Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สาวกผู้รับพร

สาวกผู้รับพร
วันที่ 01/08/2009
พระเจ้าจะทรงอวยพรท่าน เพื่อให้ท่านเป็นพรสู่ผู้อื่น!
ในห้องเรียนวิชาการเป็นสาวก เมื่อค่ำคืนวันที่ 22/7/2009 ของนักศึกษาภาคค่ำโรงเรียนพระคริสต์ธรรมสวนพลู อาจารย์ประยูร ได้สอนถึงกระบวนการสร้างสาวกของพระเยซูว่า “การเป็นสาวกของพระเยซู” ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในวันเดียว หรือเกิดจากการสมัครใจเพียงครั้งเดียว หรือ การตัดสินใจเพียงครั้งเดียว แต่เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ไม่มีทางลัด และไม่มีรูปแบบสำเร็จรูป เริ่มต้นจากพระเยซู พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้เราแต่ละคนก้าวเข้ามาเป็นสาวกของพระองค์ในทุกขณะของชีวิตที่เรากำลังดำเนินอยู่ ทุกคนจะได้รับการเชิญให้มาเป็นสาวกของพระเยซูจากพระองค์เป็นการส่วนตัว (ที่มา: ส่วนหนึ่งของบทเรียนเรื่องการเป็นสาวก)
ช่างน่าปลาบปลื้มใจยิ่งนักที่องค์พระเยซูเชิญเราเป็นสาวกของพระองค์เป็นการส่วนตัว “ทรงเรียกเป็นการส่วนตัว” เรื่องราวการทรงเรียกสาวกที่ฉันประทับใจอย่างมาก คือเมื่อครั้งที่พระเยซูทรงเรียกชาวประมง พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา”(มธ.4:18-22, มก.1:16-20, ลก.5:1-11) แต่สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งกว่าก็คือ ทุกวันนี้ พระเยซูก็ยังทรงเรียกสาวกของพระองค์เหมือนดังที่จารึกไว้ในพระคัมภีร์ โดยสิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ในสมัยพระคัมภีร์ตามที่กล่าวถึงนั้น พระเยซูทรงตรัสเรียกสาวกโดยพระองค์เอง เป็นพระเยซูชาวนาซาเร็ธที่เหล่าสาวกมองเห็น แต่ปัจจุบันเราได้รับการทรงเรียกโดยพระเยซูแห่งฟ้าสวรรค์ ผู้ที่เรามองไม่เห็น เราได้รับการเร้าใจอย่างลึกซึ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และแม้ว่าเราจะไม่เห็น แต่เชื่อ ก็เป็นสุข…ฮาเลลูยา
เมื่อเราตัดสินใจเป็นสาวกของพระองค์แล้ว ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างเรากับพระเยซูเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การที่พระองค์ทรงเรียกนั้น ทรงให้สิทธิเสรีภาพในการตัดสินใจแก่เรา ดังเช่นเมื่อครั้งทรงเรียกสาวกของพระองค์ในขณะที่ทรงดำรงสภาพเป็นมนุษย์นั้น สาวกก็มีสิทธิตัดสินใจว่าจะตามพระองค์ไปหรือไม่ และจะตามไปถึงแค่ไหน จะตามพระองค์ไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต หรือจะตามพระองค์เพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งเหมือนยูดาส
สาวก คือ ผู้ที่ได้รับพร ดังนั้น แม้ว่าหลายครั้งสาวกจะพบกับอุปสรรคในการติดตามพระเยซู สาวกแท้ก็จะไม่ย่อท้อ หากต้องยอมทนทุกข์ ยอมเป็นเมล็ดที่เปื่อยเน่า [ยน.12:24] “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงไปในดินและเปื่อยเน่าไป ก็จะคงอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว ก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก”
อาจารย์ประยูรได้เล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า การที่สาวกมิได้ติดสนิทกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัวนั้น เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ ยังสามารถทำพันธกิจของพระองค์ได้ แต่ก็มิต่างอะไรกับ “หมาเห่าเสียงดัง” แต่ไม่สามารถเอาตัวเองรอดได้ ว่าแล้ว อาจารย์ประยูรก็เล่าเรื่องประกอบการสอน ดังนี้
ครั้งหนึ่งเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่ประตูน้ำโดยไม่ทราบสาเหตุ (เพราะอาจารย์ประยูรไม่ได้บอก) ทุกคนในบ้านหลับสนิทในขณะที่เพลิงค่อยๆ โหมกระพือ เจ้าหมาน้อยที่เลี้ยงไว้จึงส่งเสียงเห่าดังลั่น จนเจ้าของบ้านตื่นมาพบ แล้วเรียกเพื่อนบ้านให้มาช่วยดับไฟ แต่ก็ช้าไปนิด บ้านได้วอดไปเกือบทั้งหลัง แต่ก็ขอบคุณพระเจ้าที่ทุกคนรอดชีวิต เมื่อไฟมอดแล้ว ทุกคนก็ยืนมองสภาพของบ้านด้วยความหดหู่ และที่หดหู่ไม่แพ้กันคือ เจ้าหมาน้อยตัวนั้นที่เห่าเสียงดังปลุกเจ้าของบ้านจนตื่น ช่วยชีวิตของทุกคนนั้น กลับถูกไฟคลอกตายอย่างน่าสงสาร เพราะมีโซ่เส้นเล็กๆ ผูกเจ้าหมาน้อยไว้กับเสาบ้าน ทำให้อาจารย์ประยูรหวนคิดถึงชีวิตของคริสเตียน ที่หลายครั้งคริสเตียนก็เห่าเสียงดัง เอ้ย! ทำงานรับใช้พระเจ้าด้วยกิจกรรมต่างๆ มากมาย และเกิดผล มีคนรับเชื่อใหม่ มีการฟื้นฟู นำผู้อื่นไปสู่ความรอด แต่คริสเตียนผู้นั้นกลับไม่รอด เพราะไม่มีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเจ้า มีโซ่ตรวนเป็นพันธนาการผูกคออยู่…คริสเตียนเอ๋ย อย่าเป็นเช่นนั้นเลย
การเปรียบเทียบตามที่เล่ามาอาจจะดูรุนแรงไปนิด แต่เมื่อใคร่ครวญดูแล้วก็เห็นจริงดังว่า จะดีกว่าสักเท่าใดหากเราเป็นสาวกที่ติดสนิทกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว และทำงานรับใช้พระองค์อย่างเกิดผลเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ ในสถานที่ซึ่งพระองค์ทรงเรียกเรา…ให้ไป ในเรื่องที่พระองค์ทรงเรียกเรา…ให้ทำ ในสิ่งที่พระองค์ทรงเรียกเรา…ให้เป็น
“ถนนขรุขระที่มีพระเจ้า ก็ดีกว่าถนนทองคำที่ปราศจากพระองค์” (อาจารย์ประยูร)… คุณค่าของสาวกคือการมุ่งแสวงหาพระเจ้า คือการติดสนิทกับพระองค์เป็นการส่วนตัว [ยน.15:5] “เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย”
พระบิดาที่รัก ลูกเข้ามาร้องทูลต่อพระองค์ด้วยใจรักและบูชา ขอทรงโปรดเมตตาฟังคำวิงวอนของลูก เพื่อผู้อ่านทุกคน พระบิดาเจ้าข้า ความปิติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน เขาเป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จำเริญขึ้น (สดด.1:2-3) เขาปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความยำเกรงและเกษมเปรมปรีด์จนเนื้อเต้น (สดด.2:11) พระองค์เจ้าข้า การช่วยกู้เป็นของพระองค์ ขอพระพรของพระองค์หลั่งลงเหนือประชากรของพระองค์เทอญ (สดด.2:8)

เพราะพระองค์ทรงพระชนม์

เพราะพระองค์ทรงพระชนม์
วันที่ 01/08/2009
พระเจ้าทรงเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิต ทรงเป็นแหล่งที่มาของชีวิต “ในพระคริสต์นั้น เราได้พบว่าตนเองเป็นใครและอยู่เพื่ออะไร นานก่อนที่เราจะได้ยินเรื่องพระคริสต์นั้น พระองค์ได้ทรงสนพระทัยในเรา และทรงวางแผนให้เราดำเนินชีวิตที่รุ่งโรจน์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัตถุประสงค์โดยรวมที่พระองค์กำลังทำให้สำเร็จในทุกสิ่งและทุกคน” (เอเฟซัส 1:11Msg)
เป็นความจริงนิรันดร์ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระบิดา ทรงสร้างเรา เราเกิดมาก็เพราะพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้เราเกิด เราจึงได้รับการสร้างมาโดยพระเจ้า และเพื่อพระเจ้า แต่เคยมีไหมที่บางครั้งเราดำเนินชีวิตด้วยสติปัญญาของโลก เราลืมความจริงนิรันดร์นี้ไปเสียสนิท
พี่สาวในพระคริสต์ท่านหนึ่ง เป็นคริสเตียนที่รักพระเจ้ามาก แต่เมื่อพบกับอุปสรรค พบกับคนและเหตุการณ์ที่มิได้เป็นไปดังหวัง เกิดอกหักรักคุดขึ้นมา ก็กินยาเกินขนาด หมายจะฆ่าตัวตาย หมายจะปลิดชีวิตอันมีคุณค่าซึ่งพระบิดาได้ทรงสร้าง แต่ขอบคุณพระเจ้า พระองค์ทรงแสนดีอยู่เสมอ พระองค์มิทรงปรารถนาชีวิตที่ไร้ลมหายใจของเรา พระองค์ปรารถนาให้เรามีลมหายใจ ให้ดำเนินชีวิตบนโลกนี้ด้วยความจริง ด้วยสติปัญญาซึ่งมาจากพระองค์ เป็นพระปัญญาจากพระเจ้า ลึกลงไปในพระประสงค์ของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ พี่สาวคนดังกล่าวจึงรอดชีวิตมาได้ และจากการรอดตายครั้งนี้นี่เอง ได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผันในชีวิตคริสเตียนของเธอ เธอเป็นคนใหม่ในพระคริสต์ ด้วยนิสัยใหม่จากพระบัญญัติของพระองค์ ด้วยแรงบันดาลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ด้วยพระกรนิรันดร์ที่โอบอุ้มเธอไว้อย่างอบอุ่นของพระองค์ เธอรักพระเจ้ามากขึ้น รักเพื่อนบ้านมากขึ้น รักตนเองมากขึ้น เธอนมัสการอย่างเสรีมากขึ้น อธิษฐานอย่างร้อนรนมากขึ้น ค้นหาสิ่งมหัศจรรย์ในพระคำของพระองค์มากขึ้น ชีวิตของเธอมิได้อยู่เพื่อตนเองอีกต่อไป แต่อยู่ด้วยความเชื่อและวางใจอันยิ่งใหญ่ นั่นคือ การมีชีวิตอยู่เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า
เมื่อถามไถ่ว่าเหตุไฉนพี่เธอจึงคิดฆ่าตัวตายได้เล่า ก็คุณเธอออกจะสวยสง่า ร่ำเรียนมาก็สูง เธอมิได้ด้อยกว่าผู้ใดเลยในสายพระเนตรของพระเยซู อีกทั้งเธอยังเป็นพี่เป็นน้องซึ่งทุกคนในคริสตจักรรักใคร่ ในการนี้ จอมนางงามงอนก็ได้สาธยายให้ฟังว่า ในเวลานั้นเกิดปิ๊งๆ กับหนุ่มหล่อผู้หนึ่ง ซึ่งเธอทุ่มเทหัวใจให้กับชายหนุ่มผู้นั้นเป็นอย่างมาก เป็นชายหนุ่มที่เธอรอคอยมานานตลอดทั้งชีวิตของเธอ แต่การณ์กลับเป็นว่า ชายหนุ่มผู้นั้นไม่ได้มีหัวใจรักซื่อสัตย์กับเธอเลย ไม่ได้อาลัยใยดีเธออย่างจริงใจ เมื่อเป็นดังนั้น เธอจึงรู้สึกว่า ชีวิตนี้ไร้ค่า ไม่มีใครรักเธอแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ลาโลกไปก่อนดีกว่า
หลายครั้งนั้นเราไม่รู้เลยว่าคนรอบข้างของเรามีความทุกข์อันใดบ้าง แต่ขอพระเจ้าจะช่วยเรา ให้เราได้รู้ถึงทุกข์สุขของฝูงแพะแกะ ให้เราได้รับใช้กัน ได้รับภาระซึ่งกันและกัน ให้เราได้ช่วยเหลือและหนุนใจกันเสมอ เหตุการณ์ข้างต้น เราต้องขอบคุณพระเจ้าสำหรับประสบการณ์ครั้งนี้ เพราะแม้ว่าจะพลาดพลั้ง แต่พระองค์ก็ยังทรงอยู่ ทรงรักห่วงใยและพร้อมจะให้อภัยเราเสมอ เมื่อเราตื่นมา เราก็พบพระองค์เสมอ
[1ธส.5:9-11] “เพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงกำหนดเราไว้สำหรับพระอาชญา แต่สำหรับให้เข้าสู่ความรอด โดยพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพื่อว่าถึงเราจะตื่นอยู่หรือจะหลับ เราจะได้มีชีวิตกับพระองค์ เหตุฉะนั้นจงหนุนใจกัน และต่างคนต่างจงก่อกันขึ้น ตามอย่างที่ท่านกำลังทำอยู่นั้น”
แม้ว่าชีวิตคริสเตียนของหลายคนยังมิได้เข้าใกล้ความตายชนิดเส้นยาแดงผ่าแปดเหมือนพี่สาวข้างต้น แต่บางชีวิตก็เสมือนเดินอยู่ในความตายด้วยเหมือนกัน ตัวฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ฉันได้ตายทางจิตวิญญาณ ตายจากความชอบธรรมของพระองค์ ฉันได้หลงหายไปจนเกือบจะออกจากทางของพระองค์
ฉันเชื่อพระเจ้ามาตั้งแต่ปี 2000 ซึ่งชีวิตของฉันก็ดำเนินมาชนิดที่ฉันก็คิดไปเองว่าปกติดี กล่าวคือ ไม่เย็น ไม่ร้อน เป็นแต่อุ่นๆ ไปโบสถ์สม่ำเสมอ แต่ไม่ทุกครั้ง อธิษฐานทุกครั้งที่มีปัญหา การอธิษฐานเพื่อผู้อื่นน่ะหรือ อย่าหวังเลย…ขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าเมื่อทรงตอบคำอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์เพราะรู้สึกว่าต้องอ่านให้จบเล่มภายใน 1 ปี ไม่ได้ดื่มด่ำซึมซับฤทธิ์เดชแห่งพระคำเท่าไร สามัคคีธรรมเหรอ ก็มีเหมือนกัน แต่หลังจากว่างจากภารกิจอื่นนะ อุ้ย! พอแล้วดีกว่า แค่นี้ก็สาธยายความบาปมาให้ทราบเยอะแยะแล้ว
ฉันมีแฟนคนหนึ่งเมื่อครั้งสมัยเรียน ปวส. (ประมาณปี 1991) แต่มีเรื่องเคืองใจกันจนต้องร้างลากัน ต่างคนต่างไป ฉันก็มุ่งหน้าเรียนต่อและทำมาหาเลี้ยงชีพ ส่วนเขานั้นกลับไปอยู่จังหวัดบ้านเกิดในภาคเหนือ ในช่วงแรกของการอยู่คนละจังหวัดนั้น เขาก็พยายามติดต่อมา แต่ฉันโกรธเขามาก จึงไม่ยอมคืนดีด้วย อีกประการหนึ่งคือ ฉันได้ย้ายบ้านหลังจากนั้น เราจึงไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย แต่เนื่องจากเป็นแฟนคนแรก ฉันจึงยังไม่ลืมเขา…ต่อมาในปี 2007 เขาติดต่อฉันได้โดยบังเอิญ เมื่อได้คุยกันเขาก็พร่ำพรรณนาถึงความรักครั้งเก่า เขาโทรมาพูดคุยด้วยอย่างสม่ำเสมอ ไฟรักในหัวใจจึงลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง จนวันหนึ่งได้รู้ว่าเขามีภรรยาแล้ว ฉันรู้สึกเศร้ามาก เขาก็ปลอบใจ และพูดย้ำแล้วย้ำอีกว่า เขาไม่ได้รักคนที่อยู่กินด้วยกันกับเขาเลย จำใจต้องอยู่เพราะความรับผิดชอบ ตอนนั้นตาฉันก็บอด (จากความชอบธรรม) ก็รู้สึกสงสารและเห็นใจเขา สิ่งที่พระคำได้สั่งสอนไว้ไม่ให้เทียมแอกกับผู้ไม่เชื่อ ไม่ให้โลภอยากได้ของเพื่อนบ้าน ไม่ให้มีจิตใจที่ไม่บริสุทธิ์กับเพศตรงข้าม คำสั่งสอนเหล่านี้ไม่มีผลต่อจิตสำนึกของฉันในโมงยามนั้นเลย พระคำของพระเจ้าไม่ได้มีฤทธิ์เดชที่จะทำให้ฉันกลับใจได้ในเวลานั้น ความบาปเช่นนี้ช่างร้ายแรงจริงๆ
อันว่าความรักทำให้คนตาบอด ก็เป็นจริงดังโบราณว่า หากรักนั้นปราศจากสติสัมปชัญญะที่พึงมี และอาการตาบอดก็มิใช่เกิดเฉพาะในความรักของชายหญิงเท่านั้น หากว่าเกิดกับความรักในรูปแบบอื่นๆ ด้วย เช่น ครอบครัวข้างบ้านมีลูกชายวัยเรียน อายุ 12 ปี เรียนอยู่มัธยมหนึ่งแล้ว มีพฤติกรรมเกเร โดดเรียนไปเล่นเกมส์ที่ร้านเกมส์เสมอ หลายครั้งก็ไถเงินน้องสาวอายุ 5 ขวบ หรือบางครั้งก็ขโมยเงินที่บ้านไป และก็โยนความผิดให้กับป้าที่อยู่ด้วย พ่อกับแม่ไม่ชอบป้าเท่าไร และอีกประการคือ เมื่อเด็กชายอยู่กับพ่อแม่ จะเป็นเด็กที่เรียบร้อย เชื่อฟัง เมื่อลูกพูดอะไร พ่อแม่จึงเชื่อทุกอย่าง ไม่เชื่อป้า อีกทั้งพ่อก็เป็นคนไปส่งลูกถึงห้องเรียนทุกวัน ไม่คาดคิดเลยว่า หลังจากพ่อลับตาไป ลูกชายก็แอบโดดเรียน โดยพ่อแม่มารู้ความจริงเมื่อได้รับแจ้งจากโรงเรียนว่าลูกชายต้องเรียนซ้ำชั้น…ในที่ทำงานบางแห่งก็เช่นเดียวกัน บางครั้งเจ้านายก็ตาบอด หูเบา หลงเชื่อคนช่างประจบ เป็นต้น
กลับมาเรื่องอาการตาบอดของฉันต่อนะ คนนั้นเขารู้ว่าฉันเป็นคริสเตียน แต่เขาก็ยังส่งจตุคามมาให้ฉันด้วยนะ แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ฉันไม่ได้เก็บไว้ และทุกครั้งที่ไปวัด เขาจะบอกเสมอว่าอธิษฐานให้ฉันด้วย ซึ่งมีครั้งหนึ่งที่เขาไปฟังสวดภาณยักษ์ เขาก็โทรศัพท์มาเพื่อให้ฉันฟังสวดไปพร้อมๆ กับเขา การกระทำของฉันในขณะนั้นน่าสะอิดสะเอียนมาก ฉันฟังสวดไปพร้อมกับเขากว่า 2 ชั่วโมง…พระคริสต์ได้ตายไปจากชีวิต จากใจของฉันแล้ว
เราได้พบกัน 2-3 ครั้ง เมื่อเขาขึ้นมาติดต่อธุรกิจที่กรุงเทพฯ เขาสัญญาว่าจะหย่าจากภรรยา ซึ่งฉันได้นำเรื่องนี้ไปแบ่งปันให้เพื่อนคริสเตียนคนหนึ่งฟัง เธอก็บอกฉันว่า “อย่าเล่นกับไฟ” และฉันเชื่อว่าเธออธิษฐานเพื่อฉันอย่างจริงจังร้อนรน แต่ตอนนั้นความบาปได้ครอบงำฉันเป็นกำแพงหนา การเตือนของเพื่อนจึงมิได้มีความหมายสำหรับฉันเลย
พระคริสต์ทรงวายพระชนม์ไปแล้วที่ไม้กางเขน แต่ก็ทรงฟื้นคืนพระชนม์มาในวันที่สาม และพระองค์สถิตอยู่ ณ สวรรค์สถาน พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ทรงเหมือนเดิม ทั้งวานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ พระคริสต์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันท์ใด ฤทธิ์เดชแห่งพระองค์ก็ยังคงดำรงอยู่ฉันท์นั้น วันหนึ่ง เพื่อนชวนฉันไปทำบุญวันเกิดที่วัดหัวลำโพง เราสมทบทุนซื้อโลงศพให้กับมูลนิธิป่อเต็กตึ้ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ให้กระดาษกับเราคนละแผ่น เพื่อเขียนชื่อบรรพชนและญาติสนิทมิตรรักลงไปในแผ่นกระดาษ แล้วนำไปแปะที่โลง เป็นการอุทิศส่วนกุศลให้กับชื่อเหล่านั้น แต่ฉันก็ไม่ได้เขียนชื่อใครเลย รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าฉันไม่จำเป็นต้องเขียนแบบนี้ แล้วก็ขยำกระดาษนั้นโยนทิ้งลงถังขยะ และแล้วเพื่อนก็พาฉันเข้าไปในบริเวณที่มีรูปเคารพต่างๆ มากมาย เจ้าพ่อ เจ้าแม่สารพัดเต็มไปหมด หลายคนนำอาหารคาวหวาน หรือแม้แต่เนื้อสดๆ มาบูชารูปเคารพนั้น เพื่อนก็จุดธูปให้ฉัน เพื่อไหว้รูปเคารพเหล่านั้น เมื่อรับธูปมาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเริ่มเคลื่อนไหวภายใน รู้สึกในใจว่าฉันไหว้ไม่ได้เด็ดขาด สิ่งที่ตาไม่เห็น สิ่งที่หูไม่ได้ยิน สิ่งที่มนุษย์คาดคิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์ แต่รูปเคารพเหล่านี้ มีตาก็มองไม่เห็น มีหูก็ไม่ได้ยิน มีปากก็พูดไม่ได้ มีเท้าก็เดินไม่ได้ มีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่ยิ่งใหญ่กว่าพระใดๆ ที่อยู่ในโลก เป็นพระเจ้าองค์เดียวที่สมควรแก่การสรรเสริญและนมัสการ…มีพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น…ฉันยืนอยู่ท่ามกลางรูปเคารพ อยู่ท่ามกลางผู้ไม่เชื่อซึ่งกำลังบูชาพระเทียมเท็จ แต่หัวใจของฉันขณะนั้น มีพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระทำราชกิจอันน่าตื่นตะลึง ความบาปผิดทางใจตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาผุดเข้ามาในมโนนึก ภาพเหล่านั้นผุดขึ้นมาทีละฉากทีละตอน ฉันได้ขอให้พระเจ้าชำระฉัน ล้างใจให้กับฉัน ขอการเปลี่ยนแปลงจากพระองค์ และขอการอวยพรจากพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงสัตย์ซื่อ ทรงชำระหัวใจของฉัน
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ชีวิตของฉันก็เปลี่ยนไป ฉันกล้าพูด กล้าประกาศได้อย่างเต็มปากว่า จะไม่มีสิ่งใดทำให้ฉันขาดจากความรักของพระองค์ได้ พระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ ทรงเป็นผู้เดียวที่ฉันจะนมัสการตลอดไป
[ยน.11:25] พระเยซูตรัสกับเธอว่า "เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่วางใจในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอีก
ข้าแต่พระบิดาที่รัก ผู้ทรงพระชนม์ตลอดนิรันดร์กาล มนุษย์เป็นผู้ใดเล่าซึ่งพระองค์ทรงระลึกถึงเขา และบุตรมนุษย์เป็นใครเล่าซึ่งพระองค์ทรงเยี่ยมเขา เพราะพระองค์ทรงสร้างเขาให้ต่ำกว่าพระเจ้าแต่หน่อยเดียว และสวมศักดิ์ศรีกับเกียรติให้แก่เขา พระองค์ทรงมอบอำนาจให้ครอบครองบรรดาพระหัตถกิจของพระองค์ พระองค์ทรงให้สิ่งทั้งปวงอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา (สดด.8:4-6) พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ถวายโมทนาขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงนำข้าพระองค์ให้พ้นจากการทดลอง และให้พ้นจากซึ่งชั่วร้าย (มธ.6:13ก) ข้าแต่พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่ง ผู้ทรงยกข้าพระองค์ขึ้นจากประตูของความตาย เพื่อข้าพระองค์จะกล่าวคำสรรเสริญพระองค์ และจะเปรมปรีดิ์ในการช่วยกู้ของพระองค์ ที่ในประตูทั้งหลายแห่งชาวศิโยน (สดด9: 13-14) พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ถวายโมทนาขอบพระคุณพระองค์ เนื่องด้วยความชอบธรรมของพระองค์ ข้าพระองค์จะร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระเจ้าผู้สูงสุด (สดด.7:17) พระเจ้าข้า ราชอำนาจ ฤทธิ์เดช และพระสิริ เป็นของพระองค์สืบๆ ไป เป็นนิตย์…อาเมน (มธ.6:13ข)

ปุ๋ยชั้นดีเสิศ

ปุ๋ยชั้นดีเลิศ
วันที่ 01/08/2009
ช่วงนี้ใครได้ดูละครเรื่อง ผู้ใหญ่ลีกับนางมา บ้างเอ่ย ยกมือขึ้น…เย้ เย้ ยก 2 มือเลย ก็คือตัวฉันนั่นเอง ดูละครน้ำดีแล้วก็ได้ผ่อนคลายดีค่ะ และเมื่อดูละครแล้วก็ได้มาย้อนดูตัว
ละครแฝงไว้ด้วยวิถีชีวิตชนบทบ้านทุ่ง ให้กลิ่นอายของการถ้อยทีถ้อยอาศัยแบบไทยๆ ที่คงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวอย่างน่าชื่นใจ ฉากท้องทุ่งเขียวขจีทำให้ฉันนึกถึงชีวิตวัยเด็ก ที่วิถีชีวิตผูกพันกับท้องทุ่ง แวดล้อมด้วยธรรมชาติที่บริสุทธิ์งดงาม ผสมผสานกับน้ำใจของผู้คนที่งดงามดุจเดียวกัน
ฉากละครตอนที่ผู้ใหญ่ลีกับนางมาฉีดปุ๋ยในนาข้าวนั้น เป็นฉากที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตของเกษตรกรหลายๆ คน เพราะพืชที่จะเติบโตได้ดีนั้น หาได้อาศัยเพียงแร่ธาตุซึ่งมีอยู่ในดินตามธรรมชาติอย่างเดียวไม่ แต่ต้องใส่ปุ๋ยลงไปด้วย การใส่ปุ๋ยนั้นก็ต้องเป็นปุ๋ยชั้นดี คือ ปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อการเติบโตที่สมบูรณ์ของพืชพรรณและเพื่อการดำรงอยู่ที่ยั่งยืนของผืนดิน หากใช้ปุ๋ยสูตรเลว คือปุ๋ยอนินทรีย์หรือปุ๋ยเคมี ก็จะให้การเติบโตที่เห็นผลรวดเร็ว แต่ทำลายระบบชีวภาพ และให้ผลร้ายต่อผู้บริโภคในท้ายที่สุด
ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ใหญ่ลีใช้สูตรปุ๋ยอะไร แต่คิดว่าเป็นปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยชีวภาพนั้นแหละ เมื่อครั้งยังเด็กฉันก็เห็นปู่ย่าตายาย พี่ป้าน้าอา ใช้มูลสัตว์ เช่น ขี้วัว ขี้ควาย ขี้หมู ขี้เป็ดขี้ไก่ ซึ่งเรียกว่าปุ๋ยคอก และบางครั้งก็ใช้พืชนี่แหละใส่ลงไปในดินเลย ให้จุลินทรีย์และแบคทีเรียทำงานตามธรรมชาติ เรียกว่าปุ๋ยพืชสด และก็มีปุ๋ยอีกชนิดหนึ่ง คือ ปุ๋ยหมัก ซึ่งมีวิธีการทำง่ายๆ แค่นำเศษพืช เช่น ผักตบชวา เศษหญ้า ฟางข้าว เศษอาหาร และมูลสัตว์มาผสมรวมกันตามสัดส่วน และหากต้องการให้เกิดปฏิกิริยาในการเปื่อยเน่าเร็วขึ้น ก็อาจใส่น้ำยาเร่งลงไปด้วยก็ได้
ณ โรงเรียนแห่งหนึ่งในทุ่งหมาหอน เอ้ย! โรงเรียนบ้านหนองบัวทองซึ่งฉันเรียนตอนเด็กๆ เอ่ยชื่อไปตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้จักหรอกค่า เพราะโรงเรียนนี้ยุบไปตั้งนานแล้ว (แป่ว) ก็แหม ล่าสุดมีครูอยู่ 2 คน คือ ครูเล็กกับครูใหญ่ แต่เราก็มีเพื่อนเรียนตั้งแต่ประถม 1 ถึงประถม 6 นะคะ เรื่องสอนก็ไม่มีปัญหาค่ะ เพราะถึงแม้จะมีคุณครู 2 คน ก็จับนักเรียนบางชั้นมาเรียนรวมกัน เช่น ป.1 มาเรียนรวมกับ ป.2 เป็นต้น ซึ่งก็ไม่เหลือกำลังของคุณครูค่ะ เพราะ ป.1 มี 6 คน และ ป.2 มี 2 คน หรือบางครั้ง คุณครูก็ใช้วิธีให้นักเรียน ป.6 ไปสอนน้อง ป.1, ป.2 และ ป.3 เป็นต้น นักเรียนโรงเรียนดังกล่าวจึงฉลาดแบบแปลกๆ (อ้าว) ฉันเองนะถึงแม้จะไม่ได้เรียนอนุบาล (เพราะไม่มีไง) แต่ฉันก็ได้เรียน ป.1 ตั้ง 2 ปีแน่ะ ก็เลยไม่รู้จะเรียกว่าโง่หรือฉลาดดี ให้คนรอบข้างพิจารณาดูเองละกัน (ไอ๋หยา) เนื่องจากตอนที่พี่สาวซึ่งอายุมากกว่า 1 ปี เข้าเรียนชั้น ป.1 ฉันก็ขี่จักรยาน หิ้วปิ่นโต ตามไปเรียนกับเธอด้วย แต่ก็ไม่ได้ไปทุกวันนะคะ เพราะโดนยายดุ ยายเกรงว่าฉันจะไปก่อความวุ่นวายที่โรงเรียน เมื่อถึงคราวที่พี่สาวขึ้นชั้น ป.2 ฉันก็ยังคงอยู่ ป.1 เพราะอายุครบเกณฑ์เข้าโรงเรียนพอดี ก่อนหน้านี้ระบบการศึกษาไม่ได้อนุโลมให้นักเรียนเข้าเรียนก่อนเกณฑ์ ฉันจึงได้เรียน ป.1 ถึง 2 ครั้ง ด้วยประการฉะนี้
ในวิชาการเกษตร คุณครูให้นักเรียนปลูกผักคนละ 1 แปลง พวกเรานักเรียนทั้งหลายก็ใช้ปุ๋ยคอกโรยบนแปลงผัก วันดีคืนดีคุณครูก็แนะนำให้ใช้ปุ๋ยยูเรีย ซึ่งเป็นปุ๋ยอีกชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในประเภทปุ๋ยอินทรีย์ วิธีการทำก็ไม่ยากคะ เพียงแค่ใช้ปัสสาวะหมักทิ้งไว้สัก 1-2 สัปดาห์ แล้วนำมาผสมน้ำ แล้วรดผัก โอ้โห! พ่อแม่พี่น้องเอ๋ย ผักงามดีแต้ๆ เจ้า…เอาละสิ แล้วจะหาปัสสาวะมาจากไหนละเนี่ย ตอนนี้แหละที่ฮากันทั้งโรงเรียน เพราะเด็กผู้ชายก็จะปัสสาวะใส่แกลลอนไว้ เมื่อเหม็นได้ที่ เอ้ย! เมื่อได้ระยะเวลาตามที่กำหนดก็จะนำมาผสมกับน้ำให้เจือจาง นำมารดผักกัน แต่ว่า พวกเด็กผู้หญิงนี่สิ ไม่มีใครกล้าปัสสาวะหรอก แต่ก็อยากได้ปุ๋ยยูเรียสูตรนี้ จึงต้องไปขอจากเด็กผู้ชาย เด็กผู้ชายก็เล่นตัว จึงเกิดศึกชิงปุ๋ยยูเรียขึ้นมา เด็กผู้หญิงรวมหัวกันเอาปุ๋ยยูเรียในแกลลอนไปซ่อนไว้ แต่ก็ไม่พ้นสายตาพวกเด็กผู้ชายอยู่ดีนั่นแหละ เด็กผู้ชายนำเรื่องไปฟ้องคุณครูว่าเด็กผู้หญิงขโมยปัสสาวะผมไป ผมอุตส่าห์อั้นมาจากบ้าน เอาไว้มายิงกระต่ายที่โรงเรียนแล้วเชียว คุณครูจึงทำโทษให้เด็กผู้หญิงรดน้ำผักให้กับผู้ชายทุกคน เป็นเวลา 1 เดือน พี่น้องคะ ตอนนั้นอากาศหนาวค่ะ หนาวชนิดที่ว่าพูดออกมากลายเป็นไอเป็นควันนั่นแหละค่ะ พวกเราเด็กผู้หญิงจึงต้องตักน้ำจากสระน้ำซึ่งอยู่ไกลพอสมควร มารดผักของตัวเองและของเด็กผู้ชายด้วย งานนี้หนาวจริงๆ ค่ะ…แต่ยังไงซะเราก็ขอบคุณปุ๋ยยูเรียของเด็กผู้ชายอยู่ดีแหละคะ เพราะทำให้ผักของเราใบเขียวใหญ่ ลำต้นอวบอั๋น น่ารับประทาน จนคุณครูให้คะแนนเต็ม ยิ้มหน้าบานกว่าใบผักซะอีกนะพวกเรา แต่ว่า ผักนั้นไม่มีใครกล้ากินค่ะ…กลัวปุ๋ยยูเรีย อิอิ
เมื่อพูดถึงปุ๋ยก็ทำ ให้นึกถึงสูตรปุ๋ยชั้นดีเลิศโดยพระเจ้า ที่ อ.ซิดนีย์นำมาถ่ายทอด ซึ่งก็คือ สูตรพงศาวดารสองเจ็ดสิบสี่ ที่เป็นสูตรสำหรับการฟื้นฟู สำหรับการรักษาแผ่นดินให้หาย [2พศด.7:14] “ถ้าประชากรของเราผู้ซึ่งเขาเรียกกันโดยชื่อของเรานั้นจะถ่อมตัวลง และอธิษฐานและแสวงหาหน้าของเรา และหันเสียจากทางชั่วของเขา เราก็จะฟังจากสวรรค์ และจะให้อภัยแก่บาปของเขาและจะรักษาแผ่นดินของเขาให้หาย”
หากจะเปรียบคริสเตียนเป็นเช่นเมล็ดพืชที่หล่นลงดิน เมื่อเน่าเปื่อยแล้ว ก็ค่อยๆ เติบโตเป็นลำต้นเล็กๆ และขยายเป็นลำต้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่รากก็ค่อยๆ ชอนไซลึกลงไปในดินเพื่อดูดกินอาหารและแร่ธาตุ เมื่อเติบโตจนได้ที่แล้ว ก็ออกใบ ออกดอก ออกผลในที่สุด
อย่างไรก็ตาม หากเมล็ดพืชนั้นไม่ได้หล่นลงในดินดี หรือหากว่าได้หล่นลงในดินดีแล้ว แต่กลับมีนกกาหรือสิงสาราสัตว์อื่นๆ มาจิกกินทำลาย การเติบโตย่อมหยุดชะงัก หรือบางเมล็ดก็เลี้ยงไม่โตซะแล้ว กลับตายไปเลยก็มี ดังนั้น หากจะให้ต้นไม้นั้นอยู่รอดและเกิดผลดี จำต้องมีองค์ประกอบหลายอย่างด้วยกัน นอกจากจะต้องป้องกันศัตรูที่มารุกราน ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกแล้ว ปัจจัยภายในของต้นไม้นั้นก็สำคัญเช่นเดียวกัน กล่าวคือ คริสเตียนจำเป็นต้องพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเปรียบเสมือนแร่ธาตุซึ่งมีอยู่แล้วอย่างเหนือธรรมชาติ แต่ขณะเดียวกัน คริสเตียนก็ต้องร่วมมือกับพระเจ้าด้วย ต้องใส่ปุ๋ยฝ่ายวิญญาณ ต้องได้รับการเลี้ยงดูถ่ายทอดตามแบบอย่างของพระเยซู กินอาหารอย่างเพียงพอและสมดุลทั้งอาหารหลักและอาหารเสริม ซึ่งได้แก่ การนมัสการ การอธิษฐาน การอ่านพระคำ ทั้งยังต้องสามัคคีธรรมกับพี่น้องผู้เชื่ออื่นๆ อย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การต้องออกไปเป็นพรและเป็นพยานต่อผู้อื่นด้วย
เรามาใส่ปุ๋ยชั้นดีเลิศให้กับชีวิตคริสเตียนของเราและของผู้อื่นกันดีกว่าค่ะ