Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันพุธที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2553

ตั้งขอบ แล้วขอบพระคุณ

ตั้งขอบ แล้วขอบพระคุณ
วันที่ 8/3/2009
วันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม 2553 ณ คริสตจักรนิมิตใหม่ เราได้รับเกียรติจาก Dr.Ned Stewart อาจารย์จากโรงเรียนคริสต์ศาสนศาสตร์แบ๊บติสต์ สวนพลู มาเป็นผู้เทศนาเรื่อง “การรักเงินทอง” โดยอาจารย์นำหลักการจากพระคัมภีร์เกี่ยวกับเรื่องการเงินมาถ่ายทอดยังพวกเรา
หลักการในพระคัมภีร์เกี่ยวกับเรื่องการเงิน
1. พระเจ้าเป็นเจ้าของทุกสิ่ง เราเป็นเพียงผู้อารักขาทรัพย์สินของพระเจ้า (เราเป็นคนต้นเรือน) สดด.50:10-12 [10เพราะสัตว์ทุกตัวในป่าเป็นของเรา ทั้งสัตว์เลี้ยงบนภูเขาตั้งพันยอด 11เรารู้จักบรรดานกแห่งภูเขาทั้งหลาย และบรรดาสัตว์ในนาเป็นของเรา12ถ้าเราหิว เราจะไม่บอกเจ้า เพราะพิภพและสารพัดที่อยู่ในนั้นเป็นของเรา]
2. การขโมยเป็นสิ่งที่ผิด
มก.12:17 [17พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า "ของของซีซาร์จงถวายแก่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า" ฝ่ายเขาก็ประหลาดใจในพระองค์ยิ่งนัก]
3. การโลภเป็นสิ่งที่ผิด
อพย.20:17 [17"อย่าโลภครัวเรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภภรรยาของเพื่อนบ้าน หรือทาสทาสีของเขา หรือโค ลาของเขา หรือสิ่งใดๆ ซึ่งเป็นของของเพื่อนบ้าน"]
4. การพยายามอย่างไม่ลดละ (ไม่รู้จบ) ที่จะแสวงหาความร่ำรวยเป็นสิ่งที่อันตราย
สภษ.23:4-5 [4อย่าทำงานเพื่อเห็นแก่ทรัพย์ศฤงคาร จงฉลาดพอที่จะยับยั้งไว้ 5เจ้าจะเพ่งตาของเจ้าอยู่ที่ของอนิจจังหรือเพราะทรัพย์สมบัติมีปีกแน่นอนทีเดียว มันจะบินไปในท้องฟ้าเหมือนนกอินทรี]
5. การให้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง
มก.12:41-44 [41พระเยซูได้เสด็จประทับตรงหน้าตู้เก็บเงินถวาย ทรงสังเกตประชาชนเอาเงินมาใส่ไว้ในตู้นั้น และคนมั่งมีหลายคนเอาเงินมากมาใส่ในที่นั้น 42มีหญิงม่ายคนหนึ่งเป็นคนจนเอาเหรียญทองแดงสองอัน มีค่าประมาณสลึงหนึ่งมาใส่ไว้ 43พระองค์จึงทรงเรียกเหล่าสาวกมาตรัสแก่เขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า หญิงม่ายจนคนนี้ได้ใส่ไว้ในตู้เก็บเงินถวายมากกว่าคนทั้งปวงที่ใส่ไว้นั้น 44เพราะว่าคนทั้งปวงนั้นได้เอาเงินเหลือใช้ของเขามาใส่ไว้ แต่ผู้หญิงนี้ขัดสนที่สุด ยังได้เอาเงินที่มีอยู่สำหรับเลี้ยงชีวิตของตนมาใส่จนหมด"]
6. การจัดการเรื่องการเงินเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
มธ.25:14-29 [14"และยังเปรียบเหมือน ชายผู้หนึ่งจะออกเดินทางไป จึงเรียกพวกทาสของตนมาฝากทรัพย์สมบัติไว้ 15คนหนึ่งท่านให้ห้าตะลันต์ {เงินหนึ่งตะลันต์ มีค่าประมาณสองหมื่นบาท} คนหนึ่งสองตะลันต์ และอีกคนหนึ่งตะลันต์เดียว ตามความสามารถของแต่ละคนแล้วท่านก็ไป 16คนที่ได้รับห้าตะลันต์นั้นก็เอาเงินนั้นไปค้าขายทันที ได้กำไรเท่าตัว 17คนที่ได้รับสองตะลันต์นั้นก็ได้กำไรเท่าตัวเหมือนกัน 18แต่คนที่ได้รับตะลันต์เดียวได้ขุดหลุมซ่อนเงินของนายไว้ 19ครั้นอยู่มาช้านานนายจึงมาคิดบัญชีกับทาสเหล่านั้น 20คนที่ได้รับห้าตะลันต์ก็เอาเงินกำไรอีกห้าตะลันต์มาชี้แจงว่า "นายเจ้าข้า ท่านได้มอบเงินห้าตะลันต์ไว้กับข้าพเจ้า ดูเถิด ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกห้าตะลันต์" 21นายจึงตอบว่า "ดีแล้ว เจ้าเป็นทาสดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด" 22คนที่ได้รับสองตะลันต์มาชี้แจงด้วยว่า "นายเจ้าข้า ท่านได้มอบเงินสองตะลันต์ไว้กับข้าพเจ้า ดูเถิด ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกสองตะลันต์" 23นายจึงตอบว่า "ดีแล้ว เจ้าเป็นทาสดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด" 24ฝ่ายคนที่ได้รับตะลันต์เดียวมาชี้แจงด้วยว่า "นายเจ้าข้า ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่าท่านเป็นคนใจแข็ง เกี่ยวผลที่ท่านมิได้หว่าน เก็บส่ำสมที่ท่านมิได้โปรย 25ข้าพเจ้ากลัวจึงเอาเงินตะลันต์ของท่านไปซ่อนไว้ใต้ดิน ดูเถิด นี่แหละเงินของท่าน" 26นายจึงตอบว่า "อ้ายข้าชั่วช้าและเกียจคร้าน เจ้าก็รู้หรือว่าเราเกี่ยวที่เรามิได้หว่าน เก็บส่ำสมที่เรามิได้โปรย 27เหตุฉะนั้นเจ้าควรเอาเงินของเราไปฝากไว้ที่ธนาคาร เมื่อเรามาจะได้รับเงินของเราทั้งดอกเบี้ยด้วย 28เพราะฉะนั้น จงเอาเงินตะลันต์เดียวนั้นจากเขาไปให้คนที่มีสิบตะลันต์ 29ด้วยว่าผู้ใดมีอยู่แล้วจะเพิ่มเติมให้ผู้นั้นจนมีเหลือเฟือ แต่ผู้ที่ไม่มี แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่ก็จะต้องเอาไปจากเขา]
ข้อพระคัมภีร์ที่ยกมาข้างต้นนั้น เชื่อว่าพี่น้องรู้จักกันเป็นอย่างดีอยู่แล้ว จึงไม่ขอกล่าวถึงรายละเอียดในที่นี้ ทว่า เราต่างได้รับพระพรจากพระคำของพระองค์เสมอ ฉันจึงอดไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับไปถึงการเบิกตาจากพระองค์แก่ฉันในเรื่องนี้
ช่วงแรกของการเป็นคริสเตียน ฉันเป็นคนที่ล้มเหลวทางด้านการเงิน เป็นคนที่ไม่สัตย์ซื่อในการถวายสิบลด โดยจะนำเงินไปใช้อย่างอื่นก่อน เมื่อเหลือแล้วจึงถวาย ถ้าไม่เหลือก็ไม่ถวาย ฉันไม่ได้ถวายผลแรก ไม่ได้นำส่วนที่ดีที่สุดมาถวายพระเจ้า ซึ่งฉันก็มีเหตุผลที่เข้าข้างตัวเองว่า รายได้น้อย ต้องผ่อนบ้าน ต้องเลี้ยงดูแม่ ต้องส่งตัวเองเรียน ใช้หนี้ และอีกสารพัดจะอ้าง
ถ้าคิดเสมอว่าเราพอ เราจะไม่ยากจนเลย
ช่วงหนึ่งได้รู้จักกับน้องไก่จันทวรรณผ่านการแนะนำของ Jim & Judy มิชชันนารีชาวอเมริกัน ซึ่งเมื่อได้เห็นชีวิตของน้องไก่ที่เดินอยู่บนความเชื่อ และตั้งมั่นอยู่ในความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า ก็เป็นแรงดลใจให้ฉันปรารถนาที่จะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ยังจำได้เสมอกับคำพูดประโยคหนึ่งจากน้องไก่ “ทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่เรามีล้วนมาจากพระเจ้า พระเจ้าให้เราถวายคืนกลับเพียง 10% เท่านั้น ทำไมเราจะทำไม่ได้” และ ตั้งแต่นั้นมา ฉันจึงตั้งใจว่าจะถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยการสัตย์ซื่อในเรื่องสิบลด
ฉันเชื่อว่าพี่น้องในพระคริสต์สัตย์ซื่อในการถวายสิบลด แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ พี่น้องหลายท่านถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยการถวายมากกว่าสิบลด กล่าวคือ มิเพียงถวายแด่พระเจ้าในแต่ละสัปดาห์ที่คริสตจักร แต่ยังได้สงเคราะห์คนยากจน ถวายเพื่อพันธกิจต่างๆ และถวายเพื่อผู้รับใช้ของพระเจ้าด้วย ซึ่งนั่นก็เป็นการถวายเกียรติแด่พระองค์นั่นเอง
ตั้งขอบแล้วอย่าตกขอบ
อ.เน็ดกล่าวเตือนว่า ให้เราตั้งขอบในการใช้เงินของเรา เช่น อาจจะใช้เพียง 80% เพื่อที่จะมีเงินเพียงพอสำหรับถวายพระเจ้า และช่วยเหลือผู้อื่น…ฉันเองนั้นเคยตกขอบมานักต่อนักแล้ว มิเพียงใช้เงินเกิน 80% แต่ยังใช้เงินเกินขอบเขต 100% ใช้จ่ายมากกว่ารายได้ที่มีเข้ามา บัตรเครดิตนั่นแหละ ตัวดีนักเชียว! … ฉันฉ้อพระเจ้าอีกแล้ว เอาเงินสิบลดไปชำระบัตรเครดิตก่อน “ยืมก่อนนะคะ พระเจ้า เดี๋ยวใช้คืน เพราะว่าพระเจ้าไม่คิดดอก” ว้า แย่จัง ไปโทษบัตรเครดิตก็ไม่ได้อีกนั่นแหละ ต้องโทษตัวเองตัวต้นเหตุ ซึ่งพระเจ้าก็ทรงให้โอกาส ให้พระคำของพระองค์นำฉันกลับใจ ลืมสิ่งที่ผ่านพ้นไป โน้มตัวไปข้างหน้า อ่ะฮ้า คราวนี้จะใช้หนี้พระเจ้าก่อนหนี้ทางโลก และจะไม่ใช้บัตรเครดิตจนเกินความสามารถในการจ่าย เมื่อมีรายได้เข้ามา ก็จะถวายพระเจ้าก่อน แล้วที่เหลือจึงนำไปจัดสรรตามความจำเป็นต่างๆ แน่นอนว่าภาระยังคงมีเช่นเดิม และดูเหมือนจะมากขึ้นด้วย ทว่า แอกนั้นก็พอเหมาะเสมอ ในหลายครั้งดูเหมือนไม่มีอะไรเลย แต่ก็ไม่เคยขัดสน ด้วยแนวคิดที่ว่าพระเจ้าจะทรงเลี้ยงดู
การแลกเปลี่ยนอันเต็มด้วยสง่าราศี
เมื่อคุณยอมปลดปล่อยสิ่งสำคัญของคุณ ซึ่งได้แก่ ตะลันต์ ความสามารถ หรือสิ่งที่ได้มาโดยความพยายาม คุณก็กำลังปลดปล่อยส่วนหนึ่งของชีวิตออกไป เช่นกัน เมื่อคุณถวายเงิน เวลา หรือคำอธิษฐาน อย่างเต็มที่ให้แก่พันธกิจหนึ่ง คุณก็กำลังประกาศว่า “พระเจ้าทรงเป็นแหล่งของฉัน ทรงเป็นพระเจ้าสูงสุด ผู้ครอบครองสวรรค์และโลก ความวางใจของฉันไม่ได้อยู่ในสิ่งที่มี แต่อยู่ในพระผู้สร้างสิ่งสารพัด” (คัดลอกจาก หนังสือ เมล็ดพืชที่สำคัญ การเก็บเกี่ยวนิรันดร์ หน้า 15 โดย ริค โธมัส จัดพิมพ์และเผยแพร่โดย Bangkok Translation Centre)
จงให้ และจงมั่นใจว่าเรามีเพียงพอ
ใช้เวลานานพอดูในการเคลียร์บัตรเครดิตและหนี้สินต่างๆ ให้ลงตัว แต่กระนั้น ก็มิเคยขัดสน หากยังมีเพียงพอเสมอมา โดยมีข้อแม้คือ พึ่งพาพระเจ้าอย่างมาก และสัตย์ซื่อในการกลับใจของตนเอง ไม่หันกลับไปทำบาปเดิมๆ อีก
พระเจ้าเป็นแหล่งทรัพยากรของผู้รับใช้
ช่างน่ายกย่องยิ่งนักที่ผู้รับใช้พระเจ้าเต็มเวลาจำนวนมาก อยู่ได้โดยไม่พึ่งเงินเดือนจากต้นสังกัด แต่พึ่งพระบิดาผู้ทรงเป็นจอมของสิ่งสารพัด เดินอยู่บนความเชื่อในพระเจ้าผู้เที่ยงแท้ มิใช่ลำพังตนเองเท่านั้น แต่คนในครอบครัว (บางคนยังไม่เชื่อพระเจ้าด้วยซ้ำ) ต้องเดินบนทางความเชื่อเดียวกัน พี่น้องท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า ต้องหา Sponsor ถึง 50 คนทีเดียว ส่วนพี่น้องอีกท่านหนึ่งก็เล่าว่า ตอนนี้มี Sponsor 30 คนแล้ว แต่ก็ไม่แน่นอน ขึ้นๆ ลงๆ ตามภาวะเศรษฐกิจ
เมื่อได้อ่านหนังสือเรื่อง “ผจญภัยโดยการถวาย” ของ บิล ไบลท์ ผู้ก่อตั้งแคมปัสครูเสด ครานี้ฉันก็ถึงบางอ้อแล้วว่า นี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้บุตราบุตรีทั้งหลายของพระองค์รับพระพร ให้โอกาส คริสเตียนทั้งหลายดูแลผู้รับใช้พระเจ้าเต็มเวลา เพื่อที่พระเจ้าจะได้อวยพรผู้ที่ให้นั้นอย่างเต็มขนาด ทั้งยังอวยพรผู้รับใช้เต็มเวลาให้รับใช้พระเจ้าด้วยความเต็มใจเต็มกำลัง โดยไม่ต้องกังวลใดๆ





บิล ไบลท์

เปลี่ยนแปลงการถวายของคุณให้เป็นการผจญภัยที่
ตื่นเต้นด้วยพระวิญญาณ
-เตรียมตัวที่จะผจญภัยโดยการถวาย
-รับพระพรล้นเหลือจากพระเจ้า
-เป็นอิสระทางการเงิน
-ไว้วางใจพระเจ้าในเรื่องเงิน






ฟป.4:15-17[15และพวกท่านชาวฟีลิปปีก็ทราบอยู่แล้วว่า การประกาศข่าวประเสริฐในเวลาเริ่มแรกนั้น มาตอนเมื่อข้าพเจ้าออกไปจากแคว้นมาซิโดเนีย ไม่มีคริสตจักรใดมีส่วนร่วมกับข้าพเจ้าในรายรับรายจ่ายเลย นอกจากพวกท่านพวกเดียวเท่านั้น 16ถึงแม้เมื่อข้าพเจ้าอยู่ที่เมืองเธสะโลนิกา พวกท่านก็ได้ฝากของมาช่วยหลายครั้งหลายหน 17มิใช่ว่าข้าพเจ้าปรารถนาจะได้รับของให้ แต่ว่าข้าพเจ้าอยากให้ท่านได้ผลกำไรในบัญชีของท่านมากขึ้น] เปาโลกำลังสื่อสารว่า “ข้าพเจ้าปรารถนาให้จิตวิญญาณยากจนได้รับความรอด และชีวิตมากมายได้รับการเปลี่ยนแปลง และท่านได้ให้ ไม่ใช่เพราะว่าข้าพเจ้าไม่มีอาหารหรือเครื่องนุ่งห่ม แต่เพราะท่านต้องการให้ข้าพเจ้าสามารถเผยแพร่พระกิตติคุณได้ และทางเดียวที่ข้าพเจ้าจะกระทำเช่นนั้นได้ก็คือ เมื่อความจำเป็นของข้าพเจ้าได้รับการตอบสนอง” (คัดลอกจาก หนังสือ เมล็ดพืชที่สำคัญ การเก็บเกี่ยวนิรันดร์ หน้า 23 โดย ริค โธมัส จัดพิมพ์และเผยแพร่โดย Bangkok Translation Centre) เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่หนอนกล้วยน้ำว้าแนะนำให้อ่านนะคะ แต่ไม่มีปกมาโชว์ค่ะ หาไม่เจอ ส่วนหนอนกล้วยนั้น มีคนซื้อให้คะ (อิอิ) ขอบคุณพระเจ้า
พระวิญญาณแห่งปัญญา
ขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงเบิกตาให้พี่น้องได้เห็นคุณค่าและไขว่คว้าหาขุมทรัพย์แห่งพระเจ้า ซึ่งมีค่ายิ่งเหนือสิ่งใดๆในโลก นั่นคือ ความรู้ถึงพระปัญญาของพระเจ้า อันเป็นขุมทรัพย์นิรันดร์ ด้วยการแสวงหาพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ และรักในพระบัญญัติของพระองค์ ในขณะเดียวกัน ก็มิลืมที่จะดูแลผู้รับใช้พระเจ้าเต็มเวลา ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงเรียกมาทำงานเพื่อข่าวประเสริฐแห่งพระองค์
หว่านเมล็ดพืชในแผ่นดินของพระเจ้า
การถวายทรัพย์เป็นการหว่านเมล็ดพืชแห่งความเชื่อลงในแผ่นดินของพระเจ้า ยิ่งเมื่อถวายให้กับผู้รับใช้ ถวายให้กับงานประกาศ พร้อมทั้งปกคลุมด้วยการอธิษฐาน จะก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวในฝ่ายวิญญาณอย่างเหนือระดับ นำมาซึ่งการฟื้นฟูที่สดเสมอ และไฟที่ไม่รู้ดับ
ในนามของคริสตจักรนิมิตใหม่ได้มีการถวายเพื่อสนับสนุนผู้รับใช้ และพันธกิจประกาศ ทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้นมากกว่าปีใดๆ ที่ผ่านมา และการอัศจรรย์เรื่องการเงินก็เกิดขึ้นกับคริสตจักร มีผู้ถวายเข้ามาเป็นจำนวนมากเช่นกัน และแผ่นดินของพระเจ้าก็ขยายมากขึ้น แผ่นดินสวรรค์มาตั้งอยู่ในโลกแล้วจริงๆ
ดังนี้แล้ว ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำพาพี่น้องให้หว่านเมล็ดพืชลงในดินที่ดี จะเป็นแผ่นดินแห่งใดก็ตาม ทั้งใกล้และไกล เพื่อแผ่นดินของพระเจ้า เพื่อการเก็บเกี่ยวนิรันดร์
เริ่มต้นวันนี้!
หากว่าได้เริ่มต้นแล้ว…ขยายดินแดนมากขึ้น!
หากว่าได้ขยายดินแดนมากขึ้นแล้ว…ขยายดินแดนมากขึ้นกว่าเดิม

ฟป.4:19 และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานสิ่งสารพัดที่พวกท่านขาดอยู่นั้น จากทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์ในพระเยซูคริสต์

ฟป.2:10 เพื่อเพราะพระนามนั้น ทุกเข่า ในสวรรค์ ที่แผ่นดินโลก ใต้พื้นแผ่นดินโลก จะคุกลงกราบ พระเยซู

เมื่อฉันปฏิเสธพระเยซู

เมื่อฉันปฏิเสธพระเยซู
วันที่ 15/02/2010
ฉากเด่นฉากหนึ่งก่อนที่พระเยซูจะทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน คือ ฉากที่เปโตรปฏิเสธพระเยซู ซึ่งมีปรากฎในพระกิตติคุณทั้ง 4 เล่ม [มธ.26:33-34 ฝ่ายเปโตรทูลตอบพระองค์ว่า "แม้คนทั้งปวงจะทิ้งพระองค์ ข้าพระองค์จะทิ้งก็หามิได้เลย" พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ในคืนวันนี้ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง"]
เปโตรเองคงคิดไม่ถึงว่าตนเองจะเป็นผู้ที่ปฏิเสธพระเยซู แต่พระเยซูผู้ทรงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ทรงอธิษฐานเผื่อเขา และพระองค์ไม่ได้ประนามในสิ่งที่เปโตรปฏิเสธพระองค์ แต่กลับทรงให้เกียรติเปโตร ทรงตามหาเขา เมื่อพระองค์ฟื้นคืนพระชนม์ และเปโตรนี่แหละ เป็นหนึ่งในอัครฑูตผู้ประกาศข่าวประเสริฐอย่างเข้มแข็ง
ฉันเองก็เช่นกัน นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์วิกฤติทางความเชื่อเมื่อหลายปีก่อน ก็ตั้งใจว่าจะไม่หันหลังกลับ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ฉันจะติดตามพระองค์ไปตลอดชีวิต ทว่า เมื่อมองย้อนกลับไปในหลายๆ เหตุการณ์ ก็พบว่าตนเองได้ปฏิเสธพระเยซูเช่นกัน
[มธ.26:75 เปโตรจึงระลึกถึงคำที่พระเยซูตรัสไว้ว่า "ก่อนไก่ขันเจ้าจะปฏิเสธเราสามครั้ง" แล้วเปโตรก็ออกไปข้างนอกร้องไห้เป็นทุกข์ยิ่งนัก] เปโตรปฏิเสธพระเยซูเพียง 3 ครั้ง เขาก็สำนึกผิด เสียใจ ร้องไห้ และ กลับใจใหม่ แต่ฉันล่ะ ฉันเองกลับปฏิเสธพระเยซู มิเพียงแค่ 3 ครั้ง แต่หลายครั้งเหลือเกิน หากนับเฉพาะสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็ 3 ครั้งแล้วสินะ
ครั้งแรก ขณะขึ้นรถตู้เดินทางกลับบ้าน ฉันนั่งอยู่ตรงแถวที่ 2 โดยด้านหลังฉัน คือในแถวที่ 3 มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง อายุประมาณ 6-7 ขวบ นั่งอยู่บนตักพ่อ เธอไอเสียงดังตลอดทาง จนฉันรู้สึกอึดอัด เธอไอใส่ฉันตรงๆ เลย ตรงหูพอดีเลยอ่ะ ฉันก็คิดในใจว่า โอ้โห! ทำไมพ่อเธอไม่สอนลูกให้ปิดปากเมื่อไอจามล่ะ เวลาเด็กไอ ฉันก็โยกตัวหนี ไม่กล้าบอกตรงๆ ว่า เสียงดังมากๆ และไอใส่หูฉันเลย และก็นึกตำหนิสองพ่อลูกนี้ไปตลอดทาง พร้อมกับนึกว่า เมื่อไรเขาจะลงซักทีนะ และก็อยากให้ถึงที่หมายของตัวเองเร็วๆ แต่ปรากฎว่าสองพ่อลูกนั้นลงรถป้ายเดียวกับฉัน ฉันมองดูพวกเขา แต่คราวนี้หัวใจฉันสั่นไหว รู้สึกถึงความบกพร่องของตัวเอง หากพระเยซูทรงนั่งอยู่ที่เดียวกับฉัน พระองค์จะปฏิบัติเช่นไรนะ พระองค์คงไม่ประพฤติเยี่ยงฉันเป็นแน่ แทนที่ฉันจะถามไถ่อาการ แสดงความเห็นใจ หรือแม้แต่อธิษฐานเผื่อเด็กในใจ ฉันก็ไม่ได้ทำเลย ในใจฉันมีแต่การกล่าวโทษ แถมยังแสดงกิริยารังเกียจเธออีก
ครั้งที่ 2 สดๆ ร้อนๆ บ่ายวันอาทิตย์ หลังจากฟังเทศนาเรื่องความรักจบเรียบร้อยแล้ว แต่ฉันกลับสอบตกเรื่องความรักในวันนั้นเอง ฉันรีบกลับบ้านมาก เพราะนัดช่างไว้ เพื่อทำธุระเรื่องบ้าน พี่สาวคนหนึ่งก็ชวนฉันทานข้าว ให้รีบทานแล้วค่อยกลับก็ได้ ฉันก็ตกลง ทานไปได้สักพัก ก็ได้ยินคุณลุงและพี่สาวอีกคนที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน กำลังสนทนาเรื่องการไปต่างประเทศ ซึ่งคุณลุงมีลูกสาวคนหนึ่งที่แต่งงานกับชาวต่างชาติ ไปใช้ชีวิตอยู่ยุโรป และปรารถนาให้คุณพ่อไปเยี่ยมเธอ คุณพ่อก็พยายามหาตั๋วเครื่องบิน แต่ไม่รู้ว่าจะติดต่อที่ไหน ฉันจึงจดชื่อและเบอร์โทรให้คุณลุง คุณลุงก็ย้ำแล้วย้ำอีกว่าต้องเป็นไทยอินเตอร์นะ และตามมาด้วยคำถามอีกกระบุงโกย ซึ่งฉันต้องพูดกับคุณลุงดังๆ เพราะคุณลุงมีปัญหาในการฟัง พี่คนนั่งข้างๆ ก็ช่วยพูดด้วยอีกคน สุดท้ายคุณลุงขอให้ฉันโทรคุยกับลูกสาวคุณลุงที่ต่างประเทศ ฉันก็ปฏิเสธทันที เป็นอีเมล์ได้ป่ะคุณลุง โทรไปยุโรปมันแพงนะ…คุณลุงก็หา! อีอะไรนะ (ผ่าง!) สลับกับการพูดเรื่องตั๋วเครื่องบิน คุณลุงบอกว่าอธิษฐานเผื่อเรื่องที่ดินด้วยนะ ฉันก็รับปากว่า คะ คะ คะ เวลานั้นคุยกับคุณลุงจนเหนื่อย ประกอบกับต้องการรีบกลับไปทำธุระ จึงบอกคุณลุงว่า คุณลุงโทรไปตามเบอร์ที่ให้ละกัน ไปละนะ หนูรีบค่ะ บ้ายบ่าย!!! คุณลุงตะโกนไล่หลังมาว่า อธิษฐานเผื่อลุงด้วยนะ อธิษฐานเผื่อที่ดินด้วย
ครั้งที่ 3 ติดๆ กันเลยคะพี่น้อง ขณะที่กำลังจะกลับบ้าน พี่สาวอีกคนหนึ่งก็เข้ามาคุยด้วย เธอเปิดเผยถึงเรื่องราวบางอย่างที่บ้านให้ฟัง เธออยากให้ฉันอธิษฐานเผื่อ เธอเล่าไปได้หน่อยหนึ่ง ก็มีบางอย่างมาขัดจังหวะ ฉันจึงถือโอกาส ลาแล้วนะคะพี่ น้องมีธุระต้องรีบกลับบ้านค่ะ (แป่ว)
ขณะขึ้นรถกลับบ้าน ภาพเหตุการณ์ทั้ง 3 ได้ผุดขึ้นมา ฉันต้องร้องทูลต่อพระเจ้า ขอการยกโทษจากพระองค์ ที่ฉันได้ปฏิเสธพระองค์ถึง 3 ครั้ง ในเวลาไล่เลี่ยกัน เป็นความสะเทือนใจเหลือเกินสำหรับลูกของพระเจ้าที่ปฏิบัติต่อผู้อื่นเช่นนั้น จริงอยู่ที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “ความรักของคนส่วนมากจะเยือกเย็นลง เพราะความอธรรมแผ่กว้างออกไป” [มธ.24:12] โอ้พระองค์เจ้าข้า จะมิเป็นเช่นนั้นในลูกของพระองค์เลย
ฉันรู้สึกว่าตนเองพลาดจากพระบัญญัติข้อใหญ่ของพระองค์ ฉันมีความรักน้อยเหลือเกิน ฉันรักพระองค์น้อยเกินไป และรักผู้อื่นน้อยเกินไปเช่นกัน ฉันจำเป็นอย่างยิ่งต้องขอรับการเติมเต็มจากพระองค์ หลังจากทำธุระเรียบร้อยแล้ว ฉันก็เข้าเฝ้าพระเจ้าอย่างเร่งด่วน จำนนอยู่จำเพาะพระพักตร์พระองค์ เพราะความรักของพระองค์ยิ่งใหญ่ที่สุด ฉันขอที่จะรักพระองค์มากกว่าเดิม ขอความรักจากพระองค์ท่วมทะลักอยู่ในหัวใจของฉัน จนไม่อาจเก็บเอาไว้ แต่ให้ไหลล้นออกไปยังทุกคนรอบข้าง ให้สมกับความรักของพระองค์ที่ทรงมอบให้กับฉัน
[ยน.14:15]
"ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา”
เมื่อกลับใจแล้ว ก็ต้องแก้ตัวด้วย สำหรับรายแรกนั้น ฉันคงไม่ได้พบเขาอีก ก็อธิษฐานอวยพรเขา สำหรับรายที่ 2 และ 3 นั้น เกี่ยวเนื่องกับการรีบกลับบ้านของฉัน ซึ่งการรีบกลับบ้านไม่ใช่สิ่งผิด แต่ท่าทีในใจของฉันนั้นผิดต่อพี่น้อง เนื่องจากฉันคิดถึงแต่ตัวเองฝ่ายเดียว วันนี้จึงโทรไปขอโทษคุณลุง และสอบถามว่าคุณลุงจะไปเมืองไหน คุณลุงบอกว่าไม่รู้ (อ้าว!) อืม ก็ต้องโทรไปคุยกับลูกสาวคุณลุงนะ แต่เนื่องจากคุณลุงอยู่นอกบ้าน ไม่สะดวกที่จะให้เบอร์โทรศัพท์ ประกอบกับงานเข้าตลอดทั้งวัน วันนี้จึงยังไม่ได้คุยกับลูกสาวคุณลุงเลย แต่ฉันก็ตั้งใจว่าจะรับใช้คุณลุงให้ถึงที่สุด จนกว่าจะได้บทสรุปเรื่องตั๋วเครื่องบิน แต่เอ๊ะ เรื่องที่ดินนั้นคืออะไร ก็คงต้องไปคุยกับคุณลุงอีกนั่นแหละ สำหรับรายที่ 3 วันนี้ฉันก็ได้โทรไปหาเธอ ซึ่งเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากในรายละเอียด เพราะบางสิ่งนั้นต้องนั่งลงคุยกันเป็นการส่วนตัว แต่เราก็อธิษฐานเผื่อกันและกัน จนกว่าจะถึงวันนั้น วันที่พระเจ้าอนุญาตให้เรานั่งลงเพื่อใช้เวลาร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง
[ยน.13:17]
“เมื่อท่านรู้ดังนี้แล้วและท่านประพฤติตาม ท่านก็เป็นสุข”
ขอบคุณพระเจ้า!

จากกรุงเทพมหานครสู่สมุทรสาคร

จากกรุงเทพมหานครสู่สมุทรสาคร
วันที่ 05/02/2010
[ยชว.1:9 เราสั่งเจ้าไว้แล้วมิใช่หรือว่าจงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าตกใจหรือคร้ามกลัวเลย เพราะว่าเจ้าไปในถิ่นฐานใด พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าทรงสถิตกับเจ้า"]
ย้ายบ้านแล้วจ้า!!! ฉันย้ายภูมิลำเนาจากกรุงเทพมหานครสู่สมุทรสาครเรียบร้อยแล้ว ตอนที่ไปซื้อบ้านนะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบ้านใหม่อยู่เขตนอกปริมณฑล ก็เบอร์โทรศัพท์ที่สำนักงานขายขึ้นต้นด้วย 02 นี่นา พอซื้อบ้านเรียบร้อยแล้วจึงรู้ว่า โทรศัพท์ละแวกนั้นต้องขึ้นต้นด้วย 034 ซึ่งเท่ากับว่าเป็นเขตต่างจังหวัดไปโดยปริยาย หากต้องการเบอร์ 02 ก็ต้องซื้อมาและลากสายยาวววววว แต่หากต้องการจริงๆ โดยไม่เสียกะตังค์ก็ต้องรออีก 5 ปี จึงจะมีเบอร์ 02 ให้ใช้จ้า
จังหวัดสมุทรสาครเนี่ย รู้จักครั้งแรกตอนเรียนวิชาภูมิศาสตร์สมัยประถม และมาจดจำมากขึ้นเมื่อได้ยินเพลงหนุ่มนาข้าวสาวนาเกลือ ที่ฟังตอนเด็ก เพลงนี้ร้องโดย ศรเพชร และ น้องนุช…เคยฟังกันหรือเปล่าเอ่ย
ชาย: บ้านของพี่ทำนา ทำนา ปลูกข้าวทุกเมื่อ
หญิง: น้องก็ทำนาเกลือ ขายเกลือ เพื่อซื้อข้าวกิน
ชาย: บ้านของพี่อยู่ที่กาฬสินธุ์
หญิง: ส่วนตัวยุพินอยู่สมุทรสา-ครรรรรร
ช่างประจวบเหมาะอะไรเช่นนี้ คุณแม่ชื่อยุพินพอดีเลย คราวนี้ฉันก็เลยติดสอยห้อยตามคุณยุพินไปอยู่สมุทรสาครด้วย สมุทรสาครเนี่ยใกล้ทะเล แค่คืบก็ถึงทะเลแล้ว พี่อ้อยบอกว่า ถ้าน้ำท่วมกรุงเทพนะ ก็ท่วมบ้านเราก่อนเลย (แป่ว) พี่แอ๊ดก็ให้ความเห็นเพื่อหวังสร้างกำลังใจว่า “มีผู้รับใช้อยู่แถวนั้นเยอะแยะ อ.ประยูรก็คนหนึ่งแหละ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ก็ตายพร้อมผู้รับใช้พระเจ้านั่นแหละน้อง ดีออก” (ฮา…เจ๊แกมีอารมณ์ขัน)…ขอประทานโทษ อ.ประยูรนะคะ หนูไม่ได้นินทานะ (แหะ แหะ)
ตั้งแต่ย้ายเข้ามากรุงเทพฯ เดิมก็ตั้งภูมิลำเนาอยู่ดอนเมือง แต่ก็มีช่วงหนึ่งที่ย้ายตัวเองมาอยู่คอนโดแถวประดิพัทธ์ เวลามีเลือกตั้งทีไร ก็ต้องถ่อไปถึงดอนเมืองตามหน้าที่พลเมืองดี ที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของบ้านเมือง ซึ่งกฎหมายของพระเจ้าเองก็สนับสนุนให้ลูกของพระองค์ยืดถือกฎของบ้านเมืองเช่นเดียวกัน [รม.13:1 ทุกคนจงยอมอยู่ใต้บังคับของผู้ที่มีอำนาจปกครอง เพราะว่าไม่มีอำนาจใดเลยที่มิได้มาจากพระเจ้า และผู้ที่ทรงอำนาจนั้น พระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น]
เมื่ออยู่สมุทรสาครแล้ว คิดว่าคงไม่มีเลือกตั้งบ่อยเหมือนตอนอยู่กรุงเทพฯ แต่เอ๊ะ!ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครเป็นใครนะ เพราะเราต้องอธิษฐานเผื่อผู้นำ เผื่อประเทศ จังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้านที่เราอยู่ ขอความโปรดปรานของพระเจ้าอยู่เหนือชีวิตของเรา และสถานที่ที่เราอยู่ ขอสันติสุขของพระองค์ดำรงอยู่ในทุกแห่งซึ่งลูกของพระองค์เหยียบย่างเข้าไป ซึ่งก็เป็นการดีหลายพี่น้องเอ๋ย ที่เรากระจัดกระจายกันออกไปเป็นพรตามมุมต่างๆ ของประเทศไทย และจนสุดปลายแผ่นดินโลก อันเป็นเหตุให้พระกิตติคุณขจรขจายไปดุจเดียวกัน…ฮาเลลูยา!
เราไม่อาจจะอยู่ที่ใดที่หนึ่งได้ตลอดชีวิต และไม่มีใครที่จะอยู่กับเราได้ตลอดชีวิตเช่นกัน แต่องค์อิมมานูเอลทรงอยู่กับเราเสมอ ทุกหนทุกแห่ง ทุกทิศใกล้ไกล ทุกเวลา ทุกวันคืน ตลอดชีวิตของเรา [สดด.139:9-10 ถ้าข้าพระองค์จะติดปีกแสงอรุณ และอาศัยอยู่ที่ส่วนของทะเลไกลโพ้น แม้ถึงที่นั่น พระหัตถ์ของพระองค์จะนำข้าพระองค์ และพระหัตถ์ขวาของพระองค์จะยึดข้าพระองค์ไว้]

การรับใช้ที่นำสู่การตั้งคริสตจักร‏

31 มกราคม 2553 ที่คริสตจักรนิมิตใหม่ ตื่นเต้นเร้าใจไปกับการเทศนา โดย ศบ.พงษ์ศักดิ์ อังศ์ธราธร ในหัวข้อ “การรับใช้ที่นำสู่การตั้งคริสตจักร” โอ้โห! พี่น้องคะ มันส์หยดสะท้านภพตั้งแต่ถ้อยคำแรกจนถึงถ้อยคำสุดท้าย ทั้งท้าทายและหนุนใจ ทั้งยังอบอวลไปด้วยพลัง ความเชื่อ ความหวัง ความรัก และบทเพลงสรรเสริญขอบพระคุณพระเจ้าจากห้วงหัวใจ

ในที่นี้คงไม่ขอเล่าถึงรายละเอียดของการเทศนานะคะ แต่เราได้เรียนรู้แนวทางการบุกเบิกคริสตจักรจากพระธรรมกิจการ 11:19-30 ซึ่งเน้นเล็งไปถึงการรับใช้ 4 แบบ คือ

1. การรับใช้แบบสเทเฟน (ข้อ 19-21) รับใช้โดยลงชีวิตเพื่อพระเจ้า ยอมทนทุกข์เพื่อพระคริสต์ อันเป็นทางหนึ่งที่นำไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่ในฝ่ายวิญญาณ

2. การรับใช้แบบบารนาบัส (ข้อ 22-24) ลูกแห่งการหนุนน้ำใจ พร้อมเสมอทั้งกายและใจให้พระเจ้าใช้ ช่วยให้ผู้เชื่อใหม่ดำเนินชีวิตต่อไปในความเชื่อ ความรัก และสามัคคีธรรมกับพระคริสต์

3. การรับใช้แบบเซาโล (ข้อ 25-26) ได้รับการเจิมให้นำพระกิตติคุณไปถึงคนต่างชาติ เป็นการทำงานเป็นทีมและบุกเบิกงาน

4. การรับใช้แบบอากาบัส (ข้อ 27-30) มีของประทานในการเผยพระวจนะ สัตย์ซื่อต่อพระคำของพระเจ้า เป็นพรต่อคริสตจักรและผู้อื่น

ฟังเทศนาไป หัวใจก็เต้นแรง จินตนาการโลดแล่นไปถึงคริสตจักรลูก เห็นภาพตัวเองนั่งนมัสการอยู่ที่คริสตจักรลูก (แบบว่าใจมันยั้งไม่อยู่) ทั้งยังระลึกถึงพี่น้องบางคนที่มีการรับใช้แบบใดแบบหนึ่งอย่างเด่นชัด ซึ่งก็ถามตนเองด้วยว่า แล้วฉันล่ะ เป็นผู้รับใช้แบบไหน อืม…ก็รู้สึกว่าตนเองไม่ได้มีแบบใดแบบหนึ่งที่ชัดเจนนะ แต่มีแบบละนิดแบบละหน่อยผสมกัน คงต้องกลับไปถาม ศบ. แล้วว่า คนประเภทนี้จัดไว้ในแบบไหนดี (ฮาเลลูยา!) อย่างไรก็ตาม ต้องมุ่งมั่นพัฒนาของประทานและแบบแผนในการรับใช้ที่ชัดเจน ตามชอบพระทัยพระเจ้า

งานของพระเจ้ากำลังรอเราอยู่ การรับใช้มีหลายรูปแบบ การรับใช้ที่เกิดผลแบบทะลุทะลวงและพลิกฟื้นนั้นคือ การทำงานที่เล็งเป้าหมายไปที่เดียวกัน อดทนและทุ่มเท และจับมือกับพระเจ้า และที่สำคัญคือ พระพรต้องไหลออกจากเยรูซาเล็มไปสู่ภายนอก (อันนี้ลอกมาทั้งดุ้นจากสูจิบัตร)

แล้วพี่น้องละคะ มีของประทานในการรับใช้แบบไหน?

การเทศนาก็โดนใจในทุกจุดอย่างที่เกริ่นไว้แล้วนะคะ แต่ที่โดนใจสุดๆ อย่างแรงเลย ขอย้ำว่าอย่างแรง ก็ตอนนี้ “ฝ่ายสเทเฟนประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้เขม้นดูสวรรค์เห็นพระสิริของพระเจ้า และพระเยซูทรงยืนอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์” [กจ.7:55] เอ่อ คือว่า เป็นคริสเตียนมาหลายปีดีดัก อ่านตรงนี้มาก็หลายรอบ แต่ไม่เห็น Get เหมือนครั้งนี้เลย…ศบ.อธิบายภาพชัดเจนมาก ว่า เรารู้ว่าพระเยซูทรงประทับนั่งอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์พระเจ้า แต่ในครั้งนี้ ขณะที่ฝูงชนผู้โกรธแค้น รุมกันขว้างหินใส่สเทเฟนนั้น พระเยซูมิได้ทรงนั่ง แต่ทรงยืนขึ้น ยืนเชียร์สเทเฟนอยู่!!! โอ้…พี่น้องที่รัก ช่างเป็นภาพที่หนุนใจอะไรเช่นนี้ อยากจะสรรเสริญ สรรเสริญ สรรเสริญ อยากจะขอบพระคุณ ขอบพระคุณ และขอบพระคุณ…พระเยซูทรงอยู่กับเราอย่างที่ทรงตรัสว่า “จะอยู่กับเราเสมอไปจนกว่าจะสิ้นยุค” [มธ.28:20] เมื่อเราเป็นหนึ่งในความรักพระคริสต์ รับใช้พระองค์อย่างสุดใจสุดกำลัง เราก็ไม่ต้องกลัวสิ่งใด “พระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขัดขวางเราได้” [รม.8:31] พระเจ้าจอมโยธาทรงบังคับบัญชาพระพรอยู่ พระเยซูทรงยืนเชียร์เราอยู่

นิมิตใหม่สู้ สู้!