Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

พระเยซูผู้งามเลิศ

พระเยซูผู้งามเลิศ
วันที่ 18/9/2009

ในชั้นเรียน Alpha*** ที่คริสตจักรนิมิตใหม่ ราวกลางปี 2008 ได้มีการนำรูปหน้าคนลักษณะต่างๆ มาให้ทุกคนดู พร้อมกับตั้งคำถามว่า “คุณคิดว่าภาพไหนคือพระเยซู” แล้วคนส่วนใหญ่ก็จะชี้ไปที่รูปพระเยซูซึ่งเป็นภาพวาดที่เราเห็นอยู่ทั่วไป แต่ผิดถนัดเลยค่ะ เพราะคำตอบที่ถูกต้องสำหรับภาพพระเยซูคือ ชายผิวคล้ำผู้หนึ่งที่มีหนวดเครารกขรึ้ม หน้าตาดุดัน อาฮ้า! ช่างแตกต่างจากภาพในความคิดของฉันเสียลิบลับ (แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภาพที่ถูกต้องนั้นก็มิอาจกล่าวได้ว่าเป็นภาพพระเยซูเช่นกัน เพราะเป็นเพียงภาพวาดจากจินตนาการของจิตรกรผู้หนึ่งซึ่งได้รับการดลใจเป็นการส่วนตัวเท่านั้น)
เมื่อเรียนวิชาอิสยาห์กับอาจารย์มาร์ค แซนด์ลิน จึงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ได้รับรู้ว่าพระเยซูขณะเมื่อทรงอยู่ในโลกนี้นั้น มิได้ทรงสง่าราศีหรืองามเลิศจนเป็นที่สังเกตแต่อย่างใด แต่ตรงกันข้าม พระองค์ทรงเป็นเพียงกุมารน้อยที่เกิดจากหญิงพรหมจารีย์นามว่ามารีย์ พระองค์บังเกิดในคอกสัตว์ และบรรทมอยู่ในรางหญ้า พระองค์เติบโตมาเป็นเพียงลูกช่างไม้ชาวนาซาเร็ธ ครั้นเมื่อพระชนม์มายุได้ 30 ซึ่งพระองค์ทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์นั้น พระองค์ก็ยังคงเป็นเหมือนคนธรรมดาทั่วไป แม้แต่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาก็ยังสงสัยว่าพระองค์เป็นพระคริสต์แน่หรือ จนกระทั่งศิษย์ของยอห์นเล่าพระราชกิจของพระเยซูให้ยอห์นฟัง และยอห์นก็ยิ่งเชื่อมั่นอย่างเต็มหัวใจเมื่อพระบิดาบนสวรรค์ทรงตรัสว่า “ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก” [มก.1:11 แล้วมีพระสุรเสียงมาจากฟ้าสวรรค์ว่า "ท่านเป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก"] บรรดาผู้ต่อต้านพระคริสต์ในสมัยนั้นก็ยิ่งไม่รู้จักพระเยซู ถึงกับต้องให้ยูดาสชี้ตัวพระเยซูด้วยจุบทรยศ [มธ.26:48 ผู้ที่จะอายัดพระองค์นั้นได้ให้อาณัติสัญญาณแก่เขาว่า "เราจะจุบคำนับผู้ใดก็เป็นผู้นั้นแหละ จงจับกุมเขาไว้"]
พระธรรมอิสยาห์ทำให้เราเห็นภาพขององค์พระเยซูมากขึ้นว่าพระองค์มิได้ทรงงดงามเลย [อสย.52:14-15 ด้วยคนเป็นอันมากตะลึงเพราะท่านฉันใด (หน้าตาของท่านเสียโฉมมาก เหลือที่จะเหมือนมนุษย์และรูปร่างของท่านก็เสียโฉมเหลือที่จะเหมือนบุตรของมนุษย์) ท่านก็จะกระทำให้บรรดาประชาชาติเป็นอันมากตกตะลึง {หรือ ประพรม} ฉันนั้น บรรดาพระราชาก็จะปิดพระโอษฐ์เพราะท่านนั้น เพราะเขาทั้งหลายจะเห็นสิ่งที่ไม่มีใครบอกเขา และเขาจะเข้าใจสิ่งซึ่งเขาไม่เคยได้ยิน] ถ้อยคำที่ว่าพระองค์จะ “ประพรมบรรดาประชาชาติเป็นอันมาก” นั้น ภายใต้พันธสัญญาเดิมปุโรหิตจะนำเลือดของสัตว์ที่ถวายแล้ว ประพรมพระวิหารและเครื่องใช้ในนั้น โดยการทำเช่นนั้น พวกเขาได้ชำระและทำให้สิ่งที่ได้รับการประพรมนั้นกลายเป็นสิ่งสะอาดบริสุทธิ์ ส่วนในพันธสัญญาใหม่ พระโลหิตของพระเมษโปดกจะทรงประพรมบรรดาประชาชาติมากมาย คนบาปอย่างเราจึงกลายเป็นคนสะอาดบริสุทธิ์โดยพระโลหิตของพระเมษโปดกนั้น
เมื่อระลึกถึงพระราชกิจของพระเยซูบนไม้กางเขน เราก็มิอาจบรรยายได้ว่า ความทุกข์ทรมานที่พระองค์ทรงรับแทนเรานั้น จะทำให้พระองค์เสียโฉมได้ถึงเพียงใด บางที พระองค์อาจจะทรงถูกทำร้ายร่างกาย จนกระทั่งพระกายเกรอะกรังไปด้วยเนื้อที่แหลกเหวะหวะ และพระโลหิตของพระองค์ก็ไหลรินรดแผ่นดินโลก ตั้งแต่พระเศียรของพระองค์จรดปลายพระบาท คงมิอาจบอกได้ว่านั่นคือมนุษย์ ทรงเสียโฉมยิ่งนัก ไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไปเลย
แต่สำหรับสายพระเนตรของพระบิดาบนสวรรค์แล้ว พระเยซูทรงงามเลิศกว่ามนุษย์ทั้งปวง
1. พระองค์เป็นพระผู้ไถ่ซึ่งพระบิดาประทานให้กับคนบาปอย่างเรา [ยน.3:16]
2. พระองค์เกิดจากฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธ์ ในครรภ์ของหญิงพรหมจารีย์ ทาสีที่พระเจ้าโปรดปราน [ลก.1:26-38]
3. พระองค์ทรงเจริญวัยแข็งแรงขึ้น ประกอบด้วยสติปัญญาและพระคุณของพระเจ้าอยู่กับพระองค์ [ลก.2:40]
4. พระองค์ทรงกระทำตามน้ำพระทัยพระบิดา [ยน.6:38 เพราะว่าเราได้ลงมาจากสวรรค์ มิใช่เพื่อกระทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่เพื่อกระทำตามพระประสงค์ของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา]
5. พระองค์กระทำกิจซึ่งได้รับมอบหมายจากพระบิดาโดยสำเร็จและงดงาม จนกระทั่งถึงความมรณา [ยน.19:30 เมื่อพระเยซูทรงรับน้ำส้มองุ่นแล้ว พระองค์ตรัสว่า "สำเร็จแล้ว" และทรงก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์]
6. พระองค์ทรงเป็นขึ้น ทรงสถิตเบื้องขวาขององค์พระบิดา ทรงเหนือกว่าพระทั้งหลาย [อฟ.1:20-23 ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำในพระคริสต์ เมื่อทรงชุบให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย และให้สถิตเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรคสถาน สูงยิ่งเหนือบรรดาเทพผู้ครอง เหนือศักดิเทพ เหนืออิทธิเทพ เหนือเทพอาณาจักร และเหนือนามทั้งปวงที่เขาเอ่ยขึ้น มิใช่ในยุคนี้เท่านั้น แต่ในยุคที่จะมาถึงด้วย พระเจ้าได้ทรงปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้พระบาทของพระคริสต์ และได้ทรงตั้งพระองค์ไว้เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งคริสตจักร ซึ่งเป็นพระกายของพระองค์ คือซึ่งเต็มบริบูรณ์ด้วยพระองค์ ผู้ทรงอยู่เต็มทุกอย่างทุกแห่งหน]
7. พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ และเป็นนิตย์ [ฮบ.7:25 ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงสามารถเป็นนิตย์ที่จะช่วยคนทั้งปวง ที่ได้เข้ามาถึงพระเจ้า โดยทางพระองค์นั้นให้ได้รับความรอด เพราะว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ เพื่อช่วยทูลขอพระกรุณาให้คนเหล่านั้น]
เหตุผลข้างต้น 7 ประการ เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยที่นำพาเราร้องเรียกพระองค์อย่างสุดใจว่า “พระเยซูผู้งามเลิศ” พระองค์ทรงงามเลิศด้วยประการทั้งปวง หากจะนำน้ำและเลือดทั่วโลกมาแทนหมึกเพื่อจรดปากการ้อยเรียงเป็นภาษาต่างๆ ทั่วโลก ก็มิอาจบรรยายความงดงามของพระองค์ได้หมดสิ้น
พี่น้องที่รักคะ ถ้าเราจะติดตามพระเยซู การบาดเจ็บจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ พระเยซูทั้งเสียโฉมและมีแผล ถ้าเราจริงใจในการเสาะแสวงหาพระลักษณะของพระองค์ เราก็จะบาดเจ็บเช่นกัน ทว่า การร่วมทุกข์กับพระองค์และการเลือกที่จะมีชีวิตร่วมเทียมแอกกับพระประสงค์ของพระคริสต์นั้น เป็นความเจ็บปวดเพราะความรักซึ่งจะนำเราให้ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากยิ่งขึ้น เมื่อเราเป็นหนึ่งกับพระเยซู เราก็ทำให้พระบิดาพอพระทัยมากขึ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เราจะยอมเสียโฉมไหม? เพื่อที่จะงดงามตามน้ำพระทัยของพระบิดา
พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงโปรดให้ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริศในพระสิริอันตระการล้ำของพระองค์ ขอให้ทุกคนตื่นตะลึงในความงามเลิศขององค์พระเยซู จนไม่อาจหักห้ามใจเพื่อมิให้หลงใหลหรือหลงรักพระองค์ได้ ขอความรักอันอัศจรรย์และทรงอานุภาพขององค์พระเจ้าจะเต็มล้นในทุกอณูหัวใจของทุกคน จนต้องหลั่งไหลออกไปเป็นพรถึงชนนานา ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงโปรดดลใจให้ทุกคนเทใจดำเนินในพระวจนะของพระบิดา เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช กำลัง ความรู้และสติปัญญาซึ่งมาจากพระองค์ ขอสันติสุขอันเกินความเข้าใจของพระองค์จะซาบซ่านอยู่ในวิญญาณจิตของทุกคน ขอพระเกียรติ พระราชอำนาจ ฤทธิ์เดช และพระสิริ เป็นของพระองค์สืบๆ ไป เป็นนิตย์…Amen!
***คอร์สอัลฟ่า (Alpha) เป็นการประกาศโดยวิธีการพบปะพูดคุยกันในเรื่องความเชื่อในเรื่องของพระเจ้า แบบเพื่อนฝูงในกลุ่ม โดยมีอาหารว่าง เครื่องดื่ม การพูดคุย และกลุ่มย่อย หัวข้อในการพูดคุยประกอบไปด้วย ศาสนาคริสต์ พระเยซูเป็นใคร ทำไมพระเยซูถึงสิ้นพระชนม์ เราจะมั่นใจในสิ่งที่เราศรัทธาอยู่ได้อย่างไร ทำไมจึงต้องอ่านพระคัมภีร์และจะเริ่มอ่านอย่างไร ทำไมเราต้องอธิษฐานและจะอธิษฐานอย่างไร พระเจ้าทรงนำเราอย่างไร พระวิญญาณบริสุทธิ์คือใคร เราจะถูกเติมเต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้อย่างไร พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานอย่างไร ทำไมเราต้องบอกผู้อื่นและจะบอกพวกเขาอย่างไร พระเจ้าทรงรักษาพวกเราอยู่ทุกวันหรือ ทำไมต้องมีโบถส์ เราจะใช้ชีวิตที่เหลือให้คุ้มค่าที่สุดได้อย่างไร

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก http://www.alphathailand.org/thai/

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

เป็นดุจตัวหนอน

เป็นดุจตัวหนอน
วันที่ 04/09/2009

ตัวอ่อนของแมลงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและการเจริญเติบโต 4 ระยะด้วยกัน คือ ไข่ หนอน ดักแด้ และ ตัวเต็มวัย ตามลำดับ ลักษณะของตัวหนอนระยะแรกจะไม่มีตา แต่มีปีกที่เจริญอยู่ภายใน การเติบโตในแต่ละระยะก็มีความซับซ้อน โดยการลอกคราบ จนกระทั่งระยะสุดท้าย ก็ลอกคราบกลายเป็นดักแด้ และกลายเป็นแมลง เป็นผีเสื้อ ในที่สุด
เป็นหนอนเนี่ยนะ! ตัวเล็กน้อยด้อยค่าเสียจริงเลย กว่าจะเติบโตเป็นตัวเต็มวัยก็ต้องใช้ระยะเวลานานหลายขั้นตอน ใครๆ ก็กลัวหนอน หรือบางคนไม่กลัวก็ขยะแขยง เจ้าหนอนต้องไต่หนืบๆ คืบคลานไปอย่างน่าสังเวช ซึ่งหากจะเปรียบเทียบกับคนเราแล้วก็พบว่าเรานั้นเล็กน้อยเช่นนั้นแหละ เป็นดุจตัวหนอนน่าเกลียด แม้แต่กษัตริย์ดาวิดผู้ยิ่งใหญ่ก็ออกตัวว่า ตนเองนั้นเป็นดุจตัวหนอน [สดด.22:6 ข้าพระองค์เป็นดุจตัวหนอนมิใช่คน คนก็ด่า ประชาก็ดูหมิ่น] หรือแม้แต่โยบเองก็ยังพรรณนาว่ามนุษย์นั้นเป็นเพียงตัวหนอน [โยบ.25:6 มนุษย์จะยิ่งสะอาดน้อยกว่านั้นเท่าใด ผู้เป็นเพียงตัวดักแด้ และบุตรของมนุษย์เล่า ผู้เป็นเพียงตัวหนอน"]
ค่ำคืนหนึ่ง ในห้องเรียนวิชาอิสยาห์ ของโรงเรียนพระคริสต์ธรรมเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยสวนพลู อาจารย์มาร์ค ผู้สอน ได้นำเราดิ่งลึกไปถึงพระทัยอันล้ำเลิศขององค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล และแล้วเมื่อมาถึง อสย.41:14 ก็ได้รู้ว่าเจ้าหนอนน้อยซึ่งไร้ค่าเสียจริงนั้น เป็นถึง “เจ้าหนอนยาโคบ” เชียวนะ [อสย.41:14 พระเจ้าตรัสว่า "อย่ากลัวเลย เจ้าหนอนยาโคบ เจ้าคนอิสราเอล เราจะช่วยเจ้า ผู้ไถ่ของเจ้าคือองค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล] ขอบพระคุณพระเจ้า!
พี่น้องคะ แม้ว่าเราจะเป็นคนเล็กน้อยยิ่งกว่าธรรมิกชนผู้เล็กน้อย แม้ว่าเราจะต้องประสบกับความทุกข์ยาก ทั้งทางกายและทางจิตใจหลายร้อยพันครั้ง ขอจงรู้ไว้เถิดว่า เราไม่ใช่หนอนธรรมดา แต่เป็น “หนอนยาโคบ” ดังนั้น หากเราเป็นหนอนที่มีความอดทน ดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์ในทางของพระเจ้า เราก็จะมีชีวิตใหม่ เป็นผีเสื้อสวยงามหลากสี สามารถโบยบินจากดอกไม้ดอกหนึ่งไปยังอีกดอกหนึ่ง เฉกเช่นเดียวกับชีวิตการรับใช้ เมื่อเรามีความอดทน เราก็สามารถทำให้คนเป็นอันมากได้รับพระพรในทุกที่ทุกแห่งซึ่งเรารับใช้หรืออาศัยอยู่ ได้เปรมปรีดิ์ในพระเจ้า องค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล
กลอน “เจ้าหนอนน้อย”
เจ้าหนอนน้อย ค่อยค่อยคืบ ค่อยค่อยคลาน อีกไม่นานก็จักกลายเป็นผีเสื้อ
เจ้าหนอนจึงมีแรงใจอันเหลือเฟือ ไม่รู้เบื่อ แม้ลอกคราบปลาบแปลบกาย
จนวันหนึ่ง คลาบไคล ลอกออกหมด งามหมดจด หลากสีสัน สุดบรรยาย
บรรลุแล้ว ดั่งตั้งหวัง สมเป้าหมาย หนอนกลับกลาย เป็นผีเสื้อ สวยเหลือเกิน
ผีเสื้อดม ดอมไม้ดอก ไม้ประดับ งามระยับแต่งแต้มสีให้โลกสวย
หากมิอดทนไว้คงมอดม้วย เป็นหนอนย้วย ย่อยยับ ดับชีวิน
ต่อนี้ไปจึงเป็นพรให้แก่โลก คอยบินโบกดื่มน้ำหวานเป็นอาจิณ
เป็นการสืบ พงษ์พืช พรรณทั้งสิ้น โผผกผิน บินสู่ฟ้า สง่างาม

“ดีแล้วที่ข้าพระองค์ทุกข์ยาก เพื่อข้าพระองค์จะเรียนรู้ถึงกฎเกณฑ์ของพระองค์” (สดด.119:71)

นอน

นอน
วันที่ 31/8/2009

“ถ้ามีเวลาเพิ่มขึ้นหนึ่งชั่วโมง คุณจะใช้ทำอะไร” …ติ๊กต่อก ติ๊กต่อก ไม่ต้องคิดเองคะพี่น้อง หนังสือรีดเดอร์สไดเจสท์ ฉบับเดือนมิถุนายน 2552 ได้ระบุไว้ในคอลัมน์รอบโลกกับ 1 คำถามดังกล่าว ผลก็คือ หากวันหนึ่งมี 25 ชั่วโมงนั้น หลายคนยอมรับว่าอยากอยู่กับครอบครัวมากขึ้น โดยชาวสเปนครึ่งหนึ่งยินดีอุทิศเวลาให้แก่บุคคลใกล้ชิดผู้เป็นที่รัก จนได้คะแนนนำมาเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วยชาวบราซิล แคนาดาและอังกฤษ มีเพียงชาวอินเดียที่อยากอุทิศเวลาที่เพิ่มขึ้นให้กับงานเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนชาวไทยเทคะแนนให้แก่การนอนเป็นอันดับหนึ่ง (ฮา) ตามด้วยการทำงาน
อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงกำหนดแต่ละวันไว้แล้ว ใน 1 วัน มี 24 ชั่วโมง ดังนั้น การจะมีเวลาเพิ่มขึ้นอีก 1 ชั่วโมง เป็น 25 ชั่วโมง ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่เราก็สามารถมีเวลาเพิ่มขึ้น 1 ชั่วโมง โดยที่วันหนึ่งยังคงมี 24 ชั่วโมง เหมือนเดิมได้ ซึ่งเป็นความท้าทายของเราที่จะต้องบริหารเวลา 24 ชั่วโมงนี้ ให้มีคุณภาพมากที่สุด
มีผู้กล่าวและแนะนำไว้ว่า ควรแบ่งเวลาออกเป็น 3 ส่วน สำหรับทำงาน 8 ชั่วโมง นอน 8 ชั่วโมง เวลาส่วนตัวและครอบครัวอีก 8 ชั่วโมง ซึ่งหากยึดกฎเกณฑ์ดังนี้แล้ว แต่ต้องทำงานเกินกว่า 8 ชั่วโมงล่ะ ก็อาจต้องกินเวลานอน เวลาส่วนตัวและครอบครัวไป และถ้าเวลาส่วนตัวและครอบครัวต้องไปติดอยู่บนถนนอีกวันละ 2-3 ชั่วโมงล่ะ ก็อาจต้องกินเวลานอน และเวลาทำงานไป (อ้าว…แป่ว) คิดไปแล้วก็ปวดหัวจริงเชียว เอาเป็นว่า แต่ละคนมีภารกิจและความจำเป็นไม่เหมือนกัน การบริหารเวลาย่อมไม่เหมือนกันนั่นเอง แต่ยังไง ยังไง ก็ขอหนุนใจให้ทุกคนนอนและพักผ่อนอย่างเพียงพอนะคะ และที่สำคัญคือ ได้มีเวลาดื่มด่ำเต็มอิ่มกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัวในทุกๆ วันด้วย
เมื่อเร็วๆ นี้ ฉันต้องทำงานวันละกว่า 8 ชั่วโมง ติดต่อกันหลายวัน ทำให้นอนดึก ในขณะที่ต้องตื่นเวลาเดิม ทั้งยังไม่ได้ลดกิจกรรมอื่นๆ ลง จึงเกิดอาการอ่อนเพลีย แม้ใจยังสู้อยู่ แต่ก็ไม่ไหวแล้วคะ ป่วยอีกรอบ และคราวนี้คุณเธอหยุดงาน 5 วันรวด จันทร์ถึงศุกร์ การนอนป่วยอยู่บ้านครั้งนี้จึงไม่มีความสุข เพราะเป็นห่วงงาน
นับจากวันแรกของการป่วยเป็นต้นมา อาการของฉันแย่ลงตามลำดับ แค่เดินจากห้องพักไปที่ลิฟต์ก็เป็นเรื่องยากซะแล้ว แต่ในวันที่ 3 ของการป่วย อาการดีขึ้นนิดหน่อย พยุงตัวเองได้แล้ว จึงไปหาหมอสักนิด หมอก็วินิจฉันว่าเป็นไข้หวัด และคออักเสบ หมอแนะนำว่าควรหยุดอยู่บ้าน อย่าออกไปไหนถ้าไม่จำเป็น เพราะเห็นแก่ผู้อื่น เดี๋ยวคนอื่นจะมาติดเชื้อจากฉัน แม้แต่หมอเอง เมื่อตรวจชีพจรฉันเสร็จ หมอก็รีบล้างมือด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อทันที ฉันจึงรู้ตัวตอนนั้นเองว่า ฉันน่ากลัวมาก (บรื้อ!) และแล้วก็เกิดภาระใจที่ต้องอธิษฐานเผื่อบรรดาหมอ พยาบาล ตลอดจนเจ้าหน้าที่ทั้งหลายที่ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับผู้ป่วย ขอพระเจ้าดูแลปกป้องเธอและเขาด้วย ให้มีกำลัง มีสติปัญญา มีพลานามัยที่สมบูรณ์ และมีจิตใจที่ร่าเริงชื่นชมยินดี
ในช่วง 3 วันแรกของการป่วย กำลังใจยังดีอยู่ ก็ไม่รู้สึกอะไรมาก แต่พอเริ่มเข้าสู่วันที่ 4 ก็เริ่มท้อแท้ เสบียงก็เริ่มหมด กองทัพต้องเดินด้วยท้องซะด้วยสิ “โอ พระเจ้าค่ะ ป่วย 4 วันแล้วนะ มันมากเกินไปหรือเปล่าคะเนี่ย องค์เยโฮวาห์รัฟฟาของลูกอยู่ที่ไหน” แต่ฉันก็กินยาอย่างสม่ำเสมอ จากนั้นก็นอน แล้วก็นอน
วันที่ 5 ของการป่วย พี่อ้อยมาเยี่ยม พร้อมด้วยเสบียงกรังเพื่อเตรียมรบกับข้าศึก (เชื้อโรค) พี่อ้อยอธิษฐานเผื่อ และหนุนใจให้พักผ่อนมากๆ ไม่ต้องรู้สึกผิดที่หยุดงานหลายวัน ไม่ต้องห่วงงาน วางใจพระเจ้า พระองค์จะทรงผดุงไว้ “การนอนเป็นการรับใช้พระเจ้า” ว้าว! กิ๊บเก๋จริงๆ เลยคำนี้ เป็นความรู้ใหม่นะเนี่ย พี่อ้อยก็บอกว่า เป็นความจริง เพราะร่างกายของเราคือพระวิหารของพระเจ้า การดูแลตัวเองจึงเป็นการรับใช้พระเจ้า การนอนก็เป็นการรับใช้พระเจ้า เป็นการเสริมกำลังให้กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งอยู่ภายในเรา
ฉันขอบคุณพระเจ้าสำหรับพี่น้องหลายท่านที่ได้อธิษฐานเผื่อ บ้างก็ส่งข้อความ หรือส่งเสียงมาให้กำลังใจ แม้บางสายจะไม่ได้รับ แต่ก็ซึ้งใจเสมอ บ้างก็แวะมาเยี่ยมเยียนด้วย ขอบำเหน็จบนสวรรค์จงเป็นของพี่น้องทุกท่าน [มธ.25:40 "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย"]
วันที่ 6 ของการป่วย เป็นวันเสาร์แล้วสินะ พี่น้องหลายคนไปสามัคคีธรรมกันถึง YWCA ชลบุรีแน่ะ แต่ฉันต้องนอนป่วยอยู่คนเดียว อะไรกันนี่ “พระเจ้าคะ ลูกรู้สึกน้อยใจยิ่งนัก” ฉันระบายความในใจให้พระองค์ฟัง แต่ถึงแม้ฉันไม่พูด พระองค์ก็ทรงรู้ความคิดของฉันอยู่ดี แต่ฉันก็ขอบอกกับพระองค์ เพราะฉันเป็นคนชอบเล่าเรื่องอยู่แล้ว และก็ดูเหมือนว่าการได้พูดออกไปนั้น เป็นการเยียวยาไปในตัว เปิดโอกาสให้พระวิญญาณเริ่มทำงานแข่งกับอ้ายซาตานอย่างแข็งขัน และแล้วพระเจ้าก็ทรงใส่หัวใจใหม่ให้ฉันได้รับรู้ถึงความรู้สึกของผู้คนมากมายที่เขาต้องอยู่คนเดียว ผู้คนมากมายที่ขาดการเอาใจใส่เหลียวแล ผู้คนมากมายที่ด้อยโอกาส ผู้คนมากมายที่ป่วยเจียนตายอยู่เพียงลำพังนานนับเดือนปี โอ! พระองค์เจ้าข้า สิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกนั้นไม่ติดฝุ่นเศษเสี้ยวของการทนทุกข์แห่งองค์พระเยซู และอัครสาวก รวมถึงบรรดามิชชันนารี และผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อทั้งหลายของพระองค์เลย จากนั้นฉันก็ต้องรีบกลับใจโดยเร็วพลัน เปลี่ยนจากการคร่ำครวญเพื่อตัวเองเป็นการวิงวอนเพื่อผู้อื่นอีกครั้งหนึ่ง [อสค.36:26 เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้าและเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า เราจะนำใจหินออกไปเสียจากเนื้อของเจ้า และให้ใจเนื้อแก่เจ้า]
ตลอดวันที่ 6 จึงเป็นวันที่ได้ดื่มด่ำกับพระคำของพระเจ้า ได้ปิติยินดีเป็นอันมากในพระบัญญัติของพระองค์ และในค่ำคืนของวันที่ 6 ก็เกิดความท้าทายแบบใหม่ เป็นความหวังใจและเชื่อมั่นว่าถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงรักษา ก่อนหลับตาลง ฉันร้องเรียกพระองค์ องค์พระเยซู องค์เยโฮวาห์รัฟฟา…อัศจรรย์!!! พระวจนะของพระองค์รักษาฉันไว้ ยามดึกตื่นมาพร้อมกับอาการโล่งที่คอและหายใจสะดวกขึ้น สรรเสริญพระเจ้าที่ปีกของพระองค์หอบรักษาโรคภัย [สดด.41:3 เมื่อเขานอนเจ็บ พระเจ้าทรงค้ำจุนเขา เมื่อเขาป่วยไข้พระองค์ทรงรักษาความเจ็บไข้ทั้งสิ้นของเขาให้หาย]
เช้าวันที่ 7 ของการป่วย วันอาทิตย์แล้วสินะ วันสะปาโต ฝนตกหนักแต่เช้าเลย อาการป่วยทุเลาแล้ว แต่ก็ยังไม่หายดี วันนี้จึงไม่ได้ไปนมัสการที่โบสถ์ ทำได้เพียงนมัสการอยู่คนเดียวที่บ้าน อธิษฐาน อ่านพระคำ ดูทีวี อ่านหนังสือ และก็นอน พอตกเย็น พี่อิ๋วกับพี่น้อยก็มาเยี่ยม จึงได้นมัสการพระเจ้าร่วมกัน อันว่าการร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าคนเดียวก็ดีอยู่หรอก แต่การได้นมัสการร่วมกับพี่น้องก็วิเศษมาก มีชีวิตชีวา น่าประทับใจมากกว่าฟังเพลงจากเครื่อง MP3 หรือฟังเพลงจากศิลปินเอกเป็นไหนๆ นอกจากนั้น เรายังได้อธิษฐาน และแบ่งปันพระคำร่วมกันอีกด้วย
ขอบพระคุณพระเจ้าและขอบคุณพี่น้องทุกท่านอีกครั้ง ฉันอธิษฐานขอให้พี่น้องทุกท่านพักผ่อนอย่างสมดุลมีคุณภาพ กอปรไปด้วยจิตใจที่ยินดี จิตวิญญาณที่ปรีดา และร่างกายก็อาศัยอยู่อย่างปลอดภัยด้วย (สดด.16:9) เพราะท่านคิดถึงพระองค์ขณะอยู่บนที่นอนและภาวนาถึงพระองค์ทุกๆ ยาม (สดด.63:6)

เมฆ

เมฆ
วันที่ 30/8/2009

ยามค่ำคืนฉันนอนมองออกนอกหน้าต่าง เห็นเมฆที่ล่องลอยไปบนฟากฟ้า นั่นไงดอกไม้ นั่นไงหมู-หมา-กา-ไก่ นั่นไงเหมือนคนที่ฉันรู้จักเลย แต่หน้าตาตลกจัง (เอิ้ก เอิ้ก) เมฆเป็นอะไรต่ออะไรหลายอย่างตามจินตนาการของฉัน และฉันก็ปรารถนาที่จะเห็นพระเจ้าในหมู่เมฆนั้นด้วย [มก.13:26 เมื่อนั้นเขาจะเห็น บุตรมนุษย์เสด็จมาในเมฆ ทรงฤทธานุภาพและพระสิริเป็นอันมาก]
เมฆสีขาวตัดกับความมืดยามรัตติกาลทำให้ท้องฟ้าสวยขึ้นถนัดตา ในพระคัมภีร์มีหลายตอนด้วยกันที่บอกเราว่าเมฆเป็นสัญลักษณ์แห่งพระสิริและการทรงสถิตของพระเจ้า [1พกษ.8:11 ปุโรหิตจึงยืนปรนนิบัติอยู่ไม่ได้ เพราะเมฆนั้น เพราะพระสิริของพระเจ้าเต็มพระนิเวศของพระเจ้า] เมื่อเห็นเมฆปุ๊บจึงทำให้นึกถึงพระเจ้าปั๊บ! องค์พระผู้สร้าง พระผู้ทรงปั้นเมฆ ในพระคัมภีร์หลายตอนยังกล่าวด้วยว่าพระองค์ทรงเมฆเป็นราชรถ เป็นพาหนะ เช่นในสดุดี [สดด.68:4 จงร้องเพลงถวายพระเจ้า จงร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์ จงยกย่องพระองค์ผู้ทรงเมฆเป็นพาหนะ พระนามของพระองค์คือพระเยโฮวาห์ จงลิงโลดต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์] แล้วก็ทำให้นึกถึงในวัยเด็กที่ฉันทำม้าก้านกล้วย และขี่มันข้ามคันนา ว้าว! แต่นี้ไม่เหมือนกันนะ พาหนะของพระเจ้ายิ่งใหญ่ไร้เทียมทานเหนือพาหนะใด เมฆเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่พระเจ้ากำหนด กว้างไกลสุดขอบฟ้าขอบโลก เมฆไม่เคยหยุดนิ่ง เหมือนที่พระเจ้ามิเคยหยุดนิ่ง พระองค์มิเคยหลับสนิทหรือนิทรา [สดด.121:4 ดูเถิด พระองค์ผู้ทรงอารักขาอิสราเอล จะไม่ทรงหลับสนิทหรือนิทรา] พระวิญญาณก็มิเคยหยุดเคลื่อนไหวในชีวิตของเรา ยังทรงเปี่ยมด้วยฤทธานุภาพ และประกอบกิจอยู่ภายในเราเสมอ แต่เราต่างหากเล่าที่ไม่ค่อยนิ่งสักเท่าไร พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราหยุดนิ่งเสียบ้าง เพราะหากเราไม่นิ่ง เราก็คงไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณ และคงไม่รู้จักพระราชกิจของพระองค์ [สดด.46:10 จงนิ่งเสีย และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้าเราเป็นที่ยกย่องท่ามกลางประชาชาติ เราเป็นที่ยกย่องในแผ่นดินโลก]
มีสำนวนหนึ่งของคนไทยที่ว่า “มาเหนือเมฆ” ซึ่งหมายถึง การคิดหรือทำด้วยชั้นเชิงที่เหนือกว่าผู้อื่น ซึ่งก็ยิ่งให้ภาพขององค์พระเจ้าที่ว่า มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ทรงยิ่งใหญ่เหนือกว่าผู้ใดและสิ่งใดในโลก ทรงมาเหนือเมฆอย่างแท้จริง
ในเชิงวิทยาศาสตร์นั้น เมฆ เกิดจากการรวมตัวหรือเกาะกลุ่มของไอน้ำ ซึ่งในที่สุดก็จะเกิดการควบแน่นและตกลงมาเป็นฝน เป็นละอองน้ำและเกล็ดน้ำแข็งที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนลอยตัวอยู่ในชั้นบรรยากาศ ที่เราสามารถมองเห็นได้ แต่เรารู้ดีว่าเมฆเกิดจากการทรงสร้างของพระเจ้า [โยบ.36:27 เพราะพระองค์ทรงดึงหยดน้ำขึ้นไป ซึ่งกลั่นเป็นฝนจากเมฆของพระองค์] พระองค์ทรงสร้างเมฆ และกำหนดกฎเกณฑ์ให้มัน [โยบ.37:16 ท่านทราบถึงการทรงตัวของเมฆหรือ เป็นพระราชกิจอันประหลาดของพระองค์ผู้สมบูรณ์ในความรู้] ในยามที่ท้องฟ้าไม่มีเมฆ ก็จะเรียกว่าท้องฟ้าใส ท้องฟ้าโปร่ง เมื่อเมฆลอยมา ฟ้าก็สวยงดงามจับตายิ่งขึ้น หากเมื่อมีแสงสุรีย์ศรีหรือแสงจันทรามาตกต้องด้วยเล่า เมฆเบาสบายก็ยิ่งงดงามประหลาดตา เวลาที่เราขึ้นเครื่องบินที่ได้ไต่เพดานขึ้นไปสูงเหนือเมฆ ก็ราวกับว่าเราแหวกว่ายโฉบเฉี่ยวล่องลอยไปมาในคลื่นเมฆปุกปุย ซึ่งให้ความอ่อนละมุนละไมในหัวใจอย่างล้ำลึก ให้สัมผัสถึงความรักอีกรูปแบบหนึ่งจากพระเจ้า
[สดด.57:10 เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ใหญ่ยิ่งถึงฟ้าสวรรค์ ความสัตย์สุจริตของพระองค์สูงถึงเมฆ]

การุณยฆาต

การุณยฆาต
วันที่ 29/8/2009

พ่อแม่อินเดียขอการุณยฆาตลูกพิการ 4 คน : สามีภรรยาชาวอินเดียคู่หนึ่งสุดยากจน เขียนคำร้องส่งไปยังประธานาธิบดีอินเดีย วิงวอนขอกระทำการุณยฆาตกับลูกพิการทั้ง 4 คนของตัวเอง เนื่องจากฐานะยากจน สุดปัญญาจะรักษาลูกให้หาย
เป็นข่าวแสนเศร้าซึ่งปรากฏบนหน้าจอทีวีแทบทุกสถานีในวันนี้ เนื่องด้วยบุตรชายของครอบครัวนี้ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 10-16 ปี ป่วยพิการแขนขาลีบทุกคน ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เนื่องมาจากโรคทางพันธุกรรม พวกเขาผอมโซ ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ต้องมีคนดูแลตลอด 24 ชั่วโมง ผู้เป็นพ่อแม่ก็พยายามดูแล และขายทรัพย์สมบัติมีค่าจนหมดตัวเพียงเพื่อจะมารักษาลูก แต่ในวันนี้ หมดปัญญาจริงๆ เพราะเวลาในการทำงานหาเงินยังไม่มี ต้องทุ่มเทเวลาในการดูแลลูกพิการ ดังนั้น ด้วยหัวใจที่สงสารลูก จึงคิดไปว่า หากลูกจากโลกนี้ไปแล้วจะเป็นการพ้นทุกข์ แต่ในเมื่อยังไม่ถึงเวลาที่ต้องจากโลกนี้ไปตามธรรมชาติ ก็มีวิถีทางเดียวที่เหลืออยู่คือ การทำการุณยฆาต ทั้งนี้ตามกฎหมายของอินเดียไม่อนุญาตให้มีการทำการุณยฆาต ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการผิดกฎหมายเกือบทุกประเทศ ยกเว้นที่เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ ที่มีกฎหมายในเรื่องนี้
ฉันค่อนข้างแปลกใจที่ประเทศซึ่งเรียกตัวเองว่าพัฒนาแล้ว กลับมีกฎหมายอนุญาตเรื่องการทำการุณยฆาต ซึ่งอันคำว่า การุณยฆาต ในความหมายจากสารานุกรมวิกิพิเดียนั้น ระบุว่า การุณยฆาต หรือ ปรานีฆาต (euthanasia หรือ mercy killing; การุณยฆาตเป็นศัพท์ทางนิติศาสตร์ ส่วนปรานีฆาตเป็นศัพท์ทางแพทยศาสตร์) หรือ แพทยานุเคราะหฆาต (physician-assisted suicide) หมายถึง การทำให้บุคคลตายโดยเจตนาด้วยวิธีการที่ไม่รุนแรงหรือวิธีการที่ทำให้ตายอย่างสะดวก หรือ การงดเว้นการช่วยเหลือหรือรักษาบุคคล โดยปล่อยให้ตายไปเองอย่างสงบ ทั้งนี้ เพื่อระงับความเจ็บปวดอย่างสาหัสของบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลนั้นป่วยเป็นโรคอันไร้หนทางเยียวยา
ฆ่าด้วยความกรุณาหรือ ฆ่าด้วยความปราณีหรือ เมื่อพิจารณาในแง่มุมของพระคัมภีร์แล้ว กลับมองไม่เห็นถึงความกรุณาสักนิดเลย การฆ่าคนจะเป็นความกรุณาได้อย่างไรกัน แค่บัญญัติ 10 ประการ วิธีการนี้ก็ไม่ผ่านเสียแล้ว ผู้เดียวที่จะพิพากษามนุษย์ ผู้เป็นปฐมและอวสานมีองค์เดียวเท่านั้น คือ พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งของเรา และเหตุที่พระองค์เป็นพระผู้สร้างนี่เอง ทุกสรรพสิ่งจึงเป็นของพระองค์ และทุกสิ่งจึงขึ้นอยู่กับความกรุณาของพระเจ้า [รม.9:16 เพราะฉะนั้นทุกสิ่งจึงไม่ขึ้นแก่ความตั้งใจหรือการตะเกียกตะกาย แต่ขึ้นอยู่กับพระกรุณาของพระเจ้า]
พระเจ้าเป็นผู้ประทานชีวิต เป็นผู้ประทานลมหายใจ ดังนั้นมนุษย์จึงไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินความเป็นความตายของมนุษย์ด้วยกัน ทั้งนี้ ไม่สำคัญด้วยว่ามนุษย์นั้นจะเป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด เป็นเจ้าเหนือชีวิต เป็นกษัตริย์ เป็นแพทย์ หรือเป็นฆาตกร
ฉันไม่ได้อยู่ในฐานะพ่อและแม่ จึงไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกของความเป็นพ่อและแม่ได้ดีเท่าที่ควร แต่หากมองจากความเป็นมนุษย์แล้ว ทุกคนต่างก็เป็นอวัยวะในกายเดียวกัน หากมีอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งเจ็บ อวัยวะที่เหลือก็พลอยเจ็บไปด้วย หากคนที่เรารักเจ็บปวด เราจะไม่เจ็บปวดไปกับเขาด้วยหรือ หากเขาต้องเสียชีวิต โดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเพื่อเขา เราจะมีชีวิตที่เต็มล้นไปด้วยสันติสุขได้หรือ ดังนั้น เราจึงควรฟันฝ่าบากบั่นไปด้วยกัน จนกว่าจะตายจากกัน แม้ว่าจะต้องเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานเหลือแสน แต่เรารู้ว่าบำเหน็จแห่งสวรรค์รอเราอยู่ ซึ่งนั่นย่อมดีกว่าการทำการุณยฆาตเพื่อหนีความทุกข์ในโลกนี้ แล้วต้องไปทุกข์ทรมานในบึงไฟนรก
ในบางครั้งที่พบเจอบางปัญหาที่หนักหนาสาหัสในชีวิต ฉันก็มักจะพูดเล่น ประชดประชัน หรือในบางครั้งด้วยอาการน้อยใจว่า “รู้งี้ ตายเสียดีกว่า” หรือ “ให้ตายเถอะ” หรือ “ไม่อยากอยู่แล้ว ฉันไม่มีค่าอะไรเลย” พี่น้องคะ หากคุณเคยคิดแบบนี้หรือมีท่าทีในลักษณะนี้ ต้องกลับใจโดยด่วนเลยค่ะ ความตายไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ชีวิตนี้มิใช่ได้มาเปล่าๆ เรารู้กันอยู่ว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย เราเองก็สมควรตาย แต่เหตุเพราะการวายพระชนม์ของพระบุตร เราจึงมีชัยเหนือความตายและได้รับชีวิตนิรันดร์ ชีวิตของมนุษย์ทุกคนจึงมีค่าด้วยกันทั้งสิ้น
“ชีวิต คือ ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากพระเจ้า” แต่หากเราไร้ซึ่งชีวิต เราจะสรรเสริญพระเจ้าได้อย่างไรกัน ดังนั้น ขอให้เรารักชีวิต (ตนเองและผู้อื่น) และมีชีวิตอยู่เพื่อสรรเสริญพระเจ้ากันดีกว่าคะ
“ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระเจ้า ตราบเท่าที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสดุดีถวายพระเจ้าของข้าพเจ้า ขณะที่ข้าพเจ้ายังเป็นอยู่” (สดด.146:2)
“จงให้ทุกสิ่งที่หายใจสรรเสริญพระเจ้า จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด” (สดด.150:6)
ในทางกลับกัน มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่พยายามแสวงหาความเป็นอมตะ เขาไม่อยากตาย เขาไม่ยอมรับความจริงว่ามีวาระสำหรับทุกสิ่ง มีวาระเกิด มีวาระตาย และวาระนั้นพระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนดควบคุม มนุษย์จะเป็นอมตะได้อย่างไร เพราะมนุษย์นั้นเป็นพันธุ์มตะ มีเพียงองค์พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งเท่านั้นที่ทรงเป็นอมตะ [1ทธ.6:16 พระองค์ผู้เดียวทรงอมตะ และทรงสถิตในความสว่างที่ซึ่งไม่มีคนใดจะเข้าไปถึง ผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยเห็น และจะเห็นไม่ได้ พระเกียรติและฤทธานุภาพอันถาวรจงมีแด่พระองค์นั้น อาเมน]