัน เมื่อรับใช้ภายนอกคริสตจักรแล้วก็มารับใช้ภายในคริสตจักรด้วย เป็นความสัตย์ซื่อประการหนึ่งของผู้รับใช้พระเจ้า

ทางด้านจิตวิญญาณก็เช่นกัน เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่ประสงค์ให้เราติดสนิทกับพระองค์ แต่ในหลายครั้งที่ความบาปทำให้เราห่างออกจากน้ำพระทัยพระเจ้า จึงเป็นความสำคัญเร่งด่วนที่เมื่อใดก็ตามยามเผลอพลั้งไปทำบาป เราต้องเคลียร์ใจโดยเร็ว!

วันก่อนอาจารย์มาร์ค แซนด์ลินมาเทศนาที่นิมิตใหม่ อาจารย์สารภาพว่าในชีวิตคริสเตียนของอาจารย์นั้นเคยเบื่อพระคัมภีร์ อาการหลงไหลในพระวจนะที่หวานชื่นขาดหายไปซะงั้น อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้เราปล่อยให้มันอยู่นานไม่ได้ เราต้องเคลียร์เร็ว!

หลายครั้งที่ฉันอ่อนแอ ท้อแท้ สิ้นหวัง เศร้าหมอง เบื่อ เซ็ง วีน และสารพัดบาปที่ไม่ไหวจะเคลียร์ ซึ่งทำให้คุณภาพฝ่ายจิตวิญญาณตกต่ำ ส่งผลให้ไม่อยากอธิษฐาน ไม่อยากอ่านพระคัมภีร์ ไม่อยากเจอหน้าใคร ไม่อยากไปโบสถ์ แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ฉันปล่อยให้มันอยู่นานไม่ได้ ฉันต้องเคลียร์เร็ว เคลียร์ออกไปโดยเร็วที่สุด ไม่ปล่อยให้มารซึ่งวนเวียนอยู่รอบตัวดุจสิงห์คำรามนั้นมากัดกินได้ มันอยากจะคำรามก็ช่างหัวมัน แต่มันทำอะไรฉันไม่ได้ เพราะฉันรู้กลอุบายของมัน ฉันพึ่งพาพระเจ้าผู้ทรงเป็นความชื่นบานยอดยิ่งของฉัน…ฮาเลลูยา!

[ยก.4:7 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงน้อมใจยอมฟังพระเจ้า จงต่อสู้กับมาร และมันจะหนีท่านไป]

วางลง…วางใจ

วางลง…วางใจ
วันที่ 10/5/2011

หลังจากแบ่งปันเรื่องการเป็นผู้อารักขาได้ไม่นาน งานก็เข้าเลยค่ะ กล่าวคือ มีเรื่องต้องให้ปล้ำสู้ในฝ่ายวิญญาณ เนื่องจากฉันไม่สามารถอารักขางานที่รับมาจากเบื้องบนได้ จู่ๆ ฉันก็ไม่อยากอธิษฐานซะงั้น ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าการอธิษฐานนั้นเป็นงานเงียบที่ทรงพลัง ครูแมมเคยบอกว่า “ให้อธิษฐานแม้ไม่มีแรงอธิษฐาน” แต่คราวนี้ไม่ได้ป่วย ไม่ได้หมดแรง แต่ “หมดใจ” อ้าว!!! ฉันตอบตัวเองไม่ได้ว่าทำไมจึงไม่อยากอธิษฐาน

ขอบคุณพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงกระตุ้นเตือนให้ฉันตระหนักว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว ซึ่งฉันก็พยายามหาสาเหตุ เอ๊ะ! หรือเป็นเพราะงานที่ยุ่งรัดตัวมากๆ พอสิ้นวันก็พลันจะสิ้นใจ ไม่อยากคุย ไม่อยากพูด ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น อยากนอนอย่างเดียว และฉันก็ทำอย่างนั้นจริงๆ คือ หลับตาลงด้วยการอธิษฐานเพียงน้อยนิดพอเป็นพิธี แต่พอหลายวันเข้าสัญญาณอันตรายก็ฟ้อง ฉันว้าวุ่นใจไร้สันติสุขในเวลาต่อมา นึกในใจเหมือนกันว่า “อะไรเนี่ย วันก่อนยังดีๆ อยู่เลย เผลอไม่ได้เชียว มิน่าล่ะ พระคัมภีร์จึงสอนเราว่าให้ระวังระไวรอบด้าน”

ช่วงวันเสาร์อาทิตย์ถัดมา ฉันเข้าไปเรียนรู้เรื่องหลักข้อเชื่อจากอาจารย์นิกรตั้งแต่เช้าจรดค่ำคืน ตลอด 2 วันเต็มที่ได้รับความรู้อย่างมากนั้น กลับรู้สึกหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก ก็คิดไปเองว่า ทำงานหนักสมองมาตลอดสัปดาห์ และเสาร์อาทิตย์ยังมานั่งเรียนอีก หัวสมองที่มีความจำกัดจึงเกิดอาการเหนื่อยล้า โอ้โห! แต่ไม่รู้ว่าอาจารย์นิกรเอาพลังมาจากไหนนี่สิ ทั้งสอนทั้งเทศน์ได้น้ำไหลไฟดับ และไม่ได้สอนแบบธรรมดาด้วยนะคะขอบอก ลีลาเหลือกินจริงๆ (แหะ แหะ ขอให้ภาษาแสลงนิดหนึ่งนะคะอาจารย์ที่เคารพ)

เมื่อถึงวันจันทร์ ซึ่งเป็นอีกวันที่มีรายการสัมมนาที่คริสตจักร ฉันก็จอดแบบไม่ต้องแจว เดิมทีตั้งใจว่าจะไปร่วมงาน แต่ก็ฝืนสังขารไปไม่ไหว เพลียสุดๆ แต่ขอบคุณพระเจ้า เมื่อนอนมากหน่อยก็อาการดีขึ้น ต่อมาประมาณช่วงเที่ยง ครูแมมฝากอธิษฐานสำหรับคริสตจักรลูกที่น้ำยืน พองานเข้าเช่นนี้ก็ต้องอธิษฐาน แต่ว่าความกระวนกระวายบางประการยังคงรบกวนอยู่

เช้าวันรุ่งขึ้นก็เปิดคอมพิวเตอร์ หลังจากที่ลาจากกันไป 3 วัน โอ๊ะ! อะไรกันนี่ มีแต่สารอธิษฐาน ทั้งจากประเทศเพื่อนบ้านแถบเอเชีย อเมริกา องค์กรมิชชั่น อิสราเอล หรือแม้กระทั่งหัวข้ออธิษฐานเผื่อส่วนตัวจากพี่น้องบางท่าน พอเห็นหัวข้อเรื่องของอีเมล์แล้วไม่กล้าเปิดดูเนื้อความเลยค่ะพี่น้อง เพราะไม่มั่นใจว่าตนเองจะสัตย์ซื่อในการอธิษฐานเผื่อตามหัวข้อในสารอธิษฐานนั้นหรือเปล่า

อะไรเนี่ย ทำไมจึงไม่อยากอธิษฐาน บกพร่องในฐานะผู้อารักขา เป็นสัญญาณอันตรายระดับรุนแรง ไม่รู้ต้องใช้หน่วยซีลของอเมริกามาช่วยหรือเปล่า (อ้าว! เกี่ยวไหมนะ)

เมื่อเรารู้ว่าอะไรดีแล้วไม่ทำก็เป็นบาป! พลันก็ต้องหาทางออก “อธิษฐานทั้งที่ไม่อยากอธิษฐาน” นี่แหละ และเมื่อสบโอกาสก็ทำงานไปพร้อมกับเปิดเพลงนมัสการไปด้วย ฉันชอบฟังเพลงนมัสการลาวมาก มีพี่สาวที่รักท่านหนึ่งให้มาหลายเพลงด้วยกัน ลาวเป็นประเทศที่ไม่ได้มีเสรีภาพในการเป็นคริสเตียนเฉกเช่นพี่ไทย ดังนั้น บทเพลงที่ผู้ร้องถ่ายทอดออกมาจึงเปี่ยมไปด้วยพลัง ความหวัง และความไว้วางใจในองค์พระเยซู พี่น้องลาวถูกบีบคั้นในหลายด้าน แต่ก็สัมผัสได้ถึงความอดทนพร้อมจะต่อสู้เพื่อเสรีภาพในฝ่ายวิญญาณของพวกเขาและเพื่อชาวลาวทั้งประเทศ และอีกครั้งหนึ่งที่บทเพลงทำให้ฉันกลับใจ

ช่วงเย็นเมื่อกลับถึงบ้าน ก็หยิบหนังสือของอาจารย์นิกรมาอ่าน เมื่อพลิกดูแรกๆ ไม่อยากอ่าน เพราะเนื้อหาคล้ายคลึงกับที่อาจารย์ได้เทศนาเมื่อวันอาทิตย์ แต่ก็ต้องกลับใจอีก เพราะหนังสือนี้ได้รับแจกฟรีมา ผู้เขียนและผู้ให้ต้องลงทุนอย่างมาก และฉันจะไม่ลงทุนอ่านหรือนี่ เมื่ออ่านไปก็ขอบคุณพระเจ้า มีช่วงหนึ่งของหนังสือที่แตะหัวใจฉันมาก

หนังสือ 10 คำทำนายสะท้านโลก โดย นิกร สิทธิจริยาภรณ์ หน้า 81…เมื่อเรามีภาระหนักเกินกำลังของเราก็ขอให้เราวางใจพระเจ้าจริงๆ มีพี่น้องคริสเตียนสตรีท่านหนึ่งถามผมว่า “อาจารย์คะ ดิฉันก็วางในในพระเจ้านะ แต่ทำไมยังรู้สึกว่าหนักอยู่” ผมเลยบอกให้เธอยกโต๊ะตัวหนึ่งแล้วถามเธอว่า “หนักไหมครับ?” “หนัก” เธอตอบ “ยังยกไหวไหม” ผมถามต่อ “ยังยกไหวอยู่ แต่ถ้านานๆ ก็คงยกไม่ไหว” เธอตอบ “ถ้ายกไม่ไหวแล้วทำยังไงดี” ผมถาม เธอก็ตอบว่า “ถ้าไม่ไหวก็วางซิคะ” แล้วเธอก็วางโต๊ะตัวนั้น ผมพูดต่อว่า “พอวางแล้วหนักไหม” ไม่หนักคะ “ทำไมถึงไม่หนัก” ผมถาม “อ้าว! ก็ดิฉันวางลงแล้วจะไปหนักได้อย่างไร” เธอตอบ ผมจึงพูดตอบว่า “เมื่อตะกี้คุณบอกว่าคุณวางใจในพระเจ้าแล้ว แต่ทำไมยังรู้สึกหนักอยู่ เพราะถ้าคุณวางใจพระเจ้าจริง จะไปหนักได้อย่างไร แต่การที่คนรู้สึกหนัก เพราะคุณวางใจแค่ปากเท่านั้น คุณยังไม่ได้วางใจจริงๆ”

ใช่แล้วคะ ฉันเองก็รู้สึกหนัก เพราะฉันไม่ได้วางภาระหนักที่รับไว้ จึงส่งผลกระทบต่อเนื่องตามมาอย่างน่ากลัว เมื่อฉันอธิษฐานแล้วฉันก็ยังไม่วาง เมื่อจะทำการบางอย่างก็ไม่ได้พึ่งพาพระเจ้า ภาระนั้นจึงยิ่งหนัก และเมื่อหนักมากเข้าก็ไม่อยากทำอะไรนั่นเอง…ฉันต้องขอการยกโทษจากพระบิดา และขออภัยพี่น้องที่หวังใจในการอธิษฐานจากฉัน ซึ่งฉันได้ละเลยไประยะหนึ่ง…จากนั้นฉันก็เริ่มเปิดอีเมล์ทีละรายการ และอธิษฐานตามหัวข้อต่างๆ รู้สึกขอบคุณพระเจ้าสำหรับพี่น้องมากมายที่เพียรพยายามกระทำตามพระมหาบัญชาอยู่ในส่วนต่างๆ ของโลก พี่น้องเหล่านั้นเป็นเสมือนทัพหน้าที่เผชิญกับข้าศึก เราซึ่งอยู่แนวหลังจะนิ่งนอนใจกระนั้นหรือ?

Dear Lord, work in me so that I will always be alert and thankful when I pray, weather alone or with others. So much depend on prayer! Don’t’ let me be careless, or distracted, or on~and~off in my praying. (Ruth Myers, 31 Days of Prayer)

อีกครั้งหนึ่งที่ฉันขอบคุณทุกคนที่ไว้วางใจฉัน ส่งข่าวสารอธิษฐานมาให้ เพราะทำให้ฉันเห็นภาพพระราชกิจของพระเจ้าซึ่งทรงเคลื่อนไหวอยู่เหนือสิ่งสารพัดในที่ต่างๆ ได้รับรู้ถึงชีวิตบางเสี้ยวมุมของพี่น้อง และเป็นการหนุนใจผู้อธิษฐานอยู่เบื้องหลังให้เป็นผู้อารักขาการอธิษฐานไว้ในหัวใจเสมอ และสารอธิษฐานต่างๆ นั้น ทำให้ฉันอธิษฐานได้อย่างเจาะจงตรงเป้าหมายของผู้ส่ง ทั้งยังทำให้พี่น้องมากมายทั่วโลกได้อธิษฐานอย่างตรงเป้าหมายในเรื่องเดียวกันอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

เมื่อวางใจแล้ว ก็รู้สึกโล่ง เบาสบาย ลิ้มรสสันติสุขเช่นนี้นี่เอง…ฮาเลลูยา!!!

มารดาแห่งประชาชาติ

มารดาแห่งประชาชาติ
วันที่ 04/05/2011

วันสำคัญสำหรับเดือนพฤษภาคมของอเมริกาอีกวันหนึ่งคือวันแม่ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Mother's Day ในแต่ละปีวันจะไม่ตรงกันเนื่องจากถือเอาวันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมเป็นวันแม่ เช่นเดียวกับที่ญี่ปุ่น โดยในปีนี้ วันแม่ตรงกับวันที่ 8 พฤษภาคม วันแม่เป็นวันหยุดเพื่อเป็นเกียรติแก่แม่ๆ ทั้งหลาย ซึ่งวันแม่นั้นจะมีวันที่ต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่ความหมายของมันก็เหมือนกัน

ประวัติ ว่ากันว่าวันแม่นั้นถูกกำหนดขึ้นโดยชาวอเมริกัน โดยผู้ที่พยายามเรียกร้องให้มีวันแม่ก็คือ แอนนา เอ็ม จาร์วิส คุณครูในรัฐฟิลาเดลเฟีย เธอได้ใช้เวลาเรียกร้องถึง 2 ปี จนประสบความสำเร็จใน ค.ศ. 1914 (พ.ศ. 2457) ในสมัยประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ได้มีคำสั่งให้ถือวันอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ และดอกไม้สำหรับวันแม่ของชาวอเมริกันก็คือดอกคาร์เนชั่น ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือถ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ให้ประดับตกแต่งบ้าน หรือประตูด้วยดอกคาร์เนชั่นสีชมพู แต่ถ้าแม่ถึงแก่กรรมไปแล้วให้ประดับด้วยดอกคาร์เนชั่นสีขาว

วันแม่ในหลายส่วนของโลก ในหลายๆ ประเทศวันแม่ได้เลียนแบบมาจากประเพณีของทางตะวันตก ซึ่งประเทศทางแถบแอฟริกันได้นำแนวคิดวันแม่มาจากพวกคนอังกฤษ ส่วนประเทศทางแถบเอเชียตะวันออก วันแม่ได้ถูกลอกเลียนแบบแนวคิดโดยตรงมาจากวันแม่ของประเทศอเมริกา ทั้งทางด้านการตลาดและการโฆษณา

คำว่าแม่ในภาษาต่างๆ โดยทั่วไปคำว่า “แม่” ในแต่ละภาษามักจะใช้อักษร “ม” เหมือนกันหมด อาทิ ในภาษาอังกฤษจะเรียกว่า มาเธอร์ (Mother) ภาษาสันสกฤตจะเรียกแม่ว่า มารดา ส่วนภาษาบาลีจะเรียกแม่ว่า มาตา

ส่วนทางด้านชนชาตินั้นก็จะมีการเรียกที่ใช้ “ม” เช่นกัน โดยคนไทยจะเรียกว่า แม่ คนจีนจะเรียกว่า ม่าม๊า คนแขกจะเรียกว่า มามี๊ ส่วนคนฝรั่งเศสจะเรียกว่า มามอง
ที่มา www.panyathai.or.th


พระคริสตธรรมคัมภีร์กล่าวถึงบทบาทและความสำคัญของครอบครัว ซึ่งเล็งถึงพันธสัญญาพิเศษที่พระเจ้าทรงมีต่อบุตราบุตรีของพระองค์ หลายตอนกล่าวถึงพระเจ้าว่า ทรงเป็นพระเจ้าแห่งอับราฮัม อิคอัค และยาโคบ เพราะทั้ง 3 ท่านเป็นบรรพบุรุษของเรา เป็นบิดาของเรา เป็นบิดาแห่งบรรดาประชาชาติทั้งหลาย และพระเจ้าทรงอวยพรเชื้อสายแห่งพันธสัญญานี้

วันนี้ฉันคิดถึงมารดา 3 ท่าน ในพระคัมภีร์ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงเลือกไว้ให้เป็นมารดาแห่งบรรดาประชาชาติทั้งปวง ซึ่งได้แก่ ซาร่าห์ เรเบคาห์ และ ราเชล

ในความเป็นมนุษย์นั้น แน่นอนว่าทุกคนจะมีความอ่อนแอบางประการ ซึ่งเราได้เห็นความอ่อนแอบางประการในมารดาทั้ง 3 ท่านนี้เช่นกัน อย่างไรก็ดี ทั้ง 3 ท่านก็ยังควรคู่ต่อบิดาแห่งประชาชาติ และคู่ควรแก่การเป็นมารดาแห่งประชาชาติอยู่นั่นเอง

นางซาร่าห์ ภรรยาของอับราฮัม มารดาของอิสอัค พระเจ้าทรงสัญญาให้อับราฮัมเป็นประชาชาติใหญ่โตและมีกำลังมาก ลูกหลานของเขาจะมากมายดุจเม็ดทรายที่ทะเลและดุจดวงดาวบนฟากฟ้า และประชาชาติทั้งหลายในโลกจะได้รับพรก็เพราะท่าน (ปฐก.18:18) อับราฮัมแต่งงานกับซาราห์เมื่อยังอาศัยอยู่ที่เออร์ เธอมีความงามดุจดังเจ้าหญิง แต่ดูเหมือนว่าซาร่าห์ไม่สามารถมีบุตรสืบทอดพระพรที่พระเจ้าสัญญาไว้ เธอจึงยกฮาการ์สาวใช้ให้อับราฮัมจนกำเนิดอิชมาเอล จนกระทั่งอับราฮัมและซาร่าห์ชรามากแล้ว ฑูตสวรรค์บอกกับท่านทั้งสองว่าซาราห์จะตั้งครรภ์ ตอนแรกเธอหัวเราะกับความคิดนี้ แต่ฑูตสวรรค์ได้ตอบเธอด้วยคำพูดที่ตราตรึงว่า “มีสิ่งใดที่อัศจรรย์เกินฤทธิ์พระเจ้าจะทำได้” (ปฐก.18:14) เมื่อถึงกำหนดเวลา อิสอัคก็บังเกิดมาเป็นทายาทแห่งพันธสัญญา…แล้วในชีวิตของคุณละ มีสิ่งใดที่อัศจรรย์เกินฤทธิ์พระเจ้าจะทำได้!

ฉันเห็นภาพของซาร่าห์เป็นสตรีที่ยำเกรงพระเจ้า พร้อมจะติดตามสามีไปทุกแห่งหน เธอต้องลำบากจากบ้านบิดาไปยังดินแดนที่ไม่รู้จักเช่นเดียวกับอับราฮัม เธอต้องอดอยากเมื่อเกิดกันดารอาหารจนกระทั่งต้องไปอาศัยอยู่ที่อียิปต์ และความทุกข์ใจอย่างสุดซึ้งสำหรับเธอก็คงหนีไม่พ้นการเป็นหมัน ด้วยว่ายุคโบราณเช่นนั้น หญิงที่ไม่สามารถให้บุตรได้จะเป็นที่เย้ยหยันน่าอดสูมากทีเดียว เธอต้องอดทนและยินยอมแม้กระทั่งยกสาวใช้ให้เป็นภรรยาของสามีตนเอง ยิ่งไปกว่านั้น ความทุกข์ที่เกินบรรยายก็คงเป็นเรื่องที่อับราฮัมรับพระบัญชาให้ถวายอิสอัคเป็นเครื่องบูชา แม้ว่าในพระคัมภีร์ไม่ได้ระบุว่าอับราฮัมเล่าเรื่องนี้ให้กับซาร่าห์ฟัง แต่ฉันก็เชื่อว่าวีรบุรุษเช่นอับราฮัมคงไม่รับพระบัญชานี้โดยไม่ได้แบ่งปันให้ซาร่าห์ฟัง ซึ่งแน่นอนว่า ซาร่าห์ย่อมยินยอมพร้อมใจกับอับราฮัมด้วยตามพระบัญชาของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม เธอได้ลิ้มรสพระพรแห่งการเชื่อฟังร่วมกับอัมราฮัม เธอเป็นที่รักยิ่งของอับราฮัม เมื่อเธอจากไป อับราฮัมได้ซื้อถ้ำแห่งหนึ่งเพื่อฝังศพเธอด้วยความอาลัยยิ่ง“มารดาแห่งประชาชาติ”

นางเรเบคาห์ ภรรยาของอิสอัค และมารดาของเอซาวกับยาโคบ เรเบคาห์เป็นชาวฮาราน บิดาของเธอเป็นหลานอับราฮัม เมื่ออับราฮัมคิดจะหาภรรยาให้อิสอัค ก็ส่งเอลีเยเซอร์คนต้นเรือนไปที่ฮาราน คนแรกที่มาถึงบ่อน้ำตามคำอธิษฐานของเอลีเยเซอร์ก็คือ เรเบคาห์ เธอมิเพียงให้น้ำแขกแปลกหน้า แต่ยังตักน้ำให้กับอูฐด้วย คิดดูสิ อูฐน่ะกินน้ำจุมากมายแค่ไหน เธอคงเหนื่อยน่าดูทีเดียว เธอยินยอมพร้อมใจเดินทางไปคานาอันเพื่อเป็นภรรยาของชายซึ่งเธอไม่เคยพบหน้า แต่แน่นอนว่าชื่อเสียงของอับราฮัมคงเป็นที่เลื่องลือ และเธอคงรับรู้ได้ว่าพระเจ้าทรงอวยพรอับราฮัมและเชื้อสายมากเพียงใด เมื่อพระเจ้าทรงโปรดเช่นนี้แล้ว เธอจึงยินยอมพร้อมใจแต่โดยดี ทั้งที่ไม่รู้ว่าภายหน้าจะเป็นเช่นไร ขอบคุณพระเจ้า ครั้งแรกที่พบกันนั้น ทั้งอิสอัคกับเรเบคาห์ก็ตกหลุมรักกันในทันที ทั้งสองอธิษฐานขอลูกอยู่นานถึง 20 ปี เป็นความทรมานอีกประการหนึ่งของผู้เป็นแม่เช่นกัน แล้วทั้งคู่ก็ได้ฝาแฝด เอซาวกับยาโคบ และถึงแม้ว่าเรเบคาห์จะโปรดยาโคบมากกว่า เป็นตัวตั้งตัวตีให้ยาโคบหลอกบิดาเพื่อรับพร แต่ในความเป็นแม่แล้ว คงเจ็บลึกยิ่งที่รู้ว่าเอซาวจะเอาชีวิตยาโคบ ลูกของแม่ทั้งสองคนจะต้องมาเป็นศัตรูกันกระนั้นหรือ และทุกคนในครอบครัวก็ล้วนปวดร้าวจากเหตุการณ์นี้ ฉันเชื่อเป็นการส่วนตัวว่า ต่อมาภายหลังเรเบคาห์ต้องกลับใจจากเหตุการณ์ทั้งหมด และดูแลอิคอัส เอซาว ทั้งยังอธิษฐานเผื่อยาโคบตลอดชีวิตของเธอ…“มารดาแห่งประชาชาติ”

นางราเชล ลูกสาวคนสวยของลาบัน ยาโคบรับใช้ลาบัน 7 ปี โดยไม่ได้รับค่าจ้าง เพราะรักเธอ เมื่อลาบันโกงโดยให้ยาโคบสมรสกับเลอาห์ ยาโคบต้องรับใช้ลาบันต่ออีก 7 ปี เพื่อจะได้สมรสกับราเชล ราเชลต้องรอคอยคนที่เธอรักต่อไปอีก 7 ปี รวมเป็น 14 ปี เป็นความทรมานที่เห็นคนรักอยู่กับผู้หญิงที่มิใช่เธอ จนกระทั่งเมื่อได้สมรสกับยาโคบแล้ว เธอต้องรอคอยอยู่นานกว่าจะได้บุตรชายชื่อโยเซฟ ซ้ำร้ายโยเซฟกลับต้องถูกพี่ๆ ขายไปเป็นทาสที่อิยิปต์ ราเชลเสียชีวิตขณะคลอดเบนยามิน ลูกคนที่สองที่คานาอัน…ราเชลที่รัก ชีวิตเธอเผชิญกับความเจ็บปวดและอดทนรอคอยมากยิ่งทีเดียว ทว่า บำเหน็จเป็นของเธอ “มารดาแห่งประชาชาติ”

อ้างอิง: เจาะโลกพระคัมภีร์ เล่ม 2 เขียนโดย คณะผู้เชี่ยวชาญของไลออนส์ แปลโดย เฮเลน ยังก์, กนกบรรณสาร
สุขสันต์วันแม่แด่แม่ทุกคนบนโลกใบนี้ ทั้งแม่ในฝ่ายกาย และแม่ในฝ่ายวิญญาณ! พระเจ้าอวยพรค่ะ

ผู้อารักขา

ผู้อารักขา
วันที่ 29/4/2011

ด้วยนโยบายประหยัดและลดภาวะโลกร้อน ห้างสรรพสินค้าและร้านค้าหลายแห่งจึงได้ร่วมใจกันลดราคาหรือมีของแถมพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้าโดยไม่รับถุงพลาสติกจากทางห้าง แม้แต่ร้าน 7-11 เอง ก็กล่าวขอบคุณเมื่อลูกค้าไม่รับถุงพลาสติก เหตุนี้เองลูกค้าจำนวนมากก็ขอมีส่วนร่วมด้วย โดยการไม่รับถุงพลาสติก หรือ เตรียมถุงผ้า ตะกร้า ภาชนะต่างๆ มาจากบ้านแทน มาตรการนี้ฉันเห็นด้วยเป็นการส่วนตัว เพราะสามารถลดจำนวนขยะลงได้ ส่งเสริมให้นำถุงเดิมสภาพดีกลับมาใช้ซ้ำ เป็นการลดปริมาณการผลิตถุง ที่การผลิตแต่ละครั้งต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรโลกและปล่อยสารพิษออกมาทำลายโลกอีกด้วย ว้าว! มีข้อดีหลายอย่างเชียว ดังนั้น เราคริสเตียนไทยก็มาร่วมใจกันลดโลกร้อนดีกว่าคะ ในฐานะผู้อารักขา

[สดด.8:3-6 เมื่อข้าพระองค์มองดูฟ้าสวรรค์อันเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ดวงจันทร์และดวงดาวซึ่งพระองค์ได้ทรงสถาปนาไว้ 4มนุษย์เป็นผู้ใดเล่าซึ่งพระองค์ทรงระลึกถึงเขาและบุตรของมนุษย์เป็นใครเล่าซึ่งพระองค์ทรงเยี่ยมเขา 5เพราะพระองค์ทรงสร้างเขาให้ต่ำกว่าพระเจ้า {หรือ ทูตสวรรค์} แต่หน่อยเดียว และสวมศักดิ์ศรีกับเกียรติให้แก่เขา 6พระองค์ทรงมอบอำนาจให้ครอบครองบรรดาพระหัตถกิจของพระองค์ พระองค์ทรงให้สิ่งทั้งปวงอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา]

พระคัมภีร์กล่าวว่าพระเจ้าทรงรักโลก แต่ไม่เห็นมีตอนไหนเลยที่ระบุว่ามนุษย์รักโลก อย่างไรก็ตาม เมื่อพระเจ้าทรงรักโลก ทรงสร้างโลกและสรรพสิ่งทั้งปวงที่อยู่นั้น รวมถึงมนุษย์ด้วย เราในฐานะที่เป็นมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้าง ก็ต้องตระหนักถึงความรับผิดชอบของตนที่มีต่อโลกใบนี้ด้วย แต่น่าเสียดายที่บางครั้งมนุษย์ลืมบทบาทหน้าที่ของตนไป มนุษย์ลืมไปว่าตนนั้นเป็นผู้อารักขาที่ต้องรายงานต่อพระเจ้า

พระเจ้าทรงประทานสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่แก่มนุษย์ให้ปกครองดูแลทั้งโลก ซึ่งเมื่อมีสิทธิอำนาจมาก เราก็ต้องมีความรับผิดชอบสูงด้วย เราต้องตระหนักเสมอว่าเราปฏิบัติต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างอย่างไร

ชีวิตของเราและสิ่งสารพัดที่เรามี ล้วนเป็นของประทานมาจากพระเจ้า เราจึงมีหน้าที่อารักขาสิ่งสารพัดนั้น ยกตัวอย่างเช่น

ด้านการงานอาชีพ เมื่อเรามีอาชีพ เราต้องสัตย์ซื่อต่ออาชีพของเราเอง โดยทำงานอย่างเต็มกำลังดุจดังกระทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า [อฟ.6:7 จงปรนนิบัตินายด้วยจิตใจชื่นบานเหมือนกับปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ปรนนิบัติมนุษย์, คส.3:23]

ด้านการเงิน เมื่อเรามีทรัพย์สินเงินทอง เราต้องใช้จ่ายทรัพย์สินอย่างชาญฉลาด ไม่สุรุ่ยสุร่าย หรือปล่อยให้รายรับรายจ่ายไม่สมดุลย์กัน จนเกิดอาการชักหน้าไม่ถึงหลัง หรือสร้างภาระหนี้สินเกินกำลัง

ด้านครอบครัว ทุกคนมีบทบาทหน้าที่ในครอบครัวของตน [คส.3:18-21 ฝ่ายภรรยาจงยอมฟังสามีของตน ซึ่งเป็นการสมควรในองค์พระผู้เป็นเจ้า ฝ่ายสามีก็จงรักภรรยาของตน และอย่ามีใจขมขื่นต่อนาง ฝ่ายบุตรทั้งหลายจงเชื่อฟังบิดามารดาของตนทุกอย่าง เพราะการนี้เป็นที่ชอบพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า ฝ่ายบิดา ก็อย่ายั่วบุตรของตนให้ขัดเคืองใจ เกรงว่าเขาจะท้อใจ”] และดูแลครัวเรือนของตน [1ทธ.5:8 “ถ้าแม้ผู้ใดไม่เลี้ยงดูวงศ์ญาติของตน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในบ้านเรือนของตน ผู้นั้นก็ได้ปฏิเสธพระศาสนาเสียแล้ว และชั่วยิ่งกว่าคนที่ไม่ได้เชื่อเสียอีก] ครอบครัวในที่นี้ รวมไปถึงครอบครัวแห่งความเชื่อด้วย

ด้านการรับใช้ เรามีหน้าที่อารักขาคริสตจักรของพระองค์ รับใช้พระเจ้าด้วยสุดใจ สุดกำลัง เราต้องห่วงใยฝูงแกะ เลี้ยงดูลูกแกะ เราต้องประกาศพระคริสต์ เราต้องช่วยเหลือคนยากจน ลูกกำพร้า หญิงม่าย คนด้อยโอกาส เราต้องรักเพื่อนบ้าน และอีกหลายประการ ที่เราต้องทำตามพระบัญชาของพระเยซู

ด้านร่างกาย เรามีหน้าที่ดูแลร่างกายของเราซึ่งเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (1 คร.6:19) เราออกกำลังกายบ้างหรือเปล่า? เราทานอาหารตามใจปากมากกว่าการคำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการหรือไม่?

ด้านคริสตจักร เรามีหน้าที่ในฐานะพระกายของพระคริสต์ ในการรับใช้พระเจ้าร่วมกับพี่น้องในคริสตจักร สามัคคีธรรมร่วมกัน “สมาชิกภาพของคริสตจักรเป็นการทรงเรียกออกมาสู่การผูกพันตัวต่อคุณธรรมความสัตย์ซื่อทางพันธสัญญา ส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ทางพันธสัญญาต่อคริสตจักรคือ การเข้าร่วมประชุม การรับใช้ การถวายสิบลด นิมิต และการปกครองของผู้นำ” (ความสัมพันธ์บนพันธสัญญา โดย อาเชอร์ อินเทรเตอร์ แปลโดย ปริศนา เฮ้ง เรียบเรียงโดย กฤษฎา ชูสกุลธนะชัย หน้า 154-155)

ด้านจิตใจและจิตวิญญาณ เรามีหน้าที่ในการนมัสการพระเจ้า อธิษฐานทูลพระองค์ ศึกษาพระวจนะของพระองค์

ด้านของประทาน ของประทานนานาประการหรือตะลันต์ที่พระเจ้าทรงประทานให้นั้นล้วนเพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่นและถวายเกียรติแด่พระองค์ เราจึงมีหน้าที่รักษาการเจิม รักเรียนรู้ รักฝึกฝน และใช้ของประทานทั้งสิ้นด้วยความรัก

จริงๆ แล้วยังมีอีกหลายด้านหลายส่วนในชีวิตของเราที่เกี่ยวข้องในฐานะผู้อารักขา ซึ่งคงกล่าวถึงไม่หมดในที่นี้ ทั้งนี้ เราสามารถเป็นสามัญชนที่สำแดงการมหัศจรรย์แห่งพระคุณของพระเจ้าในชีวิตประจำวันได้

พระเจ้าทรงเป็นต้นแบบของผู้อารักขา ทรงอารักขาทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง รวมทั้งอารักขาเราด้วย [สดด.121: 1-8 1ข้าพเจ้าเงยหน้าดูภูเขา ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากไหน 2ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก 3พระองค์จะไม่ให้เท้าของท่านพลาดไป พระองค์ผู้ทรงอารักขาท่านจะไม่เคลิ้มไป 4ดูเถิด พระองค์ผู้ทรงอารักขาอิสราเอล จะไม่ทรงหลับสนิทหรือนิทรา 5พระเจ้าทรงเป็นผู้อารักขาท่าน พระเจ้าทรงเป็นที่กำบังที่ข้างขวามือของท่าน 6ดวงอาทิตย์จะไม่โจมตีท่านในเวลากลางวัน หรือดวงจันทร์ในเวลากลางคืน 7พระเจ้าจะทรงอารักขาท่านให้พ้นภยันตรายทั้งสิ้นพระองค์จะทรงอารักขาชีวิตของท่าน 8พระเจ้า จะทรงอารักขาการเข้าออกของท่าน ตั้งแต่กาลบัดนี้สืบไปเป็นนิตย์]
ขอพระเจ้าทรงโปรดช่วยเราให้เป็นผู้อารักขาที่ชอบพระทัยพระองค์ [1คร.4:1-2 ให้ทุกคนถือว่าเราเป็นคนรับใช้ของพระคริสต์ และเป็นผู้อารักขาสิ่งล้ำลึกของพระเจ้า ฝ่ายผู้อารักขาเหล่านั้นต้องเป็นคนที่ไว้วางใจได้ทุกคน]

แถมท้ายด้วย 9 คำถามที่พระเจ้าจะไม่ถามคุณ (ที่มา www.gracezone.org)
1) พระเจ้าจะไม่ถามคุณว่า.... คุณขับรถยี่ห้ออะไร? รุ่นอะไร? ราคาเท่าไร?
แต่พระองค์จะถามว่าคุณเคยใช้รถนี้ รับ-ส่งใคร? กี่คน?
2) พระเจ้าจะไม่ถามคุณว่า.... บ้านของคุณมีเนื้อที่เท่าไร? สร้างด้วยอะไร? ราคาเท่าไร?
แต่พระองค์จะถามว่าคุณเคยให้ใคร?พักพิงในบ้านในยามที่เขาต้องการ
3) พระเจ้าจะไม่ถามคุณว่า.... คุณมีเสื้อผ้ากี่ชุด? ยี่ห้ออะไร? ราคาเท่าไร?
แต่พระองค์จะถามว่าคุณได้ให้เสื้อผ้ากับ คนที่ต้องการกี่คน? กี่ชุด? (ถ้ามีเยอะ ส่งไปน้ำยืนนะคะ ^_^)
4) พระเจ้าจะไม่ถามคุณว่า.... คุณมีเงินเดือนเท่าไร?
แต่พระองค์จะถามว่าคุณได้เงินเดือนนี้ มาด้วยวิธีใด? และใช้ทำอะไร (ถวายสิบลดแล้ว ถวายเพื่องานมิชชั่นด้วยนะคะ ^_^)
5) พระเจ้าจะไม่ถามคุณว่า.... คุณมีตำแหน่งงานอะไร?
แต่คุณได้ทำงานอย่างดียอดเยี่ยมเพียงใด?
6) พระเจ้าจะไม่ถามคุณว่า.... คุณมีเพื่อนกี่คน?
แต่พระองค์จะถามว่ามีกี่คนที่ยอมรับคุณเป็นเพื่อน?
7) พระเจ้าจะไม่ถามคุณว่า.... เพื่อนบ้านของคุณเป็นอย่างไร?
แต่พระองค์จะถามว่าคุณปฏิบัติต่อเพื่อนบ้านของคุณอย่างไร?
8) พระเจ้าจะไม่ถามคุณว่า.... คุณมีผิวสีอะไร?
แต่พระองค์จะถามว่าบุคลิกของคุณเป็นอย่างไร?
9) พระเจ้าจะไม่ถามคุณว่า.... คุณได้ประกาศกับคนกี่คน?
แต่พระองค์จะถามว่าคุณได้สร้างคนเป็นสาวกของพระเยซูกี่คน?

ข้อคิดคำคมที่ฉันชอบ

ข้อคิดคำคมที่ฉันชอบ
วันที่ 12/04/2011

พี่น้องหลายท่านคงได้อ่านคอลัมภ์ “ข้อคิดคำคมที่ผมชอบ” โดย ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ ไปบ้างแล้วนะคะ อย่างน้อยก็ในสูจิบัตรนิมิตใหม่ หากท่านใดที่ยังไม่เคยอ่านเลยนั้น ก็ขอถือโอกาสหนุนใจตอนนี้เลยคะ “Try it!”

เชื่อว่าแต่ละท่านก็มีข้อคิดคำคมที่ตนเองชอบแตกต่างกันออกไป ทั้งอาจมีบางท่านที่มีข้อคิดคำคมมาเป็นพรสู่ผู้อื่นเสมอด้วย แต่วันนี้ฉันขอแบ่งปันข้อคิดคำคมบางส่วนที่ประทับใจเป็นการส่วนตัวคะ

1. “ขณะที่เราเล่าเรื่องพระเยซูให้ผู้อื่นฟัง พระเยซูก็ทรงเล่าเรื่องของเราให้พระบิดาฟังด้วย” โอ้โห! โดนสุดๆ ฟังแล้วหนุนใจอย่างยิ่ง พระเยซูผู้ทรงสถิต ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระบิดา มิเพียงทรงจัดเตรียมที่ในสวรรค์ไว้ให้กับเรา แต่ยังทรงอธิษฐานเผื่อเรา ทรงเชียร์เรา หนุนใจเรา สอนเราผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเล่าเรื่องของเราให้พระบิดาฟังอีก ข้อคิดคำคมนี้คุณครูแมมเล่าให้ฟังคะ โดยครูแมมฟังมาจาก ศบ.พงษ์ศักดิ์ ส่วน ศบ.พงษ์ศักดิ์ ก็ฟังมาจากคริสเตียนพี่เลี้ยง ซึ่งหนุนใจ ศบ.พงษ์ศักดิ์ ขณะออกไปประกาศข่าวประเสริฐ

2. “ไม่ต้องรู้มาก แต่ให้รักมาก” โอ้โห! นี่ก็โดนใจอีกหนึ่งตลบ คำคมนี้ ศบ.พงษ์ศักดิ์ มอบให้กับพี่สาวท่านหนึ่งเพื่อเป็นเคล็ดลับในการรับใช้พระเจ้าอย่างเกิดผล…สู้ สู้…เมื่อฉันได้ยินปุ๊บ ก็ขอรับไว้โดยทันทีเช่นกัน

3. "ไม่ต้องจำชื่อผมก็ได้ แต่ให้จำพระนามพระเยซูก็พอ” Wow! ขอบคุณพี่โอ สมรรถพล ที่โอ้อวดพระนามพระเจ้า พี่โอกล่าวประโยคนี้ตบท้ายในงานพบปะผู้เชื่อใหม่ที่คริสตจักรนิมิตใหม่ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา

4. “สะอื้นใจ” ไม่รู้ว่าคำนี้เป็นคำคมหรือเปล่า แต่เป็นคำพูดจากปากของหญิงชราชาวอีสานผู้หนึ่ง ซึ่งเราไปเยี่ยมเยียนขณะทำพันธกิจที่อำเภอน้ำยืน อุบลราชธานี แม่เฒ่าตื้นตันใจจนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เมื่อได้รับของขวัญจากลูกสาว และได้พบเจอคนถูกใจ ทั้งยังได้สัมผัสถึงความรักท่ามกลางพี่น้องคริสเตียนด้วย…ท่านเคยไหม ที่ซาบซึ้งในพระคุณความรักของพระเจ้าจนไม่อาจบรรยายได้! สะอื้นใจจังงัง 


5. “เราพร้อมจะทนทุกข์เพื่อพระคริสต์ในการรับใช้คนอื่นไหม?” และ “เรามีความชื่นชมยินดีในพระคริสต์ในการรับใช้ไหม?” 2 ประโยคนี้เป็นคำถามหลักที่ผู้เขียนหนังสือ “ผู้รับใช้พันธุ์แท้” (An Authentic Servant) คือ อจิตต์ เฟอร์นันโด (Ajith Fernando) ผู้อำนวยการ YFC ในศรีลังกา ถามผู้รับใช้ทุกคน และ อ.ธานินทร์ วรวิจิตราพันธ์ นำมาถ่ายทอดอีกต่อหนึ่ง…เป็นคำถามที่ต้องคิดตามอย่างมากทีเดียว! ถ้าคำตอบของท่านคือ “Yes” ละก็…ลุยเลย! (…จงลุกขึ้น ให้เราทั้งหลายไปกันเถิด ~ยน.14:31)

ขอให้ลิ้นของเราเปล่งเสียงสรรเสริญ เปล่งเสียงอธิษฐาน
เปล่งเสียงเล่าเรื่องราวของพระเยซู เปล่งเสียงเป็นคำพร
ฮาเลลูยา!

เราจะมีส่วนในงานมิชชั่นได้อย่างไร

เราจะมีส่วนในงานมิชชั่นได้อย่างไร
วันที่ 31/03/2011

เมื่อสัปดาห์ก่อนฉันกลับไปค้นดูเอกสารเก่าๆ เพื่อเตรียมสอนภาษาอังกฤษในโครงการ Sunday English Class ก็ไปเจอ Sheet ที่มี 2 หน้า หัวข้อ “เราจะมีส่วนในงานมิชชั่นได้อย่างไร” โดย อ.ซาชิโกะ ซากาโมโต้ ลงวันที่ด้วยลายมือที่คนมากมายเห็นแล้วส่ายหน้าว่า 27/1/2001 Wow! ตอนนั้นเพิ่งเป็นคริสเตียนได้ไม่กี่น้ำเอง

จำไม่ได้หรอกว่า อ.ซาชิโกะเป็นใคร และเทศนาเป็นภาษาอะไร มีใครแปลหรือเปล่า หรือแม้แต่เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ไหน คือถ้าเป็นเดี๋ยวนี้เวลาจดบันทึกอะไร จะใส่สถานที่ไปด้วย แต่ก็ช่างมันเถอะ ผ่านไปแล้ว เอาเป็นว่า ฉันได้รับพระพรมากมายเมื่ออ่านเอกสารชิ้นนี้อีกครั้งหนึ่ง และปรารถนาจะแบ่งปันสู่พี่น้องด้วยคะ

ชีวิตคือมิชชั่น!

1.พื้นฐานทางพระคัมภีร์เกี่ยวกับมิชชั่น
พระเจ้าทรงเป็นเจ้าของงานมิชชั่น พระองค์มีพระประสงค์ที่จะช่วยโลกให้รอดโดยทางพระคริสต์ (1 ทธ.2:4-6)
พระเยซูคริสต์ คือ มิชชันนารีคนแรกของโลก
2 คร.5:11-21, ยน.3:16, ยน.1:14

2.คริสตจักรคืออะไร
คริสตจักร คือ พระกายของพระคริสต์ ประกอบด้วยอวัยวะหลายอย่าง พะวงซึ่งกันและกัน แต่เป็นกายเดียวกัน
รม. 12:5, 1 คร.12:27, อฟ.4:11-13
พวกเราทั้งหลายเป็นพระกายของพระคริสต์ เราต่างก็เป็นอวัยวะของพระกายนั้น
คริสตจักรเป็นพระกายของพระเยซูคริสต์ พระเยซูจะทำงานผ่านพวกเราที่เป็นพระกายของพระองค์
พวกเรามีของประทานที่ต่างกัน เราจึงต้องทำงานที่หลากหลายร่วมกัน

3.ในฐานะที่เราเป็นพระกายของพระคริสต์ ควรจะต้องทำอะไรเพื่อที่จะมีส่วนในงานมิชชั่น
REACH (เสาะหาคนที่ยังไม่รู้จักพระเยซู) มธ.9:35-38
TEACH (สั่งสอนให้เขารู้ว่าพระเจ้ารักเขาขนาดไหน พระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเขา) มธ.28;19-20
CARE (ใส่ใจดูแล เหมือนที่พระเจ้าดูแลเรา…อบอุ่นจัง) กท.5:13-14
WITNESS (สนับสนุนเป็นพยาน) กท.1:8
FELLOWSHIP (สามัคคีธรรม) (จดข้อพระคัมภีร์ไม่ทันน่ะคะ)
WORSHIP (สรรเสริญนมัสการ) สดด.100

เราทำงานมิชชั่นได้อย่างไร (How do we do mission work?)
พระเจ้าทรงเป็นมิชชันนารี!
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นมิชชันนารี!
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นมิชชันนารี!
เราทุกคนเป็นมิชชันนารี!

เราทุกคนเป็นมิชชันนารี โดย
1.โดยการนมัสการ (by worshipping)
2.โดยการแบ่งปันพระกิตติคุณ (by sharing the Gospel)
3.โดยการอบรมเลี้ยงดูผู้เชื่อ (by nurturing the believers)
4.โดยการห่วงใยกันและกัน (by concerning one another)

พระเจ้าทรงทำงานมิชชั่นอย่างไรในญี่ปุ่น
1.มิชชันนารีคนแรกเป็นคาทอลิค ซึ่งทำให้คนมาหาพระเยซูจำนวนไม่น้อย ผู้ครองนครเลยข่มเหงและฆ่า คริสเตียนถูกฆ่าตายจำนวนมาก
2.มิชชันนารีคริสเตียนเข้าไปใน ศตวรรษที่ 19
3.ปี 1947 คณะแบ๊บติสท์ได้เริ่มต้นขึ้น

ฉันคิดว่าน่าจะมีเนื้อหามากกว่านี้อีก แต่ฉันจดมาได้แค่นี้ น่าเขกกะโหลกตัวเองนัก ทำไมจดมาน้อยจัง ไม่รู้ว่าตอนนั้นหลับหรือเปล่าสิ (คร่อก)

อ.ซาชิโกะทิ้งท้ายด้วยคำคมสุดประทับใจ
ชีวิตที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้เพราะพระเจ้าให้เป็นของขวัญ
และสิ่งที่เราจะทำต่อไปในอนาคต คือ “ของขวัญที่เราจะมอบถวายแด่พระเจ้า”


Wow! ช่างเป็นความชื่นบานยอดยิ่งจริงๆ…เราทุกคนเป็นมิชชันนารี เราทุกคนมีส่วนในงานพันธกิจโลกได้มากกว่าร้อยแปดพันเก้าวิธี ทั้งนี้ได้แนบไอเดียมากกว่า 250 ยุทธวิธีเพื่อมีส่วนในงานมิชชั่นมาให้อ่านด้วย “Six ways to reach God’s World: Involvement ideas” by OMF ซึ่ง 6 วิธีดังกล่าวได้แก่ Pray, Send, Welcome, Go, Mobilize and Learn.

จุดคุ้มทุน

จุดคุ้มทุน
วันที่ 30/03/2011

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการสัมมนาของสมาคมที่เสร็จสิ้นลงด้วยความพอใจของทุกฝ่าย ฉันซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานก็อดที่จะปลื้มใจไม่ได้เหมือนกัน เราวางแผนล่วงหน้าสำหรับงานครั้งนี้มากว่า 4 เดือน โดยคาดหวังจะมีผู้ร่วมสัมมนาไม่ต่ำกว่า 100 คน เพราะมีจุดคุ้มทุนอยู่ที่ 100 คน ดังนั้น เราจึงการันตีจำนวนคนกับโรงแรมไว้ที่ 100 คน หากผู้เข้าร่วมสัมมนาไม่ถึง 100 คน ทางเราก็ต้องจ่ายให้กับโรงแรมในอัตรา 100 คนอยู่ดี และแน่นอนว่าหากเป็นเช่นนั้นเราจะไม่คุ้มทุนหรือต้องขาดทุนนั่นเอง

จุดคุ้มทุน (Break even point) หมายถึง จุดหรือปริมาณการขายหรือบริการที่ทำให้กิจการได้รับรายได้เท่ากับค่าใช้จ่ายพอดี ในองค์กรธุรกิจหรือแม้แต่องค์กรทั่วไปจึงมักต้องคำนวณจุดคุ้มทุนไว้เสมอ

ฉันเดินทางไปร่วมพันธกิจน้ำยืน อุบลราชธานี กับทีมนิมิตใหม่ เมื่อวันที่ 11/3/2011 ระหว่างทางก็ได้แบ่งปันกับครูแมมว่ากำลังจะมีการสัมมนาในวันที่ 22/3/2011 และจะปิดรับสมัครในวันที่ 15/3/2011 แต่เรายังมีผู้เข้าร่วมสัมมนาไม่ถึงครึ่งของจำนวนที่คาดไว้เลย จริงๆ แล้วฉันมีความกังวล เพราะถึงแม้ว่าสมาคมที่เจ้านายและฉันทำงานให้นี้จะเป็นสมาคมที่เรียกตัวเองว่าเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร แต่ก็อดไม่ได้ที่ต้องนึกถึงกำไรอยู่ดี โดยเราอาจจะใช้คำอื่นที่ดูดีกว่าว่า “ไม่ได้หวังกำไร แค่ไม่ขาดทุนก็พอ” (อ้าว!)

เมื่อพูดกับครูแมมจบ ก็เหมือนกับว่ามีอะไรมาจุกอยู่ที่คอ (อึก อึก) ฉันจึงอธิษฐานขอวางทุกสิ่งไว้ต่อหน้าบัลลังก์พระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่อยู่เบื้องหลังหรือการงานที่คาค้าง ฝากทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในพระหัตถ์พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงสัญญาไว้ “เมื่อเรามอบงานไว้กับพระเจ้า พระองค์จะทรงสถาปนาไว้” แหล่มเลย! แล้วฉันก็เดินหน้าไปน้ำยืนอย่างสบายใจเฉิบ โดยที่ตลอดเวลาขณะอยู่น้ำยืนหรือแม้แต่เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพฯแล้ว ฉันก็ไม่มีความกังวลในงานเรื่องดังกล่าวอีกเลย

ฉันไม่รู้หรอกว่าผลงานจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ฉันได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว และที่สำคัญกว่านั้นคือ ฉันมีความหวังใจ ฉันมีความหวังใจในพระเจ้าพระผู้สร้าง และต้องเรียนรู้ที่จะถ่อมใจรับพระกรุณาคุณจากพระเจ้าในทุกกรณี

เมื่อไปถึงน้ำยืน เราพบว่าพี่น้องผู้เชื่อทั้งใหม่และเก่าหายไปเป็นจำนวนหนึ่ง เราทราบว่าบางคนก็ป่วย บางคนก็ติดธุระการงานต่างๆ แต่บางคนก็ห่างไปจากทางของพระเจ้าเลยก็มี ฟังแล้วก็น่าใจหายใช่ไหมละคะ…แต่เดี๋ยวก่อน! เราต้องหายใจนะ แต่ห้ามใจหายเด็ดขาด!!! และที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องมีความหวังใจในพระเจ้าเสมอ เพราะเราวางใจพระองค์

การงานทางโลกนั้น มักวัดผลงานกันด้วยปริมาณและตัวเลขสถิติต่างๆ เช่น บริษัทที่ฉันทำงานอยู่นี่ ก็ตั้งเป้าเป็นยอดขาย ปีละกี่พันล้านก็ว่ากันไป ส่วนงานของสมาคมนั้นก็วัดกันด้วยตัวเลขอยู่ดี เพียงแต่จะเน้นเป็นตัวเลขจำนวนคนมากกว่าตัวเงินเท่านั้นเอง อย่างไรก็ดี การจะเข้าร่วมสัมมนากับสมาคมได้นั้นก็ต้องจ่ายเงินก่อน จึงจะมีสิทธิ์ ไม่เหมือนกับงานสัมมนาของคริสเตียนหลายแห่งที่สามารถเข้าร่วมได้ แม้บางครั้งยังไม่ได้จ่ายเงินหรือไม่มีเงินจ่ายก็ตาม ^_^

การงานทางโลกมักตั้งจุดคุ้มทุนไว้เพื่อความอยู่รอด เหมือนกับที่สมาคมตั้งไว้ว่า ครั้งนี้ต้องมีผู้เข้าสัมมนา 100 คนจึงจะคุ้มทุน หากน้อยกว่าก็ขาดทุน หากได้ 100 คนก็เท่าทุน หากได้มากกว่า 100 คน ก็เป็นกำไรไป…ขอบคุณพระเจ้า สัปดาห์สุดท้ายก่อนวันงาน มีผู้สมัครเข้ามาจำนวนมาก จนทำให้เป้าหมายที่เราตั้งไว้สำเร็จ

สำหรับการงานของพระเจ้าหรือการงานฝ่ายวิญญาณนั้น เราไม่สามารถนำตัวเลขมาเป็นเกณฑ์วัดผลงานแบบฝ่ายโลกกันได้ทั้งหมด เพราะการงานฝ่ายวิญญาณนั้นเป็นความล้ำลึกอย่างมาก พระเจ้าทรงมีเกณฑ์การวัดและตัดสินไม่เหมือนกับที่มนุษย์มอง ดังตัวอย่างเช่น

- น้ำมันหอมนารดาราคาสูงที่มารีย์นำมาชโลมพระบาทพระเยซูนั้น ยูดาสมองว่าเป็นการสิ้นเปลือง แต่พระเยซูทรงมีมุมมองที่แตกต่าง (ยน.12:3-8) ยูดาสมองว่าไม่คุ้ม แต่สุดคุ้มสำหรับมารีย์ และล้ำค่าสำหรับพระเยซู
- สาวกเห็นว่าขนมปัง 5 ก้อน และปลา 2 ตัว คงไม่พอเลี้ยงฝูงชนจำนวนมากนั้น และพวกเขาก็ไม่มีเงินที่จะไปซื้ออาหารให้กับฝูงชนเหล่านั้นด้วย ไม่คุ้มเลย ฉะนั้น ปล่อยให้พวกเขากลับบ้านกันไปเถอะ แต่พระเยซูทรงมีมุมมองที่แตกต่าง (มธ.14:14-21)
- มารธาและมารีย์เห็นว่าหากพระเยซูทรงเสด็จมาเร็วกว่านี้ ลาซารัสก็คงไม่ตาย แต่พระเยซูทรงมีมุมมองที่แตกต่าง (ยน.11;21,32) การทำให้ลาซารัสฟื้นขึ้นจากความตายนั้น คุ้มค่ามากกว่า ล้ำค่าเหนือกว่า และงดงามด้วยสง่าราศีของพระองค์
- มารธาเห็นว่ามารีย์ควรจะมาช่วยเธอจัดเตรียมอาหารเพื่อพระเยซูและเหล่าสาวก แต่พระเยซูทรงมีมุมมองที่แตกต่าง (ลก.10:38-42) มารีย์ได้เลือกฉวยสิ่งที่ล้ำค่ากว่าและเหนือกว่าเอาไว้แล้ว

เราเห็นการวัดผลลัพธ์ในฝ่ายวิญญาณที่แตกต่างจากการวัดผลฝ่ายเนื้อหนังหรือฝ่ายโลกอย่างมากมายในพระคัมภีร์ ซึ่งกล่าวให้ครบถ้วนทั้งหมดได้ยากยิ่ง เราจึงเป็นเพียงผู้ทาสที่พระเจ้าทรงกระทำการผ่านเราเท่านั้น หน้าที่ของเราคือการเป็นภาชนะที่พร้อมสำหรับงานของพระองค์ เราทำเต็มที่ เต็มใจ เต็มความสามารถและพลังที่พระองค์ทรงดลใจอยู่ [คส.1:29 เพื่อเหตุนี้เองข้าพเจ้าจึงตรากตรำทำงานด้วยความอุตสาหะ เข้มแข็งด้วยพลังที่พระองค์ทรงดลใจข้าพเจ้าอยู่] ส่วนการเกิดผลนั้น เป็นของพระเจ้า…เราหว่านด้านวิญญาณ ก็เก็บเกี่ยวในด้านวิญญาณ

การตั้งเป้าหมายด้วยตัวเลขนั้นเป็นสิ่งที่ดีและจำเป็นมาก หากวางแผนดี ตั้งเป้าหมายดี ก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว เช่น ประเทศไทยต้องมีคริสเตียนเพิ่มขึ้นเป็นอีกกี่เปอร์เซ็นต์ในอีก 10 ปีข้างหน้า, คริสตจักรจะต้องมีคริสตจักรลูกกี่แห่งภายในปีที่กำหนด, คริสตจักรจะต้องมีสมาชิกเพิ่มอีกจำนวนเท่าใด, คริสตจักรจะต้องมีเงินถวายเท่าไร, คริสตจักรจะต้องส่งมิชชันนารีออกไปจำนวนเท่าใด, สมาชิกจะต้องนำรับเชื่อกี่คนในแต่ละปี, สมาชิกจะต้องมีน้องเลี้ยงกี่คน เหล่านี้เป็นต้น (มีบางคนตั้งเป้าด้วยว่า จะขับผีกี่ตัว…หุหุ ฉันไม่เอาด้วยนะ ไม่ชอบผี!) ขอบคุณพระเจ้าสำหรับเป้าหมายเหล่านั้น แต่ถ้าเป้าหมายเหล่านั้นทำให้เราไม่มีสันติสุขละก็ ต้องใส่เกียร์ถอยหลังตั้งสติ กลับมานั่งจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง

ในการงานฝ่ายโลกนั้น เราต้องสร้างผลงาน ทำตามเป้าหมายที่บริษัทหรือเจ้านายกำหนดไว้ หากทำได้ก็เป็นที่ชื่นชอบโปรดปรานของเจ้านาย แต่สำหรับจอมเจ้านาย พระบิดาบนสวรรค์นั้น พระองค์ทรงโปรดปรานเราอยู่แล้ว แม้เราจะเป็นคนที่ไม่เอาไหนเลยหรือไม่ทำอะไรเลยก็ตาม ทว่า ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อเราต่างหาก เราจึงปรารถนาที่จะรับใช้พระองค์ เพียรพยายามวางตัวเราให้คู่ควรกับความโปรดปรานของพระองค์

“เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน
ให้ท่านมีใจปรารถนาทั้งให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์’ (ฟป.2:13)


จุดคุ้มทุนของการงานฝ่ายโลกอยู่ที่ผลงานตามเป้าหมาย แต่จุดคุ้มทุนในการงานของพระเจ้านั้น อยู่ที่ผลของพระวิญญาณบริสุทธ์ และรางวัลที่ยิ่งใหญ่คือ บำเหน็จจากองค์พระเยซู และชีวิตนิรันดร์บนสวรรค์!

เติมน้ำมันอยู่เสมอ

เติมน้ำมันอยู่เสมอ
วันที่ 18/03/2011

ระยะนี้ค่าใช้จ่ายด้านปัจจัยสี่เพิ่มขึ้นในทุกด้านเลยนะคะพี่น้อง ทั้งนี้รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วย ค่าน้ำมันรถก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้อีกหลายคนมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ฉันเองก็ได้รับผลกระทบนี้ด้วย จากเดิมเคยเติมน้ำมันครั้งละ 800 บาท ทุกวันนี้กลับต้องเติมครั้งละ 900 บาท เพื่อให้ได้น้ำมันในปริมาณที่เท่าเดิม หากถามว่า “ไม่เติมได้ไหม” ก็ตอบเลยว่า “ไม่ได้” เพราะรถจะขับเคลื่อนไปสู่จุดหมายปลายทางไม่ได้เลยหากไม่มีน้ำมัน แต่ในอนาคตรถอาจจะวิ่งโดยไม่ต้องง้อน้ำมันก็เป็นได้ แต่เมื่อถึงตอนนั้น ก็ต้องมีการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อทำให้รถขับเคลื่อนได้อยู่ดี

รถซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นยังต้องเติมน้ำมันเลย ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดที่ชีวิตจิตวิญญาณของเราที่พระเจ้าทรงสร้างย่อมมีความล้ำลึกกว่า กล่าวคือ ผู้เชื่อที่ฉลาดนั้นต้องเติมน้ำมันฝ่ายวิญญาณให้พร้อมอยู่เสมอ เหมือนหญิงมีปัญญา 5 คนนั้น [มธ.25:1-13]

หากถามว่า “ไม่เติมน้ำมันในฝ่ายวิญญาณได้ไหม” ก็ตอบเลยว่า “ไม่ได้” เพราะเราจะไปสู่จุดหมายปลายทางแห่งแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย…เมื่อน้ำมันฝ่ายวิญญาณเหือดแห้ง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเคลื่อนไหวได้อย่างไรกัน

เราต้องเติมน้ำมันในฝ่ายวิญญาณอยู่เสมอ เพื่อให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เคลื่อนไหวทรงฤทธิ์อย่างเต็มขนาดอยู่ในเรา ทุกวันของเราจึงต้องมีชีวิตอยู่เพื่อนมัสการพระเจ้า อธิษฐาน อ่านพระวจนะ และเชื่อฟังพระวจนะทุกคำด้วยความยำเกรง

มีบางคนอ้างว่า “น้ำมันฝ่ายวิญญาณนั้นไม่ต้องรีบเติมก็ได้ เพราะไม่รู้ว่าพระคริสต์จะเสด็จมาเมื่อไร ไม่ต้องรีบหรอก” บางคนที่อายุมากหน่อยก็อ้างว่า “ฉันเห็นคนพูดถึงยุคสุดท้ายมาตั้งหลายสิบปีแล้ว จนป่านนี้พระเยซูก็ยังไม่เห็นมาเลย ยุคสุดท้ายจึงไม่น่าจะเกิดในชีวิตของฉัน” นั่นก็ถูกของเขาที่เราไม่รู้ว่าพระคริสต์จะเสด็จมาเมื่อไร ทว่า เราต้องเตรียมตัวพร้อมอยู่เสมอมิใช่หรือ มิฉะนั้น ต้นทุนในการเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์อาจจะแพงเกินไปก็ได้ ยิ่งช้าก็ยิ่งแพง ยิ่งประมาทก็ยิ่งแพง กล่าวคือ เมื่อไม่ระวังตัว และพระคริสต์ทรงเสด็จมาแบบเราไม่รู้ตัว ก็จบเห่กันพอดีนะสิ!

มธ.25:13 “เหตุฉะนั้นจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้กำหนดวันหรือโมงนั้น”

ผ่อนหนักผ่อนเบา

ผ่อนหนักผ่อนเบา
วันที่ 12/5/2010

[รม.15:1 พวกเราซึ่งมีความเชื่อเข้มแข็ง ควรจะอดทนต่อความเชื่อของคนที่เคร่งในข้อหยุมๆหยิมๆและไม่ควรกระทำสิ่งใดตามความพอใจของตัวเอง]
ฉันรู้สึกเจ็บๆ คันๆ กับพระคัมภีร์ข้อนี้จริงเชียว ก็อาจารย์เปาโลแนะนำให้พวกเราซึ่งมีความเชื่อเข้มแข็งนั้น อดทนต่อความเชื่อของคนที่เคร่งในข้อหยุมๆ หยิมๆ แต่การณ์กลับเป็นว่า ฉันเป็นคนที่เคร่งในข้อหยุมๆ หยิมๆ ซะเอง และเจ้าความหยุมหยิมนี่แหละที่ทำให้ฉันหงุดหงิด และก็ไม่ได้หงุดหงิดกับใครด้วย แต่หงุดหงิดกับคุณแม่ที่บ้าน อ้าว! บาปซ้ำบาปซ้อน น่าละอายจริงๆ

คุณแม่จะเป็นคนที่เฉยๆ ยังไงก็ได้ แต่ฉันจะตรงกันข้าม คือ ใจเร็วใจร้อน คาดหวังให้สิ่งต่างๆ เป็นไปตามกฎเกณฑ์ ซึ่งบางครั้งก็บ้าบอคอแตกในความคิดของคนอื่น เช่นว่า แยกช้อนกับซ้อมไว้ถาดใครถาดมัน และเวลาหยิบใช้ก็ต้องเป็นช้อนส้อมคู่เดียวกัน, แยกฟองน้ำล้างแก้ว กับฟองน้ำล้างจาน, แยกจานชามตามชุดของมัน ฯลฯ

และแล้วฉันก็บ่นนะสิ เมื่อเห็นว่าข้าวของต่างๆ อยู่กันคนละทิศละทาง ฉันก็บ่นๆๆ นานวันเข้าฉันก็เหนื่อยเอง ไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากจะทำให้ตัวเองรำคาญและแม่รำคาญอีก จนกระทั่งสำนึกได้ว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนใครหรือสถานการณ์ใดได้ เราต้องเริ่มเปลี่ยนจากตัวเองก่อน ทุกสิ่งต้องเริ่มจากตัวเราเอง ส่วนเรื่องเล็กน้อยหยุมหยิมก็อย่าได้แคร์สื่อ เอ้ย! อย่าได้ใส่ใจให้มากนัก เพราะมันไม่ถึงกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่ต้องเอาชนะกันเสียเมื่อไร

การบ่นเป็นความบาปอย่างหนึ่ง เป็นความเห็นแก่ตัวที่ต้องการให้ทุกอย่างเป็นไปตามใจของเรา และประการสำคัญคือ ถ้าฉันนำสิ่งหยุมหยิมเข้ามาในใจ ก็จะปิดกั้นสิ่งยิ่งใหญ่ที่ฉันจะได้รับจากพระเจ้า คิดได้ดังนี้แล้ว จากคำบ่นที่พ่นไปในอากาศก็เปลี่ยนเป็นคำอธิษฐานที่ล่องลอยสู่เบื้องบน แต่ก่อนอื่นฉันก็ระบายความในใจก่อนคะ ระบายแล้วก็จบเลยนะคะ จากนั้นก็ขอกลับใจเริ่มต้นใหม่ เป็นคนใหม่นิสัยใหม่ตามชอบพระทัยพระเจ้า

เป็นอันประหลาด แต่ก็ไม่ประหลาดหรอกคะ เป็นกฎเกณฑ์ที่เราทราบกันอยู่ เมื่อเราเปลี่ยนวิถีคิด วิธีแห่งความสุขใจก็เกิดขึ้น จานชามบนโต๊ะอาหารสารพัดลายก็เป็นศิลปะอีกแบบหนึ่งในแต่ละมื้ออาหาร ช้อนส้อมคนละคู่ที่ยาวสั้นไม่เท่ากันหรือหนักเบาไม่เท่ากัน ก็ฝึกเราในการเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างง่ายๆ ขอบคุณพระเจ้าที่มีอาหารรับประทาน มีจานชามช้อนส้อม ว้าว! มีอะไรตั้งเยอะแยะให้ขอบคุณพระเจ้า

แต่ยิ่งกว่านั้นอีก คือ ต่อมาคุณแม่เริ่มเปลี่ยนคะ (ฮา) แม่เริ่มยอมรับแนวคิดบ้าบอคอแตกของฉัน เพราะเวลาใครมาบ้านก็ชมแม่ว่าจานชามสวย บ้านช่องเป็นระเบียบ คุณแม่จึงเป็นปลื้มคะ ตอนนี้เธอจึงกลายเป็นผู้ที่จะแยกสิ่งของเครื่องใช้อย่างเป็นระเบียบซะเอง

ฉันได้เรียนรู้ว่า
ต้องผ่อนหนักผ่อนเบากับผู้อื่น!
ต้องผ่อนหนักผ่อนเบากับตนเอง!
แต่ต้องจริงจังกับทางของพระเจ้า!

[คส.3:13 จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกัน ก็จงยกโทษให้กันและกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด ท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน]

วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2554

รีทรีตกับทีมอัมพวา

วันที่ 7/3/2011

เมื่อวันที่ 26/2/2011 ที่ผ่านมา ทีมงานคริสตจักรลูกนิมิตใหม่อัมพวา (จ.สมุทรสงคราม) นำโดยพี่อ้อย-จันจิรา ได้จัดให้มีรีทรีตสำหรับทีมอัมพวาขึ้น โดยใช้สถานที่เป็นบ้านใหม่ริมน้ำของพี่กุ้งพี่ยี่ คู่สามีภรรยาผู้มีน้ำใจกว้างขวาง

ทีมงานอัมพวาและทีมงานผู้ทรงเกียรติในวันดังกล่าว ประกอบไปด้วย พี่อ้อย พี่เว้ง น้องไหม น้องแพร พี่ตุ้ม พี่โอ น้องเบลสซิ่ง ดร.สมนึก อ.เดวิด-อ.แพม พี่แอ๊ด พี่ปรีดา พี่วี น้องสังวรณ์ น้องแป้งร่ำ (Church of Joy) และ คุณ Brett-Susie มิชชันนารีจากทีม Life Point

รถตู้ออกจากคริสตจักรแต่เช้าโดยมีพลขับพี่วีนำพาทีมงานไปถึงอัมพวา บริเวณตลาดน้ำ ครูปรีดา ครูแอ๊ด ครูแป้งร่ำ รับหน้าที่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษให้กับนักเรียนประมาณ 30 คน จากนั้นจึงใช้เวลาเพื่อความอิ่มหนำและฮากระจายกันบริเวณตลาดน้ำอัมพวา

ช่วงบ่าย ทีมงานคริสตจักรลูกนิมิตใหม่ บางใหญ่ ได้แก่ พี่ตุ๊กตา อ.เอ็มม่า และฉัน ก็ไปร่วมสมทบด้วย ส่วนครอบครัวพี่อ้อยพี่เว้งก็เดินทางตามมาสมทบในภายหลัง ตามติดมาด้วยน้องสังวรณ์ เราเริ่มรายการในเวลาประมาณ 17.00 น.

Come, now is the time to worship (1)

นำนมัสการโดยพี่โอ พร้อมมือกีตาร์ คือพี่ตุ๊กตา

ทีมงานได้รับเกียรติจากอาจารย์ก้องภพ ภู่จันทร์ ศบ.คริสตจักรใจสมานสมุทรสงคราม มาแบ่งปันฟื้นฟู

คริสตจักรใจสมาน สมุทรสงคราม เป็นคริสตจักรแห่งเดียวในจังหวัดสมุทรสงคราม ในขณะที่จังหวัดเล็กๆ 3 อำเภอแห่งนี้มีวัดกว่า 200แห่ง ดังนั้น การต่อสู้ในย่านฟ้าอากาศจึงมีค่อนข้างหนัก แต่อาจารย์ก้องภพก็หนุนใจว่า ทีมอัมพวาจะทำงานของพระคริสต์ได้สำเร็จอย่างแน่นอน เนื่องจากมีการอธิษฐานและนมัสการเชิงลึกที่สัมผัสพระทัยพระบิดา เช่นเดียวกับทีมบางใหญ่ที่จะทำงานอย่างสำเร็จด้วย

พระธรรม มก.4:35-41 พระเยซูทรงห้ามพายุ

35เย็นวันนั้น พระองค์ได้ตรัสแก่เหล่าสาวกทั้งหลายว่า "ให้พวกเราข้ามไปฝั่งฟากข้างโน้นเถิด" 36เมื่อลาประชาชนแล้ว เขาจึงเชิญพระองค์เสด็จไปในเรือที่พระองค์ประทับอยู่นั้น และมีเรืออื่นหลายลำไปด้วย 37และพายุใหญ่ได้บังเกิดขึ้น และคลื่นก็ซัดเข้าไปในเรือจนเรือจวนจะเต็มอยู่แล้ว 38ฝ่ายพระองค์บรรทมหนุนหมอนหลับอยู่ที่ท้ายเรือ เหล่าสาวกจึงมาปลุกพระองค์ทูลว่า "อาจารย์เจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายกำลังจะจมอยู่แล้ว ท่านไม่เป็นห่วงบ้างหรือ" 39พระองค์จึงทรงตื่นขึ้นห้ามลม และตรัสแก่ทะเลว่า "จงสงบเงียบซิ" แล้วลมก็หยุด คลื่นก็สงบเงียบทั่วไป 40พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า "ทำไมเจ้ากลัว เจ้าไม่มีความเชื่อหรือ" 41ฝ่ายเขาก็เกรงกลัวนักหนา และพูดกันและกันว่า "ท่านนี้เป็นผู้ใดหนอ จนชั้นลมและทะเลก็เชื่อฟังท่าน"


บทเรียนที่ได้รับ-
- เราต้องไม่ลืมว่าเราเป็นใคร “เราเป็นผู้เชื่อ เราเป็นบุตรของพระเจ้า”
- พระเจ้าจะได้รับเกียรติผ่านฤทธิ์เดชของพระองค์ที่อยู่ในตัวเรา เราจึงไม่ควรวิตกมากเกินไป เพราะสิ่งนี้จะเหนี่ยวรั้งการจำเริญเติบโตของเราในพระเ ทำให้เราไม่เกิดผล ไม่เห็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่
- การวิตกกังวลเกินเหตุเป็นสิ่งที่ไร้ค่า
- ความวิตกกังวล ต้องไม่มากเกินไปจนขาดความเชื่อไว้วางใจ
- ถ้าเราทำอะไรไม่ได้เลย ก็อย่าวิตกกังวลมากเกินไป
- เพชรแท้ต้องไม่กลัวการเจียระไน คริสเตียนแท้ต้องไม่กลัวการทดสอบ
- พระเยซูทรงประทับอยู่กับสาวกของพระองค์ พระเยซูทรงประทับอยู่กับเรา แล้วเราจะกลัวอะไร
- ความเชื่อของเราอยู่ในพระเจ้า แม้เรือจวนจะจม เราก็ไม่ต้องกลัวสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่ว่าลมพายุจะแรงแค่ไหน จะพัดมาจากทิศทางใดก็ตาม เราก็สามารถผ่านไปได้อย่างสบายๆ เสมอ

อาจารย์ก้องภพเกิดมาในครอบครัวมุสลิม กระทั่งวันหนึ่งในช่วงยุคฟองสบู่แตก เกิดหนี้สิน NPL จนหมดตัว ไม่สามารถพึ่งใครได้ แต่ได้รับความรักและกำลังใจจากพี่น้องคริสเตียน และพบว่าพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเป็นพระคัมภีร์อัศจรรย์ที่มีฤทธิ์เดช อาจารย์ก้องภพจึงถวายใจให้พระเยซู และรับใช้พระองค์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การรับใช้ของอาจารย์ก้องภพนั้นมีทั้งการทดลองและการทดสอบ แต่อาจารย์ก้องภพก็ผ่านมาได้เสมอโดยพระหัตถ์ขวาอันมีชัยของพระเจ้า

พระธรรมอพยพ 17:10-13 ประทับใจฉันเป็นพิเศษมาเนิ่นนาน ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงตั้งฉันให้เป็นผู้สนับสนุนผู้รับใช้ของพระองค์ [10โยชูวาก็ทำตามคำสั่งของโมเสส ออกสู้รบกับพวกอามาเลข ส่วนโมเสส อาโรน และเฮอร์ ก็ขึ้นไปบนยอดภูเขานั้น 11โมเสสยกมือขึ้นเมื่อไร อิสราเอลก็ได้เปรียบเมื่อนั้น ท่านลดมือลงเมื่อไร พวกอามาเลขก็เป็นต่อเมื่อนั้น 12แต่มือของโมเสสเมื่อยล้า เขาทั้งสองก็นำก้อนหินมาวางไว้ให้โมเสสท่านนั่ง อาโรนกับเฮอร์ก็ช่วยยกมือท่านขึ้นคนละข้าง มือของท่านก็ชูอยู่จนตะวันตกดิน 13ฝ่ายโยชูวาปราบอามาเลขกับประชาชนของเขาพ่ายแพ้ไปด้วยคมดาบ] ฉันจึงขอเป็นอาโรนที่ปฏิบัติงานพร้อมกับเฮอร์ในการช่วยยกมือโมเสสขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์ ร้องทูลต่อพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ เพื่อขอทรงประทานชัยชนะให้กับคริสตจักรของพระองค์ ให้ผู้รับใช้และคริสตจักรของพระองค์มีชัยในทุกสงคราม ซึ่งอาโรนก็มิเพียงอธิษฐานเท่านั้น เขายังรับใช้พระเจ้าด้วยการสนับสนุนโมเสสในหลายๆ ด้าน ส่วนที่เด่นมากเลยก็คือการพูดนี่แหละ พระเจ้าทรงจัดเตรียมอาโรนให้กับโมเสส เพราะโมเสสพูดไม่เก่ง อาโรนจึงมาเติมเต็มในส่วนที่โมเสสขาดอยู่ [อพย.4:14-16]

14ฝ่ายพระเจ้ากริ้วโมเสส จึงตรัสว่า "เจ้ามีพี่ชายคืออาโรนคนเลวีไม่ใช่หรือ เรารู้แล้วว่าเขาเป็นคนพูดเก่ง บัดนี้เขากำลังเดินทางมาพบเจ้า เมื่อเขาเห็นเจ้าเขาจะดีใจ 15เจ้าจงพูดกับเขา และบอกให้เขาพูด แล้วเราจะอยู่ที่ปากของเจ้า และปากของเขา และจะสั่งสอนเจ้าทั้งสองให้รู้ว่า ควรทำประการใด 16เขาจะเป็นผู้พูดแก่ประชากรแทนเจ้า เขาจะเป็นปากแทนเจ้า และเจ้าจะเป็นดังพระเจ้าแก่เขา

ผู้รับใช้พระเจ้าที่รัก! หากพระองค์ทรงเรียกคุณให้เป็นผู้นำแล้ว คุณก็ได้รับการเจิมตั้งเป็นพิเศษจากเบื้องบน คุณจึงไม่ต้องกลัวสิ่งใด เมื่อคุณดำเนินชีวิตแห่งการเชื่อฟังต่อพระพักตร์พระเจ้า องค์เยโฮวายิเรห์จะทรงจัดเตรียมทุกสิ่งที่จำเป็นให้กับคุณ โดยเฉพาะทีมงานผู้ร่วมรับใช้พระเจ้า พระเจ้าจะไม่ให้คุณขาดคนงานเลย ดังกรณีของโมเสสที่พูดไม่เก่ง พระเจ้าประทานอาโรนที่พูดเก่งให้กับเขา โมเสสจึงเพียงพูดกับพระเจ้าและพูดกับอาโรนเท่านั้น ในทำนองเดียวกัน มีส่วนใดที่ผู้รับใช้พระเจ้าทำไม่ได้หรือไม่ถนัดบ้างละ พระเจ้าจะส่งอาโรนเข้ามาในชีวิตของคุณ! [อพย.4:27-31]
27พระเจ้าตรัสกับอาโรนว่า "จงไปพบกับโมเสสในถิ่นทุรกันดาร" เขาก็ไปพบกับท่านที่ภูเขาของพระเจ้าและสวมกอดท่าน 28โมเสสจึงเล่าให้อาโรนฟังถึงพระดำรัส ซึ่งพระเจ้าตรัสเมื่อทรงใช้ตน และถึงหมายสำคัญทั้งปวงซึ่งพระองค์ทรงกำชับให้กระทำ 29โมเสสกับอาโรนเรียกประชุมบรรดาผู้ใหญ่ของชนชาติอิสราเอลพร้อมกัน 30แล้วอาโรนจึงกล่าวถึงพระดำรัสทั้งหมดซึ่งพระเจ้าตรัสแก่โมเสส และทำหมายสำคัญต่างๆ นั้นต่อหน้าประชาชน 31ฝ่ายประชาชน เมื่อได้ยินว่าพระเจ้าเสด็จมาเยี่ยมเยียนชนชาติอิสราเอล และทอดพระเนตรเห็นความทุกข์ยากของเขาแล้ว ก็เชื่อ เขากราบลงนมัสการ


หลังจากแบ่งปันพระคำแล้ว เราได้ร่วมใจกันอธิษฐานเผื่อพันธกิจของคริสตจักรลูกอัมพวาและบางใหญ่ ขอพระเจ้าทรงโปรดเพิ่มเติมภาระใจให้กับพี่น้องในคริสตจักรนิมิตใหม่ให้เข้ามามีส่วนรับใช้กับทีมอัมพวาและบางใหญ่ รวม ถึงคริสตจักรลูกแห่งอื่นๆ ตามการทรงเรียกของแต่ละคน บางคราคุณอาจเป็นโมเสส แต่บางคราคุณอาจจะเป็นอาโรนก็เป็นได้ มาร่วมกันรับใช้นะคะ! เพราะเราเชื่อว่านิมิตที่ตั้งหวังไว้นั้นจะสำเร็จ

จากนั้นเราอธิษฐานเป็นพิเศษสำหรับผู้นำหลักของอัมพวาและบางใหญ่ คือ พี่อ้อยและพี่ตุ๊กตา สองพี่น้องกอดคอกันกลม น้ำตาแห่งความเปรมปรีดิ์หยาดริน

เราเดินทางไปรับประทานอาหารแสนอร่อยริมน้ำ และกลับมานมัสการต่อในภาคกลางคืน โดย ดร.สมนึก Brett-Susie ได้เดินทางกลับกรุงเทพฯ ก่อน

Come, now is the time to worship (2)

คุณโตน ผู้รับใช้เคียงข้างอาจารย์ก้องภพ เป็นผู้นำนมัสการพร้อมเล่นกีตาร์ การเจิมเทลงมาอย่างมาก การเคลื่อนไหวของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นไปอย่างซาบซึ้ง ทุกเสียงเพลง ทุกคำอธิษฐาน ทุกคำแบ่งปัน ทุกคำหนุนใจ นำมาซึ่งความชื่นบานยอดยิ่งในฝ่ายวิญญาณ

พระธรรมกิจการ 12:1-17 ทรงช่วยเปรโตให้พ้นจากคุก
1คราวนั้นกษัตริย์เฮโรดได้เหยียดพระหัตถ์ออกทำร้ายบางคนในคริสตจักร 2ท่านได้ฆ่ายากอบพี่ชายของยอห์นด้วยดาบ 3เมื่อท่านเห็นว่าการนั้นเป็นที่ชอบใจพวกยิว ท่านก็จับเปโตรด้วย นี่เป็นระหว่างเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ 4เมื่อจับเปโตรแล้ว จึงให้จำคุก ให้ทหารสี่หมู่ๆละสี่คนคุมไว้ ตั้งใจว่า เมื่อสิ้นเทศกาลปัสกา แล้วจะพาออกมาให้แก่คนทั้งหลาย 5เพราะฉะนั้นเปโตรจึงถูกจำไว้ในคุก แต่ว่าคริสตจักรได้อธิษฐานพระเจ้าเพื่อเปโตรด้วยใจร้อนรน 6ในคืนวันนั้นเอง ครั้นเฮโรดจะพาเปโตรออกมา เปโตรนอนหลับอยู่ระหว่างทหารสองคน มีโซ่สองเส้นล่ามไว้ และคนยามเฝ้าอยู่หน้าประตูคุก 7ดูเถิด มีทูตองค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาปรากฏ และมีแสงสว่างส่องเข้ามาในห้องจำ ทูตองค์นั้นจึงกระตุ้นเปโตรที่สีข้างให้ตื่นขึ้นแล้วว่า "ลุกขึ้นเร็วๆ" โซ่นั้นก็หลุดตกจากมือของเปโตร 8ทูตนั้นจึงสั่งเปโตรว่า "จงคาดเอวและสวมรองเท้า" เปโตรก็ทำตาม ทูตจึงสั่งว่า "จงสวมเสื้อและตามเรามาเถิด" 9เปโตรจึงตามออกไป และไม่รู้ว่าการซึ่งทูตทำนั้นเป็นความจริง คิดว่าได้เห็นนิมิต 10เมื่อออกไปพ้นทหารยามชั้นที่หนึ่งและที่สองแล้ว ก็มาถึงประตูเหล็กที่จะเข้าไปในเมือง ประตูนั้นก็เปิดเองให้ท่านทั้งสอง ท่านจึงออกไปเดินตามถนนแห่งหนึ่ง และในทันใดนั้นทูตสวรรค์ก็ได้อันตรธานไปจากเปโตร 11ครั้นเปโตรรู้สึกตัวแล้วจึงว่า "เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ารู้แน่ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงใช้ทูตของพระองค์มาช่วยข้าพเจ้า ให้พ้นจากอำนาจของเฮโรด และพ้นจากการมุ่งร้ายของพวกยิว" 12เมื่อเปโตรคิดอย่างนั้นแล้ว ก็มาถึงตึกของมารีย์ มารดาของยอห์นผู้มีชื่ออีกว่ามาระโก ที่นั่นมีหลายคนได้ประชุมอธิษฐานกันอยู่ 13พอเปโตรเคาะประตูเล็กในประตูบ้าน มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อโรดามาฟังดู 14เมื่อจำได้ว่าเป็นเสียงของเปโตร เพราะความชื่นชมยินดีก็ยังไม่เปิดประตู แต่วิ่งเข้าไปบอกว่าเปโตรยืนอยู่หน้าประตู 15คนเหล่านั้นจึงพูดกับหญิงนั้นว่า "เจ้าเป็นบ้า" แต่หญิงคนนั้นยืนคำว่าเป็นอย่างนั้นจริง เขาทั้งหลายจึงว่า "เป็นเทวทูตประจำตัวเปโตร" 16ฝ่ายเปโตรยังยืนเคาะประตูอยู่ เมื่อเขาเปิดประตูเห็นท่าน ก็อัศจรรย์ใจ 17แต่เปโตรโบกมือให้เขานิ่ง และเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องที่ องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงพาท่านออกจากคุกอย่างไร แล้วท่านสั่งว่า "จงไปบอกเรื่องนี้แก่ยากอบกับพวกพี่น้องให้ทราบ" เปโตรจึงออกไปเสียที่อื่น


ฤทธิ์อำนาจที่พบในพระธรรมตอนนี้

1.เราพบฤทธิ์อำนาจของมารซานตาน (V. 1-5) มันใช้กษัตริย์เฮโรดเป็นเครื่องมือในการฆ่าล้างทำลายคริสเตียนในเวลานั้น มารใช้อำนาจมืดครอบงำเฮโรด เป็น Anti Christ
•คราวใดก็ตามที่พระกิตติคุณได้เผยแพร่ไป คราวนั้นมารซานตานจะข่มเหงคริสเตียนมาเป็นพิเศษ
•คราวใดที่คริสตจักรทำงานอย่างเกิดผลมากขึ้น คราวนั้นมารจะใช้ใครบางคนมาขัดขวางงานของพระเจ้า
•คราวใดที่คริสตจักรเริ่มเติบโต คราวนั้นมารจะใช้วิธีการทำลายความเชื่อของพี่น้อง
พี่น้องที่รัก เราขอบคุณพระเจ้าเพราะเราพบว่า ฤทธิ์อำนาจของมารซาตานมีขีดจำกัด

2.เราพบฤทธิ์อำนาจของการอธิษฐาน คริสตจักรจะมีสิทธิอำนาจมาก เมื่อสมาชิกถวายชีวิตเพื่ออธิษฐานต่อพระเจ้า ผู้เชื่ออุทิศชีวิตเพื่อการอธิษฐาน…คริสตจักรต้องพาทุกอย่าง พาทุกคนมาหาพระที่นั่งแห่งพระคุณของพระเจ้า [ยก.5:16…คำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมนั้นมีพลังทำให้เกิดผล]

3.เราพบฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า (V.7-11)
เราเห็นภาพของการร่วมใจกันอธิษฐานของพี่น้องในพระคริสต์ แต่เมื่อเปโตรออกจากคุกมาได้จริงๆ เขากลับประหลาดใจ (V.16) ภาพนี้เตือนใจเราให้อธิษฐานด้วยความเชื่อเสมอ!

เบื้องหลังฤทธิ์อำนาจแห่งการอธิษฐาน -> นำเราไปพบฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

สดด.133 ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
1ดูเถิด ซึ่งพี่น้องอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ก็เป็นการดี และน่าชื่นใจมากสักเท่าใด 2เหมือนน้ำมันประเสริฐอยู่บนศีรษะไหลอาบลงมาบนหนวดเครา บนหนวดเคราของอาโรน ไหลอาบลงมาบนคอเสื้อของท่าน 3เหมือนน้ำค้างของภูเขาเฮอร์โมน ซึ่งตกลงบนเทือกเขาศิโยน เพราะว่าพระเจ้าทรงบังคับบัญชาพระพรที่นั่น คือชีวิตจำเริญเป็นนิตย์

อฟ.3:20 พระเจ้าทรงสามารถตอบคำอธิษฐานของเราได้มากกว่าที่เราทูลขอหรือหยั่งคิดได้
ขอให้พระเกียรติจงมีแด่พระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ กระทำสารพัดมากยิ่งกว่าที่เราจะทูลขอหรือคิดได้ ตามฤทธิ์เดชที่ประกอบกิจอยู่ภายในตัวเรา

ยรม.33:3 พระเจ้าตรัสว่า “จงทูลเรา แล้วเราจะตอบเจ้า”
จงทูลเรา และเราจะตอบเจ้า และจะบอกสิ่งที่ใหญ่ยิ่งและที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเจ้าไม่รู้นั้นให้แก่เจ้า

มธ.6:8 บางครั้งพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของเรา ก่อนที่เราจะอธิษฐานด้วยซ้ำไป
อย่าทำเหมือนเขาเลย เพราะว่าสิ่งไรซึ่งท่านต้องการ พระบิดาของท่านทรงทราบก่อนที่ท่านทูลขอแล้ว

สิ้นสุดการแบ่งปันพระคำแล้ว เราร่วมใจกันอธิษฐานเผื่อเรื่องต่างๆ และชาวนิมิตใหม่ร่วมใจอธิษฐานเผื่ออาจารย์ก้องภพและคริสตจักรใจสมาน สมุทรสงคราม และเสร็จสิ้นรายการในเวลาประมาณ 23.30 น. ทีมงานคริสจักรลูกบางใหญ่เดินทางกลับกรุงเทพฯ ทีมงานอัมพวาส่วนหนึ่งพักค้างคืนที่อัมพวา

วันอาทิตย์ที่ 27/3/2011
ทีมงานอัมพวาใช้เวลายามเช้าเฝ้าเดี่ยวส่วนตัว และพักผ่อน สัมผัสไอหมอก สายน้ำเย็น ชมความงามตามธรรมชาติ ดูเรือแจวและชาวบ้านที่ตกปลา เมื่อรับประทานอาหารเช้าแล้ว จึงนมัสการร่วมกัน โดยพี่โอเป็นผู้นำนมัสการ และพี่ตุ้มแบ่งปันพระคำ
และแล้ว ทีมงานก็ดีใจมากมายที่เจ้าบ้านฝ่ายชาย พี่ยี่มาร่วมนมัสการกับทีมงานด้วย ทีมงานจึงได้อธิษฐานเผื่อพี่ยี่เป็นพิเศษ
ทีมงานเดินทางกลับมาด้วยพระพรและความเบิกบานใจ ถึงคริสตจักรนิมิตใหม่เวลาประมาณ 13.30 น.

"เราบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่า ถ้าเจ้าเชื่อเจ้าก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า"[ยน.11:40]

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554

เปล่งเสียงของเจ้าหาความเข้าใจ



บุตรชายของเราเอ๋ย ถ้าเจ้ารับคำของเรา และสะสมคำบัญชาของเราไว้กับเจ้า กระทำหูของเจ้าให้ผึ่งเพื่อรับปัญญา และเอียงใจของเจ้าเข้าหาความเข้าใจ เออ ถ้าเจ้าร้องหาความรอบรู้ และเปล่งเสียงของเจ้าหาความเข้าใจ ถ้าเจ้าแสวงปัญญาดุจหาเงิน และเสาะหาปัญญาอย่างหาขุมทรัพย์ ที่ซ่อนไว้ นั่นแหละ เจ้าจะเข้าใจความยำเกรงพระเจ้า และพบความรู้ของพระเจ้า
สภษ.2:1-5

วันที่ 01/03/2011

ชั้นเรียนรวีเมื่อ 27/2/2011 ที่ผ่านมา ศบ.พงษ์ศักดิ์นำพระธรรมสุภาษิตบทที่ 1-2 มาแบ่งปัน แต่ในที่นี้ฉันขออ้างอิงถึง สุภาษิตบทที่ 2 ซึ่งว่าด้วยรางวัลของการแสวงหาปัญญาเป็นหลัก ฉันอ่านสุภาษิตมาก็หลายรอบแต่ก็ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของปัญญาในบริบทนี้ คือเข้าใจว่าเป็นสติปัญญาตามประสามนุษย์ แต่ได้มาถึงบางอ้อเมื่อพี่ตุ๊กตานำพระธรรมบทนี้มาแบ่งปันในกลุ่มเซลเมื่อหลายปีก่อน และบอกพวกเราว่าปัญญาในที่นี้หมายถึงพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของเรานั่นเอง นับตั้งแต่วันนั้นฉันก็ทูลขอสติปัญญาจากผู้เป็นแหล่งแห่งปัญญาเสมอมา ก็ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงเพิ่มเติมความเข้าใจในพระคำของพระองค์ให้เรื่อยๆ (รายละเอียดของบทเรียนในห้องเรียน ไม่ขอกล่าวถึงในที่นี้นะคะ)

ช่วงซักถาม พี่ดาแม่น้องอีฟสงสัยว่าเราจะอธิษฐานในใจได้ไหม ทั้งบางคนยังอาจมีข้อแย้งด้วยว่าพระคัมภีร์ก็บอกไว้ไม่ใช่หรือว่า พระเจ้าทรงทราบตั้งแต่ก่อนที่เราจะพูดแล้ว แล้วเราจะพูดทำไม (อ้าว! เป็นอย่างงั้นไป) [สดด.139:4 ข้าแต่พระเจ้า แม้ก่อนที่ลิ้นของข้าพระองค์จะพูด พระองค์ก็ทรงทราบความเสียหมดแล้ว] ขอพระเจ้าทรงประทานสติปัญญาให้เราสามารถตีความพระคัมภีร์ได้ถูกต้อง!

ถ้าเรารักใครสักคน เราก็ย่อมอยากจะพูดคุยกับเขาบ่อยๆ เรียกหาเขาตลอดเวลา อยากให้เขามาอยู่ใกล้ๆ อยากจะเล่าทุกสิ่งทุกอย่างให้เขาฟัง ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดที่ผู้เชื่อ ผู้ที่รักพระเจ้า ย่อมต้องการที่จะพูดคุยกับพระเจ้า และปรารถนาร้องเรียกพระองค์ตลอดเวลา!

ศบ.พงษ์ศักดิ์ ให้แง่มุมและตัวอย่างหลายประการในการอธิษฐานออกเสียง เป็นคำตอบที่ชัดเจนมากคือ เราควรอธิษฐานออกเสียง [สภษ.2:3 เออ ถ้าเจ้าร้องหาความรอบรู้ และเปล่งเสียงของเจ้าหาความเข้าใจ] ทั้งยังมีพระคัมภีร์อีกหลายตอนที่สนับสนุนให้เราเปล่งเสียงออกมา เช่น

[ยรม.33:3 จงทูลเรา และเราจะตอบเจ้า และจะบอกสิ่งที่ใหญ่ยิ่งและที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเจ้าไม่รู้นั้นให้แก่เจ้า]

[สดด.62:8 ประชาชนเอ๋ย จงวางใจในพระองค์ตลอดเวลา จงระบายความในใจของท่านต่อพระองค์…]


การเปล่งเสียงอธิษฐานประดุจดังกระแสวิญญาณที่หวานชื่นทว่าแข็งแกร่งซึ่งทะลุทะลวงท้องฟ้าที่แม้เป็นทองสัมฤทธิ์ขึ้นไปสู่สวรรค์ สู่พระกรรณขององค์พระบิดา พระองค์ผู้มิทรงหลับสนิทหรือนิทรา ทรงพร้อมเสมอที่จะฟังเรา ทำให้นึกถึงประสบการณ์ของซาโลมอน [2พศด.1:7 ในคืนนั้น พระเจ้าทรงปรากฏแก่ซาโลมอน และตรัสกับพระองค์ว่า "เจ้าอยากให้เราให้อะไรเจ้า ก็จงขอเถิด"] ขอบคุณพระเจ้า วันนี้เราก็พบประสบการณ์เช่นเดียวกับซาโลมอน พระเจ้าตรัสกับเราว่า “เจ้าอยากให้เราให้อะไรเจ้า ก็จงขอเถิด”

พระคัมภีร์หลายตอนกล่าวถึงว่า พระเจ้าทรงตรัส พระเยซูทรงตรัส ไม่เห็นมีตอนไหนบอกเลยว่า พระเจ้าทรงคิดว่า หรือ พระเยซูทรงคิดว่า…เห็นไหมละคะ ว่าการเปล่งเสียงนั้นมีผลดีมากกว่าจริงๆ ถ้าเราอธิษฐานเผื่อผู้ใดและเปล่งเสียงออกไปด้วยก็จะให้การหนุนใจที่มากยิ่งทีเดียว อย่างไรก็ตาม การอธิษฐานในใจก็มีประโยชน์คะ สามารถใช้ได้ในสถานการณ์ที่สิ่งแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย เช่น เมื่ออยู่ในที่สาธารณะทั่วไป หรือในช่วงเวลาสามัคคีธรรมที่ต้องการความสงบเงียบ เป็นต้น

ขอกลับมาที่แม่ของน้องอีฟต่อนะคะ แม่ดาเล่าว่าเมื่อเห็นข่าวในทีวี เช่น แผ่นดินไหวที่นิวซีแลนด์ น้ำท่วม หรือข่าวอื่นๆ น้องอีฟจะขอให้แม่อธิษฐานเผื่อ พอแม่บอกว่าอธิษฐานแล้ว น้องอีฟก็จะขอให้แม่อธิษฐานดังๆ …แม่ดาจึงรู้สึกว่าพระเจ้าทรงยืนยันให้อธิษฐานดังๆ ผ่านทางลูกสาวและ ศบ.

ส่วนคุณครูแมมนั้นติดอกติดใจเป็นพิเศษกับภาระใจของน้องอีฟ รู้สึกสะท้อนใจว่าตัวเรานั้นห่วงใยผู้คนเหมือนเด็กคนนี้แสดงออกมาหรือไม่ น้องอีฟเรียนรู้ว่าพระเจ้าทรงช่วยได้ และเราต้องอธิษฐานเพื่อผู้คน!

น้องอีฟเป็นเด็กตุ้ยนุ้ยน่ารัก กำลังจะเข้าเรียนอนุบาลแล้ว เวลาที่ผู้ใหญ่สามัคคีธรรมร่วมกันในกลุ่มเซลพระสิริ น้องอีฟก็มักจะนั่งอยู่ด้วย และเปิดพระคัมภีร์ไปมา กลับหัวกลับหางบ้าง ถามนู่นถามนี่บ้าง ตามประสาเด็ก แต่เธอฟังทุกสิ่งจากผู้ใหญ่ และจดจำทุกการกระทำของผู้ใหญ่เช่นกัน ตลอดทั้งเธอได้เรียนรู้พระคุณความรักของพระเจ้าไปด้วย

ช่วงบ่ายวันเดียวกัน น้องอีฟแต่งตัวสวยไปเยี่ยมป้าสิรินาซึ่งนอนรักษาตัวอยู่ที่ เนอสซิ่งโฮม ขณะข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา น้องอีฟก็ชี้ด้วยความดีใจว่า “ทะเล ทะเล” ทำให้ผู้ใหญ่ทั้งรถ อดหัวเราะไม่ได้ โลกของเด็กช่างสดสวยและไร้เดียงสาจริงๆ

เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็อดนึกถึงเด็กชาวเขาห่างไกลความศิวิไลซ์กลุ่มหนึ่งที่รวมตัวกันอธิษฐานเพื่อการฟื้นฟูตั้งแต่ก่อนฟ้าสาง(หลายคนคงได้ดูคลิปวีดีโอที่ อ.ซิดนีย์ วรพงษ์ นำมาให้ดู) หัวใจรักและห่วงใยแบบเด็กๆ ช่างน่ายกย่องจริงๆ (ซาบซึ้ง)

ที่เนอสซิ่งโฮมมีบ่อปลาเล็กๆ อยู่ด้วย น้องอีฟก็ไปนั่งข้างๆ บ่อ เมื่อถามว่าน้องอีฟเห็นอะไรบ้าง น้องอีฟก็ตอบว่า”เห็นปลา เห็นลูกอ๊อด” ฉันแปลกใจเล็กน้อยที่น้องอีฟรู้จักลูกอ๊อดด้วย ก็ไม่คิดว่าเด็กกรุงเทพจะรู้จักน่ะคะ ^_^

นอกจากจะเยี่ยมป้าสิรินาแล้ว น้องอีฟยังไปเยี่ยมคุณยายที่อยู่เตียงข้างๆ ด้วย ไปฟังคุณยายอ่านหนังสือ สร้างความชื่นบานให้กับคุณยายได้อีก

เมื่อคุณได้รู้จักน้องอีฟ คุณจะรักเธอเหมือนกับเรา!

นอกจากน้องอีฟแล้ว เรายังมีนักอธิษฐานตัวน้อยๆ อีกมายมายที่นิมิตใหม่ เดี๋ยวมีโอกาสแล้วจะเล่าให้ฟังอีกนะคะ

วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ผิดด้านผิดทาง

วันที่ 24/2/2011

ก๊าก ก๊าก ก๊าก!!!…ขออนุญาตขำก่อนนะคะ ก็คุณครูแมมนะสิ วันก่อนนี้โทรศัพท์คุยกัน คุยไปคุยมาเสียงก็ยิ่งเบาลง เบาลง จนแทบจะคุยกันไม่รู้เรื่อง ครูแมมก็บอกว่า “พูดดังขึ้นหน่อย ครูแมมไม่ค่อยได้ยิน” ฉันก็พยายามพูดดังขึ้น แต่ก็ต้องบอกครูแมมด้วยว่า “ครูแมมพูดดังขึ้นหน่อยสิคะ” เรื่องที่คุยกันก็จับใจความได้คะ แต่ว่าวิธีที่ดีที่สุดก็วางสายกันไปก่อนละกัน

วันรุ่งขึ้นครูแมมก็เฉลยว่า สาเหตุที่คุยกันไม่ค่อยได้ยินนั้นเป็นเพราะว่าครูแมมถือโทรศัพท์ผิดด้าน! (แป่ว)
ครูแมมบอกว่าเอาเรื่องของครูแมมไปเขียนได้นะ เพราะว่าเหตุการณ์และผู้คนรายรอบตัวเรา ล้วนมีเรื่องราวให้เราฉุกคิดได้ทั้งนั้น ครูแมมกล่าวว่า “เมื่อมาคิดถึงชีวิตหลายๆ ครั้งเราก็ทำอะไรผิดทาง โดยเฉพาะความคิด แทนที่จะคิดบวก เรากลับคิดลบ จะทำอะไรก็ต้องใช้อวัยวะให้ถูกต้องตามหน้าที่ เอาปากฟัง เอาหูพูดจึงยุ่งกันเจรจาไม่รู้เรื่องเลย”

ฉันเลยได้โอกาสนำเรื่องครูแมมมาเป็นบทเรียนสำหรับตัวเองอีกครั้งหนึ่ง

เนื่องจากเราเป็นมนุษย์ เราจึงไม่สมบูรณ์ เราจึงมีข้อบกพร่องผิดพลาดหลายประการ ทั้งความไม่สมบูรณ์ในด้านลักษณะนิสัย ด้านความรู้ความสามารถ และด้านอื่นๆ อีกหลายประการ คนเราผิดพลาดผลั้งเผลอได้ตั้งแต่เรื่องเล็กไปจนถึงเรื่องใหญ่ ความผิดพลาดบางประการก็แก้ไขได้ บางประการก็ไม่สามารถแก้ไขได้ ความผิดพลาดบางประการจึงเป็นเรื่องขำๆ ในขณะที่ความผิดพลาดบางประการก็รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตหรือทรัพย์สินกันเลยทีเดียว

อย่างไรก็ดี เราขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า พระบิดาผู้ทรงสมบูรณ์งดงามหมดจดทุกประการ ทรงบริบูรณ์ด้วยความยิ่งใหญ่ พระสิริ ชัยชนะ ความโอ่อ่าตระการ พระคุณ ความรัก และอีกนับไม่ถ้วน ดังนั้น โดยลำพังผงคลีดินอย่างเราจึงไม่สามารถเข้าไปถึงพระบิดาได้ ทว่า เราก็ขอบคุณพระเจ้าอีกนั่นแหละที่พระองค์ทรงมีทางเลือกให้กับเรา เพื่อให้สามารถไปถึงพระองค์ได้ “โดยพระเยซู”
[ยน.14:6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา]

ในทางอื่นๆ เราอาจจะมีผิดพลาดหรือบกพร่องบ้าง แต่ในทางสวรรค์ เรามาถูกทางแล้ว! ฮาเลลูยา!!!