Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

พระเยซูผู้งามเลิศ

พระเยซูผู้งามเลิศ
วันที่ 18/9/2009

ในชั้นเรียน Alpha*** ที่คริสตจักรนิมิตใหม่ ราวกลางปี 2008 ได้มีการนำรูปหน้าคนลักษณะต่างๆ มาให้ทุกคนดู พร้อมกับตั้งคำถามว่า “คุณคิดว่าภาพไหนคือพระเยซู” แล้วคนส่วนใหญ่ก็จะชี้ไปที่รูปพระเยซูซึ่งเป็นภาพวาดที่เราเห็นอยู่ทั่วไป แต่ผิดถนัดเลยค่ะ เพราะคำตอบที่ถูกต้องสำหรับภาพพระเยซูคือ ชายผิวคล้ำผู้หนึ่งที่มีหนวดเครารกขรึ้ม หน้าตาดุดัน อาฮ้า! ช่างแตกต่างจากภาพในความคิดของฉันเสียลิบลับ (แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภาพที่ถูกต้องนั้นก็มิอาจกล่าวได้ว่าเป็นภาพพระเยซูเช่นกัน เพราะเป็นเพียงภาพวาดจากจินตนาการของจิตรกรผู้หนึ่งซึ่งได้รับการดลใจเป็นการส่วนตัวเท่านั้น)
เมื่อเรียนวิชาอิสยาห์กับอาจารย์มาร์ค แซนด์ลิน จึงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ได้รับรู้ว่าพระเยซูขณะเมื่อทรงอยู่ในโลกนี้นั้น มิได้ทรงสง่าราศีหรืองามเลิศจนเป็นที่สังเกตแต่อย่างใด แต่ตรงกันข้าม พระองค์ทรงเป็นเพียงกุมารน้อยที่เกิดจากหญิงพรหมจารีย์นามว่ามารีย์ พระองค์บังเกิดในคอกสัตว์ และบรรทมอยู่ในรางหญ้า พระองค์เติบโตมาเป็นเพียงลูกช่างไม้ชาวนาซาเร็ธ ครั้นเมื่อพระชนม์มายุได้ 30 ซึ่งพระองค์ทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์นั้น พระองค์ก็ยังคงเป็นเหมือนคนธรรมดาทั่วไป แม้แต่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาก็ยังสงสัยว่าพระองค์เป็นพระคริสต์แน่หรือ จนกระทั่งศิษย์ของยอห์นเล่าพระราชกิจของพระเยซูให้ยอห์นฟัง และยอห์นก็ยิ่งเชื่อมั่นอย่างเต็มหัวใจเมื่อพระบิดาบนสวรรค์ทรงตรัสว่า “ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก” [มก.1:11 แล้วมีพระสุรเสียงมาจากฟ้าสวรรค์ว่า "ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก"] บรรดาผู้ต่อต้านพระคริสต์ในสมัยนั้นก็ยิ่งไม่รู้จักพระเยซู ถึงกับต้องให้ยูดาสชี้ตัวพระเยซูด้วยจุบทรยศ [มธ.26:48 ผู้ที่จะอายัดพระองค์นั้นได้ให้อาณัติสัญญาณแก่เขาว่า "เราจะจุบคำนับผู้ใดก็เป็นผู้นั้นแหละ จงจับกุมเขาไว้"]
พระธรรมอิสยาห์ทำให้เราเห็นภาพขององค์พระเยซูมากขึ้นว่าพระองค์มิได้ทรงงดงามเลย [อสย.52:14-15 ด้วยคนเป็นอันมากตะลึงเพราะท่านฉันใด (หน้าตาของท่านเสียโฉมมาก เหลือที่จะเหมือนมนุษย์และรูปร่างของท่านก็เสียโฉมเหลือที่จะเหมือนบุตรของมนุษย์) ท่านก็จะกระทำให้บรรดาประชาชาติเป็นอันมากตกตะลึง {หรือ ประพรม} ฉันนั้น บรรดาพระราชาก็จะปิดพระโอษฐ์เพราะท่านนั้น เพราะเขาทั้งหลายจะเห็นสิ่งที่ไม่มีใครบอกเขา และเขาจะเข้าใจสิ่งซึ่งเขาไม่เคยได้ยิน] ถ้อยคำที่ว่าพระองค์จะ “ประพรมบรรดาประชาชาติเป็นอันมาก” นั้น ภายใต้พันธสัญญาเดิมปุโรหิตจะนำเลือดของสัตว์ที่ถวายแล้ว ประพรมพระวิหารและเครื่องใช้ในนั้น โดยการทำเช่นนั้น พวกเขาได้ชำระและทำให้สิ่งที่ได้รับการประพรมนั้นกลายเป็นสิ่งสะอาดบริสุทธิ์ ส่วนในพันธสัญญาใหม่ พระโลหิตของพระเมษโปดกจะทรงประพรมบรรดาประชาชาติมากมาย คนบาปอย่างเราจึงกลายเป็นคนสะอาดบริสุทธิ์โดยพระโลหิตของพระเมษโปดกนั้น
เมื่อระลึกถึงพระราชกิจของพระเยซูบนไม้กางเขน เราก็มิอาจบรรยายได้ว่า ความทุกข์ทรมานที่พระองค์ทรงรับแทนเรานั้น จะทำให้พระองค์เสียโฉมได้ถึงเพียงใด บางที พระองค์อาจจะทรงถูกทำร้ายร่างกาย จนกระทั่งพระกายเกรอะกรังไปด้วยเนื้อที่แหลกเหวะหวะ และพระโลหิตของพระองค์ก็ไหลรินรดแผ่นดินโลก ตั้งแต่พระเศียรของพระองค์จรดปลายพระบาท คงมิอาจบอกได้ว่านั่นคือมนุษย์ ทรงเสียโฉมยิ่งนัก ไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไปเลย
แต่สำหรับสายพระเนตรของพระบิดาบนสวรรค์แล้ว พระเยซูทรงงามเลิศกว่ามนุษย์ทั้งปวง
1. พระองค์เป็นพระผู้ไถ่ซึ่งพระบิดาประทานให้กับคนบาปอย่างเรา [ยน.3:16]
2. พระองค์เกิดจากฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธ์ ในครรภ์ของหญิงพรหมจารีย์ ทาสีที่พระเจ้าโปรดปราน [ลก.1:26-38]
3. พระองค์ทรงเจริญวัยแข็งแรงขึ้น ประกอบด้วยสติปัญญาและพระคุณของพระเจ้าอยู่กับพระองค์ [ลก.2:40]
4. พระองค์ทรงกระทำตามน้ำพระทัยพระบิดา [ยน.6:38 เพราะว่าเราได้ลงมาจากสวรรค์ มิใช่เพื่อกระทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่เพื่อกระทำตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา]
5. พระองค์กระทำกิจซึ่งได้รับมอบหมายจากพระบิดาโดยสำเร็จและงดงาม จนกระทั่งถึงความมรณา [ยน.19:30 เมื่อพระเยซูทรงรับน้ำส้มองุ่นแล้ว พระองค์ตรัสว่า "สำเร็จแล้ว" และทรงก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์]
6. พระองค์ทรงเป็นขึ้น ทรงสถิตเบื้องขวาขององค์พระบิดา ทรงเหนือกว่าพระทั้งหลาย [อฟ.1:20-23 ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำในพระคริสต์ เมื่อทรงชุบให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย และให้สถิตเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรคสถาน สูงยิ่งเหนือบรรดาเทพผู้ครอง เหนือศักดิเทพ เหนืออิทธิเทพ เหนือเทพอาณาจักร และเหนือนามทั้งปวงที่เขาเอ่ยขึ้น มิใช่ในยุคนี้เท่านั้น แต่ในยุคที่จะมาถึงด้วย พระเจ้าได้ทรงปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์ และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักร ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ คือซึ่งเต็มบริบูรณ์ด้วยพระองค์ ผู้ทรงอยู่เต็มทุกอย่างทุกแห่งหน]
7. พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และเป็นนิตย์ [ฮบ.7:25 ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงสามารถเป็นนิตย์ที่จะช่วยคนทั้งปวง ที่ได้เข้ามาถึงพระเจ้า โดยทางพระองค์นั้นให้ได้รับความรอด เพราะว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ เพื่อช่วยทูลขอพระกรุณาให้คนเหล่านั้น]
เหตุผลข้างต้น 7 ประการ เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยที่นำพาเราร้องเรียกพระองค์อย่างสุดใจว่า “พระเยซูผู้งามเลิศ” พระองค์ทรงงามเลิศด้วยประการทั้งปวง หากจะนำน้ำและเลือดทั่วโลกมาแทนหมึกเพื่อจรดปากการ้อยเรียงเป็นภาษาต่างๆ ทั่วโลก ก็มิอาจบรรยายความงดงามของพระองค์ได้หมดสิ้น
พี่น้องที่รักคะ ถ้าเราจะติดตามพระเยซู การบาดเจ็บจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พระเยซูทั้งเสียโฉมและมีแผล ถ้าเราจริงใจในการเสาะแสวงหาพระลักษณะของพระองค์ เราก็จะบาดเจ็บเช่นกัน ทว่า การร่วมทุกข์กับพระองค์และการเลือกที่จะมีชีวิตร่วมเทียมแอกกับพระประสงค์ของพระคริสต์นั้น เป็นความเจ็บปวดเพราะความรักซึ่งจะนำเราให้ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากยิ่งขึ้น เมื่อเราเป็นหนึ่งกับพระเยซู เราก็ทำให้พระบิดาพอพระทัยมากขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราจะยอมเสียโฉมไหม? เพื่อที่จะงดงามตามน้ำพระทัยของพระบิดา
พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงโปรดให้ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริศในพระสิริอันตระการล้ำของพระองค์ ขอให้ทุกคนตื่นตะลึงในความงามเลิศขององค์พระเยซู จนไม่อาจหักห้ามใจเพื่อมิให้หลงใหลหรือหลงรักพระองค์ได้ ขอความรักอันอัศจรรย์และทรงอานุภาพขององค์พระเจ้าจะเต็มล้นในทุกอณูหัวใจของทุกคน จนต้องหลั่งไหลออกไปเป็นพรถึงชนนานา ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงโปรดดลใจให้ทุกคนเทใจดำเนินในพระวจนะของพระบิดา เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช กำลัง ความรู้และสติปัญญาซึ่งมาจากพระองค์ ขอสันติสุขอันเกินความเข้าใจของพระองค์จะซาบซ่านอยู่ในวิญญาณจิตของทุกคน ขอพระเกียรติ พระราชอำนาจ ฤทธิ์เดช และพระสิริ เป็นของพระองค์สืบๆ ไป เป็นนิตย์…Amen!
***คอร์สอัลฟ่า (Alpha) เป็นการประกาศโดยวิธีการพบปะพูดคุยกันในเรื่องความเชื่อในเรื่องของพระเจ้า แบบเพื่อนฝูงในกลุ่ม โดยมีอาหารว่าง เครื่องดื่ม การพูดคุย และกลุ่มย่อย หัวข้อในการพูดคุยประกอบไปด้วย ศาสนาคริสต์ พระเยซูเป็นใคร ทำไมพระเยซูถึงสิ้นพระชนม์ เราจะมั่นใจในสิ่งที่เราศรัทธาอยู่ได้อย่างไร ทำไมจึงต้องอ่านพระคัมภีร์และจะเริ่มอ่านอย่างไร ทำไมเราต้องอธิษฐานและจะอธิษฐานอย่างไร พระเจ้าทรงนำเราอย่างไร พระวิญญาณบริสุทธิ์คือใคร เราจะถูกเติมเต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้อย่างไร พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานอย่างไร ทำไมเราต้องบอกผู้อื่นและจะบอกพวกเขาอย่างไร พระเจ้าทรงรักษาพวกเราอยู่ทุกวันหรือ ทำไมต้องมีโบถส์ เราจะใช้ชีวิตที่เหลือให้คุ้มค่าที่สุดได้อย่างไร

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก http://www.alphathailand.org/thai/

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

เป็นดุจตัวหนอน

เป็นดุจตัวหนอน
วันที่ 04/09/2009

ตัวอ่อนของแมลงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและการเจริญเติบโต 4 ระยะด้วยกัน คือ ไข่ หนอน ดักแด้ และ ตัวเต็มวัย ตามลำดับ ลักษณะของตัวหนอนระยะแรกจะไม่มีตา แต่มีปีกที่เจริญอยู่ภายใน การเติบโตในแต่ละระยะก็มีความซับซ้อน โดยการลอกคราบ จนกระทั่งระยะสุดท้าย ก็ลอกคราบกลายเป็นดักแด้ และกลายเป็นแมลง เป็นผีเสื้อ ในที่สุด
เป็นหนอนเนี่ยนะ! ตัวเล็กน้อยด้อยค่าเสียจริงเลย กว่าจะเติบโตเป็นตัวเต็มวัยก็ต้องใช้ระยะเวลานานหลายขั้นตอน ใครๆ ก็กลัวหนอน หรือบางคนไม่กลัวก็ขยะแขยง เจ้าหนอนต้องไต่หนืบๆ คืบคลานไปอย่างน่าสังเวช ซึ่งหากจะเปรียบเทียบกับคนเราแล้วก็พบว่าเรานั้นเล็กน้อยเช่นนั้นแหละ เป็นดุจตัวหนอนน่าเกลียด แม้แต่กษัตริย์ดาวิดผู้ยิ่งใหญ่ก็ออกตัวว่า ตนเองนั้นเป็นดุจตัวหนอน [สดด.22:6 ข้าพระองค์เป็นดุจตัวหนอนมิใช่คน คนก็ด่า ประชาก็ดูหมิ่น] หรือแม้แต่โยบเองก็ยังพรรณนาว่ามนุษย์นั้นเป็นเพียงตัวหนอน [โยบ.25:6 มนุษย์จะยิ่งสะอาดน้อยกว่านั้นเท่าใด ผู้เป็นเพียงตัวดักแด้ และบุตรของมนุษย์เล่า ผู้เป็นเพียงตัวหนอน"]
ค่ำคืนหนึ่ง ในห้องเรียนวิชาอิสยาห์ ของโรงเรียนพระคริสต์ธรรมเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยสวนพลู อาจารย์มาร์ค ผู้สอน ได้นำเราดิ่งลึกไปถึงพระทัยอันล้ำเลิศขององค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล และแล้วเมื่อมาถึง อสย.41:14 ก็ได้รู้ว่าเจ้าหนอนน้อยซึ่งไร้ค่าเสียจริงนั้น เป็นถึง “เจ้าหนอนยาโคบ” เชียวนะ [อสย.41:14 พระเจ้าตรัสว่า "อย่ากลัวเลย เจ้าหนอนยาโคบ เจ้าคนอิสราเอล เราจะช่วยเจ้า ผู้ไถ่ของเจ้าคือองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล] ขอบพระคุณพระเจ้า!
พี่น้องคะ แม้ว่าเราจะเป็นคนเล็กน้อยยิ่งกว่าธรรมิกชนผู้เล็กน้อย แม้ว่าเราจะต้องประสบกับความทุกข์ยาก ทั้งทางกายและทางจิตใจหลายร้อยพันครั้ง ขอจงรู้ไว้เถิดว่า เราไม่ใช่หนอนธรรมดา แต่เป็น “หนอนยาโคบ” ดังนั้น หากเราเป็นหนอนที่มีความอดทน ดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์ในทางของพระเจ้า เราก็จะมีชีวิตใหม่ เป็นผีเสื้อสวยงามหลากสี สามารถโบยบินจากดอกไม้ดอกหนึ่งไปยังอีกดอกหนึ่ง เฉกเช่นเดียวกับชีวิตการรับใช้ เมื่อเรามีความอดทน เราก็สามารถทำให้คนเป็นอันมากได้รับพระพรในทุกที่ทุกแห่งซึ่งเรารับใช้หรืออาศัยอยู่ ได้เปรมปรีดิ์ในพระเจ้า องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล
กลอน “เจ้าหนอนน้อย”
เจ้าหนอนน้อย ค่อยค่อยคืบ ค่อยค่อยคลาน อีกไม่นานก็จักกลายเป็นผีเสื้อ
เจ้าหนอนจึงมีแรงใจอันเหลือเฟือ ไม่รู้เบื่อ แม้ลอกคราบปลาบแปลบกาย
จนวันหนึ่ง คลาบไคล ลอกออกหมด งามหมดจด หลากสีสัน สุดบรรยาย
บรรลุแล้ว ดั่งตั้งหวัง สมเป้าหมาย หนอนกลับกลาย เป็นผีเสื้อ สวยเหลือเกิน
ผีเสื้อดม ดอมไม้ดอก ไม้ประดับ งามระยับแต่งแต้มสีให้โลกสวย
หากมิอดทนไว้คงมอดม้วย เป็นหนอนย้วย ย่อยยับ ดับชีวิน
ต่อนี้ไปจึงเป็นพรให้แก่โลก คอยบินโบกดื่มน้ำหวานเป็นอาจิณ
เป็นการสืบ พงษ์พืช พรรณทั้งสิ้น โผผกผิน บินสู่ฟ้า สง่างาม

“ดีแล้วที่ข้าพระองค์ทุกข์ยาก เพื่อข้าพระองค์จะเรียนรู้ถึงกฎเกณฑ์ของพระองค์” (สดด.119:71)

นอน

นอน
วันที่ 31/8/2009

“ถ้ามีเวลาเพิ่มขึ้นหนึ่งชั่วโมง คุณจะใช้ทำอะไร” …ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก ไม่ต้องคิดเองคะพี่น้อง หนังสือรีดเดอร์สไดเจสท์ ฉบับเดือนมิถุนายน 2552 ได้ระบุไว้ในคอลัมน์รอบโลกกับ 1 คำถามดังกล่าว ผลก็คือ หากวันหนึ่งมี 25 ชั่วโมงนั้น หลายคนยอมรับว่าอยากอยู่กับครอบครัวมากขึ้น โดยชาวสเปนครึ่งหนึ่งยินดีอุทิศเวลาให้แก่บุคคลใกล้ชิดผู้เป็นที่รัก จนได้คะแนนนำมาเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยชาวบราซิล แคนาดาและอังกฤษ มีเพียงชาวอินเดียที่อยากอุทิศเวลาที่เพิ่มขึ้นให้กับงานเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนชาวไทยเทคะแนนให้แก่การนอนเป็นอันดับหนึ่ง (ฮา) ตามด้วยการทำงาน
อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงกำหนดแต่ละวันไว้แล้ว ใน 1 วัน มี 24 ชั่วโมง ดังนั้น การจะมีเวลาเพิ่มขึ้นอีก 1 ชั่วโมง เป็น 25 ชั่วโมง ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่เราก็สามารถมีเวลาเพิ่มขึ้น 1 ชั่วโมง โดยที่วันหนึ่งยังคงมี 24 ชั่วโมง เหมือนเดิมได้ ซึ่งเป็นความท้าทายของเราที่จะต้องบริหารเวลา 24 ชั่วโมงนี้ ให้มีคุณภาพมากที่สุด
มีผู้กล่าวและแนะนำไว้ว่า ควรแบ่งเวลาออกเป็น 3 ส่วน สำหรับทำงาน 8 ชั่วโมง นอน 8 ชั่วโมง เวลาส่วนตัวและครอบครัวอีก 8 ชั่วโมง ซึ่งหากยึดกฎเกณฑ์ดังนี้แล้ว แต่ต้องทำงานเกินกว่า 8 ชั่วโมงล่ะ ก็อาจต้องกินเวลานอน เวลาส่วนตัวและครอบครัวไป และถ้าเวลาส่วนตัวและครอบครัวต้องไปติดอยู่บนถนนอีกวันละ 2-3 ชั่วโมงล่ะ ก็อาจต้องกินเวลานอน และเวลาทำงานไป (อ้าว…แป่ว) คิดไปแล้วก็ปวดหัวจริงเชียว เอาเป็นว่า แต่ละคนมีภารกิจและความจำเป็นไม่เหมือนกัน การบริหารเวลาย่อมไม่เหมือนกันนั่นเอง แต่ยังไง ยังไง ก็ขอหนุนใจให้ทุกคนนอนและพักผ่อนอย่างเพียงพอนะคะ และที่สำคัญคือ ได้มีเวลาดื่มด่ำเต็มอิ่มกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัวในทุกๆ วันด้วย
เมื่อเร็วๆ นี้ ฉันต้องทำงานวันละกว่า 8 ชั่วโมง ติดต่อกันหลายวัน ทำให้นอนดึก ในขณะที่ต้องตื่นเวลาเดิม ทั้งยังไม่ได้ลดกิจกรรมอื่นๆ ลง จึงเกิดอาการอ่อนเพลีย แม้ใจยังสู้อยู่ แต่ก็ไม่ไหวแล้วคะ ป่วยอีกรอบ และคราวนี้คุณเธอหยุดงาน 5 วันรวด จันทร์ถึงศุกร์ การนอนป่วยอยู่บ้านครั้งนี้จึงไม่มีความสุข เพราะเป็นห่วงงาน
นับจากวันแรกของการป่วยเป็นต้นมา อาการของฉันแย่ลงตามลำดับ แค่เดินจากห้องพักไปที่ลิฟต์ก็เป็นเรื่องยากซะแล้ว แต่ในวันที่ 3 ของการป่วย อาการดีขึ้นนิดหน่อย พยุงตัวเองได้แล้ว จึงไปหาหมอสักนิด หมอก็วินิจฉันว่าเป็นไข้หวัด และคออักเสบ หมอแนะนำว่าควรหยุดอยู่บ้าน อย่าออกไปไหนถ้าไม่จำเป็น เพราะเห็นแก่ผู้อื่น เดี๋ยวคนอื่นจะมาติดเชื้อจากฉัน แม้แต่หมอเอง เมื่อตรวจชีพจรฉันเสร็จ หมอก็รีบล้างมือด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อทันที ฉันจึงรู้ตัวตอนนั้นเองว่า ฉันน่ากลัวมาก (บรื้อ!) และแล้วก็เกิดภาระใจที่ต้องอธิษฐานเผื่อบรรดาหมอ พยาบาล ตลอดจนเจ้าหน้าที่ทั้งหลายที่ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับผู้ป่วย ขอพระเจ้าดูแลปกป้องเธอและเขาด้วย ให้มีกำลัง มีสติปัญญา มีพลานามัยที่สมบูรณ์ และมีจิตใจที่ร่าเริงชื่นชมยินดี
ในช่วง 3 วันแรกของการป่วย กำลังใจยังดีอยู่ ก็ไม่รู้สึกอะไรมาก แต่พอเริ่มเข้าสู่วันที่ 4 ก็เริ่มท้อแท้ เสบียงก็เริ่มหมด กองทัพต้องเดินด้วยท้องซะด้วยสิ “โอ พระเจ้าค่ะ ป่วย 4 วันแล้วนะ มันมากเกินไปหรือเปล่าคะเนี่ย องค์เยโฮวาห์รัฟฟาของลูกอยู่ที่ไหน” แต่ฉันก็กินยาอย่างสม่ำเสมอ จากนั้นก็นอน แล้วก็นอน
วันที่ 5 ของการป่วย พี่อ้อยมาเยี่ยม พร้อมด้วยเสบียงกรังเพื่อเตรียมรบกับข้าศึก (เชื้อโรค) พี่อ้อยอธิษฐานเผื่อ และหนุนใจให้พักผ่อนมากๆ ไม่ต้องรู้สึกผิดที่หยุดงานหลายวัน ไม่ต้องห่วงงาน วางใจพระเจ้า พระองค์จะทรงผดุงไว้ “การนอนเป็นการรับใช้พระเจ้า” ว้าว! กิ๊บเก๋จริงๆ เลยคำนี้ เป็นความรู้ใหม่นะเนี่ย พี่อ้อยก็บอกว่า เป็นความจริง เพราะร่างกายของเราคือพระวิหารของพระเจ้า การดูแลตัวเองจึงเป็นการรับใช้พระเจ้า การนอนก็เป็นการรับใช้พระเจ้า เป็นการเสริมกำลังให้กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งอยู่ภายในเรา
ฉันขอบคุณพระเจ้าสำหรับพี่น้องหลายท่านที่ได้อธิษฐานเผื่อ บ้างก็ส่งข้อความ หรือส่งเสียงมาให้กำลังใจ แม้บางสายจะไม่ได้รับ แต่ก็ซึ้งใจเสมอ บ้างก็แวะมาเยี่ยมเยียนด้วย ขอบำเหน็จบนสวรรค์จงเป็นของพี่น้องทุกท่าน [มธ.25:40 "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย"]
วันที่ 6 ของการป่วย เป็นวันเสาร์แล้วสินะ พี่น้องหลายคนไปสามัคคีธรรมกันถึง YWCA ชลบุรีแน่ะ แต่ฉันต้องนอนป่วยอยู่คนเดียว อะไรกันนี่ “พระเจ้าคะ ลูกรู้สึกน้อยใจยิ่งนัก” ฉันระบายความในใจให้พระองค์ฟัง แต่ถึงแม้ฉันไม่พูด พระองค์ก็ทรงรู้ความคิดของฉันอยู่ดี แต่ฉันก็ขอบอกกับพระองค์ เพราะฉันเป็นคนชอบเล่าเรื่องอยู่แล้ว และก็ดูเหมือนว่าการได้พูดออกไปนั้น เป็นการเยียวยาไปในตัว เปิดโอกาสให้พระวิญญาณเริ่มทำงานแข่งกับอ้ายซาตานอย่างแข็งขัน และแล้วพระเจ้าก็ทรงใส่หัวใจใหม่ให้ฉันได้รับรู้ถึงความรู้สึกของผู้คนมากมายที่เขาต้องอยู่คนเดียว ผู้คนมากมายที่ขาดการเอาใจใส่เหลียวแล ผู้คนมากมายที่ด้อยโอกาส ผู้คนมากมายที่ป่วยเจียนตายอยู่เพียงลำพังนานนับเดือนปี โอ! พระองค์เจ้าข้า สิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกนั้นไม่ติดฝุ่นเศษเสี้ยวของการทนทุกข์แห่งองค์พระเยซู และอัครสาวก รวมถึงบรรดามิชชันนารี และผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อทั้งหลายของพระองค์เลย จากนั้นฉันก็ต้องรีบกลับใจโดยเร็วพลัน เปลี่ยนจากการคร่ำครวญเพื่อตัวเองเป็นการวิงวอนเพื่อผู้อื่นอีกครั้งหนึ่ง [อสค.36:26 เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้าและเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า เราจะนำใจหินออกไปเสียจากเนื้อของเจ้า และให้ใจเนื้อแก่เจ้า]
ตลอดวันที่ 6 จึงเป็นวันที่ได้ดื่มด่ำกับพระคำของพระเจ้า ได้ปิติยินดีเป็นอันมากในพระบัญญัติของพระองค์ และในค่ำคืนของวันที่ 6 ก็เกิดความท้าทายแบบใหม่ เป็นความหวังใจและเชื่อมั่นว่าถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงรักษา ก่อนหลับตาลง ฉันร้องเรียกพระองค์ องค์พระเยซู องค์เยโฮวาห์รัฟฟา…อัศจรรย์!!! พระวจนะของพระองค์รักษาฉันไว้ ยามดึกตื่นมาพร้อมกับอาการโล่งที่คอและหายใจสะดวกขึ้น สรรเสริญพระเจ้าที่ปีกของพระองค์หอบรักษาโรคภัย [สดด.41:3 เมื่อเขานอนเจ็บ พระเจ้าทรงค้ำจุนเขา เมื่อเขาป่วยไข้พระองค์ทรงรักษาความเจ็บไข้ทั้งสิ้นของเขาให้หาย]
เช้าวันที่ 7 ของการป่วย วันอาทิตย์แล้วสินะ วันสะปาโต ฝนตกหนักแต่เช้าเลย อาการป่วยทุเลาแล้ว แต่ก็ยังไม่หายดี วันนี้จึงไม่ได้ไปนมัสการที่โบสถ์ ทำได้เพียงนมัสการอยู่คนเดียวที่บ้าน อธิษฐาน อ่านพระคำ ดูทีวี อ่านหนังสือ และก็นอน พอตกเย็น พี่อิ๋วกับพี่น้อยก็มาเยี่ยม จึงได้นมัสการพระเจ้าร่วมกัน อันว่าการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าคนเดียวก็ดีอยู่หรอก แต่การได้นมัสการร่วมกับพี่น้องก็วิเศษมาก มีชีวิตชีวา น่าประทับใจมากกว่าฟังเพลงจากเครื่อง MP3 หรือฟังเพลงจากศิลปินเอกเป็นไหนๆ นอกจากนั้น เรายังได้อธิษฐาน และแบ่งปันพระคำร่วมกันอีกด้วย
ขอบพระคุณพระเจ้าและขอบคุณพี่น้องทุกท่านอีกครั้ง ฉันอธิษฐานขอให้พี่น้องทุกท่านพักผ่อนอย่างสมดุลมีคุณภาพ กอปรไปด้วยจิตใจที่ยินดี จิตวิญญาณที่ปรีดา และร่างกายก็อาศัยอยู่อย่างปลอดภัยด้วย (สดด.16:9) เพราะท่านคิดถึงพระองค์ขณะอยู่บนที่นอนและภาวนาถึงพระองค์ทุกๆ ยาม (สดด.63:6)

เมฆ

เมฆ
วันที่ 30/8/2009

ยามค่ำคืนฉันนอนมองออกนอกหน้าต่าง เห็นเมฆที่ล่องลอยไปบนฟากฟ้า นั่นไงดอกไม้ นั่นไงหมู-หมา-กา-ไก่ นั่นไงเหมือนคนที่ฉันรู้จักเลย แต่หน้าตาตลกจัง (เอิ้ก เอิ้ก) เมฆเป็นอะไรต่ออะไรหลายอย่างตามจินตนาการของฉัน และฉันก็ปรารถนาที่จะเห็นพระเจ้าในหมู่เมฆนั้นด้วย [มก.13:26 เมื่อนั้นเขาจะเห็น บุตรมนุษย์เสด็จมาในเมฆ ทรงฤทธานุภาพและพระสิริเป็นอันมาก]
เมฆสีขาวตัดกับความมืดยามรัตติกาลทำให้ท้องฟ้าสวยขึ้นถนัดตา ในพระคัมภีร์มีหลายตอนด้วยกันที่บอกเราว่าเมฆเป็นสัญลักษณ์แห่งพระสิริและการทรงสถิตของพระเจ้า [1พกษ.8:11 ปุโรหิตจึงยืนปรนนิบัติอยู่ไม่ได้ เพราะเมฆนั้น เพราะพระสิริของพระเจ้าเต็มพระนิเวศของพระเจ้า] เมื่อเห็นเมฆปุ๊บจึงทำให้นึกถึงพระเจ้าปั๊บ! องค์พระผู้สร้าง พระผู้ทรงปั้นเมฆ ในพระคัมภีร์หลายตอนยังกล่าวด้วยว่าพระองค์ทรงเมฆเป็นราชรถ เป็นพาหนะ เช่นในสดุดี [สดด.68:4 จงร้องเพลงถวายพระเจ้า จงร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์ จงยกย่องพระองค์ผู้ทรงเมฆเป็นพาหนะ พระนามของพระองค์คือพระเยโฮวาห์ จงลิงโลดต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์] แล้วก็ทำให้นึกถึงในวัยเด็กที่ฉันทำม้าก้านกล้วย และขี่มันข้ามคันนา ว้าว! แต่นี้ไม่เหมือนกันนะ พาหนะของพระเจ้ายิ่งใหญ่ไร้เทียมทานเหนือพาหนะใด เมฆเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่พระเจ้ากำหนด กว้างไกลสุดขอบฟ้าขอบโลก เมฆไม่เคยหยุดนิ่ง เหมือนที่พระเจ้ามิเคยหยุดนิ่ง พระองค์มิเคยหลับสนิทหรือนิทรา [สดด.121:4 ดูเถิด พระองค์ผู้ทรงอารักขาอิสราเอล จะไม่ทรงหลับสนิทหรือนิทรา] พระวิญญาณก็มิเคยหยุดเคลื่อนไหวในชีวิตของเรา ยังทรงเปี่ยมด้วยฤทธานุภาพ และประกอบกิจอยู่ภายในเราเสมอ แต่เราต่างหากเล่าที่ไม่ค่อยนิ่งสักเท่าไร พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราหยุดนิ่งเสียบ้าง เพราะหากเราไม่นิ่ง เราก็คงไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณ และคงไม่รู้จักพระราชกิจของพระองค์ [สดด.46:10 จงนิ่งเสีย และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้าเราเป็นที่ยกย่องท่ามกลางประชาชาติ เราเป็นที่ยกย่องในแผ่นดินโลก]
มีสำนวนหนึ่งของคนไทยที่ว่า “มาเหนือเมฆ” ซึ่งหมายถึง การคิดหรือทำด้วยชั้นเชิงที่เหนือกว่าผู้อื่น ซึ่งก็ยิ่งให้ภาพขององค์พระเจ้าที่ว่า มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ทรงยิ่งใหญ่เหนือกว่าผู้ใดและสิ่งใดในโลก ทรงมาเหนือเมฆอย่างแท้จริง
ในเชิงวิทยาศาสตร์นั้น เมฆ เกิดจากการรวมตัวหรือเกาะกลุ่มของไอน้ำ ซึ่งในที่สุดก็จะเกิดการควบแน่นและตกลงมาเป็นฝน เป็นละอองน้ำและเกล็ดน้ำแข็งที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนลอยตัวอยู่ในชั้นบรรยากาศ ที่เราสามารถมองเห็นได้ แต่เรารู้ดีว่าเมฆเกิดจากการทรงสร้างของพระเจ้า [โยบ.36:27 เพราะพระองค์ทรงดึงหยดน้ำขึ้นไป ซึ่งกลั่นเป็นฝนจากเมฆของพระองค์] พระองค์ทรงสร้างเมฆ และกำหนดกฎเกณฑ์ให้มัน [โยบ.37:16 ท่านทราบถึงการทรงตัวของเมฆหรือ เป็นพระราชกิจอันประหลาดของพระองค์ผู้สมบูรณ์ในความรู้] ในยามที่ท้องฟ้าไม่มีเมฆ ก็จะเรียกว่าท้องฟ้าใส ท้องฟ้าโปร่ง เมื่อเมฆลอยมา ฟ้าก็สวยงดงามจับตายิ่งขึ้น หากเมื่อมีแสงสุรีย์ศรีหรือแสงจันทรามาตกต้องด้วยเล่า เมฆเบาสบายก็ยิ่งงดงามประหลาดตา เวลาที่เราขึ้นเครื่องบินที่ได้ไต่เพดานขึ้นไปสูงเหนือเมฆ ก็ราวกับว่าเราแหวกว่ายโฉบเฉี่ยวล่องลอยไปมาในคลื่นเมฆปุกปุย ซึ่งให้ความอ่อนละมุนละไมในหัวใจอย่างล้ำลึก ให้สัมผัสถึงความรักอีกรูปแบบหนึ่งจากพระเจ้า
[สดด.57:10 เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ใหญ่ยิ่งถึงฟ้าสวรรค์ ความสัตย์สุจริตของพระองค์สูงถึงเมฆ]

การุณยฆาต

การุณยฆาต
วันที่ 29/8/2009

พ่อแม่อินเดียขอการุณยฆาตลูกพิการ 4 คน : สามีภรรยาชาวอินเดียคู่หนึ่งสุดยากจน เขียนคำร้องส่งไปยังประธานาธิบดีอินเดีย วิงวอนขอกระทำการุณยฆาตกับลูกพิการทั้ง 4 คนของตัวเอง เนื่องจากฐานะยากจน สุดปัญญาจะรักษาลูกให้หาย
เป็นข่าวแสนเศร้าซึ่งปรากฏบนหน้าจอทีวีแทบทุกสถานีในวันนี้ เนื่องด้วยบุตรชายของครอบครัวนี้ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 10-16 ปี ป่วยพิการแขนขาลีบทุกคน ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เนื่องมาจากโรคทางพันธุกรรม พวกเขาผอมโซ ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ต้องมีคนดูแลตลอด 24 ชั่วโมง ผู้เป็นพ่อแม่ก็พยายามดูแล และขายทรัพย์สมบัติมีค่าจนหมดตัวเพียงเพื่อจะมารักษาลูก แต่ในวันนี้ หมดปัญญาจริงๆ เพราะเวลาในการทำงานหาเงินยังไม่มี ต้องทุ่มเทเวลาในการดูแลลูกพิการ ดังนั้น ด้วยหัวใจที่สงสารลูก จึงคิดไปว่า หากลูกจากโลกนี้ไปแล้วจะเป็นการพ้นทุกข์ แต่ในเมื่อยังไม่ถึงเวลาที่ต้องจากโลกนี้ไปตามธรรมชาติ ก็มีวิถีทางเดียวที่เหลืออยู่คือ การทำการุณยฆาต ทั้งนี้ตามกฎหมายของอินเดียไม่อนุญาตให้มีการทำการุณยฆาต ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการผิดกฎหมายเกือบทุกประเทศ ยกเว้นที่เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ ที่มีกฎหมายในเรื่องนี้
ฉันค่อนข้างแปลกใจที่ประเทศซึ่งเรียกตัวเองว่าพัฒนาแล้ว กลับมีกฎหมายอนุญาตเรื่องการทำการุณยฆาต ซึ่งอันคำว่า การุณยฆาต ในความหมายจากสารานุกรมวิกิพิเดียนั้น ระบุว่า การุณยฆาต หรือ ปรานีฆาต (euthanasia หรือ mercy killing; การุณยฆาตเป็นศัพท์ทางนิติศาสตร์ ส่วนปรานีฆาตเป็นศัพท์ทางแพทยศาสตร์) หรือ แพทยานุเคราะหฆาต (physician-assisted suicide) หมายถึง การทำให้บุคคลตายโดยเจตนาด้วยวิธีการที่ไม่รุนแรงหรือวิธีการที่ทำให้ตายอย่างสะดวก หรือ การงดเว้นการช่วยเหลือหรือรักษาบุคคล โดยปล่อยให้ตายไปเองอย่างสงบ ทั้งนี้ เพื่อระงับความเจ็บปวดอย่างสาหัสของบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลนั้นป่วยเป็นโรคอันไร้หนทางเยียวยา
ฆ่าด้วยความกรุณาหรือ ฆ่าด้วยความปราณีหรือ เมื่อพิจารณาในแง่มุมของพระคัมภีร์แล้ว กลับมองไม่เห็นถึงความกรุณาสักนิดเลย การฆ่าคนจะเป็นความกรุณาได้อย่างไรกัน แค่บัญญัติ 10 ประการ วิธีการนี้ก็ไม่ผ่านเสียแล้ว ผู้เดียวที่จะพิพากษามนุษย์ ผู้เป็นปฐมและอวสานมีองค์เดียวเท่านั้น คือ พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งของเรา และเหตุที่พระองค์เป็นพระผู้สร้างนี่เอง ทุกสรรพสิ่งจึงเป็นของพระองค์ และทุกสิ่งจึงขึ้นอยู่กับความกรุณาของพระเจ้า [รม.9:16 เพราะฉะนั้นทุกสิ่งจึงไม่ขึ้นแก่ความตั้งใจหรือการตะเกียกตะกาย แต่ขึ้นอยู่กับพระกรุณาของพระเจ้า]
พระเจ้าเป็นผู้ประทานชีวิต เป็นผู้ประทานลมหายใจ ดังนั้นมนุษย์จึงไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินความเป็นความตายของมนุษย์ด้วยกัน ทั้งนี้ ไม่สำคัญด้วยว่ามนุษย์นั้นจะเป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด เป็นเจ้าเหนือชีวิต เป็นกษัตริย์ เป็นแพทย์ หรือเป็นฆาตกร
ฉันไม่ได้อยู่ในฐานะพ่อและแม่ จึงไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกของความเป็นพ่อและแม่ได้ดีเท่าที่ควร แต่หากมองจากความเป็นมนุษย์แล้ว ทุกคนต่างก็เป็นอวัยวะในกายเดียวกัน หากมีอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งเจ็บ อวัยวะที่เหลือก็พลอยเจ็บไปด้วย หากคนที่เรารักเจ็บปวด เราจะไม่เจ็บปวดไปกับเขาด้วยหรือ หากเขาต้องเสียชีวิต โดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเพื่อเขา เราจะมีชีวิตที่เต็มล้นไปด้วยสันติสุขได้หรือ ดังนั้น เราจึงควรฟันฝ่าบากบั่นไปด้วยกัน จนกว่าจะตายจากกัน แม้ว่าจะต้องเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานเหลือแสน แต่เรารู้ว่าบำเหน็จแห่งสวรรค์รอเราอยู่ ซึ่งนั่นย่อมดีกว่าการทำการุณยฆาตเพื่อหนีความทุกข์ในโลกนี้ แล้วต้องไปทุกข์ทรมานในบึงไฟนรก
ในบางครั้งที่พบเจอบางปัญหาที่หนักหนาสาหัสในชีวิต ฉันก็มักจะพูดเล่น ประชดประชัน หรือในบางครั้งด้วยอาการน้อยใจว่า “รู้งี้ ตายเสียดีกว่า” หรือ “ให้ตายเถอะ” หรือ “ไม่อยากอยู่แล้ว ฉันไม่มีค่าอะไรเลย” พี่น้องคะ หากคุณเคยคิดแบบนี้หรือมีท่าทีในลักษณะนี้ ต้องกลับใจโดยด่วนเลยค่ะ ความตายไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ชีวิตนี้มิใช่ได้มาเปล่าๆ เรารู้กันอยู่ว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย เราเองก็สมควรตาย แต่เหตุเพราะการวายพระชนม์ของพระบุตร เราจึงมีชัยเหนือความตายและได้รับชีวิตนิรันดร์ ชีวิตของมนุษย์ทุกคนจึงมีค่าด้วยกันทั้งสิ้น
“ชีวิต คือ ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากพระเจ้า” แต่หากเราไร้ซึ่งชีวิต เราจะสรรเสริญพระเจ้าได้อย่างไรกัน ดังนั้น ขอให้เรารักชีวิต (ตนเองและผู้อื่น) และมีชีวิตอยู่เพื่อสรรเสริญพระเจ้ากันดีกว่าคะ
“ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระเจ้า ตราบเท่าที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสดุดีถวายพระเจ้าของข้าพเจ้า ขณะที่ข้าพเจ้ายังเป็นอยู่” (สดด.146:2)
“จงให้ทุกสิ่งที่หายใจสรรเสริญพระเจ้า จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด” (สดด.150:6)
ในทางกลับกัน มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่พยายามแสวงหาความเป็นอมตะ เขาไม่อยากตาย เขาไม่ยอมรับความจริงว่ามีวาระสำหรับทุกสิ่ง มีวาระเกิด มีวาระตาย และวาระนั้นพระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนดควบคุม มนุษย์จะเป็นอมตะได้อย่างไร เพราะมนุษย์นั้นเป็นพันธุ์มตะ มีเพียงองค์พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งเท่านั้นที่ทรงเป็นอมตะ [1ทธ.6:16 พระองค์ผู้เดียวทรงอมตะ และทรงสถิตในความสว่างที่ซึ่งไม่มีคนใดจะเข้าไปถึง ผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยเห็น และจะเห็นไม่ได้ พระเกียรติและฤทธานุภาพอันถาวรจงมีแด่พระองค์นั้น อาเมน]

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สาวกผู้รับพร

สาวกผู้รับพร
วันที่ 01/08/2009
พระเจ้าจะทรงอวยพรท่าน เพื่อให้ท่านเป็นพรสู่ผู้อื่น!
ในห้องเรียนวิชาการเป็นสาวก เมื่อค่ำคืนวันที่ 22/7/2009 ของนักศึกษาภาคค่ำโรงเรียนพระคริสต์ธรรมสวนพลู อาจารย์ประยูร ได้สอนถึงกระบวนการสร้างสาวกของพระเยซูว่า “การเป็นสาวกของพระเยซู” ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในวันเดียว หรือเกิดจากการสมัครใจเพียงครั้งเดียว หรือ การตัดสินใจเพียงครั้งเดียว แต่เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ไม่มีทางลัด และไม่มีรูปแบบสำเร็จรูป เริ่มต้นจากพระเยซู พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้เราแต่ละคนก้าวเข้ามาเป็นสาวกของพระองค์ในทุกขณะของชีวิตที่เรากำลังดำเนินอยู่ ทุกคนจะได้รับการเชิญให้มาเป็นสาวกของพระเยซูจากพระองค์เป็นการส่วนตัว (ที่มา: ส่วนหนึ่งของบทเรียนเรื่องการเป็นสาวก)
ช่างน่าปลาบปลื้มใจยิ่งนักที่องค์พระเยซูเชิญเราเป็นสาวกของพระองค์เป็นการส่วนตัว “ทรงเรียกเป็นการส่วนตัว” เรื่องราวการทรงเรียกสาวกที่ฉันประทับใจอย่างมาก คือเมื่อครั้งที่พระเยซูทรงเรียกชาวประมง พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา”(มธ.4:18-22, มก.1:16-20, ลก.5:1-11) แต่สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งกว่าก็คือ ทุกวันนี้ พระเยซูก็ยังทรงเรียกสาวกของพระองค์เหมือนดังที่จารึกไว้ในพระคัมภีร์ โดยสิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ในสมัยพระคัมภีร์ตามที่กล่าวถึงนั้น พระเยซูทรงตรัสเรียกสาวกโดยพระองค์เอง เป็นพระเยซูชาวนาซาเร็ธที่เหล่าสาวกมองเห็น แต่ปัจจุบันเราได้รับการทรงเรียกโดยพระเยซูแห่งฟ้าสวรรค์ ผู้ที่เรามองไม่เห็น เราได้รับการเร้าใจอย่างลึกซึ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และแม้ว่าเราจะไม่เห็น แต่เชื่อ ก็เป็นสุข…ฮาเลลูยา
เมื่อเราตัดสินใจเป็นสาวกของพระองค์แล้ว ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างเรากับพระเยซูเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การที่พระองค์ทรงเรียกนั้น ทรงให้สิทธิเสรีภาพในการตัดสินใจแก่เรา ดังเช่นเมื่อครั้งทรงเรียกสาวกของพระองค์ในขณะที่ทรงดำรงสภาพเป็นมนุษย์นั้น สาวกก็มีสิทธิตัดสินใจว่าจะตามพระองค์ไปหรือไม่ และจะตามไปถึงแค่ไหน จะตามพระองค์ไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต หรือจะตามพระองค์เพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งเหมือนยูดาส
สาวก คือ ผู้ที่ได้รับพร ดังนั้น แม้ว่าหลายครั้งสาวกจะพบกับอุปสรรคในการติดตามพระเยซู สาวกแท้ก็จะไม่ย่อท้อ หากต้องยอมทนทุกข์ ยอมเป็นเมล็ดที่เปื่อยเน่า [ยน.12:24] “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงไปในดินและเปื่อยเน่าไป ก็จะคงอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว ก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก”
อาจารย์ประยูรได้เล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า การที่สาวกมิได้ติดสนิทกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัวนั้น เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ ยังสามารถทำพันธกิจของพระองค์ได้ แต่ก็มิต่างอะไรกับ “หมาเห่าเสียงดัง” แต่ไม่สามารถเอาตัวเองรอดได้ ว่าแล้ว อาจารย์ประยูรก็เล่าเรื่องประกอบการสอน ดังนี้
ครั้งหนึ่งเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่ประตูน้ำโดยไม่ทราบสาเหตุ (เพราะอาจารย์ประยูรไม่ได้บอก) ทุกคนในบ้านหลับสนิทในขณะที่เพลิงค่อยๆ โหมกระพือ เจ้าหมาน้อยที่เลี้ยงไว้จึงส่งเสียงเห่าดังลั่น จนเจ้าของบ้านตื่นมาพบ แล้วเรียกเพื่อนบ้านให้มาช่วยดับไฟ แต่ก็ช้าไปนิด บ้านได้วอดไปเกือบทั้งหลัง แต่ก็ขอบคุณพระเจ้าที่ทุกคนรอดชีวิต เมื่อไฟมอดแล้ว ทุกคนก็ยืนมองสภาพของบ้านด้วยความหดหู่ และที่หดหู่ไม่แพ้กันคือ เจ้าหมาน้อยตัวนั้นที่เห่าเสียงดังปลุกเจ้าของบ้านจนตื่น ช่วยชีวิตของทุกคนนั้น กลับถูกไฟคลอกตายอย่างน่าสงสาร เพราะมีโซ่เส้นเล็กๆ ผูกเจ้าหมาน้อยไว้กับเสาบ้าน ทำให้อาจารย์ประยูรหวนคิดถึงชีวิตของคริสเตียน ที่หลายครั้งคริสเตียนก็เห่าเสียงดัง เอ้ย! ทำงานรับใช้พระเจ้าด้วยกิจกรรมต่างๆ มากมาย และเกิดผล มีคนรับเชื่อใหม่ มีการฟื้นฟู นำผู้อื่นไปสู่ความรอด แต่คริสเตียนผู้นั้นกลับไม่รอด เพราะไม่มีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเจ้า มีโซ่ตรวนเป็นพันธนาการผูกคออยู่…คริสเตียนเอ๋ย อย่าเป็นเช่นนั้นเลย
การเปรียบเทียบตามที่เล่ามาอาจจะดูรุนแรงไปนิด แต่เมื่อใคร่ครวญดูแล้วก็เห็นจริงดังว่า จะดีกว่าสักเท่าใดหากเราเป็นสาวกที่ติดสนิทกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว และทำงานรับใช้พระองค์อย่างเกิดผลเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ ในสถานที่ซึ่งพระองค์ทรงเรียกเรา…ให้ไป ในเรื่องที่พระองค์ทรงเรียกเรา…ให้ทำ ในสิ่งที่พระองค์ทรงเรียกเรา…ให้เป็น
“ถนนขรุขระที่มีพระเจ้า ก็ดีกว่าถนนทองคำที่ปราศจากพระองค์” (อาจารย์ประยูร)… คุณค่าของสาวกคือการมุ่งแสวงหาพระเจ้า คือการติดสนิทกับพระองค์เป็นการส่วนตัว [ยน.15:5] “เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย”
พระบิดาที่รัก ลูกเข้ามาร้องทูลต่อพระองค์ด้วยใจรักและบูชา ขอทรงโปรดเมตตาฟังคำวิงวอนของลูก เพื่อผู้อ่านทุกคน พระบิดาเจ้าข้า ความปิติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน เขาเป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จำเริญขึ้น (สดด.1:2-3) เขาปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความยำเกรงและเกษมเปรมปรีด์จนเนื้อเต้น (สดด.2:11) พระองค์เจ้าข้า การช่วยกู้เป็นของพระองค์ ขอพระพรของพระองค์หลั่งลงเหนือประชากรของพระองค์เทอญ (สดด.2:8)

เพราะพระองค์ทรงพระชนม์

เพราะพระองค์ทรงพระชนม์
วันที่ 01/08/2009
พระเจ้าทรงเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิต ทรงเป็นแหล่งที่มาของชีวิต “ในพระคริสต์นั้น เราได้พบว่าตนเองเป็นใครและอยู่เพื่ออะไร นานก่อนที่เราจะได้ยินเรื่องพระคริสต์นั้น พระองค์ได้ทรงสนพระทัยในเรา และทรงวางแผนให้เราดำเนินชีวิตที่รุ่งโรจน์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัตถุประสงค์โดยรวมที่พระองค์กำลังทำให้สำเร็จในทุกสิ่งและทุกคน” (เอเฟซัส 1:11Msg)
เป็นความจริงนิรันดร์ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระบิดา ทรงสร้างเรา เราเกิดมาก็เพราะพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้เราเกิด เราจึงได้รับการสร้างมาโดยพระเจ้า และเพื่อพระเจ้า แต่เคยมีไหมที่บางครั้งเราดำเนินชีวิตด้วยสติปัญญาของโลก เราลืมความจริงนิรันดร์นี้ไปเสียสนิท
พี่สาวในพระคริสต์ท่านหนึ่ง เป็นคริสเตียนที่รักพระเจ้ามาก แต่เมื่อพบกับอุปสรรค พบกับคนและเหตุการณ์ที่มิได้เป็นไปดังหวัง เกิดอกหักรักคุดขึ้นมา ก็กินยาเกินขนาด หมายจะฆ่าตัวตาย หมายจะปลิดชีวิตอันมีคุณค่าซึ่งพระบิดาได้ทรงสร้าง แต่ขอบคุณพระเจ้า พระองค์ทรงแสนดีอยู่เสมอ พระองค์มิทรงปรารถนาชีวิตที่ไร้ลมหายใจของเรา พระองค์ปรารถนาให้เรามีลมหายใจ ให้ดำเนินชีวิตบนโลกนี้ด้วยความจริง ด้วยสติปัญญาซึ่งมาจากพระองค์ เป็นพระปัญญาจากพระเจ้า ลึกลงไปในพระประสงค์ของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ พี่สาวคนดังกล่าวจึงรอดชีวิตมาได้ และจากการรอดตายครั้งนี้นี่เอง ได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผันในชีวิตคริสเตียนของเธอ เธอเป็นคนใหม่ในพระคริสต์ ด้วยนิสัยใหม่จากพระบัญญัติของพระองค์ ด้วยแรงบันดาลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ด้วยพระกรนิรันดร์ที่โอบอุ้มเธอไว้อย่างอบอุ่นของพระองค์ เธอรักพระเจ้ามากขึ้น รักเพื่อนบ้านมากขึ้น รักตนเองมากขึ้น เธอนมัสการอย่างเสรีมากขึ้น อธิษฐานอย่างร้อนรนมากขึ้น ค้นหาสิ่งมหัศจรรย์ในพระคำของพระองค์มากขึ้น ชีวิตของเธอมิได้อยู่เพื่อตนเองอีกต่อไป แต่อยู่ด้วยความเชื่อและวางใจอันยิ่งใหญ่ นั่นคือ การมีชีวิตอยู่เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า
เมื่อถามไถ่ว่าเหตุไฉนพี่เธอจึงคิดฆ่าตัวตายได้เล่า ก็คุณเธอออกจะสวยสง่า ร่ำเรียนมาก็สูง เธอมิได้ด้อยกว่าผู้ใดเลยในสายพระเนตรของพระเยซู อีกทั้งเธอยังเป็นพี่เป็นน้องซึ่งทุกคนในคริสตจักรรักใคร่ ในการนี้ จอมนางงามงอนก็ได้สาธยายให้ฟังว่า ในเวลานั้นเกิดปิ๊งๆ กับหนุ่มหล่อผู้หนึ่ง ซึ่งเธอทุ่มเทหัวใจให้กับชายหนุ่มผู้นั้นเป็นอย่างมาก เป็นชายหนุ่มที่เธอรอคอยมานานตลอดทั้งชีวิตของเธอ แต่การณ์กลับเป็นว่า ชายหนุ่มผู้นั้นไม่ได้มีหัวใจรักซื่อสัตย์กับเธอเลย ไม่ได้อาลัยใยดีเธออย่างจริงใจ เมื่อเป็นดังนั้น เธอจึงรู้สึกว่า ชีวิตนี้ไร้ค่า ไม่มีใครรักเธอแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ลาโลกไปก่อนดีกว่า
หลายครั้งนั้นเราไม่รู้เลยว่าคนรอบข้างของเรามีความทุกข์อันใดบ้าง แต่ขอพระเจ้าจะช่วยเรา ให้เราได้รู้ถึงทุกข์สุขของฝูงแพะแกะ ให้เราได้รับใช้กัน ได้รับภาระซึ่งกันและกัน ให้เราได้ช่วยเหลือและหนุนใจกันเสมอ เหตุการณ์ข้างต้น เราต้องขอบคุณพระเจ้าสำหรับประสบการณ์ครั้งนี้ เพราะแม้ว่าจะพลาดพลั้ง แต่พระองค์ก็ยังทรงอยู่ ทรงรักห่วงใยและพร้อมจะให้อภัยเราเสมอ เมื่อเราตื่นมา เราก็พบพระองค์เสมอ
[1ธส.5:9-11] “เพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงกำหนดเราไว้สำหรับพระอาชญา แต่สำหรับให้เข้าสู่ความรอด โดยพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพื่อว่าถึงเราจะตื่นอยู่หรือจะหลับ เราจะได้มีชีวิตกับพระองค์ เหตุฉะนั้นจงหนุนใจกัน และต่างคนต่างจงก่อกันขึ้น ตามอย่างที่ท่านกำลังทำอยู่นั้น”
แม้ว่าชีวิตคริสเตียนของหลายคนยังมิได้เข้าใกล้ความตายชนิดเส้นยาแดงผ่าแปดเหมือนพี่สาวข้างต้น แต่บางชีวิตก็เสมือนเดินอยู่ในความตายด้วยเหมือนกัน ตัวฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ฉันได้ตายทางจิตวิญญาณ ตายจากความชอบธรรมของพระองค์ ฉันได้หลงหายไปจนเกือบจะออกจากทางของพระองค์
ฉันเชื่อพระเจ้ามาตั้งแต่ปี 2000 ซึ่งชีวิตของฉันก็ดำเนินมาชนิดที่ฉันก็คิดไปเองว่าปกติดี กล่าวคือ ไม่เย็น ไม่ร้อน เป็นแต่อุ่นๆ ไปโบสถ์สม่ำเสมอ แต่ไม่ทุกครั้ง อธิษฐานทุกครั้งที่มีปัญหา การอธิษฐานเพื่อผู้อื่นน่ะหรือ อย่าหวังเลย…ขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าเมื่อทรงตอบคำอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์เพราะรู้สึกว่าต้องอ่านให้จบเล่มภายใน 1 ปี ไม่ได้ดื่มด่ำซึมซับฤทธิ์เดชแห่งพระคำเท่าไร สามัคคีธรรมเหรอ ก็มีเหมือนกัน แต่หลังจากว่างจากภารกิจอื่นนะ อุ้ย! พอแล้วดีกว่า แค่นี้ก็สาธยายความบาปมาให้ทราบเยอะแยะแล้ว
ฉันมีแฟนคนหนึ่งเมื่อครั้งสมัยเรียน ปวส. (ประมาณปี 1991) แต่มีเรื่องเคืองใจกันจนต้องร้างลากัน ต่างคนต่างไป ฉันก็มุ่งหน้าเรียนต่อและทำมาหาเลี้ยงชีพ ส่วนเขานั้นกลับไปอยู่จังหวัดบ้านเกิดในภาคเหนือ ในช่วงแรกของการอยู่คนละจังหวัดนั้น เขาก็พยายามติดต่อมา แต่ฉันโกรธเขามาก จึงไม่ยอมคืนดีด้วย อีกประการหนึ่งคือ ฉันได้ย้ายบ้านหลังจากนั้น เราจึงไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย แต่เนื่องจากเป็นแฟนคนแรก ฉันจึงยังไม่ลืมเขา…ต่อมาในปี 2007 เขาติดต่อฉันได้โดยบังเอิญ เมื่อได้คุยกันเขาก็พร่ำพรรณนาถึงความรักครั้งเก่า เขาโทรมาพูดคุยด้วยอย่างสม่ำเสมอ ไฟรักในหัวใจจึงลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง จนวันหนึ่งได้รู้ว่าเขามีภรรยาแล้ว ฉันรู้สึกเศร้ามาก เขาก็ปลอบใจ และพูดย้ำแล้วย้ำอีกว่า เขาไม่ได้รักคนที่อยู่กินด้วยกันกับเขาเลย จำใจต้องอยู่เพราะความรับผิดชอบ ตอนนั้นตาฉันก็บอด (จากความชอบธรรม) ก็รู้สึกสงสารและเห็นใจเขา สิ่งที่พระคำได้สั่งสอนไว้ไม่ให้เทียมแอกกับผู้ไม่เชื่อ ไม่ให้โลภอยากได้ของเพื่อนบ้าน ไม่ให้มีจิตใจที่ไม่บริสุทธิ์กับเพศตรงข้าม คำสั่งสอนเหล่านี้ไม่มีผลต่อจิตสำนึกของฉันในโมงยามนั้นเลย พระคำของพระเจ้าไม่ได้มีฤทธิ์เดชที่จะทำให้ฉันกลับใจได้ในเวลานั้น ความบาปเช่นนี้ช่างร้ายแรงจริงๆ
อันว่าความรักทำให้คนตาบอด ก็เป็นจริงดังโบราณว่า หากรักนั้นปราศจากสติสัมปชัญญะที่พึงมี และอาการตาบอดก็มิใช่เกิดเฉพาะในความรักของชายหญิงเท่านั้น หากว่าเกิดกับความรักในรูปแบบอื่นๆ ด้วย เช่น ครอบครัวข้างบ้านมีลูกชายวัยเรียน อายุ 12 ปี เรียนอยู่มัธยมหนึ่งแล้ว มีพฤติกรรมเกเร โดดเรียนไปเล่นเกมส์ที่ร้านเกมส์เสมอ หลายครั้งก็ไถเงินน้องสาวอายุ 5 ขวบ หรือบางครั้งก็ขโมยเงินที่บ้านไป และก็โยนความผิดให้กับป้าที่อยู่ด้วย พ่อกับแม่ไม่ชอบป้าเท่าไร และอีกประการคือ เมื่อเด็กชายอยู่กับพ่อแม่ จะเป็นเด็กที่เรียบร้อย เชื่อฟัง เมื่อลูกพูดอะไร พ่อแม่จึงเชื่อทุกอย่าง ไม่เชื่อป้า อีกทั้งพ่อก็เป็นคนไปส่งลูกถึงห้องเรียนทุกวัน ไม่คาดคิดเลยว่า หลังจากพ่อลับตาไป ลูกชายก็แอบโดดเรียน โดยพ่อแม่มารู้ความจริงเมื่อได้รับแจ้งจากโรงเรียนว่าลูกชายต้องเรียนซ้ำชั้น…ในที่ทำงานบางแห่งก็เช่นเดียวกัน บางครั้งเจ้านายก็ตาบอด หูเบา หลงเชื่อคนช่างประจบ เป็นต้น
กลับมาเรื่องอาการตาบอดของฉันต่อนะ คนนั้นเขารู้ว่าฉันเป็นคริสเตียน แต่เขาก็ยังส่งจตุคามมาให้ฉันด้วยนะ แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ฉันไม่ได้เก็บไว้ และทุกครั้งที่ไปวัด เขาจะบอกเสมอว่าอธิษฐานให้ฉันด้วย ซึ่งมีครั้งหนึ่งที่เขาไปฟังสวดภาณยักษ์ เขาก็โทรศัพท์มาเพื่อให้ฉันฟังสวดไปพร้อมๆ กับเขา การกระทำของฉันในขณะนั้นน่าสะอิดสะเอียนมาก ฉันฟังสวดไปพร้อมกับเขากว่า 2 ชั่วโมง…พระคริสต์ได้ตายไปจากชีวิต จากใจของฉันแล้ว
เราได้พบกัน 2-3 ครั้ง เมื่อเขาขึ้นมาติดต่อธุรกิจที่กรุงเทพฯ เขาสัญญาว่าจะหย่าจากภรรยา ซึ่งฉันได้นำเรื่องนี้ไปแบ่งปันให้เพื่อนคริสเตียนคนหนึ่งฟัง เธอก็บอกฉันว่า “อย่าเล่นกับไฟ” และฉันเชื่อว่าเธออธิษฐานเพื่อฉันอย่างจริงจังร้อนรน แต่ตอนนั้นความบาปได้ครอบงำฉันเป็นกำแพงหนา การเตือนของเพื่อนจึงมิได้มีความหมายสำหรับฉันเลย
พระคริสต์ทรงวายพระชนม์ไปแล้วที่ไม้กางเขน แต่ก็ทรงฟื้นคืนพระชนม์มาในวันที่สาม และพระองค์สถิตอยู่ ณ สวรรค์สถาน พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ทรงเหมือนเดิม ทั้งวานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ พระคริสต์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันท์ใด ฤทธิ์เดชแห่งพระองค์ก็ยังคงดำรงอยู่ฉันท์นั้น วันหนึ่ง เพื่อนชวนฉันไปทำบุญวันเกิดที่วัดหัวลำโพง เราสมทบทุนซื้อโลงศพให้กับมูลนิธิป่อเต็กตึ้ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ให้กระดาษกับเราคนละแผ่น เพื่อเขียนชื่อบรรพชนและญาติสนิทมิตรรักลงไปในแผ่นกระดาษ แล้วนำไปแปะที่โลง เป็นการอุทิศส่วนกุศลให้กับชื่อเหล่านั้น แต่ฉันก็ไม่ได้เขียนชื่อใครเลย รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าฉันไม่จำเป็นต้องเขียนแบบนี้ แล้วก็ขยำกระดาษนั้นโยนทิ้งลงถังขยะ และแล้วเพื่อนก็พาฉันเข้าไปในบริเวณที่มีรูปเคารพต่างๆ มากมาย เจ้าพ่อ เจ้าแม่สารพัดเต็มไปหมด หลายคนนำอาหารคาวหวาน หรือแม้แต่เนื้อสดๆ มาบูชารูปเคารพนั้น เพื่อนก็จุดธูปให้ฉัน เพื่อไหว้รูปเคารพเหล่านั้น เมื่อรับธูปมาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเริ่มเคลื่อนไหวภายใน รู้สึกในใจว่าฉันไหว้ไม่ได้เด็ดขาด สิ่งที่ตาไม่เห็น สิ่งที่หูไม่ได้ยิน สิ่งที่มนุษย์คาดคิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์ แต่รูปเคารพเหล่านี้ มีตาก็มองไม่เห็น มีหูก็ไม่ได้ยิน มีปากก็พูดไม่ได้ มีเท้าก็เดินไม่ได้ มีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่ยิ่งใหญ่กว่าพระใดๆ ที่อยู่ในโลก เป็นพระเจ้าองค์เดียวที่สมควรแก่การสรรเสริญและนมัสการ…มีพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น…ฉันยืนอยู่ท่ามกลางรูปเคารพ อยู่ท่ามกลางผู้ไม่เชื่อซึ่งกำลังบูชาพระเทียมเท็จ แต่หัวใจของฉันขณะนั้น มีพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระทำราชกิจอันน่าตื่นตะลึง ความบาปผิดทางใจตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาผุดเข้ามาในมโนนึก ภาพเหล่านั้นผุดขึ้นมาทีละฉากทีละตอน ฉันได้ขอให้พระเจ้าชำระฉัน ล้างใจให้กับฉัน ขอการเปลี่ยนแปลงจากพระองค์ และขอการอวยพรจากพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงสัตย์ซื่อ ทรงชำระหัวใจของฉัน
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ชีวิตของฉันก็เปลี่ยนไป ฉันกล้าพูด กล้าประกาศได้อย่างเต็มปากว่า จะไม่มีสิ่งใดทำให้ฉันขาดจากความรักของพระองค์ได้ พระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ ทรงเป็นผู้เดียวที่ฉันจะนมัสการตลอดไป
[ยน.11:25] พระเยซูตรัสกับเธอว่า "เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่วางใจในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอีก
ข้าแต่พระบิดาที่รัก ผู้ทรงพระชนม์ตลอดนิรันดร์กาล มนุษย์เป็นผู้ใดเล่าซึ่งพระองค์ทรงระลึกถึงเขา และบุตรมนุษย์เป็นใครเล่าซึ่งพระองค์ทรงเยี่ยมเขา เพราะพระองค์ทรงสร้างเขาให้ต่ำกว่าพระเจ้าแต่หน่อยเดียว และสวมศักดิ์ศรีกับเกียรติให้แก่เขา พระองค์ทรงมอบอำนาจให้ครอบครองบรรดาพระหัตถกิจของพระองค์ พระองค์ทรงให้สิ่งทั้งปวงอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา (สดด.8:4-6) พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ถวายโมทนาขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงนำข้าพระองค์ให้พ้นจากการทดลอง และให้พ้นจากซึ่งชั่วร้าย (มธ.6:13ก) ข้าแต่พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่ง ผู้ทรงยกข้าพระองค์ขึ้นจากประตูของความตาย เพื่อข้าพระองค์จะกล่าวคำสรรเสริญพระองค์ และจะเปรมปรีดิ์ในการช่วยกู้ของพระองค์ ที่ในประตูทั้งหลายแห่งชาวศิโยน (สดด9: 13-14) พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ถวายโมทนาขอบพระคุณพระองค์ เนื่องด้วยความชอบธรรมของพระองค์ ข้าพระองค์จะร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระเจ้าผู้สูงสุด (สดด.7:17) พระเจ้าข้า ราชอำนาจ ฤทธิ์เดช และพระสิริ เป็นของพระองค์สืบๆ ไป เป็นนิตย์…อาเมน (มธ.6:13ข)

ปุ๋ยชั้นดีเสิศ

ปุ๋ยชั้นดีเลิศ
วันที่ 01/08/2009
ช่วงนี้ใครได้ดูละครเรื่อง ผู้ใหญ่ลีกับนางมา บ้างเอ่ย ยกมือขึ้น…เย้ เย้ ยก 2 มือเลย ก็คือตัวฉันนั่นเอง ดูละครน้ำดีแล้วก็ได้ผ่อนคลายดีค่ะ และเมื่อดูละครแล้วก็ได้มาย้อนดูตัว
ละครแฝงไว้ด้วยวิถีชีวิตชนบทบ้านทุ่ง ให้กลิ่นอายของการถ้อยทีถ้อยอาศัยแบบไทยๆ ที่คงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวอย่างน่าชื่นใจ ฉากท้องทุ่งเขียวขจีทำให้ฉันนึกถึงชีวิตวัยเด็ก ที่วิถีชีวิตผูกพันกับท้องทุ่ง แวดล้อมด้วยธรรมชาติที่บริสุทธิ์งดงาม ผสมผสานกับน้ำใจของผู้คนที่งดงามดุจเดียวกัน
ฉากละครตอนที่ผู้ใหญ่ลีกับนางมาฉีดปุ๋ยในนาข้าวนั้น เป็นฉากที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตของเกษตรกรหลายๆ คน เพราะพืชที่จะเติบโตได้ดีนั้น หาได้อาศัยเพียงแร่ธาตุซึ่งมีอยู่ในดินตามธรรมชาติอย่างเดียวไม่ แต่ต้องใส่ปุ๋ยลงไปด้วย การใส่ปุ๋ยนั้นก็ต้องเป็นปุ๋ยชั้นดี คือ ปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อการเติบโตที่สมบูรณ์ของพืชพรรณและเพื่อการดำรงอยู่ที่ยั่งยืนของผืนดิน หากใช้ปุ๋ยสูตรเลว คือปุ๋ยอนินทรีย์หรือปุ๋ยเคมี ก็จะให้การเติบโตที่เห็นผลรวดเร็ว แต่ทำลายระบบชีวภาพ และให้ผลร้ายต่อผู้บริโภคในท้ายที่สุด
ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ใหญ่ลีใช้สูตรปุ๋ยอะไร แต่คิดว่าเป็นปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยชีวภาพนั้นแหละ เมื่อครั้งยังเด็กฉันก็เห็นปู่ย่าตายาย พี่ป้าน้าอา ใช้มูลสัตว์ เช่น ขี้วัว ขี้ควาย ขี้หมู ขี้เป็ดขี้ไก่ ซึ่งเรียกว่าปุ๋ยคอก และบางครั้งก็ใช้พืชนี่แหละใส่ลงไปในดินเลย ให้จุลินทรีย์และแบคทีเรียทำงานตามธรรมชาติ เรียกว่าปุ๋ยพืชสด และก็มีปุ๋ยอีกชนิดหนึ่ง คือ ปุ๋ยหมัก ซึ่งมีวิธีการทำง่ายๆ แค่นำเศษพืช เช่น ผักตบชวา เศษหญ้า ฟางข้าว เศษอาหาร และมูลสัตว์มาผสมรวมกันตามสัดส่วน และหากต้องการให้เกิดปฏิกิริยาในการเปื่อยเน่าเร็วขึ้น ก็อาจใส่น้ำยาเร่งลงไปด้วยก็ได้
ณ โรงเรียนแห่งหนึ่งในทุ่งหมาหอน เอ้ย! โรงเรียนบ้านหนองบัวทองซึ่งฉันเรียนตอนเด็กๆ เอ่ยชื่อไปตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้จักหรอกค่า เพราะโรงเรียนนี้ยุบไปตั้งนานแล้ว (แป่ว) ก็แหม ล่าสุดมีครูอยู่ 2 คน คือ ครูเล็กกับครูใหญ่ แต่เราก็มีเพื่อนเรียนตั้งแต่ประถม 1 ถึงประถม 6 นะคะ เรื่องสอนก็ไม่มีปัญหาค่ะ เพราะถึงแม้จะมีคุณครู 2 คน ก็จับนักเรียนบางชั้นมาเรียนรวมกัน เช่น ป.1 มาเรียนรวมกับ ป.2 เป็นต้น ซึ่งก็ไม่เหลือกำลังของคุณครูค่ะ เพราะ ป.1 มี 6 คน และ ป.2 มี 2 คน หรือบางครั้ง คุณครูก็ใช้วิธีให้นักเรียน ป.6 ไปสอนน้อง ป.1, ป.2 และ ป.3 เป็นต้น นักเรียนโรงเรียนดังกล่าวจึงฉลาดแบบแปลกๆ (อ้าว) ฉันเองนะถึงแม้จะไม่ได้เรียนอนุบาล (เพราะไม่มีไง) แต่ฉันก็ได้เรียน ป.1 ตั้ง 2 ปีแน่ะ ก็เลยไม่รู้จะเรียกว่าโง่หรือฉลาดดี ให้คนรอบข้างพิจารณาดูเองละกัน (ไอ๋หยา) เนื่องจากตอนที่พี่สาวซึ่งอายุมากกว่า 1 ปี เข้าเรียนชั้น ป.1 ฉันก็ขี่จักรยาน หิ้วปิ่นโต ตามไปเรียนกับเธอด้วย แต่ก็ไม่ได้ไปทุกวันนะคะ เพราะโดนยายดุ ยายเกรงว่าฉันจะไปก่อความวุ่นวายที่โรงเรียน เมื่อถึงคราวที่พี่สาวขึ้นชั้น ป.2 ฉันก็ยังคงอยู่ ป.1 เพราะอายุครบเกณฑ์เข้าโรงเรียนพอดี ก่อนหน้านี้ระบบการศึกษาไม่ได้อนุโลมให้นักเรียนเข้าเรียนก่อนเกณฑ์ ฉันจึงได้เรียน ป.1 ถึง 2 ครั้ง ด้วยประการฉะนี้
ในวิชาการเกษตร คุณครูให้นักเรียนปลูกผักคนละ 1 แปลง พวกเรานักเรียนทั้งหลายก็ใช้ปุ๋ยคอกโรยบนแปลงผัก วันดีคืนดีคุณครูก็แนะนำให้ใช้ปุ๋ยยูเรีย ซึ่งเป็นปุ๋ยอีกชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในประเภทปุ๋ยอินทรีย์ วิธีการทำก็ไม่ยากคะ เพียงแค่ใช้ปัสสาวะหมักทิ้งไว้สัก 1-2 สัปดาห์ แล้วนำมาผสมน้ำ แล้วรดผัก โอ้โห! พ่อแม่พี่น้องเอ๋ย ผักงามดีแต้ๆ เจ้า…เอาละสิ แล้วจะหาปัสสาวะมาจากไหนละเนี่ย ตอนนี้แหละที่ฮากันทั้งโรงเรียน เพราะเด็กผู้ชายก็จะปัสสาวะใส่แกลลอนไว้ เมื่อเหม็นได้ที่ เอ้ย! เมื่อได้ระยะเวลาตามที่กำหนดก็จะนำมาผสมกับน้ำให้เจือจาง นำมารดผักกัน แต่ว่า พวกเด็กผู้หญิงนี่สิ ไม่มีใครกล้าปัสสาวะหรอก แต่ก็อยากได้ปุ๋ยยูเรียสูตรนี้ จึงต้องไปขอจากเด็กผู้ชาย เด็กผู้ชายก็เล่นตัว จึงเกิดศึกชิงปุ๋ยยูเรียขึ้นมา เด็กผู้หญิงรวมหัวกันเอาปุ๋ยยูเรียในแกลลอนไปซ่อนไว้ แต่ก็ไม่พ้นสายตาพวกเด็กผู้ชายอยู่ดีนั่นแหละ เด็กผู้ชายนำเรื่องไปฟ้องคุณครูว่าเด็กผู้หญิงขโมยปัสสาวะผมไป ผมอุตส่าห์อั้นมาจากบ้าน เอาไว้มายิงกระต่ายที่โรงเรียนแล้วเชียว คุณครูจึงทำโทษให้เด็กผู้หญิงรดน้ำผักให้กับผู้ชายทุกคน เป็นเวลา 1 เดือน พี่น้องคะ ตอนนั้นอากาศหนาวค่ะ หนาวชนิดที่ว่าพูดออกมากลายเป็นไอเป็นควันนั่นแหละค่ะ พวกเราเด็กผู้หญิงจึงต้องตักน้ำจากสระน้ำซึ่งอยู่ไกลพอสมควร มารดผักของตัวเองและของเด็กผู้ชายด้วย งานนี้หนาวจริงๆ ค่ะ…แต่ยังไงซะเราก็ขอบคุณปุ๋ยยูเรียของเด็กผู้ชายอยู่ดีแหละคะ เพราะทำให้ผักของเราใบเขียวใหญ่ ลำต้นอวบอั๋น น่ารับประทาน จนคุณครูให้คะแนนเต็ม ยิ้มหน้าบานกว่าใบผักซะอีกนะพวกเรา แต่ว่า ผักนั้นไม่มีใครกล้ากินค่ะ…กลัวปุ๋ยยูเรีย อิอิ
เมื่อพูดถึงปุ๋ยก็ทำ ให้นึกถึงสูตรปุ๋ยชั้นดีเลิศโดยพระเจ้า ที่ อ.ซิดนีย์นำมาถ่ายทอด ซึ่งก็คือ สูตรพงศาวดารสองเจ็ดสิบสี่ ที่เป็นสูตรสำหรับการฟื้นฟู สำหรับการรักษาแผ่นดินให้หาย [2พศด.7:14] “ถ้าประชากรของเราผู้ซึ่งเขาเรียกกันโดยชื่อของเรานั้นจะถ่อมตัวลง และอธิษฐานและแสวงหาหน้าของเรา และหันเสียจากทางชั่วของเขา เราก็จะฟังจากสวรรค์ และจะให้อภัยแก่บาปของเขาและจะรักษาแผ่นดินของเขาให้หาย”
หากจะเปรียบคริสเตียนเป็นเช่นเมล็ดพืชที่หล่นลงดิน เมื่อเน่าเปื่อยแล้ว ก็ค่อยๆ เติบโตเป็นลำต้นเล็กๆ และขยายเป็นลำต้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่รากก็ค่อยๆ ชอนไซลึกลงไปในดินเพื่อดูดกินอาหารและแร่ธาตุ เมื่อเติบโตจนได้ที่แล้ว ก็ออกใบ ออกดอก ออกผลในที่สุด
อย่างไรก็ตาม หากเมล็ดพืชนั้นไม่ได้หล่นลงในดินดี หรือหากว่าได้หล่นลงในดินดีแล้ว แต่กลับมีนกกาหรือสิงสาราสัตว์อื่นๆ มาจิกกินทำลาย การเติบโตย่อมหยุดชะงัก หรือบางเมล็ดก็เลี้ยงไม่โตซะแล้ว กลับตายไปเลยก็มี ดังนั้น หากจะให้ต้นไม้นั้นอยู่รอดและเกิดผลดี จำต้องมีองค์ประกอบหลายอย่างด้วยกัน นอกจากจะต้องป้องกันศัตรูที่มารุกราน ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกแล้ว ปัจจัยภายในของต้นไม้นั้นก็สำคัญเช่นเดียวกัน กล่าวคือ คริสเตียนจำเป็นต้องพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเปรียบเสมือนแร่ธาตุซึ่งมีอยู่แล้วอย่างเหนือธรรมชาติ แต่ขณะเดียวกัน คริสเตียนก็ต้องร่วมมือกับพระเจ้าด้วย ต้องใส่ปุ๋ยฝ่ายวิญญาณ ต้องได้รับการเลี้ยงดูถ่ายทอดตามแบบอย่างของพระเยซู กินอาหารอย่างเพียงพอและสมดุลทั้งอาหารหลักและอาหารเสริม ซึ่งได้แก่ การนมัสการ การอธิษฐาน การอ่านพระคำ ทั้งยังต้องสามัคคีธรรมกับพี่น้องผู้เชื่ออื่นๆ อย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การต้องออกไปเป็นพรและเป็นพยานต่อผู้อื่นด้วย
เรามาใส่ปุ๋ยชั้นดีเลิศให้กับชีวิตคริสเตียนของเราและของผู้อื่นกันดีกว่าค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ฟิลิปปิน โฟ โฟ

ฟิลิปปิน โฟ โฟ
วันที่ 16/07/2009

เมื่อวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดที่ผ่านมา ณ เวลาเย็น พี่แอ๊ด พยาบาลคนสวยได้รับใช้พี่น้องโดยการชักชวนพลพรรครักพระเยซูจำนวนหนึ่ง ทั้งคนป่วยและคนไม่ป่วย ไปร่วมงานฟื้นฟู โดย ศจ.ดร.มัทธิว คูรูวิลล่า (Rev.Dr. Matthew Kuruvilla) ณ คริสตจักรสะพานเหลือง พวกเราได้จับจองที่นั่งในแถบหน้าๆ เพื่อใกล้ชิดกับขอบเวทีให้มากที่สุด การนมัสการเป็นไปอย่างชื่นมื่น ดื่มด่ำไปในการทรงสถิตของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยนและทรงฤทธิ์ ดร.มัทธิว เทศนาไป เต้นไป ร้องเพลงไป เป็นความชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งถ่ายทอดลงมายังผู้ฟังทุกคนด้านล่างเวที
ฉันตื่นตาตื่นใจไปกับการอัศจรรย์แห่งพระคำของพระเจ้าผ่านผู้รับใช้ของพระองค์ ปกติเวลาที่ฉันฟังเทศนา ฉันจะจดบางสิ่งอย่างลงไปด้วย แต่ในวันนั้นฉันฟังอย่างเดียว และสิ่งที่จำได้ไม่ลืมคือ “ฟิลิปปิน โฟ โฟ”
ไอ๋หยา!…แล้วชื่อนี้คืออะไรกันแน่ ตะแรกก็งงนิดหนึ่งว่าชื่อนี้ท่านมัทธิวได้แต่ใดมา ฉับพลันก็ต้องร้องว่า อ๋อ! ก็องค์พระบิดาท่านทรงประทานให้…ตลอดรายการของการเทศนาเป็นภาษาอังกฤษ จะมีอาจารย์คนไทยเป็นผู้แปลคำเทศนา แต่เมื่อ ดร.มัทธิว กล่าวถึงฟิลิปปิน โฟ โฟ ในครั้งแรก ก็เล่นเอาผู้แปลอึ้งไปชั่วขณะ และก็คาดว่าด้านล่างเวทีจำนวนหนึ่งก็อึ้งกิมกี่กับภาษาอังกฤษสำเนียงอินเดียของ ดร.มัทธิว ด้วยเหมือนกัน ส่วนฉันนั้นคิดไปถึงประเทศฟิลิปปินส์นู้นแน่ะ เอ๊ะ หรือว่า ที่ประเทศฟิลิปปินส์ มีวงดนตรีชื่อ ฟิลิปปินส์ โฟ โฟ แหม ตั้งชื่อเลียนแบบวงเอฟโฟหน้าตี๋ซะด้วย แต่แล้วทุกคนก็ถึงบางอ้อว่า ฟิลิปปิน โฟ โฟ ในที่นี้ก็คือ พระธรรมฟิลิปปี บทที่ 4 ข้อ 4 นั่นเองล่ะท่าน… แล้วคนทั้งหลายก็ฮา ตรึม ด้วยความชื่นชมยินดี
“จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด” [ฟป.4:4]
เมื่อเราพร้อมใจกันสรรเสริญพระเจ้าด้วยความชื่นชมยินดี พระองค์ก็ทรงโปรดปรานยิ่งนัก พระองค์ทรงสถิตเหนือคำสรรเสริญ พระองค์เทพระพรลงมาท่ามกลางการนมัสการ ในวันดังกล่าว คนจำนวนมากหายโรคอย่างอัศจรรย์ทันทีโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า บางส่วนก็อาการดีขึ้น บางส่วนก็คาดว่าจะมีอาการดีขึ้นเมื่อกลับมาถึงบ้าน และที่สำคัญก็คือ มีคนจำนวนมากได้รับการรักษาทางด้านจิตวิญญาณ ด้วยการเปิดใจต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด…และแล้ว ไม่ว่าเราจะผจญอยู่กับปัญหาหนักขนาดไหน หรือเผชิญกับความทุกข์มากมายเพียงใดก็ตาม เราก็สามารถ “ผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลัง” [ฟป.4:13] ขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด
“จงให้จิตใจที่อ่อนสุภาพของท่านประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์” [ฟป.4:5-7]
ดร.มัทธิว ยังคงเดินสายเทศนา ประกาศข่าวประเสริฐ และนำการอัศจรรย์แห่งการรักษาโรคในพระนามขององค์พระเจ้าอยู่ในประเทศไทยต่อไปจนถึงปลายปีนี้…ขอพระเจ้าทรงโปรดอวยพรและเสริมกำลัง ดร.มัทธิว และทีมงาน เพื่อพระเกียรติเป็นของพระองค์

ฟิลิปปิน โฟ โฟ

ฟิลิปปิน โฟ โฟ
วันที่ 16/07/2009

เมื่อวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดที่ผ่านมา ณ เวลาเย็น พี่แอ๊ด พยาบาลคนสวยได้รับใช้พี่น้องโดยการชักชวนพลพรรครักพระเยซูจำนวนหนึ่ง ทั้งคนป่วยและคนไม่ป่วย ไปร่วมงานฟื้นฟู โดย ศจ.ดร.มัทธิว คูรูวิลล่า (Rev.Dr. Matthew Kuruvilla) ณ คริสตจักรสะพานเหลือง พวกเราได้จับจองที่นั่งในแถบหน้าๆ เพื่อใกล้ชิดกับขอบเวทีให้มากที่สุด การนมัสการเป็นไปอย่างชื่นมื่น ดื่มด่ำไปในการทรงสถิตของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยนและทรงฤทธิ์ ดร.มัทธิว เทศนาไป เต้นไป ร้องเพลงไป เป็นความชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งถ่ายทอดลงมายังผู้ฟังทุกคนด้านล่างเวที
ฉันตื่นตาตื่นใจไปกับการอัศจรรย์แห่งพระคำของพระเจ้าผ่านผู้รับใช้ของพระองค์ ปกติเวลาที่ฉันฟังเทศนา ฉันจะจดบางสิ่งอย่างลงไปด้วย แต่ในวันนั้นฉันฟังอย่างเดียว และสิ่งที่จำได้ไม่ลืมคือ “ฟิลิปปิน โฟ โฟ”
ไอ๋หยา!…แล้วชื่อนี้คืออะไรกันแน่ ตะแรกก็งงนิดหนึ่งว่าชื่อนี้ท่านมัทธิวได้แต่ใดมา ฉับพลันก็ต้องร้องว่า อ๋อ! ก็องค์พระบิดาท่านทรงประทานให้…ตลอดรายการของการเทศนาเป็นภาษาอังกฤษ จะมีอาจารย์คนไทยเป็นผู้แปลคำเทศนา แต่เมื่อ ดร.มัทธิว กล่าวถึงฟิลิปปิน โฟ โฟ ในครั้งแรก ก็เล่นเอาผู้แปลอึ้งไปชั่วขณะ และก็คาดว่าด้านล่างเวทีจำนวนหนึ่งก็อึ้งกิมกี่กับภาษาอังกฤษสำเนียงอินเดียของ ดร.มัทธิว ด้วยเหมือนกัน ส่วนฉันนั้นคิดไปถึงประเทศฟิลิปปินส์นู้นแน่ะ เอ๊ะ หรือว่า ที่ประเทศฟิลิปปินส์ มีวงดนตรีชื่อ ฟิลิปปินส์ โฟ โฟ แหม ตั้งชื่อเลียนแบบวงเอฟโฟหน้าตี๋ซะด้วย แต่แล้วทุกคนก็ถึงบางอ้อว่า ฟิลิปปิน โฟ โฟ ในที่นี้ก็คือ พระธรรมฟิลิปปี บทที่ 4 ข้อ 4 นั่นเองล่ะท่าน… แล้วคนทั้งหลายก็ฮา ตรึม ด้วยความชื่นชมยินดี
“จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด” [ฟป.4:4]
เมื่อเราพร้อมใจกันสรรเสริญพระเจ้าด้วยความชื่นชมยินดี พระองค์ก็ทรงโปรดปรานยิ่งนัก พระองค์ทรงสถิตเหนือคำสรรเสริญ พระองค์เทพระพรลงมาท่ามกลางการนมัสการ ในวันดังกล่าว คนจำนวนมากหายโรคอย่างอัศจรรย์ทันทีโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า บางส่วนก็อาการดีขึ้น บางส่วนก็คาดว่าจะมีอาการดีขึ้นเมื่อกลับมาถึงบ้าน และที่สำคัญก็คือ มีคนจำนวนมากได้รับการรักษาทางด้านจิตวิญญาณ ด้วยการเปิดใจต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด…และแล้ว ไม่ว่าเราจะผจญอยู่กับปัญหาหนักขนาดไหน หรือเผชิญกับความทุกข์มากมายเพียงใดก็ตาม เราก็สามารถ “ผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลัง” [ฟป.4:13] ขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด
“จงให้จิตใจที่อ่อนสุภาพของท่านประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์” [ฟป.4:5-7]
ดร.มัทธิว ยังคงเดินสายเทศนา ประกาศข่าวประเสริฐ และนำการอัศจรรย์แห่งการรักษาโรคในพระนามขององค์พระเจ้าอยู่ในประเทศไทยต่อไปจนถึงปลายปีนี้…ขอพระเจ้าทรงโปรดอวยพรและเสริมกำลัง ดร.มัทธิว และทีมงาน เพื่อพระเกียรติเป็นของพระองค์

ฟิลิปปิน โฟ โฟ

ฟิลิปปิน โฟ โฟ
วันที่ 16/07/2009

เมื่อวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดที่ผ่านมา ณ เวลาเย็น พี่แอ๊ด พยาบาลคนสวยได้รับใช้พี่น้องโดยการชักชวนพลพรรครักพระเยซูจำนวนหนึ่ง ทั้งคนป่วยและคนไม่ป่วย ไปร่วมงานฟื้นฟู โดย ศจ.ดร.มัทธิว คูรูวิลล่า (Rev.Dr. Matthew Kuruvilla) ณ คริสตจักรสะพานเหลือง พวกเราได้จับจองที่นั่งในแถบหน้าๆ เพื่อใกล้ชิดกับขอบเวทีให้มากที่สุด การนมัสการเป็นไปอย่างชื่นมื่น ดื่มด่ำไปในการทรงสถิตของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยนและทรงฤทธิ์ ดร.มัทธิว เทศนาไป เต้นไป ร้องเพลงไป เป็นความชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งถ่ายทอดลงมายังผู้ฟังทุกคนด้านล่างเวที
ฉันตื่นตาตื่นใจไปกับการอัศจรรย์แห่งพระคำของพระเจ้าผ่านผู้รับใช้ของพระองค์ ปกติเวลาที่ฉันฟังเทศนา ฉันจะจดบางสิ่งอย่างลงไปด้วย แต่ในวันนั้นฉันฟังอย่างเดียว และสิ่งที่จำได้ไม่ลืมคือ “ฟิลิปปิน โฟ โฟ”
ไอ๋หยา!…แล้วชื่อนี้คืออะไรกันแน่ ตะแรกก็งงนิดหนึ่งว่าชื่อนี้ท่านมัทธิวได้แต่ใดมา ฉับพลันก็ต้องร้องว่า อ๋อ! ก็องค์พระบิดาท่านทรงประทานให้…ตลอดรายการของการเทศนาเป็นภาษาอังกฤษ จะมีอาจารย์คนไทยเป็นผู้แปลคำเทศนา แต่เมื่อ ดร.มัทธิว กล่าวถึงฟิลิปปิน โฟ โฟ ในครั้งแรก ก็เล่นเอาผู้แปลอึ้งไปชั่วขณะ และก็คาดว่าด้านล่างเวทีจำนวนหนึ่งก็อึ้งกิมกี่กับภาษาอังกฤษสำเนียงอินเดียของ ดร.มัทธิว ด้วยเหมือนกัน ส่วนฉันนั้นคิดไปถึงประเทศฟิลิปปินส์นู้นแน่ะ เอ๊ะ หรือว่า ที่ประเทศฟิลิปปินส์ มีวงดนตรีชื่อ ฟิลิปปินส์ โฟ โฟ แหม ตั้งชื่อเลียนแบบวงเอฟโฟหน้าตี๋ซะด้วย แต่แล้วทุกคนก็ถึงบางอ้อว่า ฟิลิปปิน โฟ โฟ ในที่นี้ก็คือ พระธรรมฟิลิปปี บทที่ 4 ข้อ 4 นั่นเองล่ะท่าน… แล้วคนทั้งหลายก็ฮา ตรึม ด้วยความชื่นชมยินดี
“จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด” [ฟป.4:4]
เมื่อเราพร้อมใจกันสรรเสริญพระเจ้าด้วยความชื่นชมยินดี พระองค์ก็ทรงโปรดปรานยิ่งนัก พระองค์ทรงสถิตเหนือคำสรรเสริญ พระองค์เทพระพรลงมาท่ามกลางการนมัสการ ในวันดังกล่าว คนจำนวนมากหายโรคอย่างอัศจรรย์ทันทีโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า บางส่วนก็อาการดีขึ้น บางส่วนก็คาดว่าจะมีอาการดีขึ้นเมื่อกลับมาถึงบ้าน และที่สำคัญก็คือ มีคนจำนวนมากได้รับการรักษาทางด้านจิตวิญญาณ ด้วยการเปิดใจต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด…และแล้ว ไม่ว่าเราจะผจญอยู่กับปัญหาหนักขนาดไหน หรือเผชิญกับความทุกข์มากมายเพียงใดก็ตาม เราก็สามารถ “ผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลัง” [ฟป.4:13] ขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด
“จงให้จิตใจที่อ่อนสุภาพของท่านประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์” [ฟป.4:5-7]
ดร.มัทธิว ยังคงเดินสายเทศนา ประกาศข่าวประเสริฐ และนำการอัศจรรย์แห่งการรักษาโรคในพระนามขององค์พระเจ้าอยู่ในประเทศไทยต่อไปจนถึงปลายปีนี้…ขอพระเจ้าทรงโปรดอวยพรและเสริมกำลัง ดร.มัทธิว และทีมงาน เพื่อพระเกียรติเป็นของพระองค์

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

มีทำนองเพลงบรรเลงอยู่ภายใน

มีทำนองเพลงบรรเลงอยู่ภายใน
วันที่ 14/7/2009

“มีทำนองเพลงบรรเลงอยู่ภายใน พระเยซูกระซิบในใจ” เป็นประโยคซึ่งพี่สาวที่รักในพระคริสต์ท่านหนึ่งเขียนอีเมล์มาให้เมื่อหลายเดือนก่อน เป็นประโยคสั้นๆ ที่ทำให้ฉันเกิดความปลื้มปิติในใจเป็นอย่างมาก และแล้วพี่สาวก็เฉลยว่าประโยคนั้นเป็นท่อนหนึ่งของบทเพลง “มีทำนองเพลงบรรเลงอยู่ภายใน” Wow! แต่งมาได้อย่างไรนี่ ช่างสัมผัสแตะต้องใจยิ่งนัก ว่าแล้วเราสองพี่น้องก็ร่วมกันร้องเพลงนี้กันอย่างครื้นเครงเมื่อยามที่เราเจอหน้ากัน ต่อมาไม่นาน พี่สาวก็นำเรื่องราวของผู้แต่งเพลงนี้ คือ Luther Burgess Bridgers มาให้อ่าน เขาแต่งเมื่อปี 1910 ในชื่อภาษาอังกฤษว่า “He keeps me singing”
โดยปกติแล้ว เราจะสามารถร้องเพลงได้อย่างชื่นบานเมื่อหัวใจมีความยินดี แต่ยามใดที่หัวใจขมขื่นเจ็บปวดล่ะ เราจะยังสามารถร้องเพลงได้ด้วยหัวใจยินดีอยู่หรือไม่…คำตอบคือ คงร้องเพลงเช่นนั้นไม่ได้แน่ หากปราศจากพระเจ้า…ลูเธอร์ก็เช่นเดียวกัน เขาแต่งเพลงนี้ในยามที่ชีวิตแทบไม่เหลืออะไรแล้ว นอกจากพระเจ้า…ฉันขอหยิบยกเรื่องราวของลูเธอร์ซึ่งเขียนไว้ในหนังสือ “เพลงสร้างชีวิต” มาให้ทุกท่านอ่านอย่างย่อๆ อีกครั้ง
ลูเธอร์ บริดเจอร์ส เกิดในปี 1884 มีคุณแม่เป็นคริสเตียนที่ร้อนรน ซึ่งส่งผลต่อชีวิตของลูเธอร์มาก โดยเฉพาะเรื่องการเตรียมตัวเป็นผู้รับใช้เต็มเวลา ลูเธอร์เริ่มเป็นผู้รับใช้เต็มเวลาด้วยอายุ 17 ปี และเขาก็แต่งงานกับซาราห์ ในปี 1910 ลูเธอร์ได้รับเชิญให้ไปจัดการประกาศข่าวประเสริฐ 2 สัปดาห์ ลูเธอร์จึงพาภรรยาและลูกๆ ไปพักกับพ่อแม่ของภรรยา สองสัปดาห์แห่งการประกาศผ่านไปอย่างยอดเยี่ยม มีการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างมากมาย คนบาปกลับใจ คริสเตียนเข้มแข็งขึ้น
แล้ว…ในทันทีทันใด ก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถเข้าใจได้อธิบายก็ไม่ได้ ในช่วงที่ชีวิตรับใช้ที่กำลังประสบความสำเร็จสูงสุด แต่ลูเธอร์กลับพบโศกนาฏกรรมในชีวิต กล่าวคือ ไฟไหม้ที่บ้านพ่อตา ไหม้ราบราบ และพรากชีวิตภรรยาและลูกทั้งสามคนจากไป
พิธีฝังศพผ่านไป คืนอันมืดมิดยังคงอยู่ในจิตใจของลูเธอร์ แต่พลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำการอัศจรรย์แห่งพระคุณในจิตใจของเขา ลูเธอร์เริ่มร้องเพลงแห่งค่ำคืนที่ทำให้กำแพงคุกแห่งความโศกเศร้าของเขาพังทลายลง และเขาก็สามารถมีชัยชนะและเดินเข้าไปสู่แสงสว่างแห่งอิสรภาพของลูกของพระเจ้า ลูเธอร์ระลึกถึงความทรงจำในอดีต และการมองถึงพระสัญญาในอนาคต เขาก็เขียนคำร้องและทำนองเพลงที่บรรยายถึงชีวิตจิตวิญญาณของเขาเอง และในนั้นเองที่ซ่อนเคล็ดลับแห่งชัยชนะฝ่ายจิตวิญญาณ เนื้อเพลงแปลเป็นภาษาไทยไว้ ดังนี้
มีทำนองเพลงบรรเลงอยู่ภายใน พระเยซูกระซิบในใจ อย่ากลัวเพราะเราอยู่ด้วยจงชื่นใจ สุขหรือทุกข์สบายหรือไข้…(ร้องรับ: พระเยซู พระเยซู พระองค์ผู้ประเสริฐ พระนามนี้ ข้าชูเชิด ดลใจให้ร้องเพลงล้ำเลิศ)…ชีวิตข้าเคยชอกช้ำเพราะทำบาป จิตใจข้าเดือดร้อนวุ่นวาย พระเยซูอวยพร ทุกข์ร้อนผ่อนคลาย ใจสบายจึงอยากร้องเพลง…บางครั้งทรงนำให้ผ่านแม่น้ำใหญ่ ต้องข้ามห้วยเขาลำเนาไพร บางทีต้องสู้ศึกลองใจหลายหน แต่ข้าเดินตามพระองค์ไป…ไม่ช้านานพระองค์เสด็จกลับมา ต้อนรับข้าขึ้นไปเมืองฟ้า เมื่อนั้นข้าจะติดตามพระองค์ไป ครอบครองเมืองแมนงามวิไล
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับชีวิตและผลงานของลูเธอร์ ในวันนี้ที่ฉันป่วยอยู่บ้านด้วยไข้หวัด (แต่ไม่ใช่ไข้หวัด 2009 นะคะ…ไม่ต้องกลัว…บังเอิญไปติดน้องคนหนึ่งในที่ทำงานน่ะค่ะ น้องเป็นไข้หวัดใหญ่ แต่ขอบคุณพระเจ้า ฉันเป็นไข้หวัดธรรมดา) พระคุณของพระเจ้าก็ยังค้ำชูฉันอยู่ แม้ว่าฉันจะเหนื่อยล้าทางกาย แต่พระเจ้าทรงชูใจฉันไว้ด้วยคำรักมากมายในพระวจนะของพระองค์ และด้วยบทเพลงรักมากมายจากผู้รับใช้ของพระองค์…มีทำนองเพลงบรรเลงอยู่ภายใน จึงเป็นอีก 1 บทเพลง ที่พระเจ้าทรงเล้าโลมใจฉันในวันนี้
การสรรเสริญพระเจ้า เป็นเคล็ดลับอันมหัศจรรย์จริงๆ นับวันก็ยิ่งเห็นความมหัศจรรย์มากขึ้น พระเจ้าสอนเราให้นมัสการพระองค์ ด้วยทรงประสงค์จะเทพระพรของพระองค์ลงมายังเรา เมื่อเราเปิดใจต่อพระองค์ พระองค์จะสอนเราอธิษฐาน และนมัสการพระองค์ในวิถีซึ่งทำสงครามฝ่ายวิญญาณในสถานฟ้าอากาศ พระองค์ทรงฝึกมือของเราให้ทำสงคราม ฝึกนิ้วมือของเราให้ทำศึก และฝึกใจของเราให้เข้มแข็งกล้าหาญ และในขณะที่เราเต้นโลด ตบมือ ชูมือ ขับร้อง เล่นดนตรีสรรเสริญพระองค์อยู่นั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเทฤทธิ์เดชของพระองค์ลงมา เทการเจิมของพระองค์ลงมา นำการเยียวยาและปลดปล่อยลงมายังบรรดาประชาชาติของพระองค์ นำมาซึ่งการสรรเสริญพระองค์สืบต่อๆ ไปเป็นนิตย์
สดด.40:3 พระองค์ทรงบรรจุเพลงใหม่ในปากข้าพเจ้า เป็นบทเพลงสรรเสริญพระเจ้าของเรา คนเป็นอันมากจะเห็นและเกรงกลัว และวางใจในพระเจ้า
สดด.47:5-9 5พระเจ้าเสด็จขึ้นด้วยเสียงโห่ร้อง พระเจ้าเสด็จขึ้นด้วยเสียงแตร 6จงร้องเพลงสรรเสริญถวายพระเจ้า จงร้องเพลงสรรเสริญเถิด จงร้องเพลงสรรเสริญถวายพระมหาราชาของเรา จงร้องเพลงสรรเสริญเถิด 7เพราะพระเจ้าทรงเป็นพระราชาเหนือแผ่นดินโลกทั้งสิ้น จงร้องเพลงสรรเสริญด้วยบทสดุดี 8พระเจ้าทรงครอบครองนานาประชาชาติ พระเจ้าทรงประทับบนพระที่นั่งบริสุทธิ์ของพระองค์ 9บรรดาเจ้านายของชนชาติทั้งหลายประชุมกัน เป็นประชากรของพระเจ้าแห่งอับราฮัม เพราะบรรดาโล่ของแผ่นดินโลกเป็นของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นที่ยกย่องอย่างสูง
สดด.56:3-4,10 3เมื่อข้าพระองค์กลัว ข้าพระองค์วางใจในพระองค์ 4ในพระเจ้า ผู้ที่ข้าพระองค์สรรเสริญพระวจนะของพระองค์ ในพระเจ้า ข้าพระองค์วางใจอย่างปราศจากความกลัว เนื้อหนังจะกระทำอะไรแก่ข้าพระองค์ได้ 10ในพระเจ้าผู้ซึ่งข้าพระองค์สรรเสริญพระวจนะของพระองค์ ในพระเป็นเจ้า ผู้ซึ่งข้าพระองค์สรรเสริญพระวจนะของพระองค์
สดด.63:1-7 1ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์แสวงพระองค์ จิตวิญญาณของข้าพระองค์กระหายหาพระองค์ เนื้อหนังของข้าพระองค์กระเสือกกระสนหาพระองค์ ในดินแดนที่แห้งและอ่อนโหย ที่ที่ไม่มีน้ำ 2เช่นนั้นแหละ ข้าพระองค์จึงเคยเห็นพระองค์ในสถานนมัสการ เห็นฤทธานุภาพและพระสิริของพระองค์ 3เพราะว่าความรักมั่นคงของพระองค์ดีกว่าชีวิต ริมฝีปากของข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ 4เช่นนั้นแหละ ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ ตราบเท่าชีวิตของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ชูมือต่อพระนามของพระองค์ 5จิตใจของข้าพระองค์จะอิ่มหนำดังกินเนื้ออย่างดีและไขมัน และปากของข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ด้วยริมฝีปากที่ชื่นบาน 6เมื่อข้าพระองค์คิดถึงพระองค์ขณะอยู่บนที่นอนและภาวนาถึงพระองค์ทุกๆ ยาม 7เพราะพระองค์ทรงเป็นความอุปถัมภ์ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เปรมปรีดิ์อยู่ในร่มปีกของพระองค์

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด

ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด
วันที่ 09/07/2009

คุณเคยรู้สึกไหมว่า คุณรักใครบางคนไม่ได้…คุณอาจจะไม่เคย แต่ฉันเคยคะ…ช่างเป็นความรู้สึกที่ทรมานเสียนี่กระไร พระบัญชาของพระเจ้าสั่งให้เรารักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง แต่ฉันก็ยังรักคนๆ หนึ่งไม่ได้ ทำอย่างไรดี
ใจหนึ่งก็รู้ว่าการรักใครบางคนไม่ได้นั้น เป็นสิ่งที่ขัดต่อคำสอนของพระเจ้า แต่อีกใจหนึ่งก็ยังโต้เถียงอยู่ว่า จะรักเขาได้อย่างไร (อ้าว) กลายเป็นคนสองใจซะแล้ว ซึ่งสิ่งนี้อีกเช่นกันที่ทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสียพระทัย…ฉันเคยอธิษฐานเผื่อตนเองอยู่เสมอว่า ขอให้ฉันรู้น้ำพระทัยของพระเจ้า และขอให้ฉันทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าด้วย ดังนั้น เมื่อรู้แล้วไม่ทำก็บาปอีก (ผ่าง)
ฉันต้องปล้ำสู้กับเนื้อหนังของตัวเองอย่างหนัก เมื่อฉันเกิดความรู้สึกว่ารักคนๆ หนึ่งไม่ได้ ซึ่งลำพังฉันก็คงไม่สามารถรักเขาได้ด้วย หากไม่มีพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าที่ฉันมีพระองค์ซึ่งเป็นต้นกำเนิดแห่งความรัก และฉันยังมีพี่น้อง คริสเตียนมากมายที่หนุนใจ ใส่ใจ ให้คำปรึกษาด้วยความรัก ฉันนำเรื่องนี้ไปปรึกษาพี่ๆ ที่คริสตจักร ซึ่งทุกคนน่ารักมาก ให้คำแนะนำที่ดี ให้ขอสติปัญญาจากพระเจ้า ให้ใช้ความรักนำหน้า ให้คงความสัมพันธ์ที่ดีไว้ เพราะเราเองก็เป็นคนบาป [รม.3:23] “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า” เราเป็นคนบาปที่สมควรแก่อาชญา แต่โดยพระคุณ พระเจ้าไม่ทรงทอดทิ้งเรา ไม่ทรงตัดความสัมพันธ์กับเรา คนบาปอย่างเราจึงได้รับความรอด [รม.6:23]
“เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” แล้วเราจะสำแดงความรักของเราต่อพี่น้องดังเช่นที่พระเยซูได้ทรงวางแบบอย่างไว้หรือไม่ [รม.5:8] “แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา”
ก่อนที่ฉันจะกำชัยชนะเรื่องนี้ได้นั้น ฉันก็ดูเหมือนจะแพ้…เอ่อ หรือจะบอกว่าแพ้ไปแล้วก็น่าจะใช่ เพราะเมื่อฉันรู้สึกว่ารักคนๆ นั้นไม่ได้แล้ว การตอบสนองก็เกิดขึ้น แม้จะมีวลีหนึ่งที่โดนใจวัยมันส์ว่า “ไม่ขึ้นอยู่กับว่าถูกหรือผิด แต่ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของคุณ” ที่ฉันยังจำได้ติดหูก็ตาม แต่ในขั้นแรกนั้น ฉันเลือกตอบสนองตามเนื้อหนัง…อย่างไรก็ดี ฉันขอบคุณพระเจ้า เพราะในท้ายที่สุด ฉันขอเลือกอีกครั้ง โดยเลือกตอบสนองในมุมมองของพระคริสต์
ในช่วงที่ฉันยังเดินอยู่กับความพ่ายแพ้นั้น ซาตานมันก็คงชอบใจนักแล เพราะฉันตัดความสัมพันธ์กับคนๆ นั้น แทบจะสิ้นเชิง ฉันรื้อหนังสือที่เขาเคยให้ไว้ ออกจากบ้านไป และแม้หนังสือบางเล่มจะยังคงอยู่ที่บ้าน แต่ฉันก็ตั้งใจว่าจะไม่อ่านมันอีกต่อไป ฉันปลดรูปถ่ายของเขาออก และตั้งใจที่จะตัดความสัมพันธ์กับเขาในทุกทาง…แต่พระเจ้ามิทรงประสงค์ให้ฉันเป็นคนไร้รัก ซึ่งในพระคัมภีร์ก็บอกว่า จงรักศัตรูของท่าน [มธ.5:44] “ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน”
Wow! แม้แต่ศัตรูยังต้องรักเลย แต่นี่เป็นพี่น้องในพระคริสต์ ฉันก็ต้องยิ่งรักมากกว่าศัตรูสักเท่าไร ฉันต้องมองพี่น้องด้วยมุมมองของพระเจ้า ด้วยสายพระเนตรของพระองค์ แต่ฉันก็ยังรักเขาไม่ได้อยู่ดี…มันเป็นความเจ็บปวดที่ร้าวลึก ที่เราเคยสรรเสริญพระเจ้าด้วยกัน อธิษฐานด้วยกัน แบ่งปันกันและกัน และหนุนจิตชูใจกันมาด้วยความรัก แต่เมื่อวันหนึ่งมีเหตุต้องให้ขัดเคืองกัน สิ่งดีๆ ที่เคยทำร่วมกันมา ก็ไม่มีค่าอะไรเลย (เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ) …พระคำมากมายที่ว่าด้วยเรื่องความรักผุดขึ้นมาในมโนนึกของฉัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระธรรม 1 คร. บทที่ 13 แต่ดูเหมือนว่า พระคำเหล่านั้นเป็นเพียงความรู้ในสมอง ไม่สามารถช่วยอะไรฉันได้เลย ไม่สามารถแทงทะลุจิตวิญญาณของฉันได้ ธรรมชาติบาปของฉันได้ขัดขวางไว้ไม่ให้ฉันสัมผัสความรักของพระเจ้า
[1คร.13:7] “ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง” …โป๊ะเชะ โดนจังๆ พระคัมภีร์กล่าวไว้เช่นนั้น แต่ในภาวะที่คนมันหมดรัก ก็ยากนักที่จะรักใคร หัวใจฉันด้านชาไปหมด น้ำตาฉันไหลด้วยความช้ำใจ “พระบิดาเจ้าข้า ลูกทำไม่ได้” ฉันไม่มีสันติสุขเลย ในขณะที่พระเจ้าทรงรอคอยที่ฉันจะตอบสนองอย่างถูกต้อง
การเดินออกจากทางของพระเจ้าเป็นความเจ็บปวด การขาดสันติสุขก็เป็นสิ่งที่ฉันมิพึงปรารถนา จึงร้องทูลต่อพระเจ้าว่าสิ่งนี้เหลือกำลังของฉัน และร้องเรียกพระองค์ด้วยถ้อยคำสั้นๆ ว่า “พระบิดาที่รัก ช่วยลูกด้วย”
พระเจ้าทรงเบิกตา ให้ฉันเห็นสิ่งมหัศจรรย์ในพระคำของพระองค์ [อสค.36:26] “เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้าและเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า เราจะนำใจหินออกไปเสียจากเนื้อของเจ้า และให้ใจเนื้อแก่เจ้า” ฉันอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า ทูลขอพระเจ้าให้ปลดปล่อยฉันจากคนใจหิน และใส่วิญญาณใจใหม่ให้กับฉัน ขอที่พระองค์จะทรงเปลี่ยนแรงบันดาลใจของฉัน ให้พระบัญญัติของพระองค์จารึกแทงทะลุในจิตวิญญาณของฉัน ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เทความรักของพระเจ้าเข้ามาในจิตใจที่เย็นชาของฉัน เพราะหากฉันบ่มความชั่วช้าไว้ในใจ ชีวิตนี้ก็คงขาดพระพร [สดด.66:18] “ถ้าข้าพเจ้าได้บ่มความชั่วไว้ในใจข้าพเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าคงไม่ทรงสดับ”
พระองค์ทรงรู้ถึงความทุกข์ใจของฉัน และทรงปลอบประโลมฉัน [อสย.30:20] “และถึงแม้องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานอาหารแห่งความยากลำบากและน้ำแห่งความทุกข์ใจให้แก่เจ้า ถึงกระนั้นพระครูของเจ้าจะไม่ซ่อนตัวอีกเลย แต่ตาของเจ้าจะเห็นพระครูของเจ้า”
ฉันอธิษฐานซ้ำแล้วซ้ำอีก ทูลขอด้วยความกระหาย ให้พระองค์ทรงเติมฉันด้วยพระวิญญาณแห่งความรักของพระองค์…ในที่สุด ความรักของพระองค์ก็ค่อยๆ เติบโตในหัวใจ จนกระทั่งฉันสัมผัสได้ว่าฉันสามารถรักคนๆ นั้นได้แล้ว
การอธิษฐาน ปลุกความรักให้ลุกขึ้น ความรักนำมาซึ่งการอธิษฐานมากขึ้น ในทางกลับกัน คำอธิษฐานฟื้นความรักกลับมาได้มากขึ้น (สตอร์มี โอมาร์เทียน) ฉันจึงทูลต่อพระเจ้าว่า ฉันรักเขาคนนั้น และจะไม่ยอมให้สิ่งใดมาทำให้เราขาดจากความรักของพระเจ้า และขาดจากความรักของกันและกันได้ และที่สำคัญคือ ฉันขอรักทุกคน ดังเช่นที่พระองค์ทรงบัญชาไว้…ฉันขอหัวใจรักอย่างพระคริสต์
[1คร.13:13] “ดังนั้นยังตั้งอยู่สามสิ่ง คือความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด”

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Praise And Pray

Praise And Pray
วันที่ 27/6/2009

เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองและขอบคุณพระเจ้า เนื่องในโอกาสที่คริสตจักรนิมิตใหม่ครบรอบ 27 ปี ในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ จึงกำหนดให้มีรายการ Praise And Pray ทุกวันเสาร์ เวลา 18.00 น. ไปจนกระทั่งถึงวันครบรอบวันเกิด แต่ในวันนี้มีสมาชิกมาร่วมค่อนข้างน้อย เนื่องจากขาประจำส่วนหนึ่งไปเข้าค่าย Alpha Weekend ที่พัทยา
หนึ่งนำเราทุกคนนมัสการพระเจ้า พวกเราดื่มด่ำไปกับพระคุณความรักและการทรงสถิตของพระองค์ โลดแล่นไปกับเสียงเพลงแห่งการนมัสการที่เราน้อมถวายเป็นเครื่องบูชาที่บริสุทธิ์แด่พระองค์ แต่เราชื่นใจยิ่งกว่านั้นอีก เมื่อรู้ว่าพระองค์ทรงร้องเพลง [ศฟย.3:17] “พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าอยู่ท่ามกลางเจ้า เป็นนักรบผู้ประทานความมีชัย พระองค์ทรงเปรมปรีดิ์เพราะเจ้าด้วยความยินดี พระองค์จะทรงรื้อฟื้นเจ้าใหม่ด้วยความรักของพระองค์ พระองค์จะทรงเริงโลดเพราะเจ้าด้วยร้องเพลงเสียงดัง”
ศบ.พงษ์ศักดิ์แบ่งปันเราด้วยพระวจนะจากพระธรรมสดุดี 102 “คำร่ำร้องในยามทุกข์ใจ” เราทุกคนล้วนมีความทุกข์ใจในช่วงเวลาหนึ่งเวลาใดด้วยกันทั้งสิ้น บางครั้งก็มิได้ทุกข์ใจเพราะเรื่องของตนเอง แต่ทุกข์ใจเพราะเหตุแห่งคนที่เรารัก หรือทุกข์ใจกับเรื่องสำคัญที่ห่างไกลเราออกไปหลายพันหมื่นไมล์ แต่ขอที่เรานั้นจะไม่ท้อแท้ในการอธิษฐาน แม้ว่าหลายครั้งดูเหมือนพระเจ้าจะมิทรงตอบ เนิ่นนานเหลือเกินพระองค์เจ้าข้า! ทว่าเราก็ชื่นใจที่พระองค์ฟังคำอธิษฐานของเรา ทรงฟังคำร้องทูลของเราเสมออย่างมิเบื่อหน่าย พระองค์ทรงอยู่ และพระองค์ยังทรงเหมือนเดิมเสมอนิรันดร์
[สดุดี 102] 1ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์ขอเสียงร้องของข้าพระองค์มาถึงพระองค์ 2ขออย่าทรงซ่อนพระพักตร์ของพระองค์จากข้าพระองค์ในวันทุกข์ใจของข้าพระองค์ ขอทรงเงี่ยพระกรรณฟังข้าพระองค์ ขอทรงตอบข้าพระองค์โดยเร็วเมื่อข้าพระองค์ร้องทูลต่อพระองค์ 3เพราะวันของข้าพระองค์สิ้นไปอย่างควัน และกระดูกของข้าพระองค์ไหม้อย่างเตาไฟ 4จิตใจของข้าพระองค์ถูกนาบเหมือนหญ้าและเหี่ยวไป ข้าพระองค์ลืมรับประทานอาหารของข้าพระองค์ 5เหตุด้วยเสียงร้องครางของข้าพระองค์ กระดูกของข้าพระองค์เกาะติดเนื้อของข้าพระองค์ 6ข้าพระองค์เป็นเหมือนนกกระทุงที่ในถิ่นทุรกันดารดุจนกเค้าแมวในที่ร้างเปล่า 7ข้าพระองค์นอนไม่หลับ ข้าพระองค์เหมือนนกโดดเดี่ยวบนหลังคาเรือน 8ศัตรูของข้าพระองค์เยาะหยันข้าพระองค์วันยังค่ำผู้ที่คลั่งใส่ข้าพระองค์ใช้ชื่อข้าพระองค์แช่ง 9เพราะข้าพระองค์กินขี้เถ้าต่างอาหาร และเจือน้ำตาเข้ากับเครื่องดื่ม10เหตุด้วยความพิโรธและความกริ้วของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงชูข้าพระองค์ขึ้นและโยนข้าพระองค์ทิ้งไปเสีย 11วันเวลาของข้าพระองค์เหมือนเงาเวลาเย็น ข้าพระองค์เหี่ยวไปเหมือนหญ้า 12ข้าแต่พระเจ้า แต่พระองค์ประทับบนบัลลังก์เป็นนิตย์พระนามของพระองค์ดำรงอยู่ทุกชั่วชาตพันธ์ 13พระองค์ทรงลุกขึ้นสงสารศิโยน เพราะถึงเวลาที่จะทรงพระกรุณาเธอ เออ เวลากำหนดมาถึงแล้ว 14เพราะผู้รับใช้ของพระองค์รักซากก้อนหินของเธอนัก และสงสารผงคลีของเธอ 15บรรดาประชาชาติจะกลัวพระนามของพระเจ้า และบรรดาพระราชาของแผ่นดินโลกกลัวพระสิริของพระองค์ 16เพราะพระเจ้าจะทรงสร้างศิโยน พระองค์จะทรงปรากฏด้วยพระสิริของพระองค์ 17พระองค์จะสนพระทัยในคำอธิษฐานของคนสิ้นเนื้อประดาตัว และจะไม่ทรงดูหมิ่นคำอธิษฐานของเขา 18ขอบันทึกเรื่องนี้ไว้ให้ชาตพันธุ์ที่จะมีมา เพื่อประชาชนที่ยังจะทรงสร้างมานั้นจะได้สรรเสริญพระเจ้า 19บันทึกว่า พระองค์ทอดพระเนตรลงมาจากที่สูงอันบริสุทธิ์ของพระองค์ จากฟ้าสวรรค์ พระเจ้าทอดพระเนตรแผ่นดินโลก 20เพื่อทรงฟังเสียงร้องครางของเชลย เพื่อทรงปล่อยคนที่ต้องถึงตายให้เป็นอิสระ 21เพื่อมนุษย์จะประกาศพระนามของพระเจ้าในศิโยนและกล่าวสรรเสริญพระองค์ในเยรูซาเล็ม 22ขณะเมื่อชนชาติทั้งหลายรวบรวมกัน ทั้งบรรดาราชอาณาจักรเพื่อนมัสการพระเจ้า 23พระองค์ทรงหักกำลังของข้าพเจ้ากลางทาง พระองค์ทรงกระทำให้วันเวลาของข้าพเจ้าสั้นเข้า 24ข้าพเจ้าว่า "ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขออย่าทรงนำข้าพระองค์ไปเสีย ในกึ่งกลางวันเวลาของข้าพระองค์ พระองค์ ผู้ปีเดือนดำรงอยู่ตลอดทุกชั่วชาตพันธุ์" 25เมื่อเดิมพระองค์ทรงวางรากฐานของแผ่นดินโลกและฟ้าสวรรค์เป็นพระหัตถกิจของพระองค์ 26สิ่งเหล่านี้จะพินาศ แต่พระองค์จะทรงดำรงอยู่ สิ่งเหล่านี้จะเก่าไปเหมือนเครื่องนุ่งห่ม พระองค์ทรงเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้เหมือนเสื้อผ้า แล้วมันก็สิ้นไป 27แต่พระองค์ยังคงเดิม และปีเดือนของพระองค์ไม่สิ้นสุด 28ลูกหลานของบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์จะอยู่มั่นคง และพงศ์พันธุ์ของเขาจะได้รับการสถาปนาต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์
พระเจ้าทรงเรียกชนชาติอิสราเอลว่า “ประชากรของเรา” ดังปรากฏใน อพย.3:7-10 เมื่อครั้งที่ชาวอิสราเอลตกเป็นทาสของอียิปต์ และได้ร้องทูลความทุกข์ใจต่อพระเจ้า พระองค์ทรงเห็นความทุกข์ของชาวอิสราเอล 7พระเจ้าตรัสว่า "เราเห็นความทุกข์ของประชากรของเราที่อยู่ในประเทศอียิปต์แล้ว เราได้ยินเสียงร้องของเขา เพราะการกดขี่ของพวกนายงาน เรารู้ถึงความทุกข์ร้อนต่างๆ ของเขา 8เราลงมาเพื่อจะช่วยเขาให้รอดจากมือชาวอียิปต์ และนำเขาออกจากประเทศนั้น ไปยังแผ่นดินที่อุดมกว้างขวาง เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนม และน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ คือไปยังที่อยู่ของชาวคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส 9บัดนี้คำร่ำร้องของชนชาติอิสราเอลมาถึงเราแล้ว ทั้งเราได้เห็นการบีบคั้นซึ่งชาวอียิปต์กระทำต่อเขาแล้ว 10เราจะใช้เจ้าไปเฝ้าฟาโรห์ เพื่อจะได้พาประชากรของเราคือชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์"
ช่างน่าชื่นใจนักที่เราเป็นประชากรของพระองค์ ลองฟังพระสุรเสียงของพระองค์ชัดๆ อีกครั้งสิคะ
“เจ้าเป็นประชากรของเรา”
1. ทรงเห็น พระเจ้าทรงสร้างเรามา ทรงเห็นชีวิตของเรา เราจะหนีไปไหนให้พ้นพระเจ้า แม้ในที่ลึกแห่งทะเลไกลโพ้น [สดด.139:9-10] “ถ้าข้าพระองค์จะติดปีกแสงอรุณ และอาศัยอยู่ที่ส่วนของทะเลไกลโพ้น แม้ถึงที่นั่น พระหัตถ์ของพระองค์จะนำข้าพระองค์และพระหัตถ์ขวาของพระองค์จะยึดข้าพระองค์ไว้”
2. ทรงได้ยิน พระกรรณของพระองค์สดับคำวอนของเราเสมอ ทรงสนพระทัยคำอธิษฐานของคนสิ้นเนื้อประดาตัว
3. ทรงรู้ พระเจ้าทรงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเรา พระเจ้าทรงรู้ใจของเรา และทรงยินดียิ่งนักเมื่อเราเข้าไปหาพระองค์ แม้เราไม่ต้องเอ่ยปากอะไร พระองค์ก็ทรงรู้หมดสิ้น
4. ทรงลงมา โดยพระคุณของพระองค์ ทรงส่งพระบุตรองค์เดียวลงมาจากฟ้าสวรรค์ เพื่อช่วยเราให้รอด
5. เราจะใช้เจ้าไป พระองค์ทรงเรียกเราให้รับใช้พระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ ดังนั้น หากเราตั้งใจรับใช้พระเจ้า เราก็ไม่ต้องกลัวอะไร พระองค์สัญญาว่าพระพรจะตกไปถึงลูกหลาน แม้ว่าตอนนี้เราจะรับใช้ด้วยความทุกข์เพียงใดก็ตาม (สดด.102:18)
ฮาเลลูยา!
เราได้ร่วมใจกันอธิษฐานเผื่อสำหรับผู้เจ็บป่วยคือ คุณพ่อของพี่หมู-สมภพ น้องยุ้ย-ลูกสาวคุณสุภาพ ซี อธิษฐานสำหรับ Alpha Weekend ที่กำลังดำเนินการอยู่ ณ พัทยา อธิษฐานเพื่อประเทศไทย อธิษฐานเพื่องานครบรอบ 27 ปีของคริสตจักร และอธิษฐานสำหรับทีมนมัสการ

วางใจพระเจ้า

วางใจพระเจ้า
วันที่ 26/6/2009

สืบเนื่องจาก Walk with Jesus ฉบับที่แล้ว ได้มีผู้ถามเข้ามาว่า แล้วตกลงจะเพิ่มอะไร จะตัดหรือลดอะไร เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดละจ๊ะ…ก็ตอบคำถามก่อนนะคะว่า สิ่งที่จะลดคือ การเรียนพระคัมภีร์ภาคค่ำ ให้เหลือเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ก็พอ ดังนั้น หากปรารถนาจะได้ปริญญาเหมือนนักศึกษารุ่นพี่ ก็คงต้องใช้เวลาประมาณ 7-10 ปี (แป่ว!) แต่ไม่เป็นไรคะ จะได้มีอาจารย์และเพื่อนหลายๆ คน อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างวางไว้ที่พระเจ้า…อีกรายการหนึ่งซึ่งจะตัดออกคือการที่ต้องอ่านหนังสืออื่นๆ ให้น้อยลง เพื่อจะมีเวลากับหนังสือของพระเจ้ามากขึ้น ส่วนสิ่งที่จะเพิ่มก็คือ ต้องนอนมากขึ้น โดยนอนอย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง หรือหากนอนได้ 8 ชั่วโมงก็ยิ่งดี พร้อมทั้งปรับกิจกรรมบางรายการเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต ทั้งนี้ เพื่อชีวิตที่สมดุลในทุกด้าน [สดด.16:9] “เพราะฉะนั้นจิตใจข้าพเจ้าจึงยินดีและจิตวิญญาณก็ปรีดา ร่างกายของข้าพเจ้าก็อาศัยอยู่อย่างปลอดภัยด้วย”
วันนี้ฉันขออนุญาตพาไปพบกับฉากหนึ่งใน 1 พกษ.18-19 เพื่อพบกับท่านเอลียาห์นะคะ เอลียาห์สามารถเอาชนะผู้เผยพระวจนะของพระบาอัลจำนวน 450 คนที่ภูเขาคารเมลได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าเอลียาห์ต้องทุ่มเทกำลังอย่างมากในการท้าทายผู้เผยพระวจนะเหล่านั้น โห! แค่มารตัวเดียวเราก็ต้องใช้พลังสู้อย่างมากอยู่แล้ว แต่นี่ มากันตั้ง 450 ตัว เอ้ย! คน เอลียาห์จึงต้องใช้พลังอย่างมากทางด้านจิตวิญญาณ ทั้งยังต้องเสียพลังงานในการฆ่าทั้ง 450 คน อีก งานนี้หินน่าดู เอลียาห์จึงเหนื่อยล้าทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และจิตวิญญาณ แต่นั่นยังไม่พอ เขายังไม่หยุดพัก เขาเผยพระวจนะกับกษัตริย์อาหับ และอธิษฐานขอฝนอีกต่างหาก เมื่อนางเยเซเบลส่งคนไปฆ่าเอลียาห์ เขาจึงต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปไกลหลายไมล์ และไปนอนหมดสภาพอยู่ใต้ต้นซาก…เอลียาห์ขาดสมดุลในชีวิต เขาเหนื่อยอ่อน ท้อแท้ จนกระทั่งเขาอธิษฐานต่อพระเจ้าให้เอาชีวิตไปจากเขาเสีย ช่างน่าเศร้าจริงๆ คะ พี่น้อง เขาไม่ได้วางแผนชีวิตตามที่เคยทำ เขารู้สึกกลัว หดหู่ ท้อใจ จนถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย และพระเจ้าก็ตรัสกับเขาว่า “เจ้าเหนื่อยเกินไป เจ้าจะต้องกินอาหารสัก 2 มื้อ และหลับยาวๆ สักตื่น” และเมื่อเอลียาห์ฟื้น กำลังของเขาก็กลับมา เขาเดินทางต่อไปยังโฮเรป และพระวจนะของพระเจ้าก็มาถึงเขาที่นั่น และด้วยพระคำของพระองค์ที่สดใหม่อยู่เสมอ เอลียาห์ก็ถูกส่งออกไปอีกครั้งเพื่อรับใช้พระองค์ต่อไป (ศึกษาเพิ่มเติมใน 1 พกษ.18-19 และหนังสือ กระบวนการสร้างผู้นำ ของจอยส์ ไมเออร์ นะคะ)
เรื่องราวของเอลียาห์ได้ย้ำเตือนให้ฉันรู้ว่า “สิ่งที่ดีเป็นศัตรูของสิ่งที่ดีที่สุด” นั้นเป็นอย่างไร การทำหลายอย่าง การสวมหมวกหลายใบ โดยไม่ประเมินกำลังของตนเอง ทำให้ยุ่งจนเกินไป แล้วอ่อนแอฝ่ายวิญญาณ ไม่เป็นพรต่อชีวิตตัวเองและต่อชีวิตผู้อื่นด้วย ถ้าอย่างนั้นเห็นทีต้องขอบคุณอาการไมเกรนซะละมั้ง ที่ทำให้ฉันได้กลับมาทบทวนการดำเนินชีวิตอีกครั้งหนึ่ง จนได้คำตอบว่า “สิ่งที่ดีที่สุด คือ การได้อยู่แทบพระบาทพระเจ้า” แค่นั้นยังไม่พอ ฉันยังได้รับบทเรียนที่ต่อเนื่องตามมาติดๆ ซึ่งพร้อมจะเล่าให้ทุกท่านฟังแล้ว…แท่น แทน แท้น
อาการไมเกรนเริ่มเล่นงานฉันตั้งแต่ต้นเดือน แต่เหตุการณ์ที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้นั้น เกิดขึ้นในช่วงวันที่ 15-21/6/2009 โดยฉันได้ไปพบแพทย์ในวันจันทร์ และหยุดงานต่อเนื่องทั้งวันอังคารและวันพุธ ส่วนวันพฤหัสบดี ตื่นมาตอนเช้าโดยไม่มีอาการปวดศีรษะแล้ว ฉันก็ดีใจว่าตัวเองหายแล้วนะ และก็โอ้ลั่นล้าไปทำงาน ยาไมเกรนก็ไม่ได้พกไป เพราะกินแล้วจะง่วงมาก อาจทำงานไม่ได้ เมื่อทำงานไปสักพักอาการไมเกรนก็ถามหา จนต้องลางานต่อในช่วงบ่าย เพื่อนที่ทำงานน่ารักใจดี ขับรถมาส่งถึงบ้าน ส่วนเพื่อนอีกคนหนึ่งซื้ออาหารกลางวันให้มาด้วย
เมื่อทานยาแล้วก็นอนสิคะ แต่ตื่นขึ้นมาก็กลับรู้สึกไม่อยากอยู่บ้านซะงั้น ทำไงดีล่ะ อยากไปต่างจังหวัด เปลี่ยนบรรยากาศ ปรารถนาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และก็คิดถึงทะเล ‘โอ้ทะเลแสนงาม ฟ้าสีครามสดใส ข้าปรารถนาจะไป ข้าจะไปทะเล’ ไปทะเลดีกว่า ก็คิดจะไปชะอำตามลำพัง เพราะไม่คิดว่าจะไม่ใครว่างพอที่จะไปกับฉัน จึงถามเบอร์รีสอร์ทจากเพื่อน แต่ฉับพลันก็นึกถึงพี่น้อย พี่เลี้ยงฝ่ายวิญญาณขึ้นมา จึงสะบัดใจจากชะอำ ขอไปนอนบ้านพี่น้อยสักคืนดีกว่า เมื่อโทรหาพี่น้อย พี่น้อยก็เทศนากัณฑ์ใหญ่ว่าสาเหตุที่เป็นไมเกรนเพราะไม่รู้จักดูแลตัวเอง แต่พี่น้อยก็เต็มใจต้อนรับฉันด้วยความยินดี พร้อมทั้งบอกด้วยว่าในวันรุ่งขึ้นพี่น้อยกับกลุ่มสตรีซึ่งเรียนพระคัมภีร์กับพี่น้อยนั้นจะเดินทางไประยองกัน ว้าว! โลกนี้พระเจ้าประทาน พระเจ้าช่างรู้ใจจริงๆ ทรงใส่ใจหัวใจที่บอบช้ำของฉัน คืนนั้นฉันจึงได้ค้างคืนที่บ้านพี่น้อย
เข้าวันศุกร์ พี่น้อยปลุกแต่เช้าเพื่อจะพาไปวิ่งออกกำลังกายที่สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ฯ ใกล้บ้าน ฉันก็เพลียเล็กน้อยเพราะในช่วงกลางคืนอาการไมเกรนเขากลับมาอีก...ฉันจึงได้รับบทเรียนเพิ่มเติมอีก 2 ประการ
1. ความเป็นคนดี รอบคอบ [มธ.5:48] “เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ” หากฉันพกยามา และรีบทาน อาการไมเกรนก็คงไม่กำเริบ และฉันคงจะนอนหลับด้วยความสันติตลอดคืน
2. ความไว้วางใจ…เพราะว่าฉันเป็นห่วงงานมาก ฉันจึงกลับไปทำงาน ทั้งๆ ที่อาการไมเกรนยังไม่หายขาด ฉันควรจะวางใจพระเจ้า มอบภาระงานทั้งหมดไว้กับพระองค์ มิใช่มาแบกเองเช่นนี้ [สภษ.16:3] “จงมอบงานของเจ้าไว้กับพระเจ้า และแผนงานของเจ้าจะได้รับการสถาปนาไว้”
พี่น้อยเตือนสติให้ฉันใส่ใจดูแลร่างกายให้มากกว่านี้ ให้สมกับที่พระเจ้าทรงรักเรา พระองค์จะเสียพระทัยเพียงใดที่ฉันไม่ดูแลร่างกาย ซึ่งเป็นพระวิหารของพระองค์ ฉันคงจะจากโลกนี้ไปเร็วกว่ากำหนด เนื่องจากไม่ดูแลตัวเอง [1คร.3:16] “ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน” พี่น้อยย้ำแล้วย้ำอีก ให้ฉันใช้ชีวิตอย่างสมดุลในทุกๆ ด้าน
ฉันไม่ได้ไปทะเลคะ แต่พระเจ้าทรงนำฉันไปอีกที่หนึ่ง ซึ่งฉันได้เห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่เหนือผู้คนของพระองค์ที่นั่น…พี่ต่าย น้องบอส (ลูกชายของพี่ต่าย) พี่น้อย และฉัน เดินทางไประยองในช่วงเย็น และถึงที่หมายในเวลาค่อนข้างดึก เราขอบคุณพี่ต่ายที่พาเรามาถึงที่พักด้วยความปลอดภัย สถานที่ซึ่งเราไปนั้นเป็นรีสอร์ทซึ่งซุกตัวอยู่ในสวนผลไม้พื้นที่ร้อยกว่าไร่ของพี่ต่ายและครอบครัว ปลูกไม้ผลไว้หลายชนิด เช่น มังคุด เงาะ ทุเรียน ลองกอง ระกำ ส้มโอ พวกเราทุกคนจึงได้สนุกสนานกับการทานผลไม้สดๆ จากต้น พี่ต่ายดูแลพวกเราเป็นอย่างดี เราสะดวกสบายและอิ่มหนำกับอาหารอย่างดีทุกมื้อ พอช่วงบ่าย บรรดาสตรีซึ่งเรียนพระคัมภีร์กับพี่น้อยก็ทะยอยตามมา เธอพาลูกและสามีมาด้วย พวกเราจึงไม่เหงาด้วยเสียงสดใสของเด็กๆ ตกกลางคืน เราสนุกสนานกับการปิ้งย่างบาร์บีคิว ชิมอาหารทะเล และจิบไวน์รสละมุนจากโรงงานของพี่ต่าย
B.J.Garden Vill Resort เป็นสถานที่ซึ่งเราไปแอบอิงยามสุดสัปดาห์ ด้วยบริการที่ประทับใจ อาหารอร่อย ราคาประหยัด นอกจากจะมีสวนผลไม้ล้อมรอบแล้ว รีสอร์ทดังกล่าวยังมีโรงงานผลิตไวน์ชั้นเลิศซ่อนตัวอยู่ด้วย ไวน์ของพี่ต่ายได้รับคัดเลือกจากทางการให้นำไปต้อนรับสำหรับงานสุดยอดผู้นำ APEC ซึ่งได้จัดขึ้นในเมืองไทย นอกจากนั้น ไวน์ของที่นี่ยังได้รับรางวัลนวัตกรรมดีเด่นจากยุโรปอีกด้วย แต่พี่ต่ายไม่ได้เดินทางไปรับรางวัลซะงั้น (แป่ว)
พี่ต่ายนำเราเยี่ยมชมกรรมวิธีผลิตไวน์ ซึ่งซับซ้อนมาก พี่ต่ายมีตะลันต์ในการคิดค้นสูตรไวน์ใหม่ๆ เสมอ โรงงานแห่งนี้จึงผลิตไวน์คุณภาพจากพืชในท้องถิ่น เช่น มังคุด กระชายดำ แมงเม่า ลูกยอ และอาจจะมีอีก แต่ฉันจำไม่ได้ รู้แต่ว่า ยังมีการผลิต น้ำมังคุด มังคุดกวน ทุเรียนกวน อีกด้วย…แม้ว่ากิจการรีสอร์ทและสวนผลไม้จะดำเนินไปด้วยดี แต่พี่ต่ายก็ปรารถนาที่จะขาย โดยพี่ต่ายมุ่งที่จะดำเนินกิจการด้านไวน์อย่างเดียว เพื่อที่พี่ต่ายจะสามารถรับใช้พระเจ้าได้อย่างเต็มกำลังมากขึ้น
เช้าวันอาทิตย์ มีการนมัสการร่วมกัน นำโดยมือกีตาร์ชาวสิงคโปร์ จากนั้นพี่น้อยจึงเทศนาในหัวข้อ “วางใจพระเจ้า” โอ้โห ฉันกำลังขับเคี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พอดีเลย สิ่งที่พี่น้อยเทศนาจึงทันเวลาสำหรับฉัน แต่มิเพียงเท่านั้น หลายคนก็พูดว่า พระเจ้าก็ตรัสกับเขาผ่านทางการเทศนาของพี่น้อยเช่นกัน เช่น น้องบอส ลูกชายสุดหล่อของพี่ตาย เพิ่งรับเชื่อและบัพติศมาเมื่อปีที่ผ่านมา ขณะนี้กำลังเรียนชั้นปีที่ 1 ในสาขาด้านวิศวกรรม ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นานาชาติ บอสตั้งใจว่าจะเรียนให้ได้เกรด 4 ทุกวิชา พร้อมทั้งตั้งแผนการในการไปเรียนต่อต่างประเทศไว้ด้วย เมื่อจบการเทศนา บอสได้แบ่งปันว่า บอสยอมแล้ว บอสไม่เอาแล้วสำหรับความตั้งใจของตนเอง บอสคิดแต่ว่าบอสจะทำอย่างนั้น จะทำอย่างนี้ แล้วขอพระเจ้าอวยพรสำหรับสิ่งที่บอสคิด ซึ่งเป็นความบาปแห่งความหยิ่งผยอง การไม่ไว้วางใจ และเป็นการพึ่งพาความรอบรู้ของตัวเอง ต่อไปนี้ บอสจะทูลถามพระเจ้าก่อนว่าทรงปรารถนาจะให้บอสทำสิ่งใด แล้วบอสก็จะทำอย่างเต็มกำลัง
[รม.9:15-16] “เพราะพระองค์ตรัสกับโมเสสว่า เราประสงค์จะกรุณาผู้ใด เราก็จะกรุณาผู้นั้น และเราจะเมตตาใคร เราก็จะเมตตาผู้นั้น เพราะฉะนั้นทุกสิ่งจึงไม่ขึ้นแก่ความตั้งใจหรือการตะเกียกตะกาย แต่ขึ้นอยู่กับพระกรุณาของพระเจ้า” พระคัมภีร์ข้อนี้แทงทะลุจิตวิญญาณของฉันอย่างจริงจัง ขณะเฝ้าเดี่ยวในวันเสาร์ ฉันจึงได้คุยเรื่องนี้กับพี่น้อย และให้พี่น้อยอธิษฐานเผื่อ ฉันทูลต่อพระเจ้าว่า ฉันยอมจำนนต่อพระองค์ ฉันยอมพระองค์ทุกอย่าง ที่ผ่านมา ฉันทำหลายอย่างด้วยความตั้งใจและความสามารถของตนเอง ฉันจะกะแผนงานของตัวเองไว้ (Plan before Pray) เช่น เมื่อเรียนจบ จะต้องทำงานที่นั่นที่นี่ จะซื้อบ้านภายในเวลากี่ปี จะซื้อรถภายในเวลากี่ปี จะเก็บเงินให้ได้จำนวนเท่าไรภายในระยะเวลากี่ปี จะเป็นนั่นเป็นนี่ภายในเวลากี่ปี เป็นต้น ฉันทำผิดอย่างมหันต์ทีเดียว ที่คิดแผนงานของตนเอง แล้วบังคับให้พระเจ้าอวยพรแผนงานที่ฉันคิดขึ้นมา โดยมิได้ถามพระองค์สักนิดว่า พระองค์ปรารถนาจะให้ฉันทำอะไร หรือเป็นอะไร ทั้งๆ ที่พระเจ้าทรงตรัสสอนไว้แล้ว แต่ฉันกลับไม่เชื่อฟัง [สภษ.3:5] “จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง” พระเจ้าตรัสแล้วแน่แท้ไม่แปรเปลี่ยน แต่ฉันกลับทำตรงกันข้าม ฉันไม่ได้ถ่อมใจฟังพระสุรเสียงของพระองค์เลยแม้แต่นิดเดียว ฉันก็ไม่ต่างอะไรกับลูซิเฟอร์เลย
พี่น้อยเทศนาด้วยหัวข้อ “การวางใจพระเจ้า” ซึ่งสรุปได้ดังนี้
การวางใจ หมายถึง ความมุ่งหวัง ความมั่นใจในความสัตย์ซื่อ ในคุณธรรม ในความสามารถ หรือในคุณลักษณะของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
พระเจ้าสร้างเรามาเพื่อพระเกียรติยศของพระองค์ ทรงสร้างเรามาเพื่อนมัสการพระองค์ พระองค์ทรงสะอิดสะเอียดความหยิ่งยโส ดังนั้น เราจึงต้องเดินกับพระองค์ด้วยความไว้วางใจ อย่าพึ่งพาตนเองหรือผู้อื่น พึ่งพาพระองค์เท่านั้น
1. อย่าวางใจตนเอง อย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง แสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้าก่อนเสมอทุกครั้ง ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตาม (สภษ.3:5-7)
2. อย่าวางใจในเจ้านาย (ผู้มีตำแหน่งสูงกว่าเรา หรือผู้มีอำนาจ ผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย ฯลฯ) เมื่อมีปัญหา ให้พึ่งพาและปรึกษาองค์พระเจ้าสูงสุดก่อนผู้อื่น เมื่อเดินในทางของพระเจ้า การยกย่องก็มาจากพระองค์ (สดด. 75:6-7, สดด.118:8-9, 1 ซมอ. 2:6-9)
3. จงวางใจในพระเจ้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม จงวิ่งเข้าหาพระเจ้าก่อน แสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ก่อนเสมอ พระเจ้าเกี่ยวข้องกับเราในทุกทาง ทรงรักเรามาก ทรงทอดพระเนตรความหวังใจของเรา ทรงเคลื่อนไหวในทุกเหตุการณ์ของเรา พระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่ง (สดด.121:1-8, สดด.62:8, สดด.42:11, ยรม.33:3)
พี่น้อยตบท้ายด้วยพระวจนะใน [1พศด.29:11-12] “ข้าแต่พระเจ้าความยิ่งใหญ่ ฤทธานุภาพ พระสิริชัยชนะและความโอ่อ่าตระการเป็นของพระองค์ และบรรดาสิ่งที่มีอยู่ในฟ้าสวรรค์ และในแผ่นดินโลกเป็นของพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า ราชอาณาจักรเป็นของพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นที่ยกย่องเป็นจอมของสิ่งสารพัด ทั้งความมั่งคั่งและเกียรติมาจากพระองค์ และพระองค์ทรงครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่ง ฤทธานุภาพและมหิทธิฤทธิ์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และอยู่ที่พระหัตถ์ของพระองค์ที่จะทรงกระทำให้ใหญ่ยิ่งและประทานกำลังแก่ทั้งมวล”
การวางใจพระเจ้าเป็นเรื่องที่ยากจริงๆ ฉันทำไม่ได้ มันยากมาก ขอบอก! แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงอยู่ฝ่ายฉัน ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพระองค์ อย่างไรก็ตาม ฉันรู้ว่าจะต้องพบกับสนามสอบเรื่องการวางใจในมิติที่ยากขึ้นเรื่อยๆ และการถ่อมใจเท่านั้นที่จะทำให้ฉันผ่านไปได้ ขอพระเจ้าทรงโปรดเมตตาช่วยฉันในเรื่องนี้ [สดด.25:9] “พระองค์ทรงนำคนใจถ่อมไปในสิ่งที่ถูก และทรงสอนมรรคาของพระองค์แก่คนใจถ่อม”
ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงอภัยให้เมื่อฉันกลับใจ ฉันต้องเก็บแผนงานทุกอย่างที่คิดไว้พับใส่กระเป๋าและโยนลงทะเลไป และจะไม่ขุดมันขึ้นมาอีก พร้อมทั้งมอบงานทั้งสิ้นไว้กับพระเจ้า ฉันไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้วว่าฉันจะทำงานปัจจุบันได้นานแค่ไหน จะมีเงินเท่าไร จะเป็นอะไร จะทำอะไรในอนาคต (Pray before Plan) …และแล้วสันติสุขซึ่งเกินความเข้าใจก็ซาบซ่านอยู่ในวิญญาณจิต
โธ่ เธอจ๋า ถ้าวางใจพระเจ้าซะตั้งแต่แรก ก็ไม่ต้องเป็นไมเกรนแล้ว!

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สิ่งที่ดีที่สุด

สิ่งที่ดีที่สุด

วันที่ 23/6/2009
[สดด.84:10]
เพราะวันเดียวในบริเวณพระนิเวศของพระองค์ ดีกว่าพันวันในที่อื่น…
บทเรียนล้ำค่าล่าสุดซึ่งฉันได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้งจากประสบการณ์ชีวิตในช่วง 1 เดือน ที่ผ่านมา คือ เคล็ดลับแห่งการดำเนินชีวิตที่จะไม่พลาดจากสิ่งที่ดีที่สุด…ดูเหมือนว่าระยะเวลาที่ผ่านมาฉันได้ประจักษ์แก่ใจแล้วว่า สิ่งที่ดีที่สุดคืออะไร หากว่าในทางปฏิบัติฉันยังคงห่างไกลจากสิ่งนั้นมากนัก แต่พระเจ้าผู้ทรงเป็นยอดดวงใจของฉัน ทรงรักฉันเกินกว่าที่จะให้ฉันจมปลักอยู่กับหลุมตมแห่งความผิดพลาดนั้น
ฉันสนุกสนานกับการใช้ชีวิตมาก ซึ่งฉันเข้าใจไปเองว่าเป็นการใช้ชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้า แต่พระเจ้าก็ทรงสอนฉันอย่างรวดเร็วว่า ฉันหลงผิดไป ด้วยว่าฉันทำหลายสิ่งหลายอย่างมากเกินไป ในขณะที่งานประจำที่ทำอยู่ก็ยุ่งอยู่แล้ว ดังนั้น หลังเลิกงานและวันหยุด ฉันจึงควรจะพักผ่อน และใช้เวลาอยู่ที่แทบพระบาทของพระเจ้า แต่ฉันกลับทำหลายสิ่งมากเกินไป ทั้งการสอนภาษาอังกฤษหลังเลิกงานเพื่อการประกาศ การเรียนพระคัมภีร์ภาคค่ำ และการร่วมกิจกรรมอื่นๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าทุกสิ่งที่ฉันทำล้วนเป็นสิ่งดีทั้งสิ้น แต่ฉันลืมไปว่ามนุษย์มีความจำกัดในทุกด้าน ทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา กิจกรรมตลอดทั้งสัปดาห์ของฉันทำให้ฉันเหนื่อยอ่อน ตื่นเช้ามาก็ไม่มีแรง เกิดอาการเพลีย อ้าว! ถ้าอย่างนั้นนอนต่อดีกว่า คร่อก ฟี้! เมื่อตื่นมาอีกทีก็ต้องรีบไปทำงานซะแล้ว ฉันจึงพลาดการเฝ้าเดี่ยวในช่วงเช้า เมื่อเป็นเช่นนี้อยู่หลายวัน ก็เริ่มไม่มีสันติสุข แม้ว่าตลอดทั้งวันฉันสามารถอธิษฐาน ร้องเพลงนมัสการเบาๆ หรือตรึกตรองถึงข้อพระคัมภีร์ที่สามารถจำได้ แต่สิ่งเหล่านี้มิอาจทดแทนเวลาแห่งสันติสุขที่ฉันพักสงบอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าตามลำพังได้เลย
พระวิญญาณทรงสอนฉันอย่างอ่อนสุภาพ ทำให้ฉันระลึกถึงคำพูดหนึ่งจากพี่เลี้ยงฝ่ายวิญญาณว่า “อย่าลืมสิ่งที่ดีที่สุด” วลีที่เธอกล่าวนี้ฝังอยู่ในใจฉัน และฉันก็พบข้อความทำนองนี้อีกจากการอ่านหนังสือ “ไฟของพระเจ้า” โดย จอย ดอว์สัน (หน้า 84) “สิ่งดีเป็นศัตรูกับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ” และฉันก็พบข้อความนี้อีกครั้งในเช้าวันหนึ่งขณะเฝ้าเดี่ยวด้วยหนังสือ “สุดหัวใจแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าสูงสุด” โดย ออสวอลล์ แชมเบอรส์ …ใช่แล้ว ฉันทำสิ่งที่ดีหลายอย่าง จนกระทั่งฉันพลาดสิ่งที่ดีที่สุดไป
[มธ.26:40] …"เป็นอย่างไรนะ ท่านทั้งหลายจะคอยเฝ้าอยู่กับเราสักทุ่มเดียวไม่ได้หรือ”
คำตรัสของพระเยซูประโยคนี้ตามติดฉันไปทุกที่ เป็นเสียงเร่งเร้าจากภายในที่รอการตอบสนอง ซึ่งนำฉันไปสู่การกลับใจอีกครั้งหนึ่ง ต้องกลับมาทบทวนกิจกรรมในแต่ละวันของตนเองว่าสิ่งใดที่ควรทำต่อ หรือสิ่งใดที่ควรตัดออก เพื่อคงความสัมพันธ์ที่แนบสนิทกับองค์พระเยซูได้ลึกซึ้งดังเดิมหรือยิ่งกว่าเดิม
พี่เลี้ยงฝ่ายวิญญาณตลอดทั้งอาจารย์หลายท่านได้เตือนสติเสมอว่า เราไม่จำเป็นต้องไล่ตามผู้อื่น ด้วยการแสวงหาของประทานฝ่ายวิญญาณ หรือการเติมเต็มความรู้ต่างๆ โดยเข้าร่วมการสัมมนาทุกรายการ มีการฟื้นฟูที่ไหนก็ตามไปที่นั่น ทั้งนี้ เพราะพระเจ้าทรงอยู่กับเรา ทรงสถิตอยู่ในทุกอณูใจของเรา แต่เราเองต่างหากที่ละเลยพระองค์ไป (การสัมมนา และฟื้นฟูต่างๆ เป็นสิ่งที่ดี แต่จะมีประโยชน์อะไรเล่า หากเรามิได้มีชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว)
เราทุกคนต้องระวังที่จะไม่รับใช้พระเจ้าจนไม่มีเวลาส่วนตัวกับพระองค์ องค์พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างที่ยอดเยี่ยม พระองค์มิได้ทรงใช้เวลารับใช้ประชาชนมากกว่าที่จะสามัคคีธรรมและอธิษฐานต่อพระบิดาอย่างเป็นส่วนตัว การอธิษฐานเป็นสิ่งสำคัญอย่างชัดเจนสำหรับพระองค์
[มก.1:35]
ครั้นเวลาเช้ามืดพระองค์ได้ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่เปลี่ยว และทรงอธิษฐานที่นั่น
[ลก.4:42]
ครั้นรุ่งเช้า พระองค์เสด็จออกไปยังที่เปลี่ยว …
[ลก.5:16]
แต่พระองค์เสด็จออกไปในที่เปลี่ยวและทรงอธิษฐาน
แม้กระทั่งก่อนที่พระองค์จะทรงกระทำพันธกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็ทรงอธิษฐานจนพระเสโทของพระองค์เป็นเหมือนเลือด [ลก.22:44] เมื่อพระองค์ทรงเป็นทุกข์มากนัก พระองค์ยิ่งปลงพระทัยอธิษฐาน พระเสโทของพระองค์เป็นเหมือนโลหิตไหลหยดลงถึงดินเป็นเม็ดใหญ่ แม้แต่ขณะนี้ วินาทีนี้ พระองค์ก็มิทรงหยุดที่จะอธิษฐานเพื่อเรา [ฮบ.7:25] ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงสามารถเป็นนิตย์ที่จะช่วยคนทั้งปวง ที่ได้เข้ามาถึงพระเจ้า โดยทางพระองค์นั้นให้ได้รับความรอด เพราะว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ เพื่อช่วยทูลขอพระกรุณาให้คนเหล่านั้น
โอ พระเจ้า มีฤทธิ์เดชอยู่ที่นั่น! เมื่อเราติดสนิทกับพระองค์ ณ ที่ประทับของพระองค์ ที่ประทับของพระองค์เป็นที่รักจริงๆ…เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องรู้ว่าหน้าที่ในพันธกิจหลักของเราคืออะไร เพื่อเราจะอยู่ในขอบเขตเหล่านั้น โดยไม่หลุดออกนอกทางเนื่องจากแรงกดดันของคนรอบข้าง คำร้องขอหรือความคาดหวังของใครบางคน หรือแม้แต่ความคาดหวังของตัวเราเอง… [ยก.4:17] เหตุฉะนั้นผู้ใดรู้ว่าอะไรเป็นความดีและไม่ได้กระทำ คนนั้นจึงมีบาป
เมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว ฉันก็ต้องกลับใจใหม่ ขอการชำระจากพระเจ้า บอกพระองค์ว่า พระองค์เป็นที่หนึ่งในชีวิตของฉัน นอกจากพระองค์แล้ว ฉันไม่ปรารถนาผู้ใด [สดด.73:25] นอกจากพระองค์ ข้าพระองค์มิมีผู้ใดในฟ้าสวรรค์ นอกจากพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาใดใดในโลก…
มนุษย์จำเป็นต้องมีความสมดุลในทุกๆ ด้านของชีวิต ความสมดุลจะต้องอยู่ทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และจิตวิญญาณ… ฉันจึงเริ่มตัดกิจกรรมบางรายการที่ดึงเวลาของฉันไปจากพระเจ้า Wow! เพื่อสันติสุขซึ่งเกินความเข้าใจก็อยู่กับฉันอีกครั้ง
ลดหรือตัดสิ่งที่ดีออก เพื่อที่จะไม่พลาดสิ่งที่ดีที่สุด!
บทเรียนเรื่องนี้เข้มข้นยิ่งขึ้นอีก เพราะการตีสอนยังมิหยุดแค่นั้น ฉันมีอาการทางร่างกายด้วย กล่าวคือ ปวดศีรษะอย่างรุนแรง และบางครั้งก็มีอาการคันตามร่างกาย บางคืนต้องตื่นมากลางดึกเพราะปวดศีรษะมากจนน้ำตาไหล หรือบางครั้งก็คันมากจนนอนไม่ได้ ฉันไม่รู้ว่าอาการที่ฉันเป็นนั้นเกิดจากสาเหตุใด ทว่า ในราตรีอันมืดมิด ฉันต้องต่อสู้ด้วยการนมัสการและอธิษฐานอย่างหนักโดยลำพัง
สวัสดิการอย่างหนึ่งของบริษัทคือการตรวจสุขภาพประจำปี ซึ่งปีนี้ผลการตรวจสุขภาพของฉันอยู่ในเกณฑ์ปกติ ยกเว้นความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดที่มีค่าสูงเกินปกติเล็กน้อย ซึ่งได้รับการแนะนำให้ไปตรวจซ้ำ เมื่อศึกษาถึงสารตัวนี้ก็พบว่า สามารถเกิดในผู้ที่เป็นภูมิแพ้ หรือโรคพยาธิ เมื่อเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็บอกว่า “เธอต้องมีพยาธิแน่ๆ เลย เธอถึงได้ผอมขนาดนี้” แต่ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะมีพยาธินะ ฉันรู้ว่าที่ตนเองผอม เนื่องจากการเลือกรับประทานอาหาร และกิจกรรมที่ทำอยู่ในแต่ละวันก็เผาผลาญพลังงานค่อนข้างมาก ฉันจึงคิดไปว่าตนเองต้องมีอาการแพ้อะไรบางอย่างแน่เลย เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นเพราะวันก่อนไปกินส้มตำปูมา เกี่ยวไหมนะ จากนั้นก็พิจารณาไปทีละรายการว่าเกิดจากอะไร อาหาร อากาศ ความสะอาด หรืออื่นๆ …เออ! แล้วทำไมไม่ไปหาหมอละตัวเอง
ฉันไปพบแพทย์เมื่อวันจันทร์ที่ 15/6/2009 ผ่านมา คุณหมอวิเคราะห์อาการแล้วก็บอกว่าเป็นไมเกรนนะหนู ไมเกรนเกิดจากความเครียด ไอ๋หยา! ฉันไม่เคยคิดว่าคริสเตียนจะเป็นไมเกรน เป็นคริสเตียนต้องมีความสุขสิ จะเครียดได้ยังไง ฉะนั้นไมเกรนของหนูไม่ได้เกิดจากอาการเครียดแน่นอนคะคุณหมอ หนูร้องเพลงทุกวันเลย หนูมีความสุขดีออก มีสาเหตุอื่นอีกหรือเปล่าคะ หมอทำท่าหนักใจ แล้วบอกว่า ไม่เครียดก็ไม่เครียด ดีแล้วที่ไม่เครียด แต่ไมเกรนก็อาจจะเกิดจากร่างกายอ่อนล้า พักผ่อนไม่เพียงพอด้วย เอ้อเหอ พอฟังแบบนี้ก็ค่อยพูดกันรู้เรื่องหน่อยหนึ่ง คือ ยังไงก็ไม่ยอมรับว่าตัวเองเครียด คุณหมอก็ให้ยามารับประทาน หลายขนานด้วยกัน ยาทุกตัวระบุไว้ด้วยว่า “ทานแล้วจะเกิดอาการง่วงซึม” และหมอยังให้ยาแก้แพ้มาด้วย แต่หมอบอกว่า ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดไม่ได้สูงเกินปกติมาก (ค่า Eosinophil สูงกว่า 3%) อาการแพ้จึงไม่น่าเป็นห่วง และไม่ต้องตรวจเลือดซ้ำด้วย รอไปตรวจอีกทีตอนครบรอบปีก็ได้ ถ้าร่างกายแข็งแรง พักผ่อนเพียงพอ ก็จะไม่มีอาการแพ้ แต่สรุปว่า เมื่อกินยาครบทุกตัวแล้ว สลบเลยคะท่าน
เต็มๆ เลยค่ะ กับบทเรียนนี้ที่ถูกเตือนทางวิญญาณจิต และทางร่างกาย ฉะนั้นแล้ว ก็ต้องเลิกทำกิจกรรมดีๆ บางรายการ ฉกฉวยวาระแห่งความชื่นชมยินดีไว้เสมอ ซึ่งการผ่อนคลายของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บ้างก็ ชอปปิ้ง เสริมสวย นวดสปา เล่นดนตรี กีฬา วาดรูป เลี้ยงสัตว์ ปลูกต้นไม้ ทำกับข้าว ท่องเที่ยว อ่านหนังสือ ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อที่จะไม่พลาดสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อจะสามารถดูแลพระวิหารของพระเจ้า จะได้รับใช้พระเจ้าไปได้นานๆ ด้วยความชื่นชมยินดี และสันติสุขอันเปี่ยมล้น [1คร.6:19] ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเคสส่วนตัวนะคะ คนอื่นอาจจะแตกต่างกันออกไป ฉะนั้น กรณีของผู้อื่นที่เกิดขึ้นคล้ายๆ ฉัน พระเจ้าอาจจะทรงมีแผนการและพระประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป
ฉันยอมรับแล้วคะว่าตนเองเครียด ซึ่งสาเหตุมีหลายประการด้วยกัน คือ
1. งานประจำที่ทำอยู่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ และมีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้ต้องทำงานแข่งกับเวลา และมีความกดดันว่า งานต้องออกมาดีที่สุด
2. เวลาเลิกงานปกติคือ 17.00 น. แต่หลายครั้งไม่สามารถเลิกงานตรงเวลาได้ เพราะงานด่วนเข้าตอนบ่ายหรือใกล้ๆ เลิกงาน ทำให้วันที่ต้องไปสอนหรือไปเรียนนั้นต้องลุ้นอยู่ตลอดเวลาว่า จะไปสอนทันไหม จะไปเรียนทันไหม
3. หลายครั้งเลิกงานตามปกติได้ แต่ต้องหอบงานมาทำที่บ้านหลังเลิกงาน หรือเสาร์อาทิตย์
4. เป็นคนไม่ชอบนั่งมอเตอร์ไซด์ เวลานั่งมอเตอร์ไซด์ไกลๆ แล้วไข้จะกินซะให้ได้ สารภาพเลยว่ากลัวมาก นั่งไปอธิษฐานไป แต่การนั่งมอเตอร์ไซด์เป็นวิธีที่ประหยัดและรวดเร็วที่สุดในวันไปเรียน จาก office ไปโรงเรียน
5. เป็นคนไม่ชอบนั่งแท็กซี่คนเดียว โดยเฉพาะเวลากลางคืน แต่ก็จำเป็นต้องนั่งในวันไปเรียน นั่งไปก็อธิษฐานไป “พระองค์เจ้าข้า ลูกอยากกลับถึงบ้านเร็วๆ”
เมื่อรู้สาเหตุของการเครียดแล้วก็ต้องเยียวยาทีละรายการ เพราะการเครียดบ่งบอกถึงการไม่ไว้วางใจองค์พระผู้เป็นเจ้า น้ำพระทัยของพระองค์คือ การประทานสวัสดิภาพไม่ใช่ทุกขภาพ
[ยรม.29:11] พระเจ้าตรัสว่า เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า

วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ผู้ลำบากเหน็ดเหนื่อย

ผู้ลำบากเหน็ดเหนื่อย

วันที่ 12/6/2009
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 24/5/2009 ที่ผ่านมา ณ คริสตจักรนิมิตใหม่ มีน้องหนึ่งเป็นผู้นำนมัสการ ซึ่งเพลงหนึ่งที่ทีมนมัสการนำเราร้องคือ “ผู้ลำบากเหน็ดเหนื่อย” เนื้อร้องมีดังนี้
ผู้ลำบากเหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก จงเข้ามาหาพระเยซู พระองค์จะให้เรา หายเหนื่อยและ เป็นสุข จงมอบชีวิตแด่พระองค์ ***พระองค์จะเสริมเรี่ยวแรง ให้เข็มแข็งในหัตถ์พระองค์ เราจะเดินไปและจะไม่เหน็ดเหนื่อย พระองค์จะเสริมกำลังเรี่ยวแรง ให้เต็มล้นด้วยไฟพระวิญญาณ เราจะบินไป เหมือนนกอินทรี
โอ้โห! โดนใจสุดๆ กำลังเหน็ดเหนื่อยอยู่พอดี เพราะช่วงก่อนหน้านั้นทำงานหนักจนถึงดึกดื่น สองสามคืนติดกัน พอเช้าวันอาทิตย์ตื่นมาก็ไม่มีแรง เพลียมากๆ แต่ก็ขอบคุณพระเจ้า ยังฮึดสู้ลุกขึ้นมา และแหกปากร้องเพลง “ผู้ลำบากเหน็ดเหนื่อย” ลั่นบ้าน และก็นมัสการพระเจ้าต่ออีกหลายเพลง เมื่อมาโบสถ์แล้วได้ร้องเพลงนี้อีก…ซาบซึ้ง ซาบซึ้ง
พลังแห่งการนมัสการช่างสดชื่นงดงามจริงๆ…และแล้วจิตสำนึกก็เตือนให้กลับใจ เพราะตอนแรกจะไม่ไปโบสถ์เนื่องจากเหนื่อยและเพลียมาก แต่นั่นเป็นความคิดที่ผิด ถึงแม้ว่าเราจะนมัสการพระเจ้าเป็นการส่วนตัวแล้วก็จริง แต่เราก็ต้องนมัสการพระเจ้าร่วมกับพี่น้องด้วย [ฮบ.10:25 อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนที่ขาดอยู่นั้น แต่จงพูดหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะท่านทั้งหลายก็รู้อยู่ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว] หากขาดการประชุมที่โบสถ์ด้วยเหตุผลอันไม่สมควร ก็เป็นบาปเช่นกัน
เมื่อได้ร้องเพลงนี้ร่วมกับพี่น้องในโบสถ์แล้ว ก็สัมผัสได้ถึงพระกำลังจากพระเจ้าจริงๆ ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ท้อแท้ ก็พลันมลายไป…ขอบคุณพระเจ้า
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระสัญญาของพระองค์ที่ตรัสไว้ [มธ.11:28 บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข] พระเจ้าของเราเป็นจอมราชาผู้ยิ่งใหญ่ ทรงพระสิริเลิศล้ำ ไม่มีผู้ใดเปรียบปานพระองค์ ไม่มีใครเคยเห็นพระพักตร์ของพระองค์ และเราก็มิควรที่จะเห็นพระองค์ด้วย พระองค์จึงเป็นพระเจ้าผู้ทรงไม่ประจักษ์แก่ตา ทว่า ทรงเป็นพระเจ้าผู้ที่ประจักษ์แก่ใจ เราสามารถพบพระองค์และสัมผัสพระองค์ได้ด้วยหัวใจของเรา พระองค์เป็นผู้เดียวซึ่งสมควรที่เราจะนมัสการ ทรงประทับเหนือคำสรรเสริญ ทรงเทฤทธิ์เดชลงมาเหนือประชากรของพระองค์ขณะที่เขาเหล่านั้นนมัสการ เมื่อเรามาหาพระองค์ เราจึงหายเหนื่อย และเราเป็นสุขจริงๆ…ฮาเลลูยา
พระเจ้าทรงให้เราหายเหนื่อย เป็นสุข ทรงเสริมกำลังให้กับเรา แข็งแกร่งดุจนกอินทรีเลยเชียวนะ [อสย.40:31 แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระเจ้าจะเสริมเรี่ยวแรงใหม่ เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี เขาจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย เขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย]
แล้วคุณละคะ วันนี้รู้สึกลำบากหรือเหน็ดเหนื่อยด้วยเรื่องใดอยู่หรือไม่…พระเจ้าอยู่กับคุณนะคะ พระองค์ปรารถนาให้คุณติดสนิทกับพระองค์! หรือหากว่าวันนี้คุณอยู่สุขสบายดี พระองค์ก็ยังทรงปรารถนาให้คุณติดสนิทกับพระองค์เช่นกัน
ขอยืมคำคม คำขวัญของชาวบ้านมาแบ่งปันหน่อยนะคะ…จะอย่างไรก็พระเจ้า
Happy moments, PRAISE GOD
Difficult moments, SEEK GOD
Quiet moments, WORSHIP GOD
Painful moments, TRUST GOD
Every moment, THANK GOD
เช่นนี้แล้ว เรามานมัสการพระเจ้าร่วมกันนะคะ พบกันที่คริสตจักรนิมิตใหม่ วันเสาร์ที่ 13/6/2009 เวลา 18.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการนมัสการและอธิษฐาน “Praise & Pray” ที่จัดขึ้นทุกวันเสาร์ สัปดาห์ที่ 2 ของทุกเดือน…และแน่นอนว่า พบกันทุกวันอาทิตย์ โดยเริ่มนมัสการเวลา 10.30 น. ห้ามพลาดเด็ดขาด…ช้าหมด อดฟังเพลงบางเพลงนะคะ

บทเรียนจากนกอินทรี
นกอินทรี เป็นนกที่สง่างามกว่านกทั้งหลายและ ถูกกล่าวถึง 36 ครั้งในพระคัมภีร์มาก กว่านกอื่นๆ โดยทั่วไปนกอินทรีที่โตเต็มที่จะสูงถึง 90 ซม. และเมื่อกางปีกจะยาวถึง 2 ม. นกอินทรีมีชีวิตยืนยาวที่สุดในบรรดาสัตว์ปีก คือ 70 ปี แต่นกอินทรีจะต้องพบการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของมันเมื่ออายุได้ 40 ปี
เมื่ออายุ 40 ปี จงอยปากที่แหลมคมเริ่มโค้งงอ กรงเล็บเริ่มใช้การไม่ค่อยได้ ปีกที่หนาและหนัก ขนที่ยาวรุงรังจะไปรวมกันที่อกของมันทำให้มันบินได้ลำบากมากขึ้นร่างกายของมันจึงอ่อนแอเกินกว่าจะบินขึ้นและหาอาหารอย่างเข้มแข็งได้อีก ในช่วงเวลานั้นมันจะมีทางเลือกอยู่ 2 ทาง คือตายไปพร้อมกับความอ่อนแอหรืออยู่ต่อไป ซึ่งต้องเผชิญความเจ็บปวดอย่างสุดๆกับขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงชีวิต ซึ่งยาวนานถึง 150 วัน นี่คือช่วงเวลาแห่งการรอคอย
ในช่วงเวลานี้มันจะต้องบินขึ้นไปบนยอดเขาสูง และอยู่ที่รังของมัน ต้องคอยใช้จงอยปากที่โค้งทื่อของมันจิกเคาะกับก้อนหิน และกรงเล็บกระแทกไปที่ก้อนหินครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งจงอยปากมีเลือดไหลและหลุดออกมา จากนั้นมันจะต้องรอให้จงอยปากอันใหม่งอกขึ้นมา เช่นเดียวกับกรงเล็บ ที่จะงอกขึ้นมาใหม่ด้วย เมื่อกรงเล็บใหม่ที่งอกขึ้นมาสมบูรณ์แล้ว มันก็จะเริ่มใช้จงอยปากใหม่ จิกถอนขนที่ดกหนาทั้งหมดทิ้งเสีย เพื่อการผลัดขนใหม่ทั้งหมด หลังจาก 5 เดือนหรือ 150 วันผ่านไป ขั้นตอนแห่งการรอคอยหรือขั้นตอนแห่งการเปลี่ยนแปลงก็จะเสร็จสมบูรณ์ นกอินทรีก็จะบินสูงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง และจะมีชีวิตที่ยืนยาวและเข้มแข็งต่อไปได้อีก 40 ปี....

วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2552

อย่าเล่นกับไฟ

อย่าเล่นกับไฟ
วันที่ 8/6/2009

Spark!!! เคยเห็นประกายไฟไหมคะ…ฉันนั้นพบเจอมาสดๆ ร้อนๆ เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง ขณะที่ความขยันขันแข็งเข้มข้น กำลังจะรีดผ้า พลันก็หยิบปลั๊กสามตาขึ้นมา เพื่อต่อเข้ากับเต้าเสียบ แต่ไฟกลับไม่วิ่งแฮะ ทำไงดี…ว่าแล้วก็ลองย้ายไปเสียบที่เต้าเสียบอันอื่น แต่ไฟก็ไม่วิ่งอีกแล้วครับท่าน เอ? เกิดอะไรขึ้นนะ ว่าแล้วก็เขย่าปลั๊กสามตา ดึงสายไปมา แล้วก็…พรึบ พรึบ พรึบ! ประกายไฟแลบแปลบออกมา หัวใจข้อยสิวายให้ได้ ต๊กกะใจหมดเลย แต่ในฉับพลันเช่นกัน ทุกอย่างก็เงียบสนิท ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทิ้งไว้แต่หัวใจตุ้มๆ ต่อมๆ วันนั้นจึงไม่ได้รีดผ้าอย่างที่ตั้งใจ
เมื่อไม่ได้รีดผ้า ก็อะฮ่า ดูทีวีดีกว่า แต่พอเสียบปลั๊กทีวีแล้วไฟไม่เข้าแฮะ ก็เลยลองไปเสียบปลั๊กที่จุดอื่นดู ปรากฎว่าเต้าเสียบทุกอันในบ้านไม่ทำงานซะงั้น จึงโทรเรียกช่างไฟมาตรวจสอบให้ เมื่อช่างไฟถามสาเหตุแล้วก็ไปสับคัตเอ้าท์ขึ้น “แค่นี้เองหรือน้อง” เป็นคำถามจากคนไม่รู้อย่างฉัน “ครับพี่…ตอนที่พี่เล่น เอ้ย! ดึงปลั๊กสามตาน่ะ ไฟมันก็ช็อตนะสิ แล้วก็เกิดประกายไฟ แต่ที่นี่มีระบบตัดไฟอัตโนมัติ พี่จึงไม่เป็นอะไร” อะจึ๋ย! นี่รอดตายมาได้ ยังไม่รู้ตัวอีกนิ ถ้าไม่มีระบบตัดก่อนตาย เตือนก่อนวายวอดละก็ มีหวัง อาจจะต้องเข้าโรงพยาบาล หรืออาจจะไม่ได้มานั่งเขียนเรื่องแบบนี้อีก…ตอนเย็นที่ผ่านมา เพิ่งดูข่าวช้างเชือกหนึ่งล้ม (ตาย) เพราะเอางวงไปตวัดต้นไผ่ ตั้งใจจะกินให้อร่อยซะหน่อย แต่ดันไปตวัดสายไฟที่พาดผ่านอยู่ที่ต้นไผ่ลงมาด้วย จึงถูกไฟช็อต ซี้แหงแก๋อย่างไม่ตั้งใจ น่าสงสารพี่ช้างมาก…และแล้วฉันก็ต้องขอบคุณพระเจ้าที่ทรงช่วยกู้ชีวิตอีกครั้งหนึ่ง…วันนี้ที่เราอยู่รอด มีชีวิตมีลมหายใจอยู่ได้ เราต้องขอบคุณพระเจ้ามากๆ พระองค์ทรงปกป้องเราไว้ โดยที่หลายครั้งเราไม่รู้ และหลายครั้งเราลืมที่จะขอบคุณพระองค์
ขอย้อนเวลากลับไปแบ่งปันคำเทศนาบางส่วนจาก อ.มาร์ค แซนด์ลิน เมื่อปลายเดือนที่แล้วนิดหนึ่งนะคะ อาจารย์ได้หยิบยกพระคำจากเอเสเคียลบทที่ 16 ขึ้นมาเทศนา ทำให้เห็นภาพความรักของพระเจ้าชัดเจนยิ่งขึ้น
โดยพระคุณ สู่พระพร สู่พระสิริ
ด้วยอำนาจความรักของพระเจ้า เราจึงมีชีวิตอยู่โดยพระคุณของพระองค์
ด้วยอำนาจความรักของพระเจ้า เราจึงได้รับการเลี้ยงดู ได้รับสิ่งที่พึงมีในโลก ด้วยพระพรจากพระองค์
ด้วยอำนาจความรักของพระเจ้า เราจึงเข้าสู่พระสิริของพระองค์
[อสค.16:4-6] 4พูดถึงกำเนิดของเจ้า ในวันที่เจ้าเกิดมานั้นเขามิได้ตัดสายสะดือ และเขาก็มิได้ล้างชำระเจ้า มิได้เอาเกลือถู มิได้เอาผ้าพันเจ้าไว้ 5ไม่มีตาสักดวงหนึ่งสงสารเจ้า ที่จะเมตตาเจ้าและกระทำสิ่งเหล่านี้ให้เจ้า เจ้าถูกทอดทิ้งในพื้นทุ่งเพราะในวันที่เจ้าเกิดนั้นเจ้าเป็นที่รังเกียจ 6"และเมื่อเราผ่านเจ้าไป เห็นเจ้าดิ้นกระแด่วๆอยู่ในกองโลหิตของเจ้า เราก็พูดกับเจ้าในกองโลหิตของเจ้าว่า 'จงมีชีวิตอยู่’
เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ให้เรามีชีวิตอยู่ แม้ว่าจะไม่มีใครสนใจเรา แม้ว่าจะดิ้นกระแด่วๆ แทบตายก็ไม่มีใครแยแส แม้ว่าโลกนี้จะรังเกียจเรา แต่พระเจ้าทรงรักเรา ทรงประทานชีวิตให้เรา ทั้งๆ ที่เราเป็นคนบาป เราควรจะถูกโยนลงไปในบึงไฟนรกซะมากกว่า แต่พระองค์กลับทรงให้ชีวิต ดังนั้น การมีชีวิตอยู่ จึงเป็นเหตุที่มากเหลือประมาณซึ่งเราควรสรรเสริญและขอบคุณพระองค์
[อสค.16:7-14] 7และเติบโตขึ้น เราจะกระทำให้เจ้าเหมือนอย่างพืชในท้องนา' เจ้าก็เติบโตและสูงขึ้นจนเป็นสาวเต็มตัว ถันของเจ้าก็ก่อรูปขึ้นมา และขนของเจ้าก็งอก แต่เจ้าเปลือยเปล่าและล่อนจ้อน 8"และเมื่อเราผ่านเจ้าไปอีกครั้งหนึ่งและมองดูเจ้า ดูเถิดเจ้ามีอายุรู้จักรักแล้ว เราก็ขยายร่มปีกคลุมเจ้าและปกคลุมความเปลือยเปล่าของเจ้าไว้ พระเจ้าตรัสว่า เออ เราก็ปฏิญาณและกระทำพันธสัญญากับเจ้า และเจ้าก็เป็นของเรา 9และเราก็เอาเจ้าอาบน้ำ ล้างโลหิตเสียจากเจ้า และเจิมเจ้าด้วยน้ำมัน 10เราแต่งตัวเจ้าด้วยเสื้อปัก และเอารองเท้าหนังทาฆัซสวมให้เจ้า เราพันเจ้าไว้ด้วยผ้าป่านเนื้อละเอียดและคลุมเจ้าไว้ด้วยผ้าราคาแพง 11เราแต่งตัวเจ้าด้วยเครื่องอาภรณ์ สวมกำไลมือให้เจ้า และสวมสร้อยคอให้เจ้า 12เราเอาแหวนใส่จมูกเจ้า และใส่ตุ้มหูที่หูของเจ้า และสวมมงกุฎไว้บนศีรษะของเจ้า 13เราก็ประดับเจ้าด้วยทองคำและเงิน และเสื้อผ้าของเจ้าก็เป็นผ้าป่านเนื้อละเอียด ผ้าราคาแพงและผ้าปัก เจ้ากินยอดแป้ง น้ำผึ้ง และน้ำมัน เจ้างามเลิศทีเดียว และเจ้าเจริญขึ้นเป็นชั้นจ้าว14ชื่อเสียงของเจ้าก็ลือไปท่ามกลางประชาชาติเพราะความงามของเจ้า ด้วยความงามนั้นก็สมบูรณ์ทีเดียวเนื่องจากความสง่างามที่เราได้ทุ่มเทให้เจ้า พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ
มิเพียงแค่มีชีวิตอยู่ แต่พระองค์ทรงยกเราขึ้นสู่ที่สูง ทรงให้เติบโตขึ้น และรับมรดกจากการทรงสร้างของพระองค์ เราจึงไม่ขาดของดีแม้สักสิ่งเดียว เรามีทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตของเรา…เป็นพระพรจากพระองค์
[อสค.16:15] 15"แต่เจ้าวางใจในความงามของเจ้า และได้เล่นชู้เพราะชื่อเสียงของเจ้าไม่ว่าผู้ใดจะผ่านมา เจ้าก็ให้หลงระเริงไปด้วยการเล่นชู้ของเจ้า 16เจ้าเอาเสื้อผ้าของเจ้าบ้าง และเจ้าได้สร้างบรรดาปูชนียสถานสูง ประดับอย่างหรูหรา แล้วก็เล่นชู้อยู่บนนั้น ไม่เคยมีเหมือนอย่างนี้ ต่อไปก็ไม่มีเหมือน 17เจ้ายังเอาเครื่องรูปพรรณอันงามของเจ้า ซึ่งเป็นทองคำของเราและเงินของเรา ซึ่งเราได้ให้แก่เจ้า แล้วเจ้าสร้างเป็นรูปผู้ชายสำหรับเจ้า และเจ้าก็เล่นชู้อยู่กับรูปเหล่านั้น 18เจ้าเอาเครื่องแต่งตัวที่ปักไปห่มรูปเหล่านั้นไว้ และวางน้ำมันและเครื่องหอมของเราไว้ข้างหน้ามัน 19อาหารที่เราให้แก่เจ้าก็เหมือนกัน คือเราเลี้ยงเจ้าด้วยยอดแป้ง น้ำมันและน้ำผึ้ง เจ้าก็เอามาวางข้างหน้ามัน ให้เป็นกลิ่นหอมที่พึงใจ และก็เป็นอย่างนั้น พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ 20ยิ่งกว่านั้นอีก เจ้าได้นำบุตรชายของเจ้าและบุตรหญิงของเจ้า ซึ่งเจ้าได้ให้บังเกิดมาเพื่อเราและเจ้าก็ได้ถวายบูชาแก่มันเพื่อให้มันเผาผลาญ การเล่นชู้ของเจ้าเป็นสิ่งเล็กน้อยอยู่หรือ 21เจ้าจึงได้ฆ่าลูกของเราถวายแก่รูปเหล่านั้นโดยให้ลุยไฟ 22ตลอดความลามกของเจ้าและการเล่นชู้ของเจ้า เจ้ามิได้จดจำวันที่เจ้ายังเด็กอยู่ เมื่อเจ้าเปลือยเปล่าและล่อนจ้อนดิ้นกระแด่วๆอยู่ในกองเลือดของเจ้า
เมื่อพระพรของพระเจ้าเต็มชีวิตของเรา เรากลับวางใจในทรัพย์สมบัติบนโลกเหล่านั้น หาได้แสวงหาพระเจ้าไม่ วิบัติจึงควรจะเกิดแก่เรา แต่ก็โดยอำนาจความรักของพระองค์อีกนั่นแหละ ที่ทรงโปรดยกโทษให้กับเรา ทรงชำระเรา ทรงฉายพระสิริของพระองค์ลงมายังชีวิตของเรา
ฉะนี้แล้ว เราจึงควรซาบซึ้งถึงความรักของพระองค์ ขอบคุณพระองค์ในทุกกรณี ละเว้นซึ่งความบาป คือไฟแห่งโลกที่จะเผาผลาญเราให้มอดไหม้ เราต้องทูลขอต่อพระเจ้าเสมอที่เราจะพ้นจากการทดลองและซึ่งชั่วร้าย เช่นเดียวกับที่องค์พระเยซูได้สอนให้เราทูลขอต่อพระบิดา [มธ.6:13 และขออย่านำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง แต่ขอให้พ้นจากซึ่งชั่วร้าย]
การทดลองและความชั่วร้ายเข้ามาในชีวิตเราหลายรูปแบบด้วยกัน ซึ่งสามารถสรุปได้หลักใหญ่ใจความดังนี้ วัยเด็ก จะถูกล่อลวงและทดลองโดย ของเล่น ขนม วัยรุ่น จะถูกล่อลวงและทดลองโดย เรื่องเพศ เพื่อน อินเตอร์เนท วัยผู้ใหญ่ จะถูกล่อลวงและทดลองโดย เงินตรา หน้าที่การงาน ชื่อเสียงและความสำเร็จ
เราจึงต้องระวังระไวอยู่เสมอ อย่าให้โอกาสแก่มาร [ยก.4:7 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงน้อมใจยอมฟังพระเจ้า จงต่อสู้กับมาร และมันจะหนีท่านไป]
ว่าแล้ว ฉันก็ต้องรีบสำรวจตรวจสอบตนเองเป็นการด่วนว่า ยังมีไฟบาปประการใดในชีวิตอีกหรือไม่ที่ต้องกำจัดโดยด่วน ขอไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะเผาผลาญไฟบาปแห่งเนื้อหนังในชีวิตของฉัน ฉันต้องพึ่งพาพระองค์อย่างมาก เพราะฉันปรารถนาที่จะเป็นผู้พิชิต ฉันต้องต่อสู้กับการล่อลวงและการทดลองต่างๆ ต้องเลิกเล่นกับไฟซะ เพื่อที่จะมิทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสียพระทัย [อฟ.4:30 และอย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสียพระทัย เพราะโดยพระวิญญาณนั้นท่านได้ถูกประทับตราหมายท่านไว้ เพื่อวันที่จะทรงไถ่ให้รอด]

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เพียงคลิกเดียว

เพียงคลิกเดียว
วันที่ 3/6/2009

สุขสันต์วันเปิดเทอมค่ะ…เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา เป็นวันเปิดเทอมของสถาบันการศึกษาหลายแห่ง ซึ่งที่ทำงานของฉันนั้นต้องผ่านมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของประเทศ คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดังนั้น ภาพที่เห็นจึงเป็นนิสิตหนุ่มสาววัยใสจำนวนมากมุ่งหน้าสู่รั้วสถาบันที่เขาและเธอคาดหวังว่าจะเป็นประตูสู่อนาคตอันรุ่งโรจน์
นิสิตบางคนก็เดินเข้าประตูคนเดียวด้วยอาการประหม่า แต่บ้างก็มากันเป็นกลุ่ม เล็กบ้างใหญ่บ้าง ตามขนาดของเขา พอเห็นอย่างนี้แล้วก็ทำให้หวนคิดไปถึงชีวิตวัยเรียนอันแสนตื่นเต้น เป็นช่วงชีวิตที่หอมละมุน เป็นช่วงที่กำลังถูกปรับแต่งเพื่อก้าวสู่ระดับของชีวิตที่สูงยิ่งขึ้น
ฉันเป็นคนหนึ่งที่ชอบเรียน แม้ว่าหลายครั้งจะสอบตกหรือโดดเรียนบ้างก็ตาม (แป่ว) แต่ตอนนี้เป็นคนใหม่แล้วคะ ไม่โดดเรียนอีกต่อไป ทั้งเมื่อถึงวันอาทิตย์ซึ่งต้องนมัสการพระเจ้า ฉันก็เข้าร่วมประชุมมิได้ขาด เพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์
หนุ่มสาวมากมายที่ชิงกันเข้าไปในรั้วมหาวิทยาลัยนั้น ต้องผ่านการคัดกรองมาอย่างหนัก ต้องฝ่าฝันอุปสรรคและเคี่ยวเข็ญตนเองให้อยู่หมัด กว่าจะมีวันนี้ วันที่เขาสามารถก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยอย่างเต็มภาคภูมิ
ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้ทำให้ฉันระลึกถึงแผ่นดินสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งผู้เชื่อทั้งหลายปรารถนาจะเห็นผู้คนมากมายชิงกันเข้าไปในแผ่นดินสวรรค์ [ลก.16:16 มีธรรมบัญญัติและผู้เผยพระวจนะมาจนถึงยอห์น ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ประกาศข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า และคนทั้งปวงก็ชิงกันเข้าไปในแผ่นดินนั้น]
แผ่นดินสวรรค์มิใช่เรื่องของคำพูด แต่เป็นเรื่องของฤทธิ์เดช ดังนั้น แผนการที่จะนำผู้คนมากมายเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์จึงมิอาจกระทำได้โดยลำพัง หากต้องพึ่งพาฤทธิ์เดชจากพระเจ้า เราทั้งหลายต้องร่วมมือกันจัดเตรียมทาง เพื่อสนองพระมหาบัญชาของพระองค์ [อสย.62:10 จงไป จงไปทางประตูเมือง จัดเตรียมทางไว้ให้ชนชาตินี้ จงพูน จงพูนทางหลวงขึ้น เก็บกวาดหินเสียให้หมด จงยกสัญญาณไว้เหนือชนชาติทั้งหลาย]
ก่อนหน้านี้ ฉันไม่กล้าแม้แต่จะเปิดปากเอ่ยถึงเรื่องราวของพระเจ้ากับคนที่ฉันพบ ตอนนั้นฉันอาย ฉันกลัวปฏิกิริยาการต่อต้านของพวกเขา ทั้งๆ ที่ หลายๆ คน ฉันไม่มีโอกาสได้พบกับเขาอีกตลอดทั้งชีวิต…ทว่า เหตุนี้ทำให้ต้องกลับใจ และขอบคุณพระเจ้า เมื่อเวลาผ่านไป ได้เรียนรู้ว่า พระวิญญาณจะทรงนำเสมอในการที่ฉันจะหว่านเมล็ดพันธ์จากแผ่นดินสวรรค์ลงในใจของผู้หลงหายเหล่านั้น หน้าที่ของฉันคือ เปิดปากพูดเท่านั้น แล้วพระวิญญาณจะทรงนำและดลให้สิ่งที่ออกจากปากของฉันเป็นถ้อยคำแห่งความรอด
เมื่อเดือนที่แล้วฉันมีโอกาสฟัง อ.Chris มิชชันนารีชาวสวิส ครูอาสาสมัครซึ่งสอนภาษาอังกฤษให้กับนักศึกษาที่ประตูน้ำเซ็นเตอร์ โดยในการสอนแต่ละครั้งนั้น จะแทรกเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าเข้าไปด้วยทุกครั้ง ครั้งนี้ก็เช่นกัน อ.Chris ได้เล่าเรื่องกำแพงให้เราฟัง
เพื่อนเกลือ เอ้ย! เพื่อนเกลอ 3 คน เอ้ย! 3 ตัว ได้แก่ พี่ลิง พี่เสือ และพี่งู เดินทางมาไกล แล้วมาหยุดยืนอยู่หน้ากำแพงแห่งหนึ่ง ทั้ง 3 เกลอ ปรารถนาอย่างยิ่งที่จะข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งของกำแพง ด้วยได้ยินเสียงร่ำลือมาว่า อีกฟากฝั่งหนึ่งของกำแพงมีความงดงามและอุดมสมบูรณ์เป็นนักหนา แต่อนิจจา กำแพงตรงหน้าช่างหนา สูง และใหญ่เหลือเกิน…อะฮ้า แต่อุปสรรคตรงหน้ากลับทำให้ลิงฮึกเฮิม ประกาศลั่นว่าตนเองสามารถปีนข้ามกำแพงได้ เพราะลิงมีความเชี่ยวชาญสูงในการปีนป่ายเหนือผู้ใดในปฐพี ว่าแล้วเจ้าลิงก็ปีนกำแพงขึ้นไป มันปีน ปีน และก็ปีน มันปีนขึ้นไปไกลเกินกว่าที่จะไปต่อได้เสียแล้ว กำแพงนี้สูงเกินไปสำหรับลิง และดูเหมือนว่ากำแพงนี้จะสูงอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจริงๆ
เมื่อลิงผิดหวัง พี่เสือก็ไม่น้อยหน้า ปลอบโยนเพื่อนรัก และสัญญาว่าจะพากันไปถึงฝั่งฝันให้ได้ โดยเสือจะวิ่งไปสำรวจก่อน จะไปดูว่ากำแพงนี้สิ้นสุดที่ตรงไหน ‘จะยาวสักแค่ไหนกันเชียว’ เจ้าเสือนึกอยู่ในใจ และมิรอช้า เสือวิ่ง วิ่ง วิ่ง ด้วยความเร็วกว่าเสียง เสือวิ่งไปเรื่อยๆ จนเหนื่อยหอบ แต่หาได้พานพบสุดปลายแห่งกำแพงไม่ เสือกลับมาด้วยความผิดหวัง
พี่งูก็เป็นหนึ่งในตองอูเช่นกัน จึงขอใช้ความสามารถกาจเก่งของตนทะลายอุปสรรคข้างหน้าบ้าง แล้วพี่งูก็เลื้อยเข้าไปตามรอยแตกของกำแพง เพื่อที่จะข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่ง แต่เมื่อเลื้อยไปเรื่อยๆ พี่งูพบว่ารอยแตก รอยร้าวบนกำแพงนั้นเล็กลง เล็กลง จนในที่สุดพี่งูไม่สามารถแทรกตัวรอดรูกำแพงได้ดังหวังใจ พี่งูหางตก กลับมาด้วยความผิดหวัง
ทั้ง 3 เกลอ ยังมีความปรารถนาที่จะข้ามไปอีกฟากหนึ่งให้ได้ จึงได้พยายามสุมหัว เอ้ย! ระดมสมองกันอีกครั้งหนึ่ง แต่ดูเหมือนแต่ละวิธีจะใช้ไม่ได้ผลเอาซะเลย ตอนนั้น การบินไทยก็ไม่มีซะด้วย เรื่องจะถึงที่หมายสบายผิดกัน ก็เลยเลิกพูด ครั้นจะใช้เรือไททานิค ก็ไม่ได้อีก เพราะชนหินโสโครกจมลงไปในมหาสมุทรซะแล้ว จะให้โดเรมอนมาช่วยก็ไม่ได้อีก เช่นกัน เพราะโนบิตะหวงมาก…ใครก็ได้ช่วย 3 เกลอหน่อยครับ
ในที่สุด 3 เกลอ ก็ยอมแพ้ และจะพากันกลับ แต่พลันทั้ง 3 ก็มองเห็นประตูกำแพงถูกซ่อนไว้ใต้เถาวัลย์รกเรื้อ พวกเขาจึงพากันไปดู…ว้า แย่จัง ประตูปิดอยู่…ถ้าอย่างนั้นลองเปิดประตูดูนะพวกเรา…และแล้ว “คลิก” ประตูเปิดออกได้อย่างง่ายดาย…เย้! 3 เกลอ เจอทางเข้าประตูสวรรค์แล้ว
มนุษย์ก็เช่นเดียวกัน ไม่อาจข้ามกำแพงที่ขวางไปได้ เพราะกำแพงที่หนาสูงใหญ่ ก็คือความบาปที่มากมายของมนุษย์ และความบาปนี้เองที่เป็นกำแพงขวางกั้นมนุษย์ออกจากพระเจ้า แต่โดยแผนการไถ่อันเลิศของพระองค์ พระองค์มิได้คิดค่าจ้างของความบาปจากมนุษย์ มนุษย์จึงรอดโดยเพียงรับพระคุณของพระองค์ มนุษย์ไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถที่มีอยู่ทะลายกำแพงบาปที่อยู่ตรงหน้า มนุษย์เพียงแค่เปิดประตู “คลิกเดียว” เพียงแค่ “คลิกหัวใจ” รับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น เพียงแค่นี้ มนุษย์ก็สามารถก้าวสู่ประตูนิรันดร์ ก้าวสู่แผ่นดินสวรรค์ไปถึงพระบิดาได้
ยน.14:6 พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา”
เมื่อเราปรารถนาที่จะเห็นผู้คนมากมายชิงกันเข้าสู่แผ่นดินของพระองค์ เราต้องร่วมมือกันจัดเตรียมทาง นำเขาไปถึงประตูสวรรค์ให้ได้ แล้วพวกเขาเหล่านั้นจะเป็นผู้เปิดประตูด้วยตัวของเขาเอง เพียงคลิกเดียวเท่านั้น!