Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ตามน้ำพระทัย…ไม่ใช่ตามใจฉัน

วันที่ 17/12/2008
สนามรบในความคิดของฉันยังคงฝุ่นตลบ เนื่องด้วยการต่อสู้ยังไม่สิ้นสุด ฉันยังไม่สามารถกำชัยชนะได้อย่างถาวร บางครั้งดูเหมือนว่าฉันชนะแล้ว ฉันก็โอ้ลั่นล้ามีความสุขเหมือนเดิม ในขณะที่ศัตรูยังคงจ้องทำร้าย รุกเข้ามาอีก ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างเงียบเชียบ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ฉันต้องกวาดไล่ศัตรูออกไปให้หมดสิ้น พิชิตชัยชนะในสนามรบนี้ให้ได้อย่างแท้จริง
ฉันตั้งใจทำงานเต็มที่ แต่ในใจกลับไร้สันติสุขอย่างที่ควรจะเป็น ฉันไม่มีความสุขกับการทำงานเลย พอตกเย็นฉันมีโอกาสได้ดูรายการทางโทรทัศน์โดยไม่ได้ตั้งใจ เป็นการนำเด็กซึ่งเติบโตในเมืองเข้าไปทดลองใช้ชีวิตในชนบท ซึ่งตอนที่ฉันดูนั้น เขาพาเด็กๆ ไปช่วยคุณลุงเจ้าของบ้านทำลานนวดข้าว การทำลานนวดข้าวนั้นเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีมานาน เมื่อชาวนาเกี่ยวข้าวแล้ว จะนำมากองรวมกันที่ลานนวดข้าวเพื่อเข้าสู่กรรมวิธีนำข้าวมาฝัดร่อนออกจากรวง เพื่อให้เหลือเพียงข้าวเปลือก อันว่าการทำลานนวดข้าวนั้นจะต้องใช้มูลวัวมูลควายผสมกับน้ำ และละเลงไปบนพื้นดินที่เตรียมไว้แล้ว วิธีการนี้เรียกว่าการ “ยาลาน” ตอนเด็กๆ ฉันก็เคยทำ มูลวัวมูลควายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์สำหรับชาวบ้านอย่างเรา นำไปทำปุ๋ยหมักก็ได้ นำไปทำเชื้อเพลิงก็ดี นำไปขายก็ไม่มีใครซื้อ (แป่ว) เพราะเขาเลี้ยงวัวเลี้ยงควายกันทุกบ้าน มีมูลวัวมูลควายกันทุกบ้านนั่นเอง…เด็กที่ไม่เคยอยู่ในสังคมชนบท เมื่อเจอมูลวัวมูลควายก็ขยะแขยง แต่ด้วยหน้าที่และด้วยเหตุผลใดก็ตาม ต่างก็ต้องช่วยกันแซะมูลสัตว์ใส่ถัง คนละไม้คนมือ จึงมีการไปสัมภาษณ์ความรู้สึกของแต่ละคน บางคนก็ชอบ รู้สึกสนุก บางคนก็ขยะแขยง ทำไปขนลุกไป บางคนก็กลัว แต่เมื่อทำไปเรื่อยๆ และเห็นคนอื่นทำก็เริ่มชิน พิธีกรในรายการก็ให้ข้อคิดว่า “เด็กๆ ควรพอใจในสิ่งที่ตนทำ แม้ว่าสิ่งนั้นจะไม่อยากทำก็ตาม เพื่อว่าในอนาคตเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะเป็นผู้ที่สามารถทำงานได้ทุกชนิด” ตอนที่ฉันดูนั้น ก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก แค่หัวใจวกกลับไปยังชีวิตวัยเด็กที่วิ่งอยู่ในทุ่งนาเขียวขจี อากาศสดชื่นเย็นสบาย น้ำใสไหลเย็นจากทุ่งนาสู่ทุ่งนา ฉันจูงวัวจูงควายไปกินหญ้าตามประสา และฉันก็คิดต่อไปอีกว่า โอ้โห ฉันเคยเลี้ยงวัว ควาย นก หมา แมว หมู เห็ด เป็ด ไก่ (ปิ๋ว…ไม่มีเห็ดนะจ๊ะ) สัตว์เหล่านั้นมีวิธีการเลี้ยงที่แตกต่างกัน แต่ก็ไม่ยากอะไร แต่เดี๋ยวนี้ต้องเลี้ยงแกะ ช่างเป็นการเลี้ยงที่ยากจริงๆ แกะนั้นอ่อนแอ ตาสั้น ซุ่มซ่าม เปราะบาง ช่วยเหลือตัวเองก็ไม่ได้ วันๆ ก็เอาแต่ร้อง กิน แล้วก็นอน แต่พระเจ้าทรงเลี้ยงดูฉันดุจเลี้ยงแกะ ทรงเลี้ยงดูฉันที่อ่อนแอ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พระองค์ทรงนำฉันนอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด ช่างเป็นความรักที่สุดแสนประทับใจจริงๆ
[สดด.23]
1พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน 2พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ 3ทรงฟื้นจิตวิญญาณของข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ 4แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์ 5พระองค์ทรงเตรียมสำรับให้ข้าพระองค์ ต่อหน้าต่อตาศัตรูของข้าพระองค์ พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้าพระองค์ด้วยน้ำมัน ขันน้ำของข้าพระองค์ก็ล้นอยู่ 6แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคงจะติดตามข้าพเจ้าไป ตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์
พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างในการเป็นผู้เลี้ยงที่เลิศ ฉันจินตนาการเห็นภาพตัวเองเป็นแกะที่กระโดดโลดเต้นวิ่งอยู่ในทุ่งหญ้าดังที่พรรณนาไว้ด้านบน ฉันวิ่งๆๆ ด้วยความชื่นบานเข้าไปหาผู้เลี้ยงของฉัน ฉันทูลพระองค์ว่าจะเลียนแบบพระองค์ และขอพระองค์ทรงช่วยให้ฉันเป็นเช่นนั้น เป็นผู้ที่ห่วงใยฝูงแกะ ไม่ยอมให้หมาป่ามาขโมยกัดกิน รวมฝูงแกะไว้ในคอกเดียวกัน และต้อนแกะที่หลงให้กลับบ้าน เพราะว่าพระเจ้าทรงห่วงใยลูกแกะเหล่านั้น
ฉันขอย้อนกลับมาเรื่องเดิมนะคะ ตกเย็นเมื่อกลับถึงบ้าน ก็พบว่าในใจไม่มีสันติสุขเลย นมัสการก็แล้ว อ่านพระคัมภีร์ก็แล้ว อธิษฐานก็แล้ว ก็ยังนำสันติสุขคืนมาไม่ได้ ชีวิตรันทดมากเลยเมื่อขาดสันติสุข ฉันจึงต้องสงบจิตใจไม่ทำอะไรทั้งนั้น นั่งนิ่งๆ รอฟังเสียงพระเจ้าตรัส รอคอยพระองค์…คร่อก ฟี้ หลับไปเมื่อไรก็ไม่รู้ตัว รู้แต่ว่าใช้เวลานิ่งไปนานมาก และสันติสุขกลับคืนมา
เอ้ก อี้ เอ้ก เอ้ก รับอรุณรุ่งของอีกวัน ถึงแม้ว่าจะอยู่ที่ประดิพัทธ์ กทม. แต่ก็มีไก่ขันนะคะ “มนต์รักประดิพัทธ์” ยังสามารถมองเห็นวิถีธรรมชาติ ยังได้ยินเสียงกบเขียด อึ่งอ่างในยามฝนตก ได้ยินเสียงนกทุกเช้าเย็น…ฉันตื่นมาด้วยอาการเพลียเล็กน้อย เนื่องจากนอนไม่พอ จึงต้องรีบทูลขอให้พระเจ้าเสริมกำลัง และขอคำตอบจากพระองค์ ขอการหนุนจิตชูใจในเรื่องงาน ขอสันติสุขในการทำงาน
ระหว่างเดินทางมาที่ทำงานได้มีโอกาสคุยกับพี่ไก่ ซึ่งมีประสบการณ์ในการก้าวข้ามจากการทำงานในโลกธุรกิจไปสู่การทำงานในฐานะผู้รับใช้พระเจ้าเต็มเวลา พี่ไก่กรุณาเล่าประวัติตั้งแต่โบราณมาให้ฟัง และเราก็สรรเสริญพระเจ้าในพระคุณที่ทรงมีต่อพี่ไก่อย่างไม่สิ้นสุด มีคำพูดหนึ่งของพี่ไก่แตะใจฉันมาก คือ “ยอมทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ” ยอมแม้ว่าจะต้องฝืนใจตัวเอง และแล้วเหตุการณ์ ณ ลานมูลวัวมูลควายเมื่อวานก็ผุดขึ้นมาในความนึกคิด บทเพลง “ข้ายอมทุกสิ่ง” ก็ลอยเข้ามา บทเรียนเรื่องการรอคอยก็แจ่มชัดขึ้นอีกครั้งในมโนนึก พระคัมภีร์หลายข้อไหลเข้ามาในจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนนั้น ที่เกทเสมนี ก่อนที่พระเยซูจะถูกอายัด ทรงอธิษฐานด้วยใจเป็นทุกข์แทบตายถึง 3 ครั้งด้วยกัน
[มธ.26:38-44] 38จึงตรัสกับเขาว่า "ใจของเราเป็นทุกข์แทบจะตาย จงเฝ้าอยู่กับเราที่นี่เถิด" 39แล้วเสด็จดำเนินไปอีกหน่อยหนึ่ง ก็ซบพระพักตร์ลงถึงดินอธิษฐานว่า "โอพระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์" 40จึงเสด็จกลับมายังสาวกเหล่านั้น เห็นเขานอนหลับอยู่ และตรัสกับเปโตรว่า "เป็นอย่างไรนะ ท่านทั้งหลายจะคอยเฝ้าอยู่กับเราสักทุ่มเดียวไม่ได้หรือ 41ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพื่อท่านจะไม่ต้องถูกทดลอง จิตใจพร้อมแล้วก็จริง แต่กายยังอ่อนกำลัง" 42พระองค์จึงเสด็จไปอธิษฐานครั้งที่สองอีกว่า "ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์ไม่ได้ และข้าพระองค์จำต้องดื่มแล้ว ก็ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์" 43ครั้นเสด็จกลับมาก็ทรงเห็นสาวกนอนหลับอยู่ เพราะเขาลืมตาไม่ขึ้น 44จึงทรงละเขาไว้เสด็จไปอธิษฐานครั้งที่สาม เหมือนคราวก่อนๆ อีก
และในที่สุดพระเยซูทรงยอมทุกประการ ทรงเสด็จมาเพื่อกระทำตามน้ำพระทัยพระบิดา [กท.1:4] พระเยซูทรงสละพระองค์เองเพราะบาปของเราทั้งหลาย เพื่อช่วยเราให้พ้นจากยุคปัจจุบันอันชั่วร้าย ตามน้ำพระทัยพระบิดาเจ้าของเรา
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรที่รักยิ่งของพระบิดา พระองค์ยังทรงทำทุกอย่างตามชอบพระทัยพระบิดา แล้วฉันเป็นใครเล่า ฉันก็เป็นลูกสาวคนหนึ่งของพระบิดา เหตุไฉนฉันจึงจะละเลยไม่ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้ [ฮบ.10:7] แล้วข้าพระองค์ทูลว่า "ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์มาแล้วพระเจ้าข้า จะกระทำตามน้ำพระทัยพระองค์"
พี่ไก่หนุนใจเพิ่มเติมว่า เมื่อเราผ่านบททดสอบในการอดทนทำสิ่งที่ไม่อยากทำได้แล้ว เมื่อเราสามารถฝืนใจ ทิ้งเนื้อหนังได้แล้ว พระวิญญาณก็จะช่วยให้เรามีสันติสุข และพระเจ้าจะใช้เรามากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมทั้งจะทรงประทานความสำเร็จให้กับเราด้วย [ฮบ.10:36] ท่านทั้งหลายจำเป็นต้องมีความอดทน เพื่อว่าท่านจะได้สามารถกระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ แล้วท่านจะได้รับสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้นั้น
ในเรื่องของการรับใช้นั้น มีอะไรหลายๆ อย่างรอฉันอยู่ มีความยากอีกหลายประการที่ต้องพบเจอ มีปัญหาอีกสารพัดที่ต้องฟันฝ่า แม้เราจะมองเห็นดินแดนแห่งพันธสัญญาที่ปลายทางข้างหน้า ทว่า เราก็ต้องข้ามผ่านถิ่นทุรกันดารไปก่อน [ยก.5:7] เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงอดทนจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา จงดูชาวนารอคอยผลอันล้ำค่าที่จะได้จากแผ่นดิน เพียรคอยจนกระทั่งมีฝนต้นฤดูและฝนชุกปลายฤดู ดังนั้น ในวันนี้ฉันจึงต้องฝึกฝน เรียนรู้ รอคอย เพื่อให้แข็งแกร่ง ก้าวผ่านถิ่นทุรกันดารไปได้อย่างงดงาม [สดด.38:15] ข้าแต่พระเจ้า แต่ข้าพระองค์รอคอยพระองค์ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ คือพระองค์ผู้ที่จะตรัสตอบข้าพระองค์
ฮาเลลูยา!

วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ไม่กลัวข่าวร้าย

วันที่ 16/12/2008
บทความมานาประจำวัน วันนี้หนุนใจฉันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อพระคัมภีร์ซึ่งผู้เขียนได้หยิบยกขึ้นมา [สดด.112:7] เขาไม่กลัวข่าวร้าย จิตใจของเขายึดแน่น วางใจในพระเจ้า…พระเจ้าที่รัก การดำเนินชีวิตบนโลกนี้คงหลีกหนีไม่พ้นข่าวร้าย ทว่า ในเหตุการณ์เลวร้ายที่อยู่รายล้อม สิ่งเลวร้ายที่เราเห็น ข่าวร้ายที่เราได้ยิน จะไม่สามารถพรากสันติสุขไปจากชีวิตของผู้เชื่อได้เลย หากจิตใจของเขายึดแน่น วางใจในพระเจ้า และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เขาก็จะผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลัง [ฟป.4:13] ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า
เมี่อมาถึงที่ทำงาน ฉันก็ได้ยินข่าวร้ายเกี่ยวกับชิ้นงานหนึ่งที่ทำ “โอ้ พระเจ้า ลูกไม่ชอบข่าวร้ายเลย ลูกทำงานอย่างเต็มที่ ปรนนิบัตินายด้วยใจชื่นบาน เหมือนปฏิบัติต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ลูกทำงานเพื่อถวายเกียรติพระองค์ แต่ทำไมผลลัพธ์ของสิ่งนั้นคือข่าวร้าย คือการเข้าใจผิด คือการสูญเสียชื่อเสียงล่ะ” ฉับพลันพระคัมภีร์ สดด.112:7 ซึ่งฉันใคร่ครวญเมื่อเช้านี้ ก็สว่างขึ้นมาในความคิด ขอบคุณพระเจ้า พระองค์ทรงทันเวลาเสมอ หากไม่มีพระคำของพระองค์ ฉันก็คงจะพินาศ [สดด.16:8] ข้าพเจ้าตั้งพระเจ้าไว้ตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอ เพราะพระองค์ประทับทางเบื้องขวาของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงไม่หวั่นไหว…ฉันสูญเสียชื่อเสียงเพียงเล็กน้อย แต่ผู้เขียนมานาประจำวันฉบับวันนี้ต้องสูญเสียลูกสาวอันเป็นที่รัก เขาจะเจ็บปวดสักปานใด ช่างเป็นข่าวร้ายที่รุนแรงเสียจริง ทว่า ท่านนั้นก็ยังยืนหยัดมั่นคงในความเชื่อ โดยไม่หวั่นไหว [สดด.62:2] พระองค์เท่านั้นทรงเป็นศิลา และเป็นความรอดของข้าพเจ้า เป็นป้อมปราการของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหวใหญ่โต…ท่านรับใช้พระเจ้าต่อไปด้วยใจยำเกรงและขอบพระคุณเสมอ [ฮบ.12:28] เหตุฉะนั้นครั้นเราได้แผ่นดินที่ไม่หวั่นไหวมาแล้ว ก็ให้เราขอบพระคุณพระเจ้า เพื่อเราจะได้ปฏิบัติพระเจ้าตามชอบพระทัยของพระองค์ ด้วยความเคารพและยำเกรง
เมื่อกลับไปตรึกตรอง สดด.112 อีกครั้งหนึ่งทั้งหมด ก็พบว่าหนุนใจมากจริงๆ
สดด.112 : 1จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด คนที่เกรงกลัวพระเจ้าก็เป็นสุข คือผู้ปีติยินดีเป็นอันมากในพระบัญญัติของพระองค์ 2เชื้อสายของเขาจะทรงอานุภาพในแผ่นดิน พวกคนเที่ยงธรรมจะรับพระพร 3ทรัพย์ศฤงคารและความมั่งคั่งมีอยู่ในเรือนของเขา และความชอบธรรมของเขาดำรงอยู่เป็นนิตย์ 4ความสว่างจะโผล่ขึ้นมาในความมืดให้คนเที่ยงธรรม พระองค์ทรงมีพระคุณ ทรงพระกรุณาและทรงชอบธรรม 5คนที่แสดงความเมตตาคุณและให้ยืม ก็อยู่เย็นเป็นสุข คือผู้ที่ดำเนินการของเขาด้วยความยุติธรรม 6เพราะคนชอบธรรมจะไม่ถดถอย คนจะระลึกถึงเขาอยู่เป็นนิตย์ 7เขาไม่กลัวข่าวร้าย จิตใจของเขายึดแน่น วางใจในพระเจ้า 8จิตใจของเขาแน่วแน่ เขาจะไม่กลัว จนกว่าจะเห็นความประสงค์ต่อศัตรูของเขาสำเร็จ 9เขาแจกจ่าย เขาได้ให้แก่คนยากจน ความชอบธรรมของเขาดำรงเป็นนิตย์ ศักดิ์ของเขาจะได้รับเกียรติ 10คนอธรรมเห็นเข้าก็โกรธ เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วละลายไป ความปรารถนาของคนอธรรมนั้นศูนย์เปล่า
ดังนี้แล้ว ผู้เชื่อในพระคริสต์จึงไม่เกรงกลัวข่าวร้าย แต่กลับตรงกันข้าม ผู้เชื่อเหล่านั้นจะเป็นผู้ที่นำ “ข่าวดี” ป่าวประกาศออกไปในชุมชนใกล้ไกล จนสุดปลายแผ่นดินโลก…ช่วงเวลานี้จึงเป็นอีกวาระหนึ่งที่ผู้เชื่อจะได้ระลึกถึงองค์พระเยซูคริสต์มากยิ่งกว่าเดิม พระเยซูผู้ทรงเป็นแสงสว่างเที่ยงแท้เพียงหนึ่งเดียวในโลกที่มืดมิด ผู้ทรงเป็นข่าวดีในชีวิตของเรา

เชิญสาธุการพระเยซู

[O come let us adore Him]
วันที่ 14/12/2008
หัวข้อเทศนาโดย ศบ.เล็ก ของเราในวันนี้ ประทับใจฉันสุดๆ ฉันชอบคำนี้มากๆ เลย “เชิญสาธุการพระเยซู” ลองจินตนาการดูสิคะ เมื่อเราเข้าเฝ้าพระเจ้า เมื่อเราถวายสาธุการแด่พระองค์ เมื่อเราได้พบพระพักตร์ของพระองค์หน้าต่อหน้า หัวใจเราคงเต้นโลด มือไม้คงสั่นด้วยเก็บอาการตื่นเต้นไว้ไม่ไหว น้ำตาคงไหลอาบแก้มด้วยซาบซึ้งใจ เราคงก้มกราบที่แทบพระบาทพระองค์ด้วยความยินดี และคงจะแทรกตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดอันอบอุ่นของพระองค์…มีอะไรอีกนะ ที่เราปรารถนาจะทำ เมื่อเราพบพระองค์บนสวรรคสถาน
หลักใหญ่ใจความของบทเทศนาวันนี้เน้นไปที่การเข้าเฝ้าพระเจ้านั่นเอง ทุกครั้งที่เราเข้าเฝ้าพระเจ้า เราจะไม่เข้าเฝ้าแบบมือเปล่า แต่เราจะเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยหัวใจ
1. เข้าเฝ้าด้วยใจแสวงหา [seeking]
2. เข้าเฝ้าด้วยใจเชื่อ [believing]
3. เข้าเฝ้าด้วยใจถวาย [giving]
4. เข้าเฝ้าด้วยใจยินยอม [surrendering]
เมื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกไปเชิญชวนชาวโลกให้เข้ามาสาธุการพระเยซูร่วมกับเรา บ่ายวันนี้มีการแยกทีม Caroling ออกเป็น 2 ทีม คือ โรงพยาบาลจุฬา โดยพยาบาลแอ๊ด และ ชุมชนสระแก้ว โดยพี่ตุ๊กตา
ณ ชุมชนสระแก้ว เราแบ่งทีม Caroling ออกเป็น 3 ทีม โดยมีพี่น้องส่วนหนึ่งนำกิจกรรมและดูแลเด็กๆ อยู่บริเวณสระน้ำสีเขียวสดของชุมชน น้ำในสระเป็นสีเขียว ช่างเหมาะเจาะสำหรับเทศกาลคริสตมาสอะไรเช่นนี้


ทีมที่ฉันไปด้วยนั้น นำโดย ศบ.เล็ก และมีพี่อิ๋วเป็นมือกีตาร์ หิ้ว Takamine เดินตามด้วยหัวใจเริงร่า ศบ.เล็ก นำพาเราทุกคนออกไปด้วยรอยยิ้ม เรานำพาสันติสุขไปยังชุมชน เราได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนหลายครัวเรือน มีการวางมืออธิษฐาน มีการหนุนใจ นำเสียงเพลงแห่งฑูตสวรรค์เปล่งเสียงประสานออกไป เสียงเพลงกังวานก้องเหนือย่านฟ้าอากาศของชุมชนสระแก้ว พระเจ้าของเราสถิตอยู่ด้วย
เมื่อกลับมาแล้ว ก็พบว่าเด็กๆ กำลังเล่นเกมส์กันอยู่ จากนั้นจึงมีการแจกอาหารเป็นแฮมเบอเกอร์ไส้ต่างๆ พร้อมน้ำดื่ม แล้วจึงได้แบ่งเด็กๆ ออกเป็นกลุ่ม ให้พี่ๆ ดูแล หนุนใจ และร่วมใจกันอธิษฐาน ตบท้ายด้วยการแจกของขวัญคริสตมาส ก่อนจากลาด้วยความชื่นชมยินดี และความรักเปี่ยมล้นหัวใจ
ในกลุ่มที่ฉันนำเด็กอธิษฐาน ฉันถามเด็กๆ ว่า ต้องการให้ฉันอธิษฐานทูลขอต่อพระเจ้าเพื่อน้องแต่ละคนในเรื่องใดบ้าง น้องบางคนก็ตอบไม่ได้ ส่งยิ้มฟันหลอเลย แต่หลายคนบอกว่า “ขอให้มีความสุข” บ้างก็ว่า “ขอให้เรียนเก่ง” แต่มีน้องทอย เด็กชายจอมซนคนหนึ่ง ทำให้ฉันประทับใจเป็นพิเศษ ในช่วงแรกนั้น ทอยไม่อยู่กับที่เลย เดี๋ยวลุก เดี๋ยวนั่ง เดี๋ยวเดิน และบางครั้งก็หันไปแกล้งเพื่อน แย่งของเพื่อน แต่น้องทอยกลับบอกฉันว่า “อธิษฐานขอการยกโทษให้กับทอย” เมื่อถามต่อเพื่อค้นว่าเพราะอะไรทอยจึงต้องการให้อธิษฐานแบบนั้น ทอยตอบว่า “เพราะว่าทอยดื้อ ทอยชอบแกล้งเพื่อน” อ้าว! ทำผิดแบบรู้ตัวนี่นา ฉันจึงซักไซร้ไล่เลียงอีก เมื่อรู้ว่าไม่ดีแล้วทำไมยังทำอีก คำตอบของทอยทำให้ฉันสะท้านใจมาก ทอยตอบว่า “อยูที่บ้าน ทอยโดนแม่ตี เมื่ออยู่นอกบ้านทอยจึงแกล้งเพื่อน” เมื่อถามสาเหตุว่าทำไมจึงโดนแม่ตี ทอยให้เหตุผลว่า ที่บ้านนั้นพี่มักจะได้ของจากแม่ก่อนเสมอ เมื่อทอยอยากได้บ้างจึงมีเรื่องทะเลาะกับพี่ และเมื่อใดที่ทะเลาะกัน แม่ก็จะตีทอยเสมอ…โอ พระบิดาที่รัก พระองค์ทรงมองลงมาเห็นหัวใจของเด็กน้อยผู้นี้ หัวใจเขาบอบบางอ่อนไหว เขาต้องการความรัก ซึ่งที่บ้านเป็นแหล่งความรักสำคัญสำหรับทุกคน แต่เมื่อไม่ได้รับความรักอย่างถูกต้องและเต็มที่ สิ่งนี้จะเป็นสิ่งกำหนดพฤติกรรมของเด็ก และจะเป็นสิ่งกำหนดอนาคตของเขาเลยทีเดียว สำหรับครอบครัวของทอยเราไม่ทราบพื้นฐานของครอบครัวนี้ และทอยอาจจะผิดจริงก็ได้ คุณแม่จึงตี แต่เด็กกลับรู้สึกเก็บกดจนต้องมาระบายกับเพื่อน ฉันคิดว่าผู้ใหญ่นั่นแหละที่ต้องรับผิดชอบ ครอบครัวที่อบอุ่นและแข็งแกร่งด้วยความรักเป็นรากฐานสำคัญของเด็กจริงๆ [สภษ.22:6] จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเป็นผู้ใหญ่แล้วเขาจะไม่พรากจากทางนั้น ….ในคริสตจักรของเราก็เช่นกัน คริสตจักรเปรียบเสมือนครอบครัวใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยมวลสมาชิกจำนวนมาก บ้างก็เป็นพ่อ แม่ ลูก พี่ น้อง บ้างก็มีหลายบทบาทในตัวเอง ซึ่งเมื่อทุกคนแสดงบทบาทของตนอย่างเต็มกำลัง ช่วยกันเอาใจใส่ดูแลเด็ก (ทั้งเด็กฝ่ายร่างกาย และเด็กฝ่ายวิญญาณ) เด็กๆ เหล่านั้นก็จะกลายเป็นคริสเตียนคุณภาพ ฉายแสงแห่งความรักออกไปได้อย่างเต็มกำลัง และแน่นอนว่า จะเป็นเหตุให้คนอีกจำนวนมากภายนอกคริสตจักรของเรา สรรเสริญพระเจ้า สาธุการพระเยซู

ความรักของพ่อ

วันที่ 13/12/2008
ฉิว ฉิว ฉิว รถของเราแล่นฉิวโดยไม่ติดขัด จากกรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ สู่แม่กลอง เพื่อไปร่วมงาน “เทศกาลกินปลาทู” ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 11 ระหว่างวันที่ 12-21/12/2008 ณ บริเวณศาลากลางจังหวัดสมุทรสงคราม พี่ชูชีพนำทีมเราไป เป็นทั้งทัวร์ไกด์ เป็นทั้งคนขับรถกิติมศักดิ์ เป็นทั้งคนจ่ายเงินค่าอาหารกลางวัน และเป็นคนที่ทอดปลาทูให้เรานำกลับบ้านอีกต่างหาก ขอพระเจ้าทรงโปรดอวยพรผู้ให้ด้วยใจกว้างขวางเช่นนี้ เป็นร้อยเท่าทวีคูณ
ระหว่างทางเราแวะเอาหนังสือไปให้น้องลูกหมู เด็กหญิงอายุประมาณ 8 ขวบ ซึ่งอาศัยอยู่กับคุณพ่อเพียงลำพัง เนื่องจากคุณแม่แยกทางออกไป สองพ่อลูกนี้รู้จักกับพี่ชูชีพมาได้ระยะหนึ่งแล้ว คุณพ่อรักและเอาใจใส่ลูกมาก ทุกเช้าเมื่อลูกอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ก็จะนั่งถักเปียให้ลูก ก่อนส่งลูกไปโรงเรียน คุณพ่อเป็นคนทำกับข้าวให้ลูกทาน คุณพ่อสอนการบ้าน คุณพ่อให้ลูกนอนบนเตียง ส่วนตนเองนอนกับพื้นด้านล่าง คุณพ่อซักผ้าให้ลูก และให้ลูกช่วยตาก ด้วยปรารถนาให้ลูกสามารถช่วยเหลือตนเองได้ ฉันฟังเรื่องราวของพ่อลูกคู่นี้แล้ว ก็ให้ซาบซึ้งยิ่งนัก ขอพระเจ้าอวยพรทั้งสองคนพ่อลูก ให้รู้จักพ่อผู้ยิ่งใหญ่ พระบิดาบนสวรรค์ของเรา
เมื่อไปถึงบ้านพี่ชูชีพ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับศาลากลางจังหวัด ก็มีโทรศัพท์เข้ามาว่า พี่ชายของพี่ชูชีพ ซึ่งอายุ 50 ปีแล้ว เป็นลมชัก โดยมีคนนำส่งโรงพยาบาลใกล้สถานที่เกิดเหตุ พี่ชายคนนี้มีอาชีพขับรถรับจ้าง และส่งของให้กับลูกค้า มีความรับผิดชอบมาก เป็นคนที่สุขภาพไม่แข็งแรง ทางครอบครัวอยากให้อยู่บ้าน หรือทำงานอยู่ที่บ้านมากกว่า แต่พี่ชายไม่ยอม เพราะไม่อยากงอมืองอเท้า แม้ว่าจะต้องเป็นลมหมดสติ หรือเป็นลมชักแบบนี้เป็นประจำก็ตาม เมื่อได้ทราบข่าวว่าลูกชายป่วย คุณพ่อซึ่งอายุ 90 ปีแล้ว ก็รีบลุกออกไปทันที ทั้งๆ ที่กำลังจะทานอาหารกลางวัน ใครห้ามก็ไม่ฟัง และแม้จะมีคนบอกว่า เขาฟื้นแล้ว เดี๋ยวหมอก็ให้กลับบ้าน คุณพ่อก็ไม่ยอมฟัง ยังไงก็ต้องขอไปดูลูกชายให้ได้ด้วยตนเอง และจะพาลูกชายกลับบ้าน ฉันซาบซึ้งในความรักของพ่อมาก คนที่เป็นพ่อคงรู้ดีว่ารักลูกของตนเพียงใด พ่อยอมหิว เดินตากแดดออกไปหาลูกชาย บางครั้งก็ต้องแอบตามลูกชายไป เวลาที่ลูกชายออกไปข้างนอก เพราะเป็นห่วงกลัวลูกชายจะเป็นลมหมดสติ เมื่อพ่อบนโลกยังรักลูกเช่นนี้แล้ว พ่อบนสวรรค์ของเราล่ะ จะรักเรายิ่งมากเพียงใด เราคงพรรณนาความรักของพระองค์ได้อย่างไม่มีวันจบสิ้น
[สภษ.4:3] เมื่อเราเป็นลูกอยู่กับพ่อของเรา เป็นแก้วตาของแม่เรา ดูน่ารักอ่อนโยน
“พระบิดาบนสวรรค์ เรารักพระองค์ เรายกพระนามพระองค์บูชา”

ฉันไม่เคยกินปลาทูมากขนาดนี้มาก่อนเลย อาหารบนโต๊ะของเราเต็มไปด้วยอาหารหลากชนิดซึ่งทำจากปลาทู และฉันเพิ่งรู้ว่าปลาทูนั้นนำมาปรุงอาหารได้มากมายกว่าที่ฉันคิด เพราะนอกจากจะมีน้ำพริกปลาทู ต้มยำปลาทู เมี่ยงปลาทู อาหารพื้นบ้านที่ฉันกินประจำแล้ว ยังมี ปลาทูย่าง ห่อหมกปลาทู ปลาทูราดพริก ปลาทูต้มมะดัน ยำปลาทู แกงส้มปลาทู ปลาทูชุบแป้งทอด ส้มตำปลาทู ปลาทูต้มส้ม ปลาทูฉู่ฉี่ ปลาทูต้มหวาน ทอดมันปลาทู แกงเขียวหวานปลาทู ลาบปลาทู ปลาทูนึ่งมะนาว ปลาทูนึ่งทอดกรอบ ปลาทูต้มมะระยัดไส้ ปลาทูผัดขิง ฯลฯ วู้…เยอะจัง พิมพ์จนเมื่อยแล้ว เอาเป็นว่ามีสารพัดปลาทูให้เลือกทาน ทั้งยังมีคุกกี้ปลาทู และเบอร์เกอร์ปลาทูให้ทานอีก แหม่! จะมีสเต็กปลาทู เค้กปลาทู พิซซ่าปลาทู บ้างหรือเปล่าเนี่ย
ปลาทูเค้ามากมายจริงๆ จับกินเท่าไรก็ไม่หมด เพราะพ่อบนสวรรค์เสกสร้างมา
[ปฐก.1:26] แล้วพระเจ้าตรัสว่า "ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาตามอย่างของเรา ให้ครอบครองฝูงปลาในทะเล ฝูงนกในอากาศและฝูงสัตว์ ให้ปกครองแผ่นดินทั่วไป และสัตว์ต่างๆที่เลื้อยคลานบนแผ่นดิน"

จงขอแล้วจะได้…พ่อจัดเตรียมไว้ให้แล้ว

วันที่ 10/12/2008
ช่างน่าตื่นเต้นเสียนี่กระไร เมื่อพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของเรา ทันทีที่เริ่มต้นอธิษฐานด้วยความเชื่อ เราก็จะรอคอยด้วยใจจดจ่อ ด้วยความหวัง ด้วยสันติสุข แต่เมื่อใดก็ตามที่เราอธิษฐานด้วยความสงสัย เราก็จะกระวนกระวาย ขาดสันติสุข ในพระคัมภีร์มีกล่าวไว้เกี่ยวกับการทูลขอและความเชื่อหลายครั้งด้วยกัน เมื่อขอก็ต้องเชื่อว่าจะได้ จงขอเถอะแล้วจะได้ พระบิดาบนสวรรค์ของเราทรงมั่งคั่งและพร้อมบริบูรณ์ยิ่งนัก [ยก.4:2ข-3] … ท่านไม่มีเพราะท่านไม่ได้ขอ ท่านขอและไม่ได้รับ เพราะท่านขอผิด หวังได้ไปเพื่อสนองกิเลสตัณหาของท่าน…ฉันได้เรียนรู้ว่า เมื่อใดที่ขอด้วยความเชื่อ ขอตามน้ำพระทัยพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ก็ทรงประทานสิ่งสารพัดให้กับเรา ทรงโปรดให้เราเป็นบุตรของพระองค์ซึ่งมีสิทธิ์รับมรดกร่วมกันในองค์พระเยซูคริสต์
[มก.11:24] เหตุฉะนั้นเราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น
เมื่อคริสเตียนดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ เขาก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม บรรพบุรุษของเราล้วนเป็นผู้ชอบธรรมในความเชื่อ ตั้งแต่อับราฮัมเป็นต้นมาเลยทีเดียว อันว่าความเชื่อนั้นจะนำไปสู่การเชื่อฟัง และการเชื่อฟังนี่แหละที่นำเราทั้งหลายเดินอย่างมั่นคงตามน้ำพระทัยของพระเจ้า
[ยก.1:5-7] 5ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญาก็ให้ผู้นั้นทูลขอจากพระเจ้า ผู้ทรงโปรดประทานให้แก่คนทั้งปวงด้วยพระกรุณาและมิได้ทรงตำหนิ แล้วผู้นั้นก็จะได้รับสิ่งที่ทูลขอ 6แต่จงให้ผู้นั้นทูลขอด้วยความเชื่อ อย่าสงสัยเลย เพราะว่าผู้ที่สงสัยเป็นเหมือนคลื่นในทะเลซึ่งถูกลมพัดซัดไปมา 7ผู้นั้นจงอย่าคิดว่าจะได้รับสิ่งใดจากพระเจ้าเลย
เมื่อเราทูลขอต่อพระเจ้าด้วยความเชื่อ พระองค์ก็จะทรงตอบเรา 3 คำตอบด้วยกัน คือ
1. Yes “ได้เลยลูก” ทูลขอแล้วพระองค์ทรงตอบทันทีตามที่อธิษฐาน
2. Wait “รอก่อนนะลูก” ทูลขอแล้วพระองค์ยังมิทรงตอบทันที แต่จะทรงตอบในเวลาของพระองค์
3. No “ไม่ได้ลูก” ทูลขอแล้วพระองค์ปฏิเสธ แต่พระองค์ทรงมีคำตอบที่ดีกว่าสำหรับเราเสมอ
ฉันมีประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นในเรื่องของการทูลขอหลายต่อหลายครั้ง ฉันมีประสบการณ์ทั้ง Yes, Wait และ No ซึ่งฉันเกิดสันติสุขเสมอ ไม่ว่าคำตอบจากพระองค์จะเป็นเช่นไรก็ตาม
ตลอดการเดินกับพระเยซูที่ผ่านมา บอกได้เลยว่าพระเจ้าทรงพระคุณมากล้นเหลือจริงๆ พระองค์ทรงพร้อมเสมอในการตอบว่า “Yes” และเมื่อนั้นฉันก็ขอบพระคุณและสรรเสริญพระองค์
เมื่อพระองค์ตอบ “Wait” ฉันขอบพระคุณและสรรเสริญพระองค์ อีกทั้งรอคอยด้วยความหวัง รอคอยจนกว่าพระองค์จะประทานคำตอบให้ เพราะว่าพระองค์ทรงควบคุมทุกสรรพสิ่ง ทรงทันเวลาเสมอ ไม่ช้าหรือไม่เร็วจนเกินไป
เมื่อพระองค์ตอบ “No” ฉันขอบคุณและสรรเสริญพระองค์ ฉันไม่หวั่นไหวใหญ่โต ด้วยรู้แน่ว่าพระองค์ทรงจัดเตรียมสิ่งทีดีกว่าซึ่งเกินความคาดคิดไว้ให้ฉัน
[มธ.7:7] "จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน
เมื่อเร็วๆ นี้ ฉันมีประสบการณ์ว่าพ่อเตรียมไว้ให้แล้วตามที่ฉันอธิษฐานทูลขอ แต่ฉันไม่รู้ตัว กล่าวคือ เมื่อกว่า 1 ปีที่ผ่านมา ก่อนที่ฉันจะย้ายเข้ามาอยู่คอนโดปัจจุบันนั้น ฉันได้ทูลขอพระเจ้าที่จะมีเพื่อนบ้านคริสเตียน เป็นสิ่งที่ฉันปรารถนามากๆ และฉันก็ถวายบ้านนี้ให้กับพระเจ้า ปรารถนาที่จะให้ที่แห่งนี้เป็นพระพรสำหรับผู้อยู่อาศัยและผู้ที่มีเยี่ยมเยียน ปรารถนาที่จะให้เป็นนิเวศแห่งการอธิษฐาน นิเวศแห่งการนมัสการ นิเวศแห่งการเรียนรู้พระคำ…พระเจ้าทรงประเสริฐยิ่งนัก มีผู้คนมากมายมาเยี่ยมเยียนบ้านหลังเล็กของฉัน เราส่งเสียงนมัสการไปทั่วบ้าน เราอธิษฐานและเรียนรู้พระคำร่วมกัน แต่ว่า ฉันยังไม่มีเพื่อนบ้านคริสเตียนเลย แต่ฉันก็หวังใจว่าคนตรงข้ามห้องฉัน ซึ่งประตูเราชนกันนั้น จะเป็นผู้เชื่อในสักวัน…เมื่อวันที่ 10/12/2008 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันหยุด พี่เลี้ยงฝ่ายวิญญาณและอาจารย์สอนพระคัมภีร์ของฉัน คือ พี่น้อย-ชนัดดา ได้มาที่บ้าน และพี่น้อยได้ชวนพี่เพ็ญ ซึ่งเป็นเลขานุการ คจ.มหาพร ประดิพัทธ์ มาด้วย พี่เพ็ญก็เล่าให้ฟังว่ามีสมาชิกที่โบสถ์ซื้อคอนโดที่นี่ด้วย อยู่ชั้นเดียวกัน ตึกเดียวกัน ฉันฟังแล้วตื่นเต้นมาก แต่เราไม่รู้ว่าเขาอยู่ห้องไหน จนกระทั่งเราได้ยินเสียงเด็กแว่วๆ เราจึงเดินออกไปดู ก็พบว่าเป็นครอบครัวนั้น เพื่อนบ้านคริสเตียนของฉัน ซึ่งเคยเห็นหน้ากันมานานเป็นปีแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสทักทายทำความรู้จักกัน บ้านนี้อยู่ติดกับฉันเลย เยื้องไปอีกปีกหนึ่ง มีแค่บันไดหนีไฟกั้นแค่นั้นเอง โอ้โห พระเจ้าผู้ดีเลิศ ทรงประทานเพื่อนบ้านคริสเตียนให้ฉันตั้งนานแล้ว แต่ฉันเพิ่งรู้วันนี้เอง ขอบคุณพระเจ้า
[มธ.21:21-22] ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เพียงท่านจะมีความเชื่อและมิได้สงสัย ท่านจะกระทำได้เช่นที่เราได้กระทำแก่ต้นมะเดื่อนี้ ยิ่งกว่านั้น ถึงแม้ท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า "จงลอยไปลงทะเล" ก็จะสำเร็จได้ สิ่งสารพัดซึ่งท่านอธิษฐานขอด้วยความเชื่อ ท่านจะได้"
เมื่อเร็วๆ นี้ พี่อิ๋วหัวหยิกมีประสบการณ์ตื่นเต้นในการตอบคำอธิษฐานของพระเจ้าเช่นกัน คือว่า พี่อิ๋วได้ทูลขอกีตาร์ Takamine โดยตั้งใจว่าจะซื้อสิ้นปีนี้ แต่เมื่อพี่อิ๋วได้เงินมาก้อนหนึ่ง ก็เอาไปให้น้องชายซื้อรถยนต์ พี่อิ๋วจึงไม่มีเงินซื้อกีตาร์ แต่พระเจ้าก็ยิ่งใหญ่น่ารัก เฮียแสงชัยสั่งซื้อ Takamine 2 ตัว ไว้ที่โบสถ์ คราวนี้ พี่อิ๋วจึงมี Takamine เล่นเพลงนมัสการพระเจ้าแล้วโดยไม่ต้องซื้อเอง แต่โดยพระทัยเมตตาของพระเจ้า…ฮาเลลูยา
[มธ.17:20]… ด้วยเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่งท่านจะสั่งภูเขานี้ว่า "จงเลื่อนจากที่นี่ไปที่โน่น" มันก็จะเลื่อน สิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งท่านทำไม่ได้ จะไม่มีเลย"
วันนี้ แต่ละท่านทูลขอสิ่งใดกันอยู่คะ? [รม.15:13] ขอพระเจ้าแห่งความหวังทรงโปรดให้ท่านบริบูรณ์ด้วยความชื่นชมยินดี และสันติสุขในความเชื่อ เพื่อท่านจะได้เปี่ยมด้วยความหวังโดยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์
AMEN!

สนามรบในความคิด

สนามรบในความคิด
วันที่ 11/12/2008
วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่ต่อสู้ทางความคิดอย่างมาก หรือเป็นเพราะว่ากำลังอ่านหนังสือเรื่อง “สนามรบในความคิด” อยู่ จริงสิ เป็นไปได้ เพราะอ่านหนังสือทีไร ก็จะมีการเรียนรู้ใหม่ๆ เข้ามาทุกครั้ง หนังสือที่กำลังอ่านนี้ก็เหมือนกัน เป็นวรรณกรรมคริสเตียนชิ้นหนึ่ง แต่กลับมีอิทธิพลอย่างมากทางความคิด Wow! หากจะกล่าวถึงหนังสือมหัศจรรย์ที่ขายดีตลอดกาลอย่างพระคัมภีร์ล่ะ แน่ทีเดียวว่าเป็นข่าวดีที่ประกาศออกไปอย่างไม่รู้จบ ไปจนสุดปลายแผ่นดินโลกนั่นเลย
ช่วงนี้เกิดความรู้สึกไม่อยากทำงานซะอย่างงั้น งานก็ดี เงินก็ดี นายก็ดี จะมีที่ไหน ถ้าพระเจ้าไม่ให้ แต่ฉันกลับรู้สึกไม่อยากทำงานน่ะ แง แง แง! ใครก็ได้ช่วยที ไม่ได้ขี้เกียจนะ ไม่ได้เบื่องานด้วย แต่ไม่อยากทำงานที่นี่แล้ว (อยากออกไปทำที่…)
ถึงแม้ว่าเหตุผลในการไม่อยากทำงานของฉันจะดีขนาดไหนก็ตาม แต่ก็ไม่ควรจะเป็นความรู้สึกที่ว่าไม่อยากทำงาน ฉันเร่าร้อน กระสับกระส่าย ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ฉันขาดสันติสุข แม้ฉันจะบอกกับพระเจ้าไว้ว่า “ฉันยินดีไปในทุกที่ซึ่งพระองค์ให้ไป ทำทุกอย่างที่พระองค์ให้ทำ เป็นทุกอย่างที่พระองค์ให้เป็น” ถ้าพระองค์จะทรงเรียกฉันให้ออกไปทำอะไรสักอย่างในตอนนี้ สิ่งนั้นย่อมทำให้ฉันมีสันติสุข ไม่ว่าจะอยู่หรือไปก็ตาม… โอ้ พระเจ้า ลูกไม่อยากรู้สึกแบบนี้เลย มันเป็นความรู้สึกที่แย่มาก เมื่อวานก็มีความรู้สึกนี้ แต่เมื่อเข้าเฝ้าพระองค์แล้วก็ดีขึ้น แต่พอมาถึงที่ทำงานวันนี้ อาการไม่อยากทำงานก็กลับมาอีก “พระองค์เจ้าข้า หากพระเจ้าประสงค์ให้อยู่ต่อเพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์ พระองค์ก็จะทรงประทานสันติสุขให้ หากพระองค์ประสงค์ให้ไป ประตูสำหรับที่ใหม่ก็จะเปิดกว้าง ลูกจะไปอย่างมีสันติสุข และเมื่อพระองค์ประสงค์ให้ไป ใครก็จะขวางลูกไม่ได้” จากนั้นฉันก็ต้องอธิษฐานอีกครั้ง ขอชัยชนะในสนามรบแห่งความคิดครั้งนี้
“ข้าแต่พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่ง กษัตริย์ผู้ทรงพระสิริ พระเจ้าผู้เข้มแข็งและทรงอานุภาพ จอมโยธาผู้พิชิตแห่งมหาสงครามทั้งปวง พระองค์เจ้าข้า บรรดาศัตรูได้ตั้งค่ายสู้ข้าพระองค์ ขอทรงช่วยกู้จิตวิญญาณของข้าพระองค์ให้ปลอดภัยจากสงครามที่ข้าพระองค์ต่อสู้อยู่ พระองค์เจ้าข้า โดยพระนามอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ จิตใจของข้าพระองค์จะไม่กลัว แม้ข้าพระองค์จะได้รับภัยสงคราม ข้าพระองค์ยังไว้ใจได้อยู่ สงครามนั้นเป็นของพระองค์ แต่พระองค์จะทรงฝึกมือของข้าพระองค์ให้ทำสงคราม พระองค์จะมิให้ศัตรูของข้าพระองค์เปรมปรีดิ์เยาะเย้ยข้าพระองค์ พระองค์จะมิทอดทิ้งให้ข้าพระองค์ล้มลง พระองค์จะมิทรงให้ข้าพระองค์อยู่ในความมืด พระองค์จะทำให้แขนของข้าพระองค์สามารถโก่งคันธนูทองสัมฤทธิ์ได้ ทั้งพระองค์ยังทรงเอากำลังคาดเอวข้าพระองค์ไว้เพื่อทำสงคราม พระองค์ทรงกระทำให้พวกปัจจามิตรสยบลงอย่างราบคาบ พระองค์ทรงให้สงครามสงบถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก พระองค์ทรงหักคันธนูและฟันหอกเสีย พระองค์ทรงเผารถรบเสียด้วยไฟ…พระองค์เจ้าข้า ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ พิชิตสนามรบในความคิด และมีชัยชนะในสนามรบทั้งปวง” อธิษฐานทูลขอด้วยใจโมทนา ในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า …เอเมน
แล้วสันติสุขของพระองค์ก็กลับคืนมา ฉันชัดเจนว่าพระองค์มีพระประสงค์ให้ฉันออกไป แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้ “ยังไม่ถึงเวลาต้องไปนะลูก” หากสิ่งใดที่พระเจ้าไม่ทรงอนุญาติ แต่เราขัดน้ำพระทัย ทำไปก็จะเหนื่อยเปล่า ไม่เกิดประโยชน์ แต่เมื่อเราที่เราทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ พระองค์ก็จะทรงประทานความสำเร็จให้…ข้าแต่พระเจ้า พระบิดาที่รักของลูก ลูกรักพระองค์ เชื่อและไว้วางใจพระองค์ ลูกน้อมรับบัญชาจากพระองค์ ลูกจดจ่ออยู่ที่พระคำของพระองค์ [สดด.119:15] ข้าพระองค์จะภาวนาข้อบังคับของพระองค์ และจับตาของข้าพระองค์อยู่ที่วิถีทั้งหลายของพระองค์ ลูกจะภาวนา ใคร่ครวญพระคำของพระองค์ และไม่ละสายตาไปจากความงามของพระองค์ [ฟป.4:8] ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดนี้ขอจงใคร่ครวญถึงสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ยุติธรรม สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่ทรงคุณ คือถ้ามีสิ่งใดที่ล้ำเลิศ สิ่งใดที่ควรแก่การสรรเสริญ ก็ขอจงใคร่ครวญดู
-------------------------------------------------------------------
ปล. แนะนำหนังสือ:
หนังสือ : สนามรบในความคิด วิธีเอาชนะสงครามในความคิด
สำนักพิมพ์: เฟื่องฟ้าการพิมพ์
ผู้แต่ง : จอยซ์ ไมเออร์
ผู้แปล/เรียบเรียง : ประพันธ์ หน่อราช
ราคา: 150 บาท
“สงครามกำลังเกิดขึ้นบนสนามรบในความคิดของคุณ แต่ข่าวดีคือ พระเจ้าทรงทำการรบอยู่ฝ่ายคุณ”

ฉันจะไม่เหน็ดเหนื่อย

วันที่ 9/12/2008
[มธ.11:28] บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข
ดูเหมือนช่วงนี้ฉันต้องต่อสู้กับวิญญาณที่ผูกมัดความคิดค่อนข้างมาก ความคิดฉันผิดเพี้ยนไปจากทางของพระเจ้า ฉันเกิดความคิดที่ขัดแย้งกับพระคัมภีร์ขึ้นมาซะดื้อๆ ฉันรู้สึกว่าเมื่อฉันเดินกับพระเจ้าแล้วฉันเหนื่อย และฉันลังเลใจในการยอมรับของประทานบางประการจากพระเจ้า ฉันไม่แน่ใจว่าจะเดินหน้าต่อไปหรือหยุดอยู่กับที่ดี ฉันแบ่งปันสิ่งนี้ให้พี่อิ๋วทราบ พี่อิ๋วก็อัดฉันล็อตใหญ่ เคี่ยวเข็ญจนฉันกลับใจ สารภาพบาปผิด ปฏิเสธความคิดจอมปลอมทั้งปวง บอกพระเจ้าว่าฉันอาจจะเหน็ดเหนื่อยกับการทำงาน เหน็ดเหนื่อยกับคน เหน็ดเหนื่อยกับหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ฉันจะไม่เหน็ดเหนื่อยเมื่อเดินกับพระองค์ ฉันขอกำลังจากพระองค์ ขอการเจิมที่สดใหม่จากพระองค์ “อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆ เลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์ [ฟป.4:6]
พระสัญญาของพระเจ้าเป็นจริงทุกประการ ไม่เคยล้มเหลวแม้แต่สักคำเดียว ถึงฉันจะผ่านโลกมาแค่สามสิบกว่าปี และตัดสินใจเดินตามพระเยซูมาเพียงแค่ 8 ปี แต่ฉันกลับเห็นความดี ความรักมั่นคง และความสัตย์ซื่ออันล้นเหลือของพระองค์ ซึ่งทวีมากขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลาที่หมุนผ่าน แล้วไฉนฉันกลับรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ทำราวกับว่าพระองค์มุสา ทำราวกับว่าพระองค์สิ้นพระชนม์จากฉันไปแล้วฉะนั้น…มารพยายามทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อจะสร้างป้อมขึ้นภายในความคิดของฉัน มันทำโดยใช้ยุทธวิธีและการล่อลวงที่แยบยลต่างๆ ซึ่งฉันต้องทำลายป้อมของมัน
[2คร.10:4-5] เพราะว่าศาสตราวุธของเราไม่เป็นฝ่ายโลกียวิสัย แต่มีฤทธิ์เดชจากพระเจ้า อาจทำลายป้อมได้ คือทำลายความคิดที่มีเหตุผลจอมปลอม และทิฐิมานะทุกประการที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ใต้บังคับจนถึงรับฟังพระคริสต์
“พระองค์เจ้าข้า ลูกขอรับแอกของพระองค์แบกไว้ แล้วเรียนรู้ทุกอย่างจากพระองค์ ลูกรู้ว่าหากลูกออกนอกลู่นอกทาง ลูกก็จะเหน็ดเหนื่อยและแอกของลูกก็จะหนัก ซึ่งลูกรับไม่ไหวแน่นอน พระองค์เจ้าข้า ลูกขอบพระคุณที่พระองค์ทรงประทานพระคุณความรักมากกมายแก่ลูก และไม่มีสิ่งใดแยกความรักของพระองค์ออกจากชีวิตของลูกได้ เมื่อลูกรับแอกของพระองค์แบกไว้ เมื่อลูกเรียนรู้จากพระองค์ทุกประการ ลูกจะไม่เหน็ดเหนื่อยอีกต่อไป แอกของลูกก็พอเหมาะ ภาระของลูกก็เบา…ฮาเลลูยา สรรเสริญพระองค์”
[มธ.11:29-30] จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา"

กวาดไล่ศัตรู

วันที่ 8/12/2008
เจอกลอน
กลอนนั้นหา เจอแล้ว เพื่อนแก้วเอ๋ย ไม่ยากเลย ไม่ต้องหา ฉันก็เห็น
เมื่อไม่หา กลับพบเจอ ไม่ยากเย็น จึงชัดเจน ได้บทเรียน การวางใจ
จงมอบงาน ของท่านไว้ กับพระเจ้า ภาระเบา ภาระหนัก ส่งมอบให้
แล้วจดจ่อ รอคอย ด้วยหวังใจ ไม่ทันไร ทรงตอบรับ กลับเป็นพร
ถ้าใครที่เคยอ่านเรื่องที่ฉันเคยแบ่งปันเมื่อวันที่ 11/11/2008 เรื่อง “กลอนหาย” ได้นั้น บัดนี้ ขอบอกว่า เจอกลอนนั้นแล้วจ้าพี่น้อง ไปหลบอยู่ในหนังสือเล่มหนึ่งในบ้านนั่นเอง เอาไปทำเป็นที่คั่นหนังสือซะนี่ ในช่วงที่กลอนนี้หายนั้นก็หาๆๆ ด้วยความกระวนกระวาย หาอย่างไรก็หาไม่เจอ จึงได้บทเรียนมาสอนใจเพิ่มเติม แต่เมื่อไม่ได้สนใจอะไรกลอนนั้นแล้ว ก็กลับโผล่มาให้เห็นซะนี่ และเมื่อกลับไปดูกลอนที่เขียนไว้ ก็ไม่เห็นจะเขียนดีอะไรมากมายเลย กลับพบว่ากลอนที่แต่งขึ้นใหม่ให้ความรู้สึกดีกว่า แหม่ หลงหาอยู่ตั้งนาน …อะไรก็ตามที่ครอบครองจิตใจของเรา หรืออะไรก็ตามที่เราจดจ่อมากกว่าพระเจ้า พระเจ้าก็จะเอาออกไปจากชีวิตของเรา เพราะพระองค์ทรงปรารถนาที่จะเป็นผู้ครองครองหัวใจของเราทั้งดวง แต่เพียงผู้เดียว
บทเรียนเรื่องความวางใจเนี่ย เรียนอย่างไรก็ไม่จบ มีเรื่องใหม่มาให้เรียนรู้อยู่ร่ำไป แต่ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันนะคะว่าคนอื่นต้องเรียนเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า มีคนพูดมาว่าหากเรายังสอบไม่ผ่านเรื่องใด ก็จะมีบททดสอบในเรื่องนั้นมาให้เราเรื่อยๆ จนกว่าจะผ่านนั่นแหละ และถ้าเราผ่านแล้ว ก็จะมีบททดสอบที่ยากขึ้นมาวัดใจเรา…วู้ ไอ๋หยา แสดงว่าฉันยังไม่ผ่าน และต้องเรียนรู้อีกเยอะเลยนะเนี่ยสำหรับเรื่องการวางใจ พระเจ้าทรงค่อยๆ ลิดฉันทีละเล็กละน้อย ซึ่งฉันเองก็เคยสงสัยว่า ทำไมไม่ลิดให้หมดไปเลยทีเดียวละคะพระเจ้า ไหนๆ พระเจ้าก็ทรงช่วยแล้ว ทำไมไม่ทรงช่วยแบบเบ็ดเสร็จไปเลย และแล้วพระเจ้าก็ทรงตอบคำถามในใจของฉันผ่านหนังสือเรื่อง “สนามรบในความคิด” บทที่ 4 ซึ่งเขียนโดย จอยซ์ ไมเออร์ แปลโดย ประพันธ์ หน่อราช
ฉธบ 7:22 พระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกท่านจะกวาดไล่ประชาชาติเหล่านี้จากท่านทีละเล็กทีละน้อย ท่านอย่ากำจัดเขาเสียทันที กลัวว่าสัตว์ทุ่งจะเพิ่มแก่ท่านขึ้นมากไป
ผู้เขียนอธิบายว่า…ก่อนที่ชนชาติอิสราเอลจะเข้าสู่แผ่นดินแห่งพระสัญญานั้น พระเจ้าตรัสบอกพวกเขาว่า พระองค์จะกวาดไล่ศัตรูของเขาออกไปทีละเล็กละน้อย ด้วยเกรงว่า “สัตว์ทุ่ง” จะเพิ่มจำนวนขึ้นท่ามกลางพวกเขามากเกินไป…ฉันเชื่อว่า ความหยิ่ง คือ สัตว์ทุ่ง ที่เข้ามาครอบงำเราได้หากเราได้รับการปลดปล่อยรวดเร็วเกินไป การที่เราได้รับการปลดปล่อยในชีวิตทีละด้าน น่าจะเป็นการดีกว่า เพราะมันทำให้เราซาบซึ้งกับเสรีภาพที่เราได้รับมากกว่า ทำให้เราตะหนักว่าเสรีภาพที่เราได้รับนั้นเป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่สิ่งที่เราทำได้ด้วยตนเอง
Wow! ประทับใจมาก พระเจ้าทรงรักฉันมาก และไม่ปรารถนาให้ฉันไกลห่างจากพระองค์ ด้วยทรงทราบดีว่า “ความหยิ่ง” จะทำให้ฉันลำพอง ไม่พึ่งพระองค์ ลืมพระองค์ และไกลห่างจากพระองค์…หากความเชื่อหรือความไว้วางใจในพระเจ้าสั่นคลอนแม้สักนิด สันติสุขอันเกินความเข้าใจก็จะไม่เกิดกับฉัน ดังนั้น ในพระนามพระเยซู ฉันขอปฏิเสธความหยิ่ง และขอสั่งทำลายป้อมปราการหรือกำแพงทั้งหลายที่ตั้งตัวขึ้นเป็นศัตรูต่อพระองค์
ฉันสังเกตได้ว่า หลายๆ ครั้งที่เกิดเหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์นั้น มีสาเหตุเนื่องจากตัวฉันเอง คือ ความคิดอันเกิดจากฝ่ายเนื้อหนัง ฉันไม่ได้คิดเหมือนอย่างพระเยซู ฉันไม่ได้เดินตามพระเยซูเหมือนที่ฉันปรารถนา ฉันปล่อยให้ความบาปดึงฉันให้หันไปเหมาจากทางของพระองค์…อีกเช่นเคย ที่ฉันได้เรียนรู้ถึงการน้อมนำความคิดทุกประการให้อยู่ใต้บังคับจนถึงรับฟังพระคริสต์ จากบทเรียน 2 ประการ เมื่อเช้านี้
1. ปกติฉันจะมีหนังสือพกติดตัวไว้อ่านตลอดการเดินทางระหว่างบ้านกับที่ทำงาน แต่เช้านี้ไม่ได้หยิบหนังสือมา จึงรู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่างไป รู้สึกโหวงเหวงว่างเปล่า โอ้โห อยู่บนรถไฟฟ้า และก็เวลาที่รอรถตู้อีกล่ะ มันเป็นเวลาหลายสิบนาทีอยู่ รู้สึกเสียดายเวลาที่มันจะเสียไปเปล่าๆ แทนที่จะอ่านหนังสือได้อรรถรสแก่ชีวิต คิดถึงหนังสือมากๆๆๆ แต่พลันจิตสำนึกก็ฟ้องผิดขึ้นมาอย่างรวดเร็วว่า ฉันไปจดจ่อกับหนังสือมากเกินไป (แม้ว่าจะเป็นวรรณกรรมคริสเตียนก็เหอะ) ณ เวลานั้น ฉันคิดว่าสิ่งนี้สำคัญเป็นที่หนึ่งในชีวิต หนังสือนั้นใหญ่กว่าพระเจ้าเสียแล้ว หนังสือนั้นกลายเป็นรูปเคารพของฉัน ฉันโหยหามันมากเกินไป จากนั้นจึงต้องรีบกลับใจใหม่ และใช้เวลาว่างบนรถไฟฟ้าดูผู้คนและภูมิทัศน์กอทอมอ ที่สำคัญคือ ได้ใช้เวลาใคร่ครวญถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า…ขอบคุณพระเจ้า
2. ขณะยืนอยู่บนรถไฟฟ้า คนก็แน่นมาก โดยเฉพาะบริเวณหน้าประตู ซึ่งจะดันคนที่ยืนอยู่ด้านในเข้ามาเรื่อยๆ ถ้าคนที่เคยขึ้นรถไฟฟ้าช่วงเช้าและเย็นจะเข้าใจสภาพความแออัดดี แต่มีหญิงสาวคนหนึ่งข้างหน้าฉัน เขายืนกินที่มากเลย หากเธอเห็นใจผู้อื่น จะมีคนแทรกไปอยู่บริเวณที่เธอยืนได้ 2-3 คน ฉันใช้สายตามองเธอ และพยายามขยับเข้าไปให้คนที่อยู่ด้านหลังฉันเข้ามาแทรก แต่ก็ไปไม่ได้ไกล เพราะติดสาวเจ้าผู้นั้น ซึ่งดูเหมือนเธอไม่ได้สนใจใคร ฉันจึงคิดตำหนิเขาในใจว่า “……” (เซ็นเซ่อ) ฉันก็ไม่กล้าเตือนเธออีก เนื่องจากเคยแสดงความกล้าเตือนคนลัดคิวด้วยความสุภาพ แล้วเป็นเรื่องเลย ทุกคนมองฉันเป็นตัวประหลาด เช้านี้จึงยังไม่อยากมีเรื่องกับใคร ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากอธิษฐานอวยพรเธอ…สักพักหนึ่ง ข้อศอกเธอหันมาโดนฉันอย่างจัง…เจ็บโว้ย! (ในใจ) และเธอเองก็รู้ตัว หันมามองและก็เมินไป ในใจฉันจึงตำหนิเธออีกครั้งหนึ่งว่า “ช่างไร้มารยาทเสียจริง ทำผิดแล้วยังไม่ขอโทษอีก” และจิตสำนึกก็พุ่งปรี๊ดมาเตือนว่า “ให้อภัย ให้อภัย” Wow! ทำไมพระวิญญาณชอบให้ทำอะไรยากๆ ที่ฝืนความรู้สึกของตัวเองเรื่อยเลย แต่ก็เอาน่า ถ้าจะทำดีก็ต้องฝืน เหมือนที่ ศจ.ธงชัยสอนสั่งมาสดๆ ร้อนๆ ทำให้ท้ายที่สุดแล้วสามารถรวบรวมกำลัง นำการให้อภัยกลับมา มีสันติสุขเหมือนเดิม…ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะทดสอบฉันอีกครั้งหนึ่งว่าผ่านหรือเปล่านะเช้านี้ ขณะขึ้นรถตู้จากมาบุญครองไปที่ทำงานนั้น มีหญิงสาวคนหนึ่ง ขณะที่เธอก้าวขึ้นรถตู้อย่างเร่งรีบ ข้อศอกของเธอก็เหวี่ยงมาโดนฉันอย่างจัง “โอ้ย! เจ็บนะ” (ในใจ) เธอก็ชะงักนิดหนึ่ง แต่ไม่มีสักคำที่ขอโทษเช่นเคย แต่ครั้งนี้ฉันกลับไม่รู้สึกอะไร ไม่โกรธ ไม่ตำหนิอะไรทั้งสิ้น ไม่เหมือนตอนอยู่บนรถไฟฟ้าที่มีอาการฉุนเฉียวภายใน…ขอบคุณพระเจ้าสำหรับบทเรียนของพระองค์ เมื่อตั้งตัวตายต่อตนเองแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ในฉันก็มีชีวิตและมีฤทธิ์เดช นำฉันก้าวเดินไปในทางของพระเจ้าด้วยความชื่นชมยินดี

ศัตรูของฉัน คือ อะไรก็ตามที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความสัมพันธ์ของฉันกับพระเจ้า ศัตรูนั้นมาจากทั้งภายในและภายนอก แต่ดูเหมือนว่าศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดจะมาจากภายในฉันเอง ดังนั้น ฉันจึงทูลขอพระเจ้าเสมอในการที่จะทำลายศัตรูภายในของฉัน [2คร.10:5] คือทำลายความคิดที่มีเหตุผลจอมปลอม และทิฐิมานะทุกประการที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ใต้บังคับจนถึงรับฟังพระคริสต์
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพึ่งพาพระเจ้าในการกวาดไล่ศัตรู ทำลายสัตว์ทุ่งให้หมดสิ้นไปจากชีวิตจิตใจของเรา
[มคา.7:8] ศัตรูของข้าเอ๋ย อย่าเปรมปรีดิ์เย้ยข้าเลย เมื่อข้าล้มลง ข้าจะลุกขึ้นอีก เมื่อข้านั่งอยู่ในความมืด พระเจ้าจะทรงเป็นความสว่างแก่ข้า
[สดด.60:12] โดยพึ่งในพระเจ้า ข้าพเจ้าทั้งหลายจะปฏิบัติอย่างเข้มแข็ง พระองค์เองทรงเป็นผู้เหยียบคู่อริของข้าพเจ้าทั้งหลายลง
[สดด.59:17] ข้าแต่พระกำลังของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์ พระเจ้าผู้ทรงสำแดงความรักมั่นคงแก่ข้าพระองค์
[สดด.62:2] พระองค์เท่านั้นทรงเป็นศิลา และเป็นความรอดของข้าพเจ้า เป็นป้อมปราการของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหวใหญ่โต

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เอกภาพเพื่อพ่อ


เอกภาพเพื่อพ่อ

วันที่ 5/12/2008

THE CALL 2008
The Empowerment of Unity
พลานุภาพแห่งเอกภาพ…สู่พระมหาบัญชาที่ยิ่งใหญ่


บทเรียนภาคทฤษฎีสำหรับโครงการถวายตัว (The Call) ปี 2008 ของคริสตจักรนิมิตใหม่ ได้ดำเนินมาจนถึงลำดับสุดท้ายของปีแล้ว ในการนี้ ศจ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ ได้มาถ่ายทอดพระวจนะของพระเจ้าให้กับพวกเรา ในหัวข้อ “เอกภาพในชุมชนของพระเจ้า” และ “เอกภาพในการนำวิญญาณ”

หากจะถามว่าได้อะไรจากการเข้ารับการฝึกในครั้งนี้นั้น ก็ต้องขอบอกว่าได้มากจริงๆ ซึ่งหากฉันจะถ่ายทอดทั้งหมด ก็คงจะกินพื้นที่หลายหน้ากระดาษด้วยกัน ฉะนั้น ฉันขอแบ่งปันเฉพาะส่วนที่เป็น Highlight ที่พระเจ้าตรัสกับฉันในวันนี้นะคะ

เอกภาพในชุมชนของพระเจ้า

The Call หมายถึง การเรียก ซึ่งผู้เรียกก็คือ “พระเจ้า” ส่วนเรา คริสเตียนทั้งหลายนั้น เป็น “ผู้ถูกเรียก”
พระเจ้าสร้างสรรพสิ่ง และทรงสร้างมนุษย์ เพื่อให้นมัสการพระองค์ ทั้งยังทรงเรียกมนุษย์ให้ออกไปรับใช้ ทรงเรียกให้ทำตามพระประสงค์และแผนการของพระองค์ อฟ.1:3-6 3สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ผู้ทรงโปรดประทานพระพรฝ่ายวิญญาณแก่เรานานาประการ ในสวรรคสถานโดยพระคริสต์ 4ในพระเยซูคริสต์นั้น พระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะทรงเริ่มสร้างโลก เพื่อเราจะบริสุทธิ์และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระองค์ 5พระองค์ทรงกำหนดเราไว้ด้วยความรักก่อนตามที่ชอบพระทัยพระองค์ ให้เป็นบุตรโดยพระเยซูคริสต์ 6เพื่อจะให้เป็นที่สรรเสริญพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ซึ่งทรงโปรดประทานแก่เราในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นที่รักของพระองค์
คริสเตียนเป็นชุมชนที่มีความรักต่อกันฉันพี่น้องเสมอไป (ฮบ.13:1) ในคริสตจักรของพระคริสต์นั้นจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยกัน เมื่อมีฉันก็ต้องมีเธอ หากมีฉันแต่ไม่มีเธอ ก็เป็นคริสตจักรไม่ได้ เหมือนดังที่ภาษาอังกฤษเขียนว่า “CHURCH” ถ้าขาดตัวยูไป ก็จะไม่เป็นคริสตจักร

“Call” อาจกลายเป็น Fall ได้ หากขาด 3D และ 4E ต่อไปนี้

3D
1. Dedications การอุทิศตัว คือ การเสียสละตัวเองเพื่องานของพระเจ้า
2. Devotion การทุ่มเท คือ การทุ่มเทตัวอยู่กับพระเจ้าอย่างสุดกำลัง
3. Determination การมุ่งมั่นความสำเร็จ คือ หัวใจที่ต้องการความสำเร็จ และทำทุกอย่างเพื่อให้ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งหวังไว้

4E
1. Enthusiasm ความกระตือรือร้น…ผู้ที่มีพระเจ้าอยู่ภายใน จะรับใช้ด้วยความกระตือรือร้น
2. Encouragement การหนุนใจ…เราจำเป็นต้องได้รับการชูใจจากพระเจ้า ได้รับการหนุนใจจากพี่น้อง และแน่นอนว่าเราเองก็ต้องเป็นฝ่ายหนุนใจผู้อื่นด้วยเช่นกัน
3. Enforcement การเป็น Leader ซึ่งนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่เป็นพร
4. Evangelism การประกาศข่าวประเสริฐ

พระเจ้าทรงเรียกแต่ละคนมาอยู่รวมกัน กลายเป็นหน่วยเดียวกัน (Unit) และหน่วยเดียวกันในพระคริสต์นี้จำเป็นต้องมีเอกภาพ หรือ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างแท้จริง (Unity) ดังเช่นที่ พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ รวมกันเป็นหน่วยเดียวกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นตรีเอกานุภาพ (Trinity)
เอกภาพในการนำวิญญาณ

พระเยซูคริสต์ทรงบัญชาให้เหล่าสาวกของพระองค์ทั้งปวงออกไปประกาศข่าวดีแก่มนุษย์ทุกคน และพระองค์ทรงสัญญาว่าจะทรงสถิตและร่วมกิจในการประกาศนำวิญญาณนี้กับพวกเขา
คริสเตียนต้องออกไปประกาศข่าวดี ด้วยการพึ่งพิงพระเจ้า เพื่อนำวิญญาณ เพราะหากเราไม่ประกาศ ก็มิใช่เพียงผู้อื่นเท่านั้นที่จะวิบัติ แต่เราก็จะวิบัติด้วย [1คร.9:16] เพราะการที่ข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐนั้น ข้าพเจ้าไม่มีเหตุที่จะอวดได้ เพราะจำเป็นที่ข้าพเจ้าจะต้องประกาศข่าวประเสริฐ ถ้าข้าพเจ้าไม่ประกาศ วิบัติจะเกิดแก่ข้าพเจ้า

การประกาศข่าวดีนั้น ต้องประกาศอย่างถูกต้อง ด้วยความรัก โดยมีหลักเกณฑ์ที่ควรตระหนัก ดังนี้
1. Pray together ต้องอธิษฐานเพื่อการประกาศ
2. Plan together วางแผนเพื่อการประกาศ (หลังจากอธิษฐานแล้ว-Pray before Plan not Plan before Pray)
3. Proclaim together เราต้องร่วมกันในการประกาศ
4. Pay together เราต้องร่วมกันรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการประกาศ

Blessing the Nation

เวลา 16.00 น. ได้มีการแบ่งทีมออกเป็น 3 สาย เพื่อพันธกิจ Blessing the Nation อธิษฐานอวยพรเพื่อประเทศไทยและคนไทย ด้วยคำอธิษฐานแบบวงแหวนไฟ
สายที่ 1 ไปชุมชนสระแก้ว นำโดย ดร.สมนึก ศบ. พี่ตุ๊กตา
สายที่ 2 ไปเซ็นจูรี่มูฟวี่ และสยามเซ็นเตอร์ นำโดยหมอพจน์ ผป.วิเชียร พี่ติ๊ก พี่วรรณ
สายที่ 3 ไปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

ฉันไปสายที่ 3 โดยมี แม่อ้อยและแม่แมมนำทีม มีสามพ่อไปด้วย คือ ป๊ะป๋าของพี่อ้อยและพี่แอ๊ด ป๊ะป๋าของน้องม็อธและน้องมัธ ป๊ะป๋าของน้อง Blessing และมีสาวโสดไฟแรงจำนวนหนึ่งตามไปด้วย คือ พี่แอ๊ด พี่อิ๋ว พี่เป้ น้องต้า และฉัน…เราได้ร้องเพลงอวยพรและอธิษฐานหลายจุดด้วยกัน ได้แก่ ร้านขายแพนเค้ก ร้านขายขนุน ร้านขายน้ำ ร้านขายขนมปิงปอง ป้อมตำรวจ อนุสรณ์สถานสิบสี่ตุลา คนขับรถตู้ ร้านนวดแผนโบราณ คนเป็นอัมพฤก คนนั่งดื่มเบียร์ คนขายน้ำมะพร้าว คนขายถุงเท้า และ ร้านขายขนมหวานไทย ในแต่ละร้านที่เราไปร้องเพลง เราก็จะอุดหนุนเขาด้วยนะ ตามแบบที่ ศจ.ธงชัยสอน หลายคนจึงมีของติดไม้ติดมือกลับมา ทำเหมือนไปช้อปปิ้งน่ะ (แหม่! ทำไปได้)…ครั้งนี้เราพบบ้านแห่งสันติสุขก็คือ ร้านนวดแผนโบราณนั่นเอง พี่เป้กับพี่อิ๋วเลยคุยกันว่าจะต้องกลับไปใช้บริการนวดฝ่าเท้ากับร้านนี้สักหน่อย เอ่อ! แต่ว่าฉันไม่นวดนะ เพราะมันจั๊กกะจี้

การอธิษฐานของเรามุ่งเน้นไปที่การอวยพรเป็นสำคัญ เราประกาศพระราชกฤษฎีกาบัญชา อวดอ้างพระนามของพระเยโฮวาห์ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ เหนือพื้นที่ถนนราชดำเนินและบริเวณโดยรอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยซึ่งมีประวัติความเป็นมาอย่างมีนัยสำคัญ ในครั้งที่คณะราษฎร์ได้ประกาศนโยบายการปกครองประเทศเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 นั้น ได้กำหนดหลักนโยบายสำคัญ 6 ประการ คือ หลักเอกราช หลักความสงบภายใน หลักสิทธิเสมอภาค หลักเสรีภาพ หลักเศรษฐกิจ และหลักการศึกษา

ในเวลาดังกล่าว มีขบวนพาเหรดขององค์กรต่างๆ กว่าพันคน ทะยอยเข้าสู่ท้องสนามหลวง เพื่อจุดเทียนชัยถวายพระพรในหลวง เราจึงได้เห็นความอลังการของวงดุริยางค์ ความสวยงามของเครื่องแต่งกายและซุ้มต่างๆ เราก็ชมไป อธิษฐานไป อย่างมีสันติสุข

วันนี้เป็นวันพ่อแห่งชาติ ซึ่งชาวไทยได้แสดงความจงรักภักดีต่อพ่อแห่งแผ่นดิน ด้วยการจุดเทียนเฉลิมพระเกียรติ บ้างก็ใส่เสื้อเหลืองหรือเสื้อสีชมพู บ้างก็ทำความดีต่างๆ ตามความเชื่อของตน ไฟหลากสีประดับประดาอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้และอาคารบ้านเรือนต่างๆ…แต่พวกเราสิ มีความปลาบปลื้มใจมากกว่าปกติ เพราะนอกจากจะได้ระลึกถึงพ่อของตนด้วยความรักแล้ว ยังระลึกถึงองค์ในหลวงของเราด้วยความซาบซึ้ง และถึงแม้พวกเราจะไม่ได้จุดเทียนให้พ่อแห่งแผ่นดิน แต่เราทั้งหมดไปด้วยหัวใจ เราไปพร้อมกับแสงสว่างที่ฉายออกไปอย่างสันติ ประดับประดาด้วยความรัก จุดความเชื่อและความหวังให้กับคนไทย เราออกไปด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป็นเอกภาพเพื่อพ่อของเรา…พระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก พระบิดาของบิดาทั้งปวง พระบิดาผู้สูงสุดเพียงองค์เดียวในชีวิตของเรา
“เรารักพ่อ”

เอกภาพแห่งคำอธิษฐาน

ภาคกลางคืน เป็นช่วง “เอกภาพแห่งคำอธิษฐาน” นำโดย ศบ.เล็ก พงษ์ศักดิ์ (จริงๆ แล้ว ท่านชื่อ พงษ์ศักดิ์ และชื่อเล่นว่า เล็ก…แต่เนื่องจากที่ คจ. ของเรามีคนชื่อเล็กหลายคน ดังนั้น การเรียก เล็ก เพื่อให้ถูกคน จึงต้องมีคำอื่นเข้ามาช่วยกำกับด้วย เฮ้! แต่สำหรับฉันเมื่อได้ยินคำว่า เล็ก พงษ์ศักดิ์ ก็ทำให้นึกถึงนักมวยน่ะ เพราะชื่อคล้ายนักมวย ฉันเองก็เห็นว่าท่านเหมาะจะเป็นนักมวยเหมือนกันนะ ซึ่งถึงแม้ว่าจะตัวเล็ก แต่หมัดหนัก และกำชัยชนะไว้ในมือเสมอ ศบ. จึงนำเราไปสู่ชัยชนะ ดังที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงสัญญาไว้
ศบ.แบ่งปันด้วยพระธรรมกิจการ [กจ.12:5] เพราะฉะนั้นเปโตรจึงถูกจำไว้ในคุก แต่ว่าคริสตจักรได้อธิษฐานพระเจ้าเพื่อเปโตรด้วยใจร้อนรน ซึ่งพี่น้องในคริสตจักรได้อธิษฐานเผื่อเปโตรจนกระทั่งการอัศจรรย์เกิดขึ้น เปโตรได้รับการช่วยเหลืออย่างเหนือธรรมชาติให้ออกจากคุกมาได้…เมื่อคริสตจักรอธิษฐานในแผ่นดินโลกอย่างไร ก็จะเป็นเช่นนั้นในสวรรค์ [มธ.16:19] เราจะมอบลูกกุญแจแผ่นดินสวรรค์ให้ไว้แก่ท่าน ท่านจะกล่าวห้ามสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ เมื่อท่านจะกล่าวอนุญาตสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นจะกล่าวอนุญาตในสวรรค์ด้วย" เราได้เชิญผู้นำคริสตจักร ผู้ปกครองและแม่ทัพอธิษฐาน ออกไปหน้าที่ประชุม และพวกเราทุกคนอธิษฐานเผื่อ จากนั้น กลุ่มผู้นำ ผู้ปกครองและแม่ทัพอธิษฐาน ก็ได้อธิษฐานเผื่อพวกเรา และท้ายสุดสำหรับค่ำคืนนี้ เราร่วมใจทูลขอสิ่งเดียวกัน ทูลขอเพื่อผืนแผ่นดินไทย ตบท้ายด้วยกันร้องเพลงอวยพรประเทศไทย ที่ดังไปจนถึงฟ้าสวรรค์ เราจับมือกันและกัน ยกใจ ชูมือของเราร่วมกัน กอดกันและกัน พร้อมที่จะนำข่าวดีไปประกาศต่อชาวโลก [สดด.20:7] บ้างก็โอ้อวดเรื่องรถรบ บ้างก็เรื่องม้า แต่เราอวดเรื่องพระนามพระเจ้าของเรา

เจตนารมณ์ 12 ประการของคริสตจักรนิมิตใหม่
เป็นรากฐานแห่งความเชื่อและความหวังของคริสตจักร ที่มุ่งหมายให้สมาชิกทุกคนร่วมกันปฏิบัติตามด้วยความรัก

1. คริสตจักรที่นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณ และความจริงอย่างเต็มใจและยินดี
2. คริสตจักรที่เตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนรับใช้ (ผู้นำ) ตามของประทานของแต่ละคน
3. คริสตจักรที่ส่งเสริมให้สมาชิกมีการนมัสการ และอบรมบุตรหลานตามวิถีทางของพระเจ้าภายในครอบครัวของตน
4. คริสตจักรที่กระตือรือร้นในการศึกษาพระวจนะของพระเจ้า และนำไปปฏิบัติใช้ในชีวิต
5. คริสตจักรที่สมาชิกเป็นพยานและประกาศพระกิตติคุณแก่ทุกคนในทุกที่ และทุกเวลาที่มีโอกาส
6. คริสตจักรที่กระตือรือร้นในการเยี่ยมเยียนหนุนใจและติดตามผล และเพิ่มพูนขยายเป็นคริสตจักรลูกต่อไป
7. คริสตจักรที่สอนสมาชิกให้รู้จักการเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยการอธิษฐานและนมัสการประจำวัน
8. คริสตจักรที่สอนสมาชิกให้รู้จักอ่าน และสามารถศึกษาพระคัมภีร์ด้วยตนเอง
9. คริสตจักรที่สอนสมาชิกให้มีรากฐานของหลักข้อเชื่อของคริสเตียนอย่างถูกต้อง
10. คริสตจักรที่สอนสมาชิกให้มีหลักการในการดำเนินชีวิตในสังคมอย่างเหมาะสม
11. คริสตจักรที่โน้มนำสมาชิกให้ได้รับการเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ โดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์
12. คริสตจักรที่เสริมสร้างสมาชิกให้สามารถสร้างสาวก และออกไปเกิดผลดี

“นิมิตใหม่ สุกใสดังดวงดารา ดุจดวงจันทราส่องสว่างอยู่ทั่วทิศา
นำมรรคาก้าวไปตามน้ำพระทัย ข้ามั่นใจจะก้าวต่อไป…”

วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วาระ

วันที่ 6/12/2008
The Call ดำเนินต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 แต่วันนี้คนมาร่วมโครงการน้อยลง เพราะหลายคนต้องทำงานในวันนี้ด้วย เช้านี้สอนโดย ศจ.ธงชัย อีกเช่นเคย ในหัวข้อ “รากฐานของคริสตจักรที่มั่นคง”
“คริสตจักร” คือ กลุ่มคนที่พระเยซูคริสต์ทรงเรียกออกมาจากที่ต่างๆ กัน เพื่อมารวมกันเป็นชุมชนของพระเจ้า
“รากฐาน” หมายถึง “พื้นฐาน” คริสตจักรใดตั้งอยู่บน “พื้นฐานที่ดีมั่นคง” คริสตจักรนั้นก็อยู่ยงคงกระพันไปยาวนาน
“มั่นคง” หมายถึง “ไม่หวั่นไหว, ไม่ขยับเขยื้อน”
ดังนั้น คริสตจักรที่มั่นคงต้องมีรากฐานที่มั่นคง เป็นคริสตจักรที่มีความเป็นเอกภาพในความเชื่อและความรักในพระเจ้า
ช่วงบ่ายฉันไม่ได้อยู่เรียน เนื่องจากนัดกับเจ้านายเก่าไว้ล่วงหน้าแล้ว ฉันเคยทำงานเป็นเลขานุการของ Evangelical Church of Bangkok (ECB) สุขุมวิท ซอย 10 ในขณะที่ท่านดำรงตำแหน่ง Senior Pastor เมื่อประมาณสามปีก่อน ฉันทำงานอยู่กับท่านประมาณ 1 ปี ก็ลาออกมา แต่เรายังคงติดต่อกันอยู่ทางอีเมล์และโทรศัพท์เป็นสำคัญ บางครั้งก็ไปพบบ้าง แต่ไม่บ่อยนัก ท่านเป็น Pastor จากอเมริกา มาทำงานรับใช้พระเจ้าในเมืองไทยได้ 5 ปี ตามที่ได้รับนิมิตแล้ว ในวันพรุ่งนี้จะเป็นวัน Farewell ของท่าน ซึ่งไม่รู้ว่าอีกเมื่อไรที่ฉันจะได้พบท่านอีก
ฉันเรียกท่านว่า “Pastor John” อดีตเคยทำงานขายประกันชีวิต มีรายได้งามมาก แต่สุดท้ายท่านก็ตัดสินใจละทิ้งอาชีพทางโลกเพื่อเป็นผู้รับใช้พระเจ้าเต็มเวลา ก่อนมาเมืองไทย ท่านได้ขายทรัพย์สมบัติทั้งหมด ทั้งบ้าน รถยนต์ และอื่นๆ เพื่อมาอยู่เมืองไทย ลูกๆ ของท่านโตและทำงานกันหมดแล้ว เหลือเพียงลูกสาวฝาแฝด 2 คน ที่ตามมาอยู่ด้วย โดยเรียน High School ในประเทศไทย
Pastor John เป็นผู้นำที่ดี เฉลียวฉลาด เป็นนักคิด และเป็นแบบอย่างที่ดีในการเสียสละ ความมีวินัย การรักครอบครัว ความเด็ดขาด ความเข้าใจ และที่สำคัญ หัวใจที่รักพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ
นอกจากพระเจ้าองค์สูงสุดแล้ว ทุกคนล้วนต้องการใครสักคนอย่างน้อยที่สุด 1 คน เป็นเพื่อนที่รัก เข้าใจและไว้วางใจได้ในโลกนี้ นี่จึงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่คนในแบบดังกล่าวต้องลาจากฉันไป ท่านมีส่วนอย่างมากในการหนุนใจฉันให้ดำรงอยู่ในทางของพระคริสต์ แต่อย่างไรก็ตาม เรารู้ว่าการจากไปครั้งนี้เป็นการแตกเพื่อโต เป็นการไปเพื่อเติบโต (go for growth) และพระเจ้าก็จะทรงจัดวางและแต่งตั้งผู้เลี้ยงแกะคนใหม่ให้กับ ECB
บุรุษผู้มั่งคั่งยิ่งใหญ่และฉลาดที่สุดในโลก ได้บันทึกไว้ว่า “มีวาระสำหรับทุกสิ่ง” ปญจ.3:1-8 1มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง และมีวารสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์ 2มีวารเกิด และวารตาย มีวารปลูก และวารถอนสิ่งที่ปลูกทิ้ง 3มีวารฆ่า และวารรักษาให้หาย มีวารรื้อทลายลง และวารก่อสร้างขึ้น 4มีวารร้องไห้ และวารหัวเราะ มีวารไว้ทุกข์ และวารเต้นรำ 5มีวารโยนหินทิ้ง และวารเก็บรวบรวมหิน มีวารสวมกอด และวารงดเว้นการสวมกอด 6มีวารแสวงหา และวารทำหาย วารเก็บรักษาไว้ และวารโยนทิ้งไป 7มีวารฉีกขาด และวารเย็บ วารนิ่งเงียบ และวารพูด 8มีวารรัก และวารเกลียด วารสงคราม และวารสันติ ฉันยอมรับวาระจากดังกล่าวโดยดุษฎี ด้วยใจที่โมทนาสรรเสริญพระองค์ ฉันไม่รู้หรอกว่าการลาจากจะเกิดขึ้นอีกกี่ครั้งในชีวิต ทั้งการลาจากผู้คนที่เรารัก ลาจากหน้าที่การงานที่คุ้นเคย ลาจากสถานที่ซึ่งเคยอยู่ ลาจากอาหารที่เคยรับประทาน ลาจากกิจการ/ทรัพย์สินและบริวารที่เคยครอบครอง
“ไม่มีใครอยู่กับใครได้ตลอดชีวิต” คำพูดนิรนามนี้เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ และยิ่งมีความจริงในพระคัมภีร์ยืนยันด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ฉันสงบใจลงได้ [ปญจ.3:14] ข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าสารพัดที่พระเจ้าทรงกระทำก็ดำรงอยู่เป็นนิตย์ จะเพิ่มเติมอะไรเข้าไปอีกก็ไม่ได้หรือจะชักอะไรออกเสียก็ไม่ได้ พระเจ้าทรงกระทำเช่นนั้น เพื่อให้คนทั้งหลายมีความยำเกรงต่อพระพักตร์พระองค์
ฉันทูลขอต่อพระเจ้าตามพระสัญญาของพระองค์ ที่จะให้วาระแห่งสันติสุขแก่ทุกคน ขออย่าให้สันติสุขได้พรากไปจากผู้หนึ่งผู้ใดเลย แต่เราขอตัดขาดจากวาระซึ่งไม่เป็นที่พึงปรารถนา ซึ่งได้แก่ วาระแห่งความบาป นั่นเอง
ความบาปเกิดจากพฤติกรรมหลัก 2 ประการ คือ
1. กฎหมายของพระเจ้าบัญญัติห้ามมิให้ปฏิบัติ แต่กลับปฏิบัติ (รู้ว่าไม่ดี แต่ยังทำ ก็บาป…เช่น รู้ว่าการโกหกไม่ดี แต่ก็ยังทำอยู่ เป็นต้น)
2. กฎหมายของพระเจ้าบัญญัติไว้ให้ปฏิบัติ แต่กลับไม่ปฏิบัติ (รู้ว่าดี แต่ไม่ทำ ก็บาป…เช่น รู้ว่าการอธิษฐาน การประกาศนำวิญญาณ การหนุนใจกัน เป็นสิ่งดี แต่กลับละเลย ไม่ทำตาม เป็นต้น)
ถึงเวลาแล้วสินะที่เราจะตัดขาดจากวาระแห่งความบาป เพื่อเข้าสู่วาระแห่งการนมัสการ วาระแห่งสันติสุขในพระเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงแสวงหาคนเช่นนั้น [ยน.4:23] แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์

วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วางใจเสมอ

วันที่ 26/11/2008
กำหนดการสัมมนา Jeevan Frontier Advance Camp in Singapore ปีนี้ คือ วันที่ 27-29/11/2008 ซึ่งในปีนี้จะมีหญิงไทยหัวใจเต็มร้อยไปด้วยกัน 3 คน คือ พี่ไก่-กรองใจ และพี่จอย จาก คจ.ไมตรีจิต หลังสวน และก็ฉันอีกคน…แต่แล้ว ในคืนวันที่ 25/11/2008 เราก็รับทราบว่ากลุ่มพันธมิตรซึ่งรวมพลังกันประกาศเจตนารมณ์ต่อต้านรัฐบาลอยู่นั้น ได้บุกเข้าไปในยึดสนามบินสุวรรณภูมิ เป็นเหตุให้ต้องปิดสนามบิน และสายการบินต่างๆ ยกเลิกเที่ยวบินจำนวนมาก จากรายงานข่าวได้ประเมินความเสียหายไว้ถึงวันละ 50 ล้านบาท แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ภาพพจน์ของเมืองไทยในสายตาชาวโลก รวมถึงสภาพจิตใจของคนไทยทุกหัวระแหง…เมื่อทราบข่าวแล้วฉันก็ไม่ได้วิตกกังวลแต่อย่างใดเกี่ยวกับการได้ไปหรือไม่ไปสิงคโปร์ ฉันฝากไว้ในการทรงนำของพระเจ้า แต่สิ่งที่ฉันเป็นห่วงคือ สถานการณ์ทางการเมืองที่นับวันจะส่อเค้ารุนแรงขึ้น รวมถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจ สังคม และสภาพจิตใจของคนไทยด้วยกัน และทำให้ฉันยิ่งรู้สึกว่าหากเขาได้รู้จักพระเจ้า เขาจะเป็นคนที่ทำทุกสิ่งโดยเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น เห็นว่าผู้อื่นดีกว่าตนเสมอ [ฟป.2:3-5] อย่าทำสิ่งใดในทางชิงดีกันหรือถือดี แต่จงมีใจถ่อมถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว 4อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆด้วย 5ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ หัวใจของฉันถูกเร่งเร้าให้ทุ่มเทสำหรับการประกาศมากขึ้น ซึ่งฉันจำเป็นต้องประกาศทั้งที่มีโอกาสและไม่มีโอกาส แต่ฉันต้องฉวยโอกาสทุกกรณี…ขอพระเจ้าทรงโปรดเมตตาให้ชีวิตของฉันได้ฉายแสงเพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์ [อสย.60:1] จงลุกขึ้น ฉายแสง เพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้ว และพระสิริของพระเจ้าขึ้นมาเหนือเจ้า
เที่ยวบินของเรามีกำหนดออกเวลา 18.35 น. ของวันที่ 26 ซึ่งในช่วงบ่ายเราก็ทราบว่ามีการยกเลิกเที่ยวบินของวันที่ 26 ทั้งหมด ว้าว! หัวใจของฉันบินพุ่งไปอยู่ที่การประชุมที่สิงคโปร์แล้ว แต่ฉันก็มีสันติสุขกับการรอคอยพระเจ้าด้วยความวางใจ ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้าจะทรงจัดการหรือแทรกแซงสถานการณ์ต่างๆ อย่างไร แต่ฉันรู้ว่าพระองค์ทรงควบคุมอยู่ [1คร.2:9] ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า สิ่งที่ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์
มีบางคนที่เป็นห่วงฉัน เกรงว่าฉันจะเสียใจที่ไม่ได้ไปสิงคโปร์ ฉันก็ขอบคุณพี่น้องเหล่านั้น และขอบคุณพระเจ้าที่Miss Hung Leng จากสิงคโปร์โทรมาหนุนใจด้วยความรัก พร้อมกับคำมั่นว่าจะอธิษฐานเผื่อประเทศไทยต่อไป ขอบคุณพระเจ้า การประชุมจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้ว แสนสุขใจหนักหนาที่ได้รู้ว่ามีอีกกว่า 30 ชีวิต จากหลายประเทศ ในห้องประชุมเดียวกัน รวมใจกันอธิษฐานเผื่อประเทศไทย
เหตุการณ์วันนี้ทำให้ฉันย้อนนึกถึงหนังสือหลายเล่มที่เคยอ่านเรื่องราวของผู้รับใช้ต่างๆ ซึ่งประสบกับเหตุร้ายหรือเหตุการณ์ไม่พึงปรารถนานาประการ และเมื่อย้อนดูชีวิตของผู้รับใช้ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือแห่งชีวิตนั้นเล่า ฉันก็พบว่าบรรดาอัครฑูตต่างๆ ล้วนทนทุกข์ยากทั้งสิ้น และคนที่ฉันประทับใจกับการทนทุกข์ของท่านมากคือ “ท่านเปาโล” [2คร.11:23-31]… ข้าพเจ้าทำงานใหญ่ยิ่งกว่าเขาอีก ข้าพเจ้าติดคุกมากกว่าเขา ข้าพเจ้าถูกโบยตีเกินขนาด ข้าพเจ้าหวิดตายบ่อยๆ พวกยูเดียเฆี่ยนข้าพเจ้าห้าครั้งๆ ละสามสิบเก้าที เขาตีข้าพเจ้าด้วยตะบองสามครั้ง เขาเอาก้อนหินขว้างข้าพเจ้าครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเผชิญภัยเรือแตกสามครั้ง ข้าพเจ้าลอยอยู่ในทะเลวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ข้าพเจ้าต้องเดินทางบ่อยๆเผชิญภัยอันน่ากลัวในแม่น้ำ เผชิญโจรภัย เผชิญภัยจากชนชาติของข้าพเจ้าเอง เผชิญภัยจากคนต่างชาติ เผชิญภัยในนคร เผชิญภัยในป่า เผชิญภัยในทะเล เผชิญภัยจากพี่น้องทรยศ ต้องทำงานเหน็ดเหนื่อยและยากลำบาก ต้องอดหลับอดนอนบ่อยๆต้องหิวและกระหาย ต้องอดข้าวบ่อยๆต้องทนหนาวและเปลือยกาย และนอกจากนั้นยังมีการอื่นที่บีบข้าพเจ้าอยู่ทุกวันๆคือความกระวนกระวายถึงคริสตจักรทั้งปวง มีใครบ้างเป็นคนอ่อนกำลังและข้าพเจ้าไม่อ่อนกำลังด้วย มีใครบ้างที่ถูกนำให้สะดุด และข้าพเจ้าไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนด้วย ถ้าข้าพเจ้าจำเป็นต้องอวด ข้าพเจ้าก็จะอวดสิ่งที่แสดงว่า ข้าพเจ้าเป็นคนอ่อนกำลัง พระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ควรแก่การสรรเสริญเป็นนิตย์ พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้าไม่ได้มุสา…โอ้โห ชีวิตของท่านเปาโลยิ่งใหญ่และเสียสละมากเลยใช่ไหม ทว่าผู้ซึ่งเผชิญกับเหตุร้ายและต้องทนทุกข์ทรมานมากยิ่งกว่าผู้ใด ผู้ซึ่งถูกตรึงบนไม้กางเขนโดยไร้ซึ่งความผิดบาป ก็คือ “องค์พระเยซู” ของเรา
ชีวิตของฉันได้รับความโปรดปรานจากพระองค์ ฉันไม่ต้องถูกตรึงที่กางเขน เพราะพระเยซูได้ทรงทำสิ่งนี้สำเร็จลงเพื่อทุกคนแล้ว แต่สิ่งที่ฉันต้องตรึงไว้คือเนื้อหนังต่างหาก [กท.5:24] ผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ได้เอาเนื้อหนังกับความอยาก และตัณหาของเนื้อหนังตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว
อ้าว! แล้วทำไมฉันจึงไปพูดถึงกางเขนได้ละเนี่ย แต่ก็ถูกแล้วล่ะ เพื่อให้เราจะไปถึงซึ่งกางเขน เราต้องผจญกับทุกสิ่งได้ ต้องพบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ต้องผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านหิมะผ่านฝน (เอ๊ะ ประเทศไทยไม่มีหิมะนี่) ฉะนั้น จึงจำเป็นอยู่เองที่เราจะต้องตั้งมั่นคงจดจ่ออยู่ที่องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงเสริมกำลังของพวกเรา…หากวันนี้ เราผิดหวัง ท้อแท้ ลำบากใจ ทั้งจากคน จากสถานการณ์ ทั้งเรื่องงาน ภาวะเศรษฐกิจ สุขภาพ การเงิน ความรัก และอื่นๆ ขอจงโปรดรู้ไว้เถอะว่า เรามิได้เผชิญกับเหตุการณ์เหล่านั้นโดยลำพัง ยังมีผู้อื่นอีกมากมายที่เคยผ่านสถานการณ์เช่นนี้มาแล้ว [1ปต.5:9]จงต่อสู้กับศัตรูนั้นด้วยใจมั่นคงในความเชื่อ เพราะว่าพวกพี่น้องทั้งหลายของท่านทั่วโลก ก็ประสบความทุกข์ลำบากอย่างเดียวกัน และที่สำคัญ เราต้องไม่ลืมว่า “พระเยซูผู้ถูกตรึงได้ฟื้นคืนขึ้นมาแล้ว ทรงพระชนม์อยู่” พระเยซูอยู่กับเรา [ฟป.3:10] ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์ และได้รับประสบการณ์ในฤทธิ์เดช เนื่องในการที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์นั้น และร่วมทุกข์กับพระองค์ คือยอมตั้งอารมณ์ตายเหมือนพระองค์
บัดนี้ ขอเรารวมใจกันอธิษฐานเผื่อประเทศไทยของเรากันดีกว่า ให้เราประกาศแก่บรรดาชนชาติ ประชาชาติทั้งปวง และภาษาทั้งหลาย ซึ่งอาศัยอยู่บนพิภพทั้งสิ้นว่า สันติสุขจงมีแก่ท่านทั้งหลายอย่างทวีคูณ [ดนล.6:25]
ฉันขอแบ่งปันพระพรของพระเจ้าที่ได้รับในเหตุการณ์นี้ ดังนี้
- คริสเตียนไทยจำนวนมากอดอาหารอธิษฐานเผื่อประเทศไทย ทั้งนี้ รวมถึงคริสเตียนชาวต่างชาติด้วย
- พี่น้อง Jeevan Frontier ทั้งที่สิงคโปร์และที่ประเทศอื่นๆ จะอธิษฐานเผื่อประเทศไทยมากขึ้น
- พระเจ้าทรงขยายเขตแดนของ Jeevan Frontier ในประเทศไทย และในประเทศอื่นๆ
- พี่น้องคริสเตียนนิมิตใหม่กลุ่มหนึ่งจดจ่ออธิษฐานเพื่อ Jeevan Frontier เพื่อขยายแผ่นดินของพระเจ้า
- ได้เห็นหัวใจมิชชั่นของพี่น้อง คจ.ไมตรีจิต หลังสวน ซึ่งมีสมาชิกไม่ถึง 100 คน แต่มี คจ. ลูกเกิดขึ้น และสามารถดูแลผู้รับใช้ทุกคนได้เป็นอย่างดี
- พี่น้อง คจ.ไมตรีจิต หลังสวน ตั้งใจถวาย 10,000 บาท ให้กับ Jeevan Frontier ทั้งยังถวายส่วนหนึ่งเป็นค่าเบี้ยเลี้ยงสำหรับพี่ไก่และพี่จอยด้วย
- ฉันถูกเร่งเร้าให้เป็นนักประกาศข่าวประเสริฐมากยิ่งขึ้น
- ฉันได้ทบทวนบทเรียนแห่งความเชื่อและความไว้วางใจ
ตอนนี้สติปัญญาของฉันนึกได้เพียงแค่นี้ อย่างไรก็ตาม “โฮซันนา สาธุการแด่พระนามบริสุทธิ์ขององค์เยโฮวาห์” สำหรับพระพรที่ทรงสำแดงแล้ว รวมถึงพระพรที่ซ่อนอยู่ของพระองค์….ในช่วงเย็น พวกเราจึงนัดพบกัน ซึ่งได้แก่ พี่ไก่ พี่จอย พี่อิ๋ว และฉัน เพื่อสามัคคีธรรม สรรเสริญพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ และแบ่งปันนิมิตร่วมกัน ณ ร้านส้มตำ แถวๆ คจ ไมตรีจิตหลังสวน นั่นแล
เพื่อพระเจ้า เพียงองค์เดียว
ขอบคุณพระเจ้า เมื่อสองสามคนประชุมกันที่ไหน หมายสำคัญและการอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เราได้แบ่งปันถึงการอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงดีต่อชีวิตของเราแต่ละคน และดีต่อคนทั้งปวง เราสรรเสริญพระเจ้าร่วมกัน เราขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี เราขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาหารที่เรารับประทาน มื้อนี้พวกเราแย่งกันจ่าย เพื่อเป็นการสรรเสริญพระเจ้าที่ทรงเลี้ยงดูเราทุกคนอย่างสัตย์ซื่อเสมอมา แต่สรุปแล้วพี่จอยขอเป็นผู้จ่ายเอง โดยขอถวายเกียรติทั้งสิ้นแด่พระเจ้า [1คร.10:31] เหตุฉะนั้นเมื่อท่านจะรับประทานจะดื่ม หรือจะทำอะไรก็ตาม จงกระทำเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
ส้มเอ๋ยส้มตำ อร้อยอร่อย
สั่งนิดหน่อยก็ไม่พอ ขอสองจาน
กินกันไปคุยกันไป สนุกสนาน
สุขสำราญ นิมิตใหม่ ไมตรีจิตฯ
พี่ไก่คุย พี่จอยคุย พี่อิ๋วคุย ส่วนฉันลุย กินแล้วคุยก็ไม่สาย
หนุนใจกัน แบ่งปันกัน สบายสบาย
มอบถวาย ถวายพระเกียรติ แด่พระเจ้า
ขณะที่เราคุยกันอยู่นั้น พี่อิ๋วได้รับโทรศัพท์เพื่อแจ้งข่าวบางอย่าง เป็นเหตุการณ์ที่เราต้องอธิษฐาน เรายังคงกินและคุยกันต่อไป แต่ฉันเชื่อว่าทุกคนอธิษฐานอยู่ในใจเพื่อสิ่งเดียวกัน
พี่อิ๋วแสนโรแมนติค เขียนการ์ดรูปนกในธรรมชาติงดงามมาหนุนใจพวกเราทุกคน โดยขอถวายเกียรติทั้งสิ้นแด่พระเจ้าเช่นกัน…เท่านั้นยังไม่พอ เราได้ร่วมกันนมัสการพระเจ้าที่สำนักงาน คจ ไมตรีจิตหลังสวน เป็นการนมัสการประมาณ 1 ชั่วโมง “นมัสการและอธิษฐาน” แบบ Non-stop เราบอกรักพระเจ้า สรรเสริญโมทนาพระคุณพระเจ้า อธิษฐานเผื่อประเทศไทย เพื่อพระมหากษัตริย์ เพื่อพี่น้อง เพื่อ คจ ไมตรีจิตหลังสวน เพื่อกันและกัน เพื่อ Jeevan Frontier เและไม่ลืมที่จะอธิษฐานสำหรับเหตุการณ์ซึ่งได้รับข่าวเมื่ออยู่ที่ร้านส้มตำ …เมื่อเสร็จสิ้นการนมัสการ เราก็สรรเสริญพระเจ้าร่วมกันอีกครั้ง กับสิ่งที่พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของเราและของพี่น้องหลายๆ คนที่ร่วมใจกันอธิษฐาน สำหรับเหตุการณ์ที่เราได้รับทราบ ณ ร้านส้มตำ
เพื่อพระเจ้า เพียงองค์เดียว
------------------------------------------------------------------
ปล: Jeevan Frontier (จีแวนแปลว่า “ชีวิต”) เป็นองค์กรมิชชั่นที่จัดตั้งขึ้นมาตามพระมหาบัญชาของพระเจ้า โดย Dr.Simon ทันตแพทย์ ผู้รับใช้ซึ่งถ่อมใจของพระเจ้า องค์กรนี้มุ่งประกาศไปยังดินแดนที่ข่าวประเสริฐยังเข้าไปไม่ถึง ในประเทศแถบเอเซีย มีพี่น้องผู้รับใช้ประเภทคนงานเย็บเต้นท์รับใช้อย่างแข็งขันอยู่ในหลายๆ ประเทศด้วยกัน

พ่อ

วันที่ 4/12/2008
หยาดน้ำใสๆ คลอรื้นอยู่ในดวงตา ขณะที่ชมสารคดีเทิดพระเกียรติเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช กษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งราชจักรีวงศ์ และเนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษานี้ ก็ได้มีความสำคัญอีกประการหนึ่งคือ เป็นวันพ่อแห่งชาติ เนื่องด้วยชาวไทยปลื้มปิติและซาบซึ้งสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของพระองค์ …พระองค์ทรงเป็นยอดกษัตริย์ พ่อแห่งแผ่นดินผู้ทรงคุณานุปการต่อพสกนิกรไทยทั้งปวง พระองค์ทรงเป็นพ่อหลวงของคนไทย และคนต่างชาติอีกจำนวนมากที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิบารมีของพระองค์
ทุกคนล้วนมีพ่อ ทว่า “พ่อ” ในความทรงจำของแต่ละคนนั้นล้วนแตกต่างกัน ฉันเองมีภาพของพ่อเลือนลางเต็มที เนื่องจากพ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่ฉันยังเด็ก โดยแม่ทำหน้าที่เลี้ยงดูฉันตามลำพัง ด้วยเหตุนี้เองฉันจึงไม่ค่อยอยากจดจำพ่อสักเท่าไร และแน่นอนว่าฉันเคยรู้สึกขมขื่นและผิดหวังกับพ่อมาก ที่พ่อบกพร่องต่อหน้าที่ซึ่งบิดาพึงปฏิบัติต่อบุตร และหน้าที่ซึ่งสามีพึงปฏิบัติต่อภรรยา แต่พระคุณซึ่งฉันได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อนั้นก็มากมายจนลบล้างความผิดทั้งปวงได้ ณ ตอนนี้ ฉันจึงมีแต่ภาพในด้านที่ดีงามของพ่อประทับตราไว้ในใจ แม้ว่าพ่อจะจากโลกนี้ไปหลายปีแล้วก็ตาม
ถึงแม้ว่าภาพของพ่อผู้ให้กำเนิดบนโลกจะเลือนลางในความรู้สึก แต่ภาพของพ่อหลวง คือ องค์พระมหากษัตริย์ไทยองค์นี้ กลับทำให้ฉันซึมซับความรักของพ่อเข้ามาในใจ และภาพของพ่อในชีวิตของฉันก็ชัดเจนมากขึ้น เมื่อฉันได้พบกับคุณพ่อฝ่ายวิญญาณ ซึ่งท่านให้ความรัก เอาใจใส่ ห่วงใยจิตวิญญาณของฉัน
Roger Chambers: Newzealand father ฉันรู้จักท่านผ่านศูนย์นักศึกษาแบ็บติสท์ หรือ Baptist Student Center (BSC) โดยภรรยาของท่าน คือ Anne เป็นคุณครูสอนภาษาอังกฤษของฉัน ฉันประทับใจ Anne มาก Anne เป็นชาวออสเตรเลีย แดนจิงโจ้ ตกหลุมรักหนุ่มหล่อชาวนิวซีแลนด์ แดนกีวี และได้ใช้ชีวิตร่วมกันมาจนอายุ 60 กว่าแล้ว ตอนนี้ท่านมีหลานหลายคนด้วยกัน ครั้งแรกที่รู้จักท่าน ฉันยังไม่ได้รับเชื่อเลย แต่ท่านเป็นส่วนหนึ่งที่แบ่งปันเรื่องราวของพระเยซูให้ฉันได้รับรู้ Anne ทำอาหารและขนมอร่อยมาก ส่วน Roger ก็เล่นกีตาร์และร้องเพลงเก่ง ท่านมักจะเชิญนักศึกษาไปทานขนมที่บ้านพักเป็นประจำ ที่พักของท่านจึงมีคนเข้าคนออกตลอดเวลา…ท่านทั้งสองมาเมืองไทยหลายครั้งแล้ว บางครั้งก็อยู่เป็นปี บางครั้งก็อยู่สอนภาษาอังกฤษเพียงไม่กี่เดือน เมื่อกลับไปนิวซีแลนด์ก็ทำงาน เก็บเงิน และกลับมาเมืองไทยอีก ชีวิตของท่านเป็นพระพรสำหรับทุกๆ คน ในทุกๆ ที่ ที่ท่านย่างเท้าไปเสมอ…หลังจากที่ฉันรับเชื่อได้ไม่นาน ฉันก็เข้าศึกษาต่อปริญญาโทภาคพิเศษ ซึ่งต้องเรียนในวันเสาร์และอาทิตย์ ทำให้ฉันไม่ได้มานมัสการที่คริสตจักรเป็นเวลากว่า 2 ปี หากว่าในช่วง 2 ปีนั้น ฉันมี Roger & Anne คอยเลี้ยงดูจิตวิญญาณของฉัน และท่านก็ยังคงกระทำเช่นนั้นมาจนถึงทุกวันนี้
Rex Coomby: Australian father อีกเช่นเคยที่ฉันรู้จักท่านผ่านภรรยา คือ Terry ซึ่งเป็นครูสอนภาษาอังกฤษของฉัน Rex เป็นวิศวกรซึ่งมาทำงานอยู่ในเมืองไทย Terry ก็เป็นแม่บ้าน แต่เนื่องจากมีภาระใจในการสอนหนังสือ จึงมาสอนที่ BSC ฉันประทับใจ Terry ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเช่นกัน ฉันมีคำถามมากมายให้ท่านตอบ ทั้งเรื่องภาษาอังกฤษ เรื่องของประเทศออสเตรเลีย และเรื่องราวของพระเจ้า Terry จะคุยโทรศัพท์กับฉันทุกคืน และอธิษฐานให้ฉันทุกครั้ง จนกลายเป็นความผูกพัน และในวันที่ฉันรับองค์พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ทั้ง Rex และ Terry จึงดีใจเป็นที่สุด…ในช่วงที่ท่านอยู่เมืองไทย เรามักจะไปเที่ยวด้วยกันเสมอ และฉันก็ไปนอนค้างที่คอนโดของท่านบ่อยมาก จนท่านให้กุญแจไว้เลย 1 ชุด เวลาที่ท่านต้องไปต่างประเทศนานๆ ฉันก็จะไปทำความสะอาดให้ เวลาที่ลูกชายและลูกสาวของท่านมาจากออสเตรเลีย เราก็มักจะไปใช้เวลาด้วยกัน ฉันชอบดู Terry ทำกับข้าวและขนม แต่ฉันไม่ชอบทำ (แป่ว!) ฉันชอบดู คุย และชอบกินมากกว่า เอ่อ…แต่ว่าฉันยินดีล้างจานนะ
Perk Boyd: American father อีกแล้วที่ฉันรู้จักกับภรรยาของ Perk คือ Loretta คุณครูสอนภาษาอังกฤษของฉัน (ESL) เราสนิทสนมกันตอนที่ฉันเป็นคริสเตียนแล้ว และชอบแบ่งปันว่าฉันรู้จักพระเจ้าได้อย่างไร Loretta ก็แบ่งปันคำพยานให้ฉันฟังเช่นกัน ทั้งสองท่านเป็นมิชชันนารี ทำงานเก็บเงินที่อเมริกา แล้วมาสอนหนังสือเพื่อประกาศข่าวประเสริฐที่เมืองไทย ท่านอายุมากแล้ว แต่ไม่มีบุตร ท่านจึงเรียกฉันว่าลูก และท่านก็รับอีกหลายๆ คนเป็นลูกด้วย ฉันจึงกลายเป็นคนที่มีพ่อน้องอยู่ทั่วโลก ครอบครัวในพระคริสต์ยิ่งใหญ่จริงๆ
God: Heavenly Father ภาพของพ่อสุกใสชัดเจนยิ่งไปกว่านั้นอีก เมื่อดวงตาในหัวใจของฉันมองเห็นพ่อบนสวรรค์ พ่อผู้ยิ่งใหญ่ไร้ขีดจำกัด พ่อผู้ทรงเป็นอัลฟาและโอเมกา พ่อผู้สร้างฟ้า สวรรค์ แผ่นดินโลก และสรรพสิ่งทั้งสิ้นที่มีอยู่ในนั้น พ่อซึ่งรู้จักฉันและกำหนดฉันไว้ตั้งแต่ก่อนที่ฉันจะเกิด พ่อซึ่งคอยเฝ้าดูขณะที่ฉันถูกถักทอในครรภ์มารดา พ่อซึ่งรู้จักชื่อของฉันก่อนใคร พ่อซึ่งประทานลมหายใจให้ฉันมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พ่อซึ่งเลี้ยงดูฉันด้วยความรัก พ่อซึ่งมีแผนการณ์อันเลิศให้กับฉัน พ่อซึ่งประทานสิ่งสารพัดให้ พ่อซึ่งไม่เคยให้ฉันต้องขาดของดีใดๆ พ่อซึ่งคอยจูงมือฉันและโอบกอดฉันไว้ด้วยความรักมั่นคงตลอดการดำรงอยู่แห่งชีวิตของฉันบนโลกใบนี้ และพ่อซึ่งรอคอยฉันอยู่ที่ปลายทางแห่งหลักชัย ณ สวรรค์เบื้องบน
พ่อบนสวรรค์ของฉัน ทรงเป็นบิดาเหนือบิดาทั้งปวง ทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งปวง ทรงเป็นพระเจ้าเหนือเจ้าทั้งปวง ทรงเป็นเจ้านายเหนือนายทั้งปวง ทรงเป็นความรักเหนือความรักทั้งปวง พระองค์ซึ่งทรงนามเหนือนามทั้งปวง…พี่น้องที่รัก ฉันตื้นตันใจจนไม่สามารถบรรยายอะไรได้มากกว่านี้อีกแล้ว ฉันรู้เพียงว่าพระองค์ทรงรักฉันเกินกว่าที่ฉันจะเข้าใจหรือคาดคิดได้ ฉันเองก็รักพ่อเช่นกัน และฉันก็ขอที่ฉันจะรักพ่อมากขึ้นและมากขึ้น ฉันจึงถวายตัว หัวใจ และจิตวิญญาณเพื่อพ่อ ด้วยการดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพ่อ “อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม” (รม.12:2) ด้วยการตั้งมั่นจดจ่ออยู่กับสิ่งสำคัญ 3 ประการหลัก คือ นมัสการ อธิษฐาน และการดำรงอยู่ในพระวจนะ…เมื่อดำเนินชีวิตเยี่ยงนี้แล้ว ก็จะเป็นคนงานที่ใช้การได้ เป็นผู้ปรนนิบัติที่เลิศ เป็นผู้รับใช้ที่ยอดเยี่ยม เป็นพันธกรที่เกิดผล เป็นลูกที่จะไม่มีวันทำให้พ่อเสียพระทัย…และทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น เพื่อถวายเกียรติแด่ “พ่อ” เพียงองค์เดียว
พ่อใดใดไหนฤาเหมือนพ่อเรา องค์พระเจ้าพระบิดาบนสวรรค์
พ่อของเราทรงฤทธิ์อัศจรรย์ เลิศนิรันดร์นามสูงค่ากว่านามใด
พระทรงเป็นราชาเหนือราชา เป็นบิดาเหนือกว่าบิดาทั้งหลาย
เป็นเจ้านายเหนือบรรดาเจ้านาย เป็นพระเจ้าเหนือเจ้าทั้งหลายในจักรวาล
พ่อประทับเหนือคำสรรเสริญ ลูกยอเยินยกพระเกียรติสดุดี
ลูกทำตามน้ำพระทัยด้วยภักดี สุดชีวี สุดกำลัง สุดหัวใจ
ลูกรักพ่อมากกว่าใครในโลกนี้ มิอาจมีผู้ใดเทียบเปรียบพ่อได้
ลูกรักพ่อมากกว่าสิ่งใดใด ลูกมอบใจถวายไซร้ แด่พ่อเอย
[สดด.103:1-2] จิตใจของข้าเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระเจ้า และทั้งสิ้นที่อยู่ภายในข้า จงถวายสาธุการแด่พระนามบริสุทธิ์ของพระองค์ จิตใจของข้าเอ๋ย จงถวายสาธุการแด่พระเจ้า และอย่าลืมพระราชกิจอันมีพระคุณทั้งสิ้นของพระองค์

ทำตามใจพ่อ

วันที่ 7/12/2008
วันนี้ ศบ.ของเราเทศนาเรื่อง “ทำตามใจพ่อ” เนื่องจากเราเป็นลูกของพ่อบนสวรรค์ ซึ่งพ่อได้เรียกเราให้เป็นคนงาน ไปทำงานในสวนองุ่นของพ่อ โดยคนงานในสวนองุ่นก็แบ่งออกเป็นช่วงวัยช่วงเวลาตามที่คุณครูแมมได้เคยแบ่งปันให้ฟัง
และแล้วพวกเราเหล่าลูกๆ ทั้งหลายของพ่อก็ไม่รอช้า เราทุ่มเทสุดกำลังเพื่อทำตามใจพ่อกัน
คริสต์มาสคอนโดอินทามาระ ซอย 25 นำโดยคุณพี่เล็กจุฑาทิพย์และทีมงาน
เสร็จสิ้นการนมัสการปุ๊บ หนุ่มสาวนิมิตใหม่ก็ไม่รอช้า ซ้อมเพลงแคลอริ่งปั๊บเลย ไฟเค้าแรงจริงๆ เมื่อซ้อมเรียบร้อยแล้วก็แยกย้ายกันไปเป็นกลุ่มๆ ส่วนฉันได้มีโอกาสเข้าไปนั่งในห้อง SEC ซึ่งมี อาจารย์ Emma เป็น Speaker และมี ดร.สมนึก เป็นผู้ให้เสียงภาษาไทย…เป็นสวนองุ่นอีกแห่งหนึ่งที่พ่อต้องการให้ลูกเข้าไปเก็บเกี่ยว
เมื่อไปถึงบริเวณคอนโด เราก็ช่วยกันกิน เอ้ย! ช่วยกันเป่าลูกโป่ง พิ่ติ๊กมีฝีมือปั้นวัวปั้นควาย เอ้ย! ปั้นลูกโป่งให้เป็นตัว เป็นหมาน้อยน่ารัก เป็นดอกไม้ ตามจินตนาการ ส่วนฉันก็ทำลูกโป่งเป็นรูปงู (แป่ว)
หลังการนมัสการ เราแยกประชากรเพื่อการสรรเสริญออกเป็น 3 ทีม ไปเดินอธิษฐานอวยพรตามซอยต่างๆ จากนั้น จึงมารับหนังสือและดอกไม้เพื่อไปร้องแคลอริ่ง ฉันอยู่ทีม 3 ซึ่งมีพี่โอนำทีม และพี่อิ๋วเล่นกีตาร์ ส่วนประชาชีที่เหลือก็ร้องประสานเสียง การร้องเพลงของเราสนุกสนาน ยิ่งร้องก็ยิ่งคึก ทั้งที่ตอนแรกคิดว่าเสียงจะแห้งซะอีก เราเดินไปตามซอยจนกระทั่งถึงตลาดสด ประหนึ่งว่าพี่โอนำเราทัวร์ตลาดสดก็ไม่ปาน ของกินละลานตายั่วใจซะจริง
เมื่อเรานำเสียงการสรรเสริญไป พระพรก็หลั่งไหลไปยังชุมชน เกิดรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความสุขเปรมปรีด์แก่ชาวโลก เราได้รับความสนใจจากเด็กๆ เป็นพิเศษ เด็กๆ ชอบมายืนดูพวกเราร้องด้วยความตั้งใจ…สถานที่สุดท้ายที่เราไปร้องเพลงคือ ห้องพี่โอนั่นเอง แต่พี่โอก็มีแกล้งพวกเรานิดหน่อย โดยพี่อิ๋วก็รู้เห็นเป็นใจด้วย ตอนที่เราจะไปร้องเพลงตามห้องที่กำหนดไว้ เราเห็นห้องหนึ่งเปิดอยู่ และหน้าประตูมีข้อความว่า “Jesus loves you” ซึ่งเป็นพลังดึงดูดให้เราปรารถนาจะไปร้องเพลงอวยพรที่ห้องนั้น แต่ก็โดนพี่อิ๋วเบรคไว้เอี๊ยดดดดดดด และมาเฉลยตอนท้ายว่าเป็นห้องพี่โอนั่นเอง พี่โอเลยถูกพวกเราแกล้งกลับ ด้วยการกินขนมในตะกร้าบนโต๊ะรับแขกจนหมด เราอธิษฐานให้พี่โอและครอบครัว ก่อนที่จะลงมารับประทานอาหารพร้อมกันกับทีมอื่นๆ ณ ห้องอาหารใต้คอนโด

งานนี้ แน่นอนว่าเราถวายเกียรติแด่พระเจ้า แต่ก็ต้องปรบมือชื่นชมกับการบริหารจัดการอันยอดเยี่ยมซึ่งนำโดยพี่เล็กจุฑาทิพย์ เจ้าของโครงการ เราเห็นพี่เล็กยิ้มหน้าบาน และชักชวนหลายๆ คนเป็นการล่วงหน้าสำหรับการจัดงานในปี 2009 เห็นไหมว่า พี่เราไฟแรงจริงๆ และที่ยิ้มแย้มชื่นชมยินดีไม่แพ้กันก็คือแม่งามจิตต์ โดยปกติแล้วแม่งามจิตต์จะมีของประทานแห่งความรักและความชื่นชมยินดี มีรอยยิ้มให้กับทุกคนตลอดเวลาอยู่แล้ว หันไปทีไรคุณแม่ก็ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม แต่เมื่อเสร็จงาน คุณแม่ยิ้มกว้างขึ้น ยิ้มไม่หุบเลยเชียว Wow! ที่ตื่นเต้นยิ่งกว่าคือ พ่อของเรา พระบิดาบนสวรรค์ของเรา มองมายังลูกทุกคน แล้วพ่อก็ชื่นใจยิ่งนัก พ่อยิ้มแก้มปริให้กับลูกของพ่อ…คุณรู้สึกเช่นนั้นไหม?
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีรายการคริสต์มาสที่หนุนใจทุกคนให้รวมกำลังกัน (หากทำได้) รวมใจกันถวาย และรวมใจกันอธิษฐาน ดังนี้
วันที่ 12/12/2008 คริสต์มาสเรือนจำหญิงธนบุรี (9.00-11.00 น.) โดย ครูแมม ศบ. และทีม ศบ.
วันที่ 12/12/2008 คริสต์มาส Fun fair ที่ BSC (12.00-20.00) โดย คจ.นิมิตใหม่ และ BSC
วันที่ 14/12/2008 คริสต์มาสชุมชนสระแก้ว (14.00-17.30) โดย คุณมณฑกานต์
วันที่ 14/12/2008 แคลอริ่งโรงพยาบาลจุฬา โดย คุณวิระดา
วันที่ 19/12/2008 แคลอริ่งตามบ้านสมาชิก โดย คุณพรศรี คุณดุษฎี
วันที่ 21/12/2008 คริสต์มาสภายใน คจ.นิมิตใหม่ โดย คุณดุษฏี
วันที่ 23/12/2008 แคลอริ่งโรงพยาบาลวชิระ (16.00-20.00) โดย คุณสุภัสสรณ์
วันที่ 24/12/2008 คริสต์มาสบ้านพักฉุกเฉิน โดย คุณสมรรถพล คุณสิรินา
วันที่ 25/12/2008 คริสต์มาสนอกโบสถ์ที่สวนลุม คณะกรรมการ กปท.
อีกแห่งหนึ่งที่ต้องการคำอธิษฐานจากพวกเรา คือ งานคริสต์มาสของ YWCA
วันที่ 9/12/2008 โรงเรียนคลองโค ชลบุรี (โบว์ลิ่ง)
วันที่ 12/12/2008 พันธกิจเรือนจำ (ได้กล่าวถึงแล้วด้านบน)
วันที่ 14/12/2008 ศูนย์มะเร็ง (พี่จี๊ด)
วันที่ 17/12/2008 YWCA
วันที่ 22/12/2008 โรงเรียนวัดกู้ (โบว์ลิ่ง)
วันที่ 23/12/2008 โรงเรียน… (อ้าว โรงเรียนอะไรไม่รู้ คนจดมาให้ไม่ครบ…แป่ว! แต่เราก็จะอธิษฐานเผื่อนะ)
วันที่ 24/12/2008 คริสต์มาสศูนย์ชลบุรี

Joy to the world, the Lord is come!

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551

พระพรอันสดใหม่


พระพรอันสดใหม่

วันที่ 27/11/2008

โปรดเทลงมา เทลงมา พระพรอันสดใหม่
โปรดเทลงมา เทลงมา ด้วยฤทธิ์พระวิญญาณ
โปรดเทลงมา เทลงมา พระพรอันสดใหม่
เราจะเป็นถุงหนังใหม่ รับใช้ตามน้ำพระทัย เพื่อองค์พระเจ้า

เพลงซึ่งฮิตติด Chart จากเมื่อครั้งงานอธิษฐานเพื่อชาติ โดย คุณ Cindy Jacob ที่ คจ.ใจสมาน 68 ก็คือเพลง “นมัสการเปิดฟ้าสวรรค์” ฉันจำเนื้อเพลงได้ไม่หมดหรอก แต่จำท่อนนี้ได้ แต่ก็ไม่แน่ใจอีกว่าจำมาถูกหรือเปล่า (อิอิ) พี่อิ๋ว บอกว่า เขาเรียกท่อนฮุก (Hook) นะจ๊ะน้อง ฮุก คือตะขอที่เกี่ยวหู เพื่อได้ฟังท่อนนี้แล้วก็จะติดหู บางทีจำชื่อเพลงไม่ได้ จำเนื้อร้องทั้งหมดไม่ได้ แต่จะจำท่อนฮุกได้ ถ้าจะเปรียบกับคำที่ใช้ภาษาไทย ก็เรียกว่า ท่อนสร้อย นั่นแหละ

บางครั้งฮัมเพลงนี้โดยไม่รู้ตัว แต่พระวิญญาณรับรู้ทุกสิ่งในชีวิต จิตใจ และจิตวิญญาณของเรา ความคิดที่อยู่ในใจของเรา คำพูดที่ออกมาจากปากของเรา พระวิญญาณก็รับไว้ ในขณะเดียวกันก็เป็นช่องให้มารซาตานใช้โจมตีเราได้เหมือนกัน ดังนั้น เราต้องระมัดระวังรักษาใจและการใช้คำพูดของเราเสมอ เพื่อไม่ให้มารซาตานที่มันวนเวียนอยู่รอบตัวเราดุจสิงห์คำรามนั้น เข้ามาลัก ฆ่าและทำลายเราได้ [สภษ.4:23] จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้านเพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ [มธ.15:18] แต่สิ่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน ...ขอที่ใจของเราจะจำนนทั้งสิ้นต่อพระเจ้า ขอที่ลิ้นของเราจะร้องเพลงถวายพระเจ้านิจนิรันดร์ ลิ้นของเราจะเปล่งเสียงสรรเสริญพระเจ้าอยู่ร่ำไป ลิ้นของเราจะพร่ำท่องพระคำของพระองค์ ลิ้นของเราจะเอื้อนเอ่ยวาจาอ่อนหวาน ลิ้นของเราจะกล่าวถ้อยคำแห่งความรอดและการหนุนจิตชูใจ

เพลงที่ฉันกล่าวข้างต้นเป็นจริงในชีวิตของฉัน เมื่อฉันร้องทูลด้วยบทเพลงจากจิตวิญญาณส่วนลึก พระพรอันสดใหม่ของพระเจ้าก็เทลงมายังชีวิตของฉัน อา! เมื่อมาถึงตรงนี้ก็ทำให้นึกถึงเพลง “เมตตาหลั่งมา” อีก “เมตตาหลั่งมา รินหลั่งมา พาให้ชื่นบาน เมตตาหลั่งมา รินหลั่งมา ดุจฝนชื่นใจ…เฮ้โห เรามารับพระเมตตา เฮ้โห เรามารับพระคุณ เฮ้โห เรามาร้องรำจนนิรันดร์” สายฝนนั้นฤา พระองค์ก็ทรงสร้าง คุณเคยมองดูสายฝนไหม เมื่อครั้งยังเด็กฉันอยู่ต่างจังหวัด ฉันชอบมองดูสายฝนที่หล่นโปรยปรายไม่ขาดสายมาจากฟากฟ้าเบื้องบน รินรดพืชพรรณบนผืนโลก ก่อเกิดเป็นแหล่งน้ำหล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิต สายฝนชุบชีวิตบรรดาต้นไม้ใหญ่น้อยที่เหี่ยวแห้งให้ฟื้นคืน ฉันใดก็ฉันนั้น พระพรและพระเมตตาของพระเจ้าก็ชุบชีวิตจิตใจบรรดามนุษย์ทั้งหลายให้ฟื้นคืนเช่นกัน พระพรและพระเมตตาของพระเจ้ารินหลั่งมาดุจฝนอันชื่นใจจริงๆ…มีเพลงๆ หนึ่งที่ฉันร้องตอนเด็กๆ “ฝนเทลงมา เทลงมา เทลงมา ให้นาตูฮ่ง นาตูฮง นาตูฮง ให้ซ่งตูเปียก ซ่งตูเปียก ซ่งตู เปียก ให้เสื้อตูเปียก เสื้อตูเปียก เสื้อตูเปียก” เพลงนี้สนุก คึกคัก บ่งบอกเบื้องบนว่าฉันรักสายฝนและต้องการสายฝนเพียงใด “พระบิดาเจ้าข้า ลูกรักพระองค์ ลูกปรารถนาพระพร ปรารถนาความรัก ปรารถนาความเมตตาจากพระองค์”

“ความรักมั่นคงของพระเจ้าไม่เคยยั้งหยุด พระเมตตาคุณหลั่งลงมาอยู่เสมอ ใหม่ทุกเช้าเร้าในดวงใจ ซาบซึ้งทุกๆ วันใหม่ พระองค์ทรงความเที่ยงตรงยิ่งนัก พระองค์ทรงความเที่ยงตรง” ฉันได้ยินถึงความรักมั่นคงของพระองค์ในทุกเวลาเช้า พระพรของพระองค์ไม่เคยจืดจางไปจากชีวิตของฉัน แต่กลับยิ่งสดใหม่กว่าทุกวันที่ผ่านมา ดีกว่าทุกคราที่ผ่านมา หวานซึ้งกว่าทุกครั้งที่เคยพบเจอ

เช้าตรู่วันนี้ฉันโทรไปที่สายการบินอีกครั้ง แม้ว่าวันนี้สนามบินยังไม่เปิดทำการ แต่พรุ่งนี้คาดว่าจะมีการเปิดบริการได้ โดยเราจะออกเดินทางในเที่ยวบิน 7.05 น. ไปถึงสิงคโปร์เวลา 10.25 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้เราพลาดการประชุมไปถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว แต่ทว่า พระพรย่อมไม่จืดจางหรือห่างไปจากชีวิตของเรา

พระพรอันสดใหม่ที่ได้รับวันนี้จึงมิใช่การมีความหวังใจว่าจะได้ไปประชุมในรอบนี้ แต่อยู่ที่พระพรซึ่งส่งมาในรูปของความรักต่างหาก พี่น้องที่สิงคโปร์อธิษฐานเผื่อเรา นอกจาก Miss HungLeng แล้ว ยังมีพี่น้องท่านอื่นส่งข้อความมา ส่งอีเมล์มาหนุนใจเราอีกด้วย…สันติสุขเปี่ยมล้นในใจ ขอบคุณพระเจ้าที่ชูกำลังและชูใจของเราขึ้นด้วยคำอธิษฐานของพี่น้อง ไม่ใช่แค่ประเทศไทย แต่จนสุดปลายแผ่นดินโลก

คจ. ไมตรีจิตหลังสวน มีวิสัยทัศน์ชัดเจนในการสร้างคริสตจักรลูก และการทำ Mission การส่งมิชชันนารีออกไปทั้งในประเทศไทยและจนสุดปลายแผ่นดินโลก เป็นสิ่งที่หนุนใจฉันเป็นอย่างมาก เป็นพระพรสดใหม่ที่เมื่อได้ยินได้ฟังทีไรก็หัวใจพองโต ซาบซึ้งใจ ปลาบปลื้ม และตื่นเต้นไม่ได้

ตื่นเต้นในความเป็นพระเจ้าองค์อัศจรรย์ เหนือธรรมชาติของพระองค์
ตื่นเต้นที่พบพระพรสดใหม่ของพระองค์
ตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เห็นพระเจ้าตอบคำอธิษฐาน
ตื่นเต้นที่พระเจ้าทรงขยายอาณาเขตของพระองค์
ตื่นเต้นที่แผ่นดินของพระเจ้ายิ่งใหญ่ขึ้น
ตื่นเต้นที่ทรงใช้คนเล็กน้อยเพื่อพันธกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
ตื่นเต้นกับการทรงนำของพระองค์
ตื่นเต้นที่พระสัญญาของพระองค์เป็นจริงทุกประการ
ตื่นเต้นที่คริสเตียนจำนวนมากปฏิบัติตามพระมหาบัญชาของพระองค์
ตื่นเต้นที่ทรงกระทำกิจในสิ่งที่เราเองไม่อาจคาดถึง
ตื่นเต้นที่ทุ่งนาของพระองค์ไม่ขาดคนงาน
ตื่นเต้นที่พระองค์ทรงหนุนใจ
ตื่นเต้นที่ได้ทรงใช้ให้ออกไปจนสุดปลายแผ่นดินโลก
ตื่นเต้นที่เห็นผู้อื่นตื่นเต้น เมื่อยามที่เขาเหล่านั้นเดินไปกับพระเยซู
ตื่นเต้น กับทุกสิ่งในชีวิต เพราะชีวิตเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากพระเจ้า
ตื่นเต้น ตื่นเต้น และ ตื่นเต้น…ไม่อาจพรรณนาความตื่นเต้นได้ทั้งหมด
รู้แต่ว่า…สุดหัวใจ แด่พระเจ้าสูงสุด เพียงองค์เดียว

ในวันนี้ หากใครก็ตามที่พบกับวิกฤติของชีวิต ทั้งในความคิดภายใน และสถานการณ์ภายนอก ขอจงรู้เถอะว่า นี่จะเป็นอีกครั้งที่พระเจ้ามาหาในช่วงวิกฤติและความล้มเหลวของเรา และนำเราไปสู่การค้นพบใหม่ว่า พระองค์เป็นผู้ใด และทรงสำแดงความรักเมตตาของพระองค์ต่อเรา

ขอพระเจ้าทรงโปรดเมตตาให้ทุกสิ่งที่หายใจบนโลกใบนี้ ได้รู้จักกับพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์ ได้ค้นพบประสบการณ์ใหม่เกี่ยวกับพระเจ้า ให้ทุกคนได้รับพระพรสดใหม่จากพระองค์ ทุกคนจะได้รับการเปิดเผยที่สดใหม่เกี่ยวกับความเป็นบุคคล ธรรมชาติ อันเป็นลักษณะของพระเจ้าซึ่งเชื่อมโยงกับวิกฤตการณ์หรือประสบการณ์อันรุนแรงบางอย่างของมนุษย์

พระนามของพระเจ้าสุดแสนไพเราะ หมดจดงดงาม และมีฤทธิ์มาก…การมีความรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับพระลักษณะและธรรมชาติของพระองค์ ดังที่สำแดงผ่านพระนามของพระองค์ จึงเป็นท่อที่สะอาดสำหรับรับพระพรอันบริสุทธิ์ของพระองค์ เป็นโล่ที่เปี่ยมด้วยพลังในการต่อต้านคำมุสาของซาตาน

เอล เอไลออน /El Elyon “พระเจ้าองค์สูงสุด พระผู้สร้างและครอบครองทุกสรรพสิ่ง” พระเจ้าไม่ได้เป็นเพียงพระเจ้าเหนือพระทั้งมวลเท่านั้น แต่พระองค์เป็นผู้สร้างจักรวาลทั้งสิ้น ทุกสิ่งที่อยู่ในนั้นก็เป็นของพระองค์ ทั้งความมั่งคั่ง ฝูงสัตว์ สิ่งที่เราครอบครอง พระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่งที่เรามองเห็นอยู่รอบตัวเรา

เอล ชัดดาย /El Shaddai “พระผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” คือพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจและพร้อมบริบูรณ์ พระองค์ไม่เพียงควบคุมทุกสิ่ง แต่ยังคงรักษาสัญญา ไม่มีอุปสรรคใดทำให้พระองค์ต้องเสียคำพูด มิได้ทรงถูกจำกัดโดยกฎของธรรมชาติหรือถูกพันธนาการโดยมนุษย์คนใด พระเจ้าสามารถทำได้ทุกสิ่งตลอดเวลา ไม่มีภูเขาใดที่สูงเกินไป ไม่มีหุบเขาใดลึกเกินไป และไม่มีมหานทีหรือมหาสมุทรใดที่กว้างใหญ่เกินไปสำหรับพระเจ้า พระองค์ยิ่งใหญ่สูงสุดเหนืออำนาจของธรรมชาติ มนุษย์ และมาร เมื่อพระองค์ตรัส ทุกสิ่งจะเกิดและได้เกิดขึ้นแล้ว ไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งสัญญาของพระองค์ได้ พระองค์คือ เอล ชัดดาย ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผู้รักษาสัญญาที่พร้อมบริบูรณ์ พระองค์รับรองคำตรัสของพระองค์

เยโฮวาห์ ยิเรห์ /Jehovah Jereh “พระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียม” ผู้ทรงเป็นธุระให้ พระเจ้าจะสำแดงให้เราเห็นทุกสิ่งที่เราจำเป็นต้องพึ่งพาพระองค์ ทรงจัดเตรียมอำนาจและกำลังให้แก่เรา และเราต้องตัดสินใจทำตามที่พระองค์บัญชาทุกประการ

เยโฮวาห์ รัฟฟา/Rophi “พระเจ้าผู้รักษาเรา” ทรงเป็นพระเจ้า เป็นแพทย์ของเรา ซึ่งมิใช่เพียงการรักษาโรคเท่านั้น หากทรงแก้ไขและรักษาเราให้สมบูรณ์ ทั้งกาย ใจ และจิตวิญญาณ

เยโฮวาห์ มัคเคห์ /Makkeh “พระเจ้าผู้ตีสอนเรา” การตีสอนของพระองค์เป็นพระลักษณะธรรมชาติของพระองค์ที่ปฏิเสธไม่ให้เราจากไป พระองค์ตรัสว่า “เราได้ตีสอนเจ้าเพื่อนำเจ้าให้ถูกทาง ไม่เช่นนั้นเจ้าจะมุ่งสู่ภัยพิบัติ ถ้าเจ้ายังขืนยึดความขมขื่น เจ้าก็จะเริ่มปล่อยชีวิต ทุกอย่างจะเป็นไปในทางที่ผิด เจ้าจะถูกปล่อยสู่ความสับสนในคำพูด ชีวิตในบ้านของเจ้าจะวุ่นวาย ความสัมพันธ์ของเจ้าทุกอย่างจะบูดบึ้ง และเจ้าจะคิดว่าทุกคนต่อต้านเจ้า ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว มิตรสหาย หรือเพื่อนร่วมงาน สุดท้าย เจ้าก็จะจบลงที่ไม่เหลืออะไรเลย…เราไม่สามารถให้ความขมขื่นของเจ้าดำเนินต่อไป ถึงเวลาแล้วที่ต้องกำจัดมัน เรามาหาเจ้าด้วยความรัก เมตตาและกรุณาอันยิ่งใหญ่ กระนั้นเจ้าก็ปฏิเสธข้อเสนอของเราครั้งแล้วครั้งเล่า บัดนี้เราจะเฆี่ยนเจ้า ต้องตีสอนเจ้า” และเมื่อเรารู้จักพระเจ้าผู้ตีสอนเพื่อรักษาแล้ว จากนั้นพระองค์จะปลดปล่อยชัยชนะและการฟื้นฟูลงมา เราจะเป็นไท และพบกับสันติสุขที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน จะทำให้เราร้องเพลง เต้นรำและร้องตะโกนก้อง เราจะหลับอย่างที่ไม่เคยหลับมาเลยตลอดชีวิต เพราะเราได้กลับเข้าสู่ความโปรดปรานของพระเจ้า และพระองค์จะทรงตั้งต้นใหม่ในชีวิตเรา นำความหวังใหม่ นำพระพรอันสดใหม่มาสู่เรา

เยโฮวาห์ นิสสี /Nissi “พระเจ้าทรงเป็นธงชัยของเรา” พระองค์ทรงเป็นแม่ทัพแห่งความรอดของเรา ธงของพระองค์อยู่เหนือเรา ทรงสามารถเป็นนิตย์ที่จะช่วยคนทั้งปวงให้ได้รับชัยชนะ ยกชูธงแห่งชัยชนะในชีวิตของเรา

เยโฮวาห์ เซบาวโอธ /Tsebaioth “พระเจ้าจอมโยธา” ทรงเป็นจอมโยธาแห่งกองทัพของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ สงครามหรือการต่อสู้ใดๆ จึงไม่ใช่ของเรา แต่เป็นของพระองค์ พระองค์จะทะลายกำแพงอุปสรรคปัญหาลง เหยียบโครงสร้างแห่งความบาปลง และกระทำให้ผู้ต่อต้านอันชั่วร้ายต้องหลบหนีไป ดังนั้น เราจึงก้าวออกไปในความเชื่ออย่างสุดใจว่า เราได้รับการพิทักษ์โดยพระโลหิตของพระเยซู พลโยธาของพระเจ้ากำลังทำการรบเพื่อเรา พวกเขากำลังต่อสู้กับอาณาจักรที่เข้ามาในป้อมค่ายของเรา และเราสามารถพักสงบได้ เยริโคของเรากำลังจะพังทลายลง พระเยโฮวาห์ เซบาวโอธ พระเจ้าจอมโยธากำลังทำการเพื่อเรา ดังนั้น จงเดินและก้าวออกไป วันแห่งชัยชนะอันสมบูรณ์ของเรากำลังจะมาถึง

เยโฮวาห์ ชาโลม /Shalom “พระเจ้าทรงเป็นสันติสุขของเรา” เป็นความครบถ้วนบริบูรณ์ ในความกลมกลืนกันกับพระเจ้าและมนุษย์ และยังบ่งชี้ถึงสภาวะของการพักสงบ การมีสันติสุขทั้งภายในและภายนอก เป็นการพักทั้งจิตวิญญาณและอารมณ์ความรู้สึก เป็นความสมบูรณ์หรือความสำเร็จ กระทำให้เกิดสันติสุข “ชาโลม สันติสุขของพระเจ้า เป็นของประทานจากพระเจ้า”

เยโฮวาห์ ซิดเคนู /Tsidkenu “พระเจ้าเป็นความชอบธรรมของเรา” ความชอบธรรมคือการเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า การเชื่ออย่างเต็มขนาดว่าพระองค์จะรักษาสัญญา วางใจในพระองค์ ดังนั้น เมื่อเราพบกับความยากลำบาก แต่เมื่อเราอดทนต่อความทุกข์ทรมาน ยึดความเชื่อไว้ด้วยความอดทน วางใจว่าพระเจ้ายังทำการของพระองค์ รักษาถ้อยคำของพระองค์ว่าพระองค์เป็นเยโฮวาห์ ซิดเคนู พระองค์จะทรงดูแลเราเช่นผู้ชอบธรรม พระองค์ได้ให้คำมั่นสัญญาแล้ว “โดยความเชื่อ เจ้าจะได้รับพระสัญญา”

เยโฮวาห์ ชัมมา /Shammah “พระเจ้าสถิตที่นั่น” พระเจ้าทรงสถิตในที่ลี้ลับ ในขณะเดียวกันทรงสถิตอยู่ในทุกหนแห่ง ทรงสถิตอยู่กับผู้รับใช้ที่เชื่อวางใจและถ่อมใจ ทุกครั้งที่เราเห็นผู้รับใช้เช่นนั้น เราสัมผัสถึงการทรงสถิตของพระเยซู ชีวิตของเขาสะท้อนพระสิริพระเจ้าอย่างแท้จริง ซึ่งจะเป็นเช่นนั้นได้เมื่อผู้รับใช้ของพระองค์ ซึ่งหมายถึงเราทุกคนนั้น ใช้เวลาส่วนตัว เข้าใกล้ชิดกับพระบิดาในที่ลับให้มากพอที่จะได้ยินพระสุรเสียงตรัสอันแผ่วเบาจากพระองค์ และสัมผัสการทรงสถิตอันอ่อนหวานกับพระองค์ เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทับรอยอย่างถาวรในจิตวิญญาณของเรา

เยโฮวาห์ โรอี /Rohi “พระเจ้าเป็นผู้เลี้ยงของเรา” พระเจ้าทรงเลี้ยงดูเราดุจเลี้ยงแกะ เราจะไม่ขัดสน ทรงนำเราไปยังทุ่งหญ้าเขียวสด ให้เรานอนลงพักผ่อนอยู่ที่ริมน้ำแดนสงบ โดยพระองค์ทรงนำ ชี้ทาง เลี้ยงดู ให้ความสบายใจ สงบสุข และไร้กังวล มีความสุขไปกับความสงบสุขที่อยู่รอบตัว

***ศึกษาเพิ่มเติมได้จากหนังสือ “สรรเสริญพระนามบริสุทธิ์” โดย David Wilkerson สำนักพิมพ์ ศูนย์ทีรันนัส

วันอังคารที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วางใจเสมอ







วางใจเสมอ
วันที่ 26/11/2008
กำหนดการสัมมนา Jeevan Frontier Advance Camp in Singapore ปีนี้ คือ วันที่ 27-29/11/2008 ซึ่งในปีนี้จะมีหญิงไทยหัวใจเต็มร้อยไปด้วยกัน 3 คน คือ พี่ไก่-กรองใจ และพี่จอย จาก คจ.ไมตรีจิต หลังสวน และก็ฉันอีกคน…แต่แล้ว ในคืนวันที่ 25/11/2008 เราก็รับทราบว่าสนามบินสุวรรณภูมิถูกปิด…เมื่อทราบข่าวแล้วฉันก็ไม่ได้วิตกกังวลแต่อย่างใดเกี่ยวกับการได้ไปหรือไม่ไปสิงคโปร์ ฉันฝากไว้ในการทรงนำของพระเจ้า แต่สิ่งที่ฉันเป็นห่วงคือ สถานการณ์ทางการเมืองที่นับวันจะส่อเค้ารุนแรงขึ้น รวมถึงความเสียหายทางเศรษฐกิจ สังคม และสภาพจิตใจของคนไทยด้วยกัน และทำให้ฉันยิ่งรู้สึกว่าหากเขาได้รู้จักพระเจ้า เขาจะเป็นคนที่ทำทุกสิ่งโดยเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น เห็นว่าผู้อื่นดีกว่าตนเสมอ [ฟป.2:3-5] อย่าทำสิ่งใดในทางชิงดีกันหรือถือดี แต่จงมีใจถ่อมถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว 4อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆด้วย 5ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ หัวใจของฉันถูกเร่งเร้าให้ทุ่มเทสำหรับการประกาศมากขึ้น ซึ่งฉันจำเป็นต้องประกาศทั้งที่มีโอกาสและไม่มีโอกาส แต่ฉันต้องฉวยโอกาสทุกกรณี…ขอพระเจ้าทรงโปรดเมตตาให้ชีวิตของฉันได้ฉายแสงเพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์ [อสย.60:1] จงลุกขึ้น ฉายแสง เพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้ว และพระสิริของพระเจ้าขึ้นมาเหนือเจ้า
เที่ยวบินของเรามีกำหนดออกเวลา 18.35 น. ของวันที่ 26 ซึ่งในช่วงบ่ายเราก็ทราบว่ามีการยกเลิกเที่ยวบินของวันที่ 26 ทั้งหมด ว้าว! หัวใจของฉันบินพุ่งไปอยู่ที่การประชุมที่สิงคโปร์แล้ว แต่ฉันก็มีสันติสุขกับการรอคอยพระเจ้าด้วยความวางใจ ฉันไม่รู้ว่าพระเจ้าจะทรงจัดการหรือแทรกแซงสถานการณ์ต่างๆ อย่างไร แต่ฉันรู้ว่าพระองค์ทรงควบคุมอยู่ [1คร.2:9] ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า สิ่งที่ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์
มีบางคนที่เป็นห่วงฉัน เกรงว่าฉันจะเสียใจที่ไม่ได้ไปสิงคโปร์ ฉันก็ขอบคุณพี่น้องเหล่านั้น และขอบคุณพระเจ้าที่Miss Hung Leng จากสิงคโปร์โทรมาหนุนใจด้วยความรัก พร้อมกับคำมั่นว่าจะอธิษฐานเผื่อประเทศไทยต่อไป ขอบคุณพระเจ้า การประชุมจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้แล้ว แสนสุขใจหนักหนาที่ได้รู้ว่ามีอีกกว่า 30 ชีวิต จากหลายประเทศ ในห้องประชุมเดียวกัน รวมใจกันอธิษฐานเผื่อประเทศไทย
เหตุการณ์วันนี้ทำให้ฉันย้อนนึกถึงหนังสือหลายเล่มที่เคยอ่านเรื่องราวของผู้รับใช้ต่างๆ ซึ่งประสบกับเหตุร้ายหรือเหตุการณ์ไม่พึงปรารถนานาประการ และเมื่อย้อนดูชีวิตของผู้รับใช้ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือแห่งชีวิตนั้นเล่า ฉันก็พบว่าบรรดาอัครฑูตต่างๆ ล้วนทนทุกข์ยากทั้งสิ้น และคนที่ฉันประทับใจกับการทนทุกข์ของท่านมากคือ “ท่านเปาโล” [2คร.11:23-31]… ข้าพเจ้าทำงานใหญ่ยิ่งกว่าเขาอีก ข้าพเจ้าติดคุกมากกว่าเขา ข้าพเจ้าถูกโบยตีเกินขนาด ข้าพเจ้าหวิดตายบ่อยๆ พวกยูเดียเฆี่ยนข้าพเจ้าห้าครั้งๆ ละสามสิบเก้าที เขาตีข้าพเจ้าด้วยตะบองสามครั้ง เขาเอาก้อนหินขว้างข้าพเจ้าครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าเผชิญภัยเรือแตกสามครั้ง ข้าพเจ้าลอยอยู่ในทะเลวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ข้าพเจ้าต้องเดินทางบ่อยๆเผชิญภัยอันน่ากลัวในแม่น้ำ เผชิญโจรภัย เผชิญภัยจากชนชาติของข้าพเจ้าเอง เผชิญภัยจากคนต่างชาติ เผชิญภัยในนคร เผชิญภัยในป่า เผชิญภัยในทะเล เผชิญภัยจากพี่น้องทรยศ ต้องทำงานเหน็ดเหนื่อยและยากลำบาก ต้องอดหลับอดนอนบ่อยๆต้องหิวและกระหาย ต้องอดข้าวบ่อยๆต้องทนหนาวและเปลือยกาย และนอกจากนั้นยังมีการอื่นที่บีบข้าพเจ้าอยู่ทุกวันๆคือความกระวนกระวายถึงคริสตจักรทั้งปวง มีใครบ้างเป็นคนอ่อนกำลังและข้าพเจ้าไม่อ่อนกำลังด้วย มีใครบ้างที่ถูกนำให้สะดุด และข้าพเจ้าไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนด้วย ถ้าข้าพเจ้าจำเป็นต้องอวด ข้าพเจ้าก็จะอวดสิ่งที่แสดงว่า ข้าพเจ้าเป็นคนอ่อนกำลัง พระเจ้าทรงเป็นพระบิดาของพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้ที่ควรแก่การสรรเสริญเป็นนิตย์ พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้าไม่ได้มุสา…โอ้โห ชีวิตของท่านเปาโลยิ่งใหญ่และเสียสละมากเลยใช่ไหม ทว่าผู้ซึ่งเผชิญกับเหตุร้ายและต้องทนทุกข์ทรมานมากยิ่งกว่าผู้ใด ผู้ซึ่งถูกตรึงบนไม้กางเขนโดยไร้ซึ่งความผิดบาป ก็คือ “องค์พระเยซู” ของเรา
ชีวิตของฉันได้รับความโปรดปรานจากพระองค์ ฉันไม่ต้องถูกตรึงที่กางเขน เพราะพระเยซูได้ทรงทำสิ่งนี้สำเร็จลงเพื่อทุกคนแล้ว แต่สิ่งที่ฉันต้องตรึงไว้คือเนื้อหนังต่างหาก [กท.5:24] ผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ได้เอาเนื้อหนังกับความอยาก และตัณหาของเนื้อหนังตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว
อ้าว! แล้วทำไมฉันจึงไปพูดถึงกางเขนได้ละเนี่ย แต่ก็ถูกแล้วล่ะ เพื่อให้เราจะไปถึงซึ่งกางเขน เราต้องผจญกับทุกสิ่งได้ ต้องพบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ต้องผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านหิมะผ่านฝน (เอ๊ะ ประเทศไทยไม่มีหิมะนี่) ฉะนั้น จึงจำเป็นอยู่เองที่เราจะต้องตั้งมั่นคงจดจ่ออยู่ที่องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงเสริมกำลังของพวกเรา…หากวันนี้ เราผิดหวัง ท้อแท้ ลำบากใจ ทั้งจากคน จากสถานการณ์ ทั้งเรื่องงาน ภาวะเศรษฐกิจ สุขภาพ การเงิน ความรัก และอื่นๆ ขอจงโปรดรู้ไว้เถอะว่า เรามิได้เผชิญกับเหตุการณ์เหล่านั้นโดยลำพัง ยังมีผู้อื่นอีกมากมายที่เคยผ่านสถานการณ์เช่นนี้มาแล้ว [1ปต.5:9]จงต่อสู้กับศัตรูนั้นด้วยใจมั่นคงในความเชื่อ เพราะว่าพวกพี่น้องทั้งหลายของท่านทั่วโลก ก็ประสบความทุกข์ลำบากอย่างเดียวกัน และที่สำคัญ เราต้องไม่ลืมว่า “พระเยซูผู้ถูกตรึงได้ฟื้นคืนขึ้นมาแล้ว ทรงพระชนม์อยู่” พระเยซูอยู่กับเรา [ฟป.3:10] ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์ และได้รับประสบการณ์ในฤทธิ์เดช เนื่องในการที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์นั้น และร่วมทุกข์กับพระองค์ คือยอมตั้งอารมณ์ตายเหมือนพระองค์
บัดนี้ ขอเรารวมใจกันอธิษฐานเผื่อประเทศไทยของเรากันดีกว่า ให้เราประกาศแก่บรรดาชนชาติ ประชาชาติทั้งปวง และภาษาทั้งหลาย ซึ่งอาศัยอยู่บนพิภพทั้งสิ้นว่า สันติสุขจงมีแก่ท่านทั้งหลายอย่างทวีคูณ [ดนล.6:25]

ฉันขอแบ่งปันพระพรของพระเจ้าที่ได้รับในเหตุการณ์นี้ ดังนี้
- คริสเตียนไทยจำนวนมากอดอาหารอธิษฐานเผื่อประเทศไทย ทั้งนี้ รวมถึงคริสเตียนชาวต่างชาติด้วย
- พี่น้อง Jeevan Frontier ทั้งที่สิงคโปร์และที่ประเทศอื่นๆ จะอธิษฐานเผื่อประเทศไทยมากขึ้น
- พระเจ้าทรงขยายเขตแดนของ Jeevan Frontier ในประเทศไทย และในประเทศอื่นๆ
- พี่น้องคริสเตียนนิมิตใหม่กลุ่มหนึ่งจดจ่ออธิษฐานเพื่อ Jeevan Frontier เพื่อขยายแผ่นดินของพระเจ้า
- ได้เห็นหัวใจมิชชั่นของพี่น้อง คจ.ไมตรีจิต หลังสวน ซึ่งมีสมาชิกไม่ถึง 100 คน แต่มี คจ. ลูกเกิดขึ้น และสามารถดูแลผู้รับใช้ทุกคนได้เป็นอย่างดี
- พี่น้อง คจ.ไมตรีจิต หลังสวน ตั้งใจถวาย 10,000 บาท ให้กับ Jeevan Frontier ทั้งยังถวายส่วนหนึ่งเป็นค่าเดินทางสำหรับพี่ไก่และพี่จอยด้วย
- ฉันถูกเร่งเร้าให้เป็นนักประกาศข่าวประเสริฐมากยิ่งขึ้น
- ฉันได้ทบทวนบทเรียนแห่งความเชื่อและความไว้วางใจ
ตอนนี้สติปัญญาของฉันนึกได้เพียงแค่นี้ อย่างไรก็ตาม “โฮซันนา สาธุการแด่พระนามบริสุทธิ์ขององค์เยโฮวาห์” สำหรับพระพรที่ทรงสำแดงแล้ว รวมถึงพระพรที่ซ่อนอยู่ของพระองค์….ในช่วงเย็น พวกเราจึงนัดพบกัน ซึ่งได้แก่ พี่ไก่ พี่จอย พี่อิ๋ว และฉัน เพื่อสามัคคีธรรม สรรเสริญพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ และแบ่งปันนิมิตร่วมกัน ณ ร้านส้มตำ แถวๆ คจ ไมตรีจิตหลังสวน นั่นแล
เพื่อพระเจ้า เพียงองค์เดียว
ขอบคุณพระเจ้า เมื่อสองสามคนประชุมกันที่ไหน หมายสำคัญและการอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เราได้แบ่งปันถึงการอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงดีต่อชีวิตของเราแต่ละคน และดีต่อคนทั้งปวง เราสรรเสริญพระเจ้าร่วมกัน เราขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี เราขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาหารที่เรารับประทาน มื้อนี้พวกเราแย่งกันจ่าย เพื่อเป็นการสรรเสริญพระเจ้าที่ทรงเลี้ยงดูเราทุกคนอย่างสัตย์ซื่อเสมอมา แต่สรุปแล้วพี่จอยขอเป็นผู้จ่ายเอง โดยขอถวายเกียรติทั้งสิ้นแด่พระเจ้า [1คร.10:31] เหตุฉะนั้นเมื่อท่านจะรับประทานจะดื่ม หรือจะทำอะไรก็ตาม จงกระทำเพื่อเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
ส้มเอ๋ยส้มตำ อร้อยอร่อย
สั่งนิดหน่อยก็ไม่พอ ขอสองจาน
กินกันไปคุยกันไป สนุกสนาน
สุขสำราญ นิมิตใหม่ ไมตรีจิตฯ
พี่ไก่คุย พี่จอยคุย พี่อิ๋วคุย ส่วนฉันลุย กินแล้วคุยก็ไม่สาย
หนุนใจกัน แบ่งปันกัน สบายสบาย
มอบถวาย ถวายพระเกียรติ แด่พระเจ้า
ขณะที่เราคุยกันอยู่นั้น พี่อิ๋วได้รับโทรศัพท์เพื่อแจ้งข่าวบางอย่าง เป็นเหตุการณ์ที่เราต้องอธิษฐาน เรายังคงกินและคุยกันต่อไป แต่ฉันเชื่อว่าทุกคนอธิษฐานอยู่ในใจเพื่อสิ่งเดียวกัน
พี่อิ๋วแสนโรแมนติค เขียนการ์ดรูปนกในธรรมชาติงดงามมาหนุนใจพวกเราทุกคน โดยขอถวายเกียรติทั้งสิ้นแด่พระเจ้าเช่นกัน…เท่านั้นยังไม่พอ เราได้ร่วมกันนมัสการพระเจ้าที่สำนักงาน คจ ไมตรีจิตหลังสวน เป็นการนมัสการประมาณ 1 ชั่วโมง “นมัสการและอธิษฐาน” แบบ Non-stop เราบอกรักพระเจ้า สรรเสริญโมทนาพระคุณพระเจ้า อธิษฐานเผื่อประเทศไทย เพื่อพระมหากษัตริย์ เพื่อพี่น้อง เพื่อ คจ ไมตรีจิตหลังสวน เพื่อกันและกัน เพื่อ Jeevan Frontier เและไม่ลืมที่จะอธิษฐานสำหรับเหตุการณ์ซึ่งได้รับข่าวเมื่ออยู่ที่ร้านส้มตำ …เมื่อเสร็จสิ้นการนมัสการ เราก็สรรเสริญพระเจ้าร่วมกันอีกครั้ง กับสิ่งที่พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของเราและของพี่น้องหลายๆ คนที่ร่วมใจกันอธิษฐาน สำหรับเหตุการณ์ที่เราได้รับทราบ ณ ร้านส้มตำ
เพื่อพระเจ้า เพียงองค์เดียว
------------------------------------------------------------------

ปล: Jeevan Frontier (จีแวนแปลว่า “ชีวิต”) เป็นองค์กรมิชชั่นที่จัดตั้งขึ้นมาตามพระมหาบัญชาของพระเจ้า โดย Dr.Simon ทันตแพทย์ ผู้รับใช้ซึ่งถ่อมใจของพระเจ้า องค์กรนี้มุ่งประกาศไปยังดินแดนที่ข่าวประเสริฐยังเข้าไปไม่ถึง ในประเทศแถบเอเซีย มีพี่น้องผู้รับใช้ประเภทคนงานเย็บเต้นท์รับใช้อย่างแข็งขันอยู่ในหลายๆ ประเทศด้วยกัน

อมก๋อย…อ้อมกอดแห่งรัก

บันทึกรักจากอมก๋อย: การเดินทางซึ่งกรุ่นกลิ่นไปด้วยไอแห่งรัก และการเจิมด้วยไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์
วันเกิดเหตุ : 15-17 ตุลาคม 2551
สถานที่เกิดเหตุ: อ.อมก๋อย, อ.เมือง จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดใกล้เคียง
ผู้ร่วมเดินทาง: 40 ชีวิต
1. เดินทางโดยรถไฟ…พี่อ้อย พี่เว้ง น้องไหม น้องเเพร, พี่กุ้ง เเม่ของพี่กุ้ง การุณย์ ก้อง เกื้อ, พี่รินทิพย์ นาธาน, พี่โอ
2. เดินทางโดยรถตู้... น้าเเมม มอท มัธ หนึ่ง กิฟท์ นุ่น เนย พุฒิ ฟ้า ณัฐ โม บัว น้ำฝน ยุ้ย ตุ๋ย พี่นก ป้าหนุ่ย น้าอ้อย หญิง พลอย
3. เดินทางโดยรถทัวร์ …ต่าย ทอมมี่ พี่อุ๊ พี่อิ๋ว
4. ขับรถไปเอง …ยายรุณ พี่เเขก จี๊ จ๋า

15/10/2008 กรุงเทพ-อมก๋อย

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับวันนี้ เจ้านายใจดีด้วยพระคุณของพระเจ้า ได้หยุดงาน จึงได้เคลียร์ภารกิจที่บ้านและได้ใช้เวลากับพระเจ้ามากกว่าทุกวัน จนกระทั่งพี่อิ๋วมาที่คอนโดตอนบ่าย พี่อิ๋วลาครึ่งวัน เรามานั่งอ่านพระธรรมเอเฟซัสออกเสียงดังด้วยกัน ตามที่ได้เรียนเรื่อง “การอ่านพระคัมภีร์อย่างมีสีสัน” มาแล้ว จากนั้นเราก็นมัสการพระเจ้า และขึ้น Taxi ไปหมอชิตใหม่ พบน้องต่ายและทอมมี่ที่ชานชาลา 101…รถออกเวลา 18.15 น. พักรับประทานอาหารที่กำแพงเพชร น้องต่ายและน้องทอมมี่ทานอาหารคนละ 2 ชาม…พวกเราถึงอมก๋อยเวลาประมาณ 4.15 น. ของอีกวัน ระหว่างทางมีรถคันข้างหน้าเสีย ทำให้รถทัวร์ของเราไปไม่ได้ ทอมมี่กับฉันนอนหลับปุ๋ย แต่ฉันก็ได้ยินพี่อิ๋วตะโกนบอกพวกเราให้อธิษฐาน ฉันลืมตาไม่ขึ้น แบบว่ากำลังหลับได้ที่ แต่ก็อธิษฐานอยู่ในใจ ขอฑูตสวรรค์มาซ่อมให้ด้วย วิธีนี้ฉันใช้ประจำ เช่น เวลาไปไม่ทันนัดแบบฉุกเฉิน ฉันจะขอให้ฑูตสวรรค์มาเคลียร์ทางให้ ขอบคุณพระเจ้า สักพักรถก็สามารถวิ่งต่อไปได้ด้วยดี ทางมีโค้งมีแยกเท่าไรฉันไม่รู้เรื่องเลย ฉันหลับอย่างสันติบนรถคันนั้น ต่ายเกรงว่าจะเมารถในตอนแรก แต่สุดท้ายก็ไม่เมา ขอบคุณพระเจ้า พี่อิ๋วขอบคุณพระเจ้าที่รถเสีย ทำให้เรามาถึงอมก๋อยในเวลาที่พอเหมาะ เพราะหากถึงตีสาม คงโหวงเหวงน่าดูเลย เอ่อ! คือว่า ผีเราไม่กลัวนะ แต่เรากลัวคนมากกว่า…ระหว่างรอครูแมมมารับ พวกเราก็เม้าท์กระจาย โอ้ลั่นล้าถ่ายรูปกัน ทั้งน้องหมาน้องไก่แถวนั้นก็แตกตื่น ทั้งเห่าทั้งร้องไปกับพวกเราด้วย…ครูแมมนั่งหน้าแฉล้ม ยิ้มฟันขาว มารับเราพร้อม อ.นเรศ (โอ้โฮ! เส้นใหญ่นะเนี่ย ระดับ ศบ.ขับรถมารับเราแต่เช้า) …เราสี่พี่น้องนั่งอยู่ที่ท้ายรถกะบะ ลมเย็นชื่นใจจนหนาวสั่น แต่พี่อิ๋วหันหน้าท้าลมหนาวอย่างสง่าผ่าเผย…เสรีภาพจากองค์พระเจ้า (การนั่งรถทัวร์ตามหลังมา ทำให้เราพลาดเหตุการณ์ที่ห้องนมัสการในช่วงคืนแรกไป)



16/10/2008 ณ อมก๋อย
รถกะบะพาพวกเรามาที่ค่ายบริเวณคริสตจักร พวกเราอาบน้ำและเข้าสู่การนมัสการที่ คจ.แม่ต๋อมเหนือ อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ เข้าสู่ค่ายอนุชนสัมพันธ์ ในหัวข้อ “พลังแห่งการพลิกฟื้น” ระหว่างวันที่ 15-17 ตุลาคม 2551 ครั้งนี้มีอนุชนจากภาคเหนือและอื่นๆ มาร่วมด้วยประมาณ 1,600 คน โดยบ้างก็นอนที่โรงเรียนซึ่งอยู่ใกล้ๆ คริสตจักร บ้างก็นอนเบียดๆ กันอยู่ในห้องต่างๆ ของคริสตจักร บ้างก็นอนเต้นท์
อ.ลอยพอ ผู้รับใช้พระเจ้าชาวปากะญอ เทศนาจากพระธรรม 2 พศด.15 1พระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จมาสถิตกับอาซาริยาห์บุตรโอเดด 2และท่านออกไปเฝ้าอาสาทูลพระองค์ว่า "ข้าแต่อาสาและยูดาห์กับเบนยามินทั้งปวง ขอจงฟังข้าพเจ้า พระเจ้าทรงสถิตกับท่านทั้งหลาย ต่อเมื่อท่านทั้งหลายอยู่กับพระองค์ ถ้าท่านทั้งหลายแสวงหาพระองค์ ท่านก็จะพบพระองค์ แต่ถ้าท่านทั้งหลายทอดทิ้งพระองค์ พระองค์จะทรงทอดทิ้งท่านทั้งหลาย 3อิสราเอลอยู่ปราศจากพระเจ้าเที่ยงแท้เป็นเวลานาน และไม่มีปุโรหิตผู้สั่งสอน และไม่มีพระธรรม 4แต่เมื่อถึงคราวเขาทุกข์ยากลำบาก เขาหันมาหาพระเยโฮวาห์ พระเจ้าแห่งอิสราเอลและแสวงหาพระองค์ เขาทั้งหลายก็พบพระองค์ 5ในสมัยนั้นไม่มีสันติภาพแก่ผู้ที่ออกไปหรือผู้ที่เข้ามา เพราะมีการวุ่นวายอยู่มากมายรบกวนชาวเมืองนั้น 6เขาแตกแยกกันเป็นพวกๆ ประชาชาติต่อประชาชาติและเมืองต่อเมือง เพราะพระเจ้าทรงรบกวนเขาด้วยความทุกข์ยากทุกอย่าง 7แต่ท่านทั้งหลายจงกล้าหาญ อย่าให้มือของท่านอ่อนลง เพราะว่ากิจการของท่านจะได้รับบำเหน็จ" 8เมื่ออาสาทรงสดับถ้อยคำเหล่านี้คือคำเผยพระวจนะของอาซาริยาห์บุตรโอเดด พระองค์ก็ทรงมีพระทัยกล้าขึ้น ทรงกำจัดสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนจากแผ่นดินยูดาห์และเบนยามินสิ้น และจากหัวเมืองซึ่งพระองค์ยึดมาได้จากถิ่นเทือกเขาเอฟราอิม และพระองค์ทรงซ่อมแซมแท่นบูชาของพระเจ้า ซึ่งอยู่หน้ามุขพระนิเวศของพระเจ้า 9และพระองค์ทรงรวบรวมยูดาห์และเบนยามินทั้งปวง และคนเหล่านั้นจากเอฟราอิม มนัสเสห์ และจากสิเมโอน ผู้อาศัยอยู่กับเขาทั้งหลาย เพราะคนเป็นจำนวนมากได้หลบหนีมาหาพระองค์จากอิสราเอล เมื่อเขาเห็นว่าพระเยโฮวาห์พระเจ้าของพระองค์สถิตกับพระองค์ 10เขาทั้งหลายชุมนุมกันที่เยรูซาเล็มในเดือนที่สามของปีที่สิบห้าในรัชกาลของอาสา 11เขาทั้งหลายถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้าในวันนั้นจากข้าวของที่เขาได้ริบมา มีวัวผู้เจ็ดร้อยตัวและแกะเจ็ดพันตัว 12และเขาก็เข้าทำพันธสัญญาที่จะแสวงหาพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเขา ด้วยสุดจิตสุดใจของเขา 13และว่าผู้ใดที่ไม่แสวงหาพระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ควรจะมีโทษถึงตาย ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ชายหรือหญิง 14เขาทั้งหลายได้กระทำสัตย์สาบานต่อพระเจ้าด้วยเสียงอันดัง และด้วยเสียงโห่ร้อง และด้วยเสียงแตรและเขาสัตว์ 15และยูดาห์ทั้งปวงก็เปรมปรีดิ์เพราะสัตย์สาบานนั้น เพราะเขาทั้งหลายได้สาบานด้วยสุดใจของเขา และได้แสวงหาพระองค์ด้วยสิ้นความปรารถนาของเขา และเขาทั้งหลายก็พบพระองค์ และพระเจ้าทรงประทานให้เขาหยุดพักสงบรอบด้าน 16แม้ว่ามาอาคาห์พระมารดาของพระองค์ กษัตริย์อาสาก็ทรงถอดเสียจากเป็นพระราชชนนี เพราะพระนางได้กระทำรูปเคารพอันน่าเกลียดน่าชังสำหรับพระอาเชราห์ อาสาทรงโค่นรูปเคารพของพระนางลง และบด และเผาเสียที่ลำธารขิดโรน 17แต่ยังมิได้กำจัดปูชนียสถานสูงออกเสียจากอิสราเอล อย่างไรก็ดีพระทัยของอาสาก็ปราศจากตำหนิตลอดรัชกาลของพระองค์ 18และพระองค์ทรงนำของอุทิศถวายของราชบิดาของพระองค์และ ข้าวของที่พระองค์เองทรงอุทิศถวาย มีเงิน และทองคำ และเครื่องใช้เข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า 19และไม่มีสงครามอีกจนปีที่สามสิบห้าในรัชกาลของอาสา

สรุปเนื้อหาสั้นๆ ได้ว่า เกิดการฟื้นฟูและเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสมัยนั้น เนื่องจากมีการแสวงหาพระเจ้า รื้อฟื้นแท่นบูชา และฆ่าวัว ฆ่าแกะ ถวายพระเจ้า
อ.ลอยพอ หนุนใจให้เราอธิษฐานเผื่อประเทศไทยอย่างจริงจัง และขอบคุณพระเจ้า ปัจจุบันไฟได้ลุกโชติช่วงที่ อมก๋อย และลามไปที่อื่นๆ แล้ว เช่น เชียงราย เป็นต้น
อ.ลอยพอ ย้ำให้เราทุกคนตระหนักว่าเราอยู่เพื่อพระเจ้า กลับไปลงทุนกับพระเจ้า แสวงหาพระเจ้า อุดช่องโหว่เพื่อประเทศไทย อย่างน้อยวันละ 15 นาที หากต้องกระทำอย่างสัตย์ซื่อทุกวัน ด้วยใจร้อนรน กล่าวคือ เมื่อเราได้รับไฟ จะเป็นเหตุให้คริสตจักรของเราได้รับไฟ และประเทศไทยได้รับไฟ…ฮาเลลูยา
เมื่อเราได้พบพระเจ้าแล้ว ก็เท่ากับว่าเราได้ทุกสิ่ง เหมือนกษัตริย์อาสาที่แสวงหาพระเจ้า ทำให้อิสราเอลพบพระเจ้า
อ.ลอยพอ ท้าทายให้อนุชนอดอาหารอธิษฐานอย่างจริงจัง เพื่อแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้า เมื่อเราแสวงหาพระเจ้า เราจะพบพระเจ้า และอธิษฐานขอว่า “พระบิดาเจ้าข้า ลูกไปที่ไหนก็จะเห็นแต่การนมัสการพระเจ้า ได้พบกับการกลับใจ” จากนั้น พวกเราก็ร้องเพลง “โปรดทรงอวยพรประเทศไทย” เหล่าอนุชนเต้นโลดร้องเพลงกันสุดเสียง สนั่นสะท้านก้องขุนเขา…คจ.แม่ต๋อม คจ.ขององค์พระเจ้าท่ามกลางหุบเขาและแมกไม้ธรรมชาติ ทำให้นึกถึง พระธรรมสดุดี 121:1-2 1ข้าพเจ้าเงยหน้าดูภูเขา ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากไหน 2ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก
เมื่อจบเพลง อ.ลอยพอ เทศนาอย่างร้อนรนว่า เราไม่มีเวลาเห็นแก่ตัวแล้ว คริสเตียนทำอะไรต้องทำจริง และคนที่จริงจังกับพระเจ้า อยู่ที่ไหนก็เจริญ พระเจ้าจะทรงอวยพร “เล่น…ก็เล่นจริง กิน…ก็กินจริง ทำ…ก็ทำจริง นมัสการ…ก็นมัสการจริงๆ รับใช้…ก็รับใช้จริง อธิษฐาน…ก็อธิษฐานจริง” จากนั้น อ.ลอยพอได้ขอให้อนุชนในค่ายร่วมใจกันอธิษฐานเผื่อประเทศไทย เผื่อการฟื้นฟูต่างๆ ซึ่งจะเคลื่อนจากเหนือลงไปสู่ทุกทิศทั้งประเทศไทย และอธิษฐานเผื่อค่ายอนุชนที่อมก๋อย วันที่ 20-22 มีนาคม 2009 และค่ายอนุชนใหญ่ที่เชียงใหม่ในปี 2010
เมื่อ อ.ลอยพอเทศนาจบ ก็ได้เวลาทานข้าวเช้า แต่ละคนต่อคิวรอทานข้าวด้วยความหิว และทานแบบเอร็ดอร่อย ยกเว้นอนุชนนิมิตใหม่ที่ไม่คุ้นเคยกับอาหารแบบนั้น แต่ในที่สุด เมื่อลองทานแล้ว หลายคนก็บอกว่าอร่อย อย่างไรก็ตามเราเห็นอนุชนบางคนไปโซ้ยมาม่าต่อ มาม่า ปลากระป๋อง ชา กาแฟ นม โอวัลติน และขนม หาได้ใกล้ๆ น้าหนุ่ยและน้าอ้อยจ้า…ขอบคุณพระเจ้า…ทานข้าวเสร็จก็กลับมานมัสการต่อ และเทศนาโดย อ.ปีเตอร์ ที่มีชื่อภาษาไทยว่า อ.ปิติ ซึ่งอาจารย์พูดภาษาไทยเก่ง แต่ถ้าจะให้เร้าใจก็ต้องเทศนาด้วยภาษาอังกฤษ โดยมี อ.ซิดนีย์เป็นผู้แปล การเทศนาของ อ.ปิติ สรุปได้ ดังนี้
พระองค์ทรงเป็นช่างปั้น เราเป็นก้อนดินของพระองค์ เป็นภาชนะที่ต้องเติบโต สวย และใช้การได้ดี พระเจ้าทรงปั้นแต่ละคนอย่างมีเอกลักษณ์ ด้วยว่าพระองค์ทรงรู้จักเรา รู้ชื่อของเรา รู้ว่าเราอยู่ที่ไหน รู้ว่าเราต้องการอะไร รู้ว่าเรามีความสามารถเพียงใด พระเจ้ายังคงเรียกคนด้วยแบบเดียวกันกับสมัยของอับรมฮัม อิสอัค ยาโคบ แต่ปัจจุบันคนรุ่นใหม่เปลี่ยนเร็ว และทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทุกคนจึงต้องพร้อมเสมอสำหรับการเปลี่ยนแปลง เราทุกคนเป็นความหวังของโลกใบนี้ ความหวังของคริสตจักรอยู่ที่คุณ คุณเป็นคริสตจักรของพระเจ้า เป็นที่สถิตย์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์…อย่างไรก็ตาม เรามีความหวังที่ดีกว่าสมัยพันธสัญญาเดิม เนื่องจากในยุคดังกล่าวมีกฎที่เขียนบนแผ่นศิลาแลง ต้องถวายเครื่องบูชา แต่ในยุคพันธสัญญาใหม่ เป็นพันธสัญญาแห่งชีวิตที่เขียนบนจิตวิญญาณ มีองค์พระเยซูเป็นผู้กระทำพันธสัญญาแห่งความจริง และความจริงนี้จะเปลี่ยนให้คุณมีเสรีภาพ
ปัจจุบันเราเป็นคนรุ่นโยชูวามิใช่โมเสส (ยชว.19-24) พระเจ้าสั่งโยชูวาว่า “จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด” คุณต้องมีความกล้าหาญ คุณต้องมีความหวัง หากคุณไม่มีความหวังแล้ว คุณจะไม่สามารถนำใครได้ โมเสสตายแล้วก็จริง แต่พระเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ยังไม่ตาย และคุณ ยังไม่ตาย!
พระเจ้าอยู่กับโมเสสมาแล้วฉันใด พระเจ้าจะทรงอยู่กับเราฉันนั้น เราจะพลิกประวัติศาสตร์ใหม่ด้วยความเชื่อและความหวัง (Trust) เราต้องวางใจ กล้าหาญอย่างไม่สงสัย เพราะหากไม่มีสิ่งนี้เราจะไม่สามารถพบสันติสุขแท้ได้ จงวางใจในแผนการของพระเจ้า (รม.8:28) 28เรารู้ว่า พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์
จงมองไปข้างหน้า บินไปด้วยความหวัง จงเชื่อพระเจ้า ไปกับพระเจ้า และพระเจ้าจะทรงกระทำให้สำเร็จ เราสามารถไว้วางใจพระเจ้าได้ พระเจ้าประสงค์ให้เรารักกันและกัน เล่าเรื่องของเราซ้ำแล้วซ้ำอีกถึงการอัศจรรย์ของพระองค์ เรื่องที่พระเจ้าทรงปกป้องเรา เรื่องที่พระเจ้าใช้เราไปเป็นพระพรและเป็นพยาน
เรา โยชูวา คนรุ่นใหม่ ในแผ่นดินใหม่ แผ่นดินที่เจิมไปด้วยไฟแห่งพระวิญญาณ

***ช่วงอธิษฐาน ขอการเจิมจากพระเจ้า










ทำไมต้องมีคริสตจักร
1. คริสตจักรเป็นเครื่องมือของพระเจ้า ซึ่งเราทุกคนต้องออกไปบอกว่าพระเยซูรักทุกคน (ข่าวดีจะไม่เป็นข่าวดีหากเราไม่บอกออกไป)
2. เพื่อคริสเตียนจะเป็นคริสเตียนที่ดีขึ้น เป็นคริสเตียนที่มีชีวิตชีวา เป็นผู้เชื่อที่มีประสบการณ์อัศจรรย์
3. เพื่อเป็นชุมชนแท้ มี 2 สิ่งที่ทำคนเดียวไม่ได้ คือ การแต่งงานและการเป็นคริสเตียน วิธีที่ผู้อื่นจะรู้ว่าเราเป็น คริสเตียนคือการมีครอบครัวใหม่ ซึ่งเป็นสถานที่ปลอดภัย เป็นที่ซึ่งเราเป็นตัวของตัวเอง เป็นที่ซึ่งเราพูดความจริงด้วยใจรักและเมตตา
4. เพื่อเราจะเป็นสื่อของความดีในโลกนี้ เรามิใช่เพียงพูดดี แต่ต้องทำดีด้วย ที่ใดมีความเศร้า เราจะนำความหวังไป ที่ใดมีการแตกแยก เราจะนำการคืนดีไป ที่ใดมีความหิว เราจะนำความอิ่มหนำไป ดังนั้น เราต้องค้นหาว่าเราสามารถทำหน้าที่ใดได้บ้างในคริสตจักร เพราะแต่ละคนพระเจ้าทรงสร้างมาอย่างเฉพาะเจาะจง มีรูปร่างสัณฐานที่แตกต่างกัน (SHAPE)
S-Spiritual Gift : ของประทานฝ่ายวิญญาณในคริสตจักร มีความแตกต่างกัน เพื่อรับใช้กันและกัน
H-Heart : หัวใจ แต่ละคนมีหัวใจไม่เหมือนกัน แต่พระเจ้าทรงเห็นจิตใจของทุกคน
A-Ability : ความสามารถ บางคนเก่งบริหาร ทำอาหาร ร้องเพลง งานเขียน งานศิลปะ แต่ล้วน
เป็นความสามารถที่พระเจ้าจะใช้ได้
P-Personality : บุคลิกลักษณะ บางคนเงียบ บางคนเสียงดัง แต่ทุกคนล้วนมีบุคลิกที่เหมาะสำหรับ
สิ่งที่พระเจ้าเรียกให้ทำ
E-Experience : มีประสบการณ์กับพระเจ้า ทำให้เรารู้ว่าเราอยู่ตรงไหนในคริสตจักร

อ.ปิติหนุนใจให้ทุกคนค้นหาว่าของประทานฝ่ายวิญญาณของเราคืออะไร SHAPE ของเราคืออะไร

***บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขอการเจิม และภาษาแปลกๆ-
***รับประทานอาหารกลางวัน-








ช่วงบ่าย อนุชนใช้เวลาด้วยกันอยู่ที่ คจ.แม่ต๋อม แต่สำหรับพวกเราซึ่งเคยเป็นอนุชนนั้น อ.ซิดนีย์ และ อ.ลอยพอ พาไปเยี่ยมชมโรงเรียนพระคริสตธรรมอมก๋อย ซึ่ง อ.ซิดนีย์และผู้รับใช้พระเจ้าที่ร้อนรนได้บุกเบิก อ.ซิดนีย์หวังใจว่าที่แห่งนี้จะเป็นแหล่งสร้างมิชชันนารี เป็นสถานประกาศ เป็นสถานที่ศึกษา เป็นสถานที่เยียวยา เป็นสถานที่ฝึกอาชีพ
พี่อ้อยกับหนึ่งได้เรียนให้ อ.ซิดนีย์ทราบว่า คจ.นิมิตใหม่ ต้องการถวายเงินจำนวนหนึ่งสำหรับสร้างคริสตจักรด้วย
อากาศค่อนข้างร้อน แดดเปรี้ยงปร้าง แต่สถานที่แห่งนี้สวยงามมาก มองเห็นภูเขาจากทุกมุม 360 องศา ทุกคนจึงดูสนุกสนานและยิ้มแก้มปริไปตามๆ กัน แม้แต่เด็กๆ ก็สนุก พี่โอของเราคิดถึงน้อง Blessing มาก แต่ก็มีน้องเกื้อสุดหล่อดูแลหัวใจให้









ระหว่างทาง เราพบกล้วยน้ำว้าผลงามใหญ่ สดใหม่ จึงซื้อขึ้นมาทานบนรถหลายหวีด้วยกัน ครูแมมบอกว่ามันใหญ่คับปากเลย ส่วนพี่อิ๋วบอกว่าเป็นกล้วยที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตเลย ส่วนน้องจ๋าลูกสาวพี่แขกก็พยายามงับกล้วยใบใหญ่ด้วยความหิว น้าหนุ่ย น้าอ้อย หัวเราะร่า ยายรุณก็ยิ้มแก้มปริเลย ชอบใจกล้วยใหญ่ๆ
เรากลับมาพักผ่อน บางคนก็อาบน้ำ และทานข้าวเย็น…ช่วงเวลานั้นแสงทองทาทาบขอบฟ้าเหนือขุนเขากว้างไกล ความงดงามที่เหนือคำบรรยาย ภาพตรงหน้าไม่สามารถหาจิตรกรใดในโลกที่จะรังสรรค์ได้เท่าจิตรกรเอก องค์พระเยโฮวาห์ของเรา

เวลา 18.00 น. เริ่มนมัสการอีกครั้ง อนุชนภาคเหนือร้อนรนในการนมัสการมาก เนื่องจากพี่อิ๋วและฉันไปทีหลัง และได้ป้ายชื่อคนละสีกับทีมอนุชนนิมิตใหม่ เราจึงนั่งอยู่กันคนละมุม เราอยู่ตอนกลางๆ ของห้อง เมื่อการนมัสการเริ่มร้อนแรงขึ้น วัยรุ่นกลุ่มใหญ่ก็เริ่มเคลื่อนตัวเข้าสู่หน้าเวที พวกเขาเต้นกันอย่างเมามันส์ เบียดเสียดยัดเยียดกันอยู่ด้านหน้า แต่เราก็เต้นโลดสรรเสริญพระเจ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน บางทีเราก็เหยียบเท้ากันบ้าง เพราะเต้นกันเพลิน กระโดดกันสุดกำลัง แต่เราก็มีมารยาท ขอโทษขอโพยกัน และพยายามไม่ให้กระทบกันอีก ทว่า เหงื่อไหลไคลย้อยไปตามๆ กัน

***ช่วงถวายทรัพย์-
อ.ซิดนีย์ ขึ้นมาเทศนา และกล่าวห้ามไม่ให้มีการถ่ายรูป เพื่อที่ว่าหัวใจทุกดวงจะจดจ่ออยู่ที่พระคำของพระเจ้าแต่เพียงอย่างเดียว พวกเราทุกคนเปิด วว.22:20 20พระองค์ผู้ทรงเป็นพยาน ในเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านี้ ตรัสว่า "เราจะมาในเร็วๆ นี้แน่นอน" อาเมน พระเยซูเจ้า เชิญเสด็จมาเถิด
พวกเราพบคำถามว่า หากพระเยซูเสด็จมาวันนี้ เราพร้อมหรือไม่ เห็นได้ว่าปัจจุบันโลกของเราประสบปัญหาสารพัดอย่าง ซึ่งบอกว่าพระเยซูใกล้เสด็จมาแล้ว และหากเป็นเช่นนั้น เราต้องทำอะไร เราต้องเตรียมพร้อมอย่างไร
พระเจ้าทรงเร่งกระทำกิจของพระองค์ การฟื้นฟูก็จะเกิดขึ้นเร็วมาก สิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ ก็จะเปลี่ยนเร็วมาก แต่ในภาวะการณ์เช่นนี้ก็เป็นสิ่งดี ด้วยว่ายิ่งมืดเท่าไร แสงของเราก็จะยิ่งส่องสว่างขึ้นเท่านั้น พระเยซูทรงปรารถนาให้เราเป็นความสว่างในที่ๆ เราอยู่…ทุกคนต้องมีความฝัน หากใครไม่เคยฝัน หรือว่าเคยฝันแล้วแต่ล้มเลิกไป ให้เราขอจากพระเจ้าเพื่อที่ความฝันเหล่านั้นจะกลับคืนมา (อ.ซิดนีย์ให้ทุกคนเขียนความฝันของตนเอง ซึ่งเป็นฝันที่ใหญ่ เช่น อนุชนในประเทศไทยจะลุกขึ้นรับใช้พระเจ้า คนไทยจะยกย่องพระนามพระองค์ เราจะนำข่าวประเสริฐไปยังคนจำนวนมาก เราจะเผยพระวจนะ เราจะวางมือรักษาโรค เป็นต้น)
เมื่อมีความฝันแล้ว ต้องฉวยไว้ให้ได้ ต้องลงทุนลงแรง ลงใจทุกอย่างเพื่อให้ไปถึงซึ่งความฝันนั้น…ตายอย่างมีฝัน ดีกว่าอยู่อย่างไม่มีฝัน (ฟป.1:21) 21เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้านั้น การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระคริสต์ และการตายก็ได้กำไร
เป้าหมายในชีวิตของเรามิใช่เกิดมาเพื่อทำมาหากิน มีเงินทองเยอะๆ
เมื่อพระเจ้าทรงเร่งเวลา เราจะต้องถ่อมลง พระเจ้ากำลังทำการใหญ่และกำลังมองหาคนทำงาน แล้วพระเจ้าจะเลือกใคร? คนแรกที่พระเจ้าจะทรงเลือก คือ คนที่ถ่อมใจที่สุด (คนดื้อจะเรียนได้ช้า ใช้การไม่ได้)
ในพระคัมภีร์ได้กล่าวถึงหลายคนที่ถ่อมใจ เช่น โมเสส ได้เขียนไว้ว่าตนเองถ่อมใจที่สุด ส่วนในพระคัมภีร์ใหม่ ผู้ที่ถ่อมใจที่สุดคือองค์พระเยซู
ความถ่อมใจ หมายถึง การเห็นด้วยกับพระเจ้าทุกประการ เห็นด้วยในสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับเรา เราต้องยอมรับทั้งด้านเก่งและไม่เก่งของเรา หากเก่ง มีความสามารถก็ต้องยอมรับว่ามีด้วยความขอบคุณ หากไม่ยอมรับก็มิได้ถือว่าถ่อมใจ และกลายเป็นคนโกหก ในทำนองเดียวกัน หากไม่เก่งหรืออ่อนแอด้านไหนก็ต้องยอมรับตรงนั้น
o ความถ่อมเหมือนการเล่นบาสเกตบอล ชูสเกินก็ไม่ดี ชูสไม่ถึงก็ไม่ดี ต้องชูสให้ลงพอดีอย่างสวยงาม
o ความถ่อมใจเหมือนกางเกงใน มีไว้ แต่ไม่ต้องโชว์
o ถ้าเราไม่ถ่อมใจ เราจะอิจฉาเขา เราจะเกลียดคนที่เก่งกว่าเรา ฉะนั้น เราต้องไม่อิจฉาใครเลย
o ยอมรับในสิ่งที่เรามี และในสิ่งที่เราไม่มี
o พระเจ้าจะปลดคนที่ยกตัวเองขึ้น และจะยกคนที่ถ่อมลง
o เวลาที่คนพูดไม่ดีกับเรา เราต้องไม่โกรธเขา แต่เราไม่รับสิ่งที่เขาพูด เราขอบคุณเขาหากเป็นจริง และปรับปรุงตัว หากไม่จริงก็จบ
o ถ้าเราร่วมประเวณี เรารู้ว่าเราทำบาป แต่คนเย่อหยิ่งจะไม่รู้ตัวว่ากำลังทำบาป คนไม่ถ่อมจะเป็นเช่นนี้
o เวลาพระเจ้าสอบคุณ คุณสามารถดูเฉลยได้ในพระคัมภีร์ พระคัมภีร์บอกว่าเราต้องบริสุทธิ์
o ทำอย่างไรให้เราเบื่อความบาป และชอบในสิ่งที่พระคัมภีร์พูด เพื่อไม่ทำให้พระเจ้าเสียพระทัย


กล่าวโดยสรุป การรับใช้พระเจ้าให้เกิดผลนั้น จำเป็นต้อง
1. มีความฝันใหญ่
2. ถ่อมลง
3. เปลี่ยนวิธีคิดของเรา โดยมองจากมุมมองสวรรค์ ให้จิตวิญญาณเป็นสิ่งสำคัญกว่าวัตถุ ให้ชีวิตนี้เป็นของพระเจ้า มีไว้เพื่อพระองค์เพียงผู้เดียว
4. สร้างคุณภาพชีวิตให้เหมือนชีวิตในพระคัมภีร์ คือ ดำเนินชีวิตด้วยความบริสุทธิ์เต็มร้อย เมื่อทำผิด ต้องรีบสารภาพและกลับใจใหม่ทันที ให้ถามตัวเองว่ามีบาปอะไรไหมที่เรายังไม่ชนะ และขอพระเจ้าช่วยเรา (ถ้าเราจะให้พระเจ้าใช้ เราจะเจอสงครามฝ่ายวิญญาณจากมารซาตาน มันไม่ใช่แค่ลักและทำลาย มันจะฆ่า! ถ้าเราไม่มีพระคัมภีร์ เราต้องตายแน่)
5. วางตัวของเราไปในจุดที่พระเจ้าเรียกให้เราทำ ค้นหาว่าเป้าหมายใหญ่ในชีวิตที่พระเจ้าให้เราคืออะไร แล้วศึกษาเรื่องนั้น อยู่ใกล้ชิดกับคนที่ทำสิ่งนั้น ทุ่มเท!
• เริ่มต้นจากสิ่งเล็กน้อยด้วยความเต็มใจ เอาตัวเราไปตั้งในที่พระเจ้าเจิม
• พระเจ้าประสงค์ให้เราต้องการฟื้นฟู ตั้งท้องการฟื้นฟู และเมื่อเราคลอดลูก คลอดการฟื้นฟู ไม่มีใครดีใจเท่าแม่ เพราะในความเป็นแม่นั้นจะเตรียมทุกอย่างเพื่อลูก เช่นเดียวกับที่เราต้องเตรียมทุกอย่างเพื่อการฟื้นฟู ป้อนอาหารด้วยคำอธิษฐาน

***อ.ซิ ดนีย์ อธิษฐานขอการฟื้นฟู-
***ลอดอุโมงค์อธิษฐาน ขอการเจิมจากพระวิญญาณ บางคนได้รับการเผยพระวจนะในช่วงนี้-

วันที่ 17/8/08 อมก๋อย-อ.เมือง เชียงใหม่

5.30 น. อธิษฐาน
6.00 น. นมัสการ
อ.ลอยพอ นำเข้าสู่สีสันของการแบ่งปัน โดยให้คนที่พระวิญญาณมาเยี่ยมเยียนได้มีโอกาสมาเป็นพยานบนเวที
อีกมิติหนึ่งของการรับใช้พระเจ้าคือ การสัมผัสพระเจ้า เราจะรับใช้พระเจ้ามากขึ้น อธิษฐานมากขึ้น นมัสการมากขึ้น รักพระเจ้ามากขึ้น
จากนั้น อ.ลอยพอ ได้เทศนาด้วยพระธรรม ดนล. 1:8 แต่ดาเนียลตั้งใจไว้ว่าจะไม่กระทำตัวให้เป็นมลทินด้วยอาหารสูงของพระราชา หรือด้วยเหล้าองุ่นซึ่งพระองค์ดื่ม เพราะฉะนั้นเขาจึงขอหัวหน้าขันทีให้ยอมเขาที่ไม่กระทำตัวให้เป็นมลทิน
ความตั้งใจของดาเนียล คือ
• จะไม่ทำตัวให้เป็นมลทิน
• ตั้งใจจะไม่กราบไหว้
• ตั้งใจจะอธิษฐานวันละ 3 เวลา
• ตั้งใจจะถวายเกียรติพระเจ้า โดยบอกว่าตนเล่าความฝันไม่ได้ แต่พระเจ้าทรงกระทำได้
เราเองก็เช่นกัน ความตั้งใจของเราต้องชัดเจน มิฉะนั้นเราจะเหนื่อย
• คิดจะให้เกียรติพระเจ้า มิใช่ให้เกียรติมนุษย์ เราสามารถเริ่มจากเล็กๆ ก่อน พระเจ้าให้เกียรติคนที่ให้เกียรติพระองค์เสมอ
• เกียรติของพระเจ้าอยู่ที่เรา เกียรติของเราอยู่ที่พระเจ้า คนที่ให้เกียรติพระเจ้า ชีวิตจะประสบความสำเร็จเสมอ เช่น โมเสส อับราฮัม อิสอัค ดาวิด ดาเนียล (ดาเนียล ตั้งใจว่าจะอธิษฐานวันละ 3 ครั้ง ไม่ว่าตำแหน่งจะสูงแค่ไหน หรืองานยุ่งแค่ไหนก็ตาม)
• ยิ่งตั้งใจมาก ยิ่งพบอุปสรรคมาก แต่เราจะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้ามากขึ้น

***แบ่งโซนอธิษฐานเผื่อกันและกัน และอธิษฐานเผื่อภาคต่างๆ ขอพระเจ้าเยี่ยมเยียน อธิษฐานเผื่อประเทศต่างๆ เผื่อค่ายฟื้นฟูใหญ่ 20-23/10/2009 และ ค่ายอนุชนใหญ่ทั่วประเทศ ในปี 2010***

*** นมัสการ
*** อธิษฐาน
*** ถวายทรัพย์

เมื่อคุณอยากทำการฟื้นฟูในที่อื่น คุณกลับจากค่ายนี้ คุณจะทำอะไร
o ความสำเร็จของค่าย อยู่ที่ความเปลี่ยนแปลงเมื่อคุณกลับไปแล้ว ชีวิตของคุณต้องเปลี่ยน
o สิ่งที่น่าตื่นเต้น มิใช่การไปสวรรค์ แต่คือการกลับจากสวรรค์ และเปลี่ยนแปลงต่างหาก
คำแนะนำในการอ่านพระคัมภีร์แต่ละวัน ดังนี้
สุภาษิต วันละ 1 บท
สดุดี วันละ 5 บท
พระคัมภีร์เดิม วันละ 5 บท
พระคัมภีร์ใหม่ วันละ 10 บท

• การนมัสการส่วนตัว จะทำให้เราเติบโตในทางของพระเจ้ามากขึ้น
• สิ่งที่เปลี่ยนยาก คือ นิสัย หรือผลของพระวิญญาณ แต่การอัศจรรย์เป็นเรื่องง่าย การขับผี การวางมือรักษาโรคเป็นเรื่องง่ายเมื่อเทียบกับผลของพระวิญญาณ

***อธิษฐานขอพระเจ้าตรัสกับเราเกี่ยวกับการฟื้นฟู ซึ่งแต่ละคนจะเห็นภาพและได้ยินไม่เหมือนกัน
***น้องศราวุธ วัย 5 ขวบ เรียนอยู่ ป.2 ขึ้นมาอธิษฐานเผื่อพี่ๆ อนุชน

สิ่งที่ อ.ซิดนีย์เป็นห่วง คือ การที่ผู้ใหญ่จะเลี้ยงดูเด็กฝ่ายวิญญาณให้เติบโตมั่นคง

การจุดไฟเป็นสิ่งที่ยาก แต่การรักษาไฟเป็นสิ่งที่ยากที่สุด!
จุดไฟฟื้นฟูอย่างไร รักษาไฟอย่างไร เผยแพร่ไฟอย่างไร

*** break



วิธีฟื้นฟู : เทศนาโดย อ.ซิดนีย์
พระเจ้าจะเร่งการฟื้นฟูมาที่ภาคเหนือ โดยได้เริ่มตั้งแต่ปี 2002 เริ่มมีการอดอหารของชาวกระเหรี่ยง 2 พศด.7:14 ถ้าประชากรของเราผู้ซึ่งเขาเรียกกันโดยชื่อของเรานั้นจะถ่อมตัวลง และอธิษฐานและแสวงหาหน้าของเรา และหันเสียจากทางชั่วของเขา เราก็จะฟังจากสวรรค์ และจะให้อภัยแก่บาปของเขาและจะรักษาแผ่นดินของเขาให้หาย
เมื่ออดอาหารอธิษฐาน จะเกิดการทะลุทะลวง
มธ.6 ศาสนกิจ 3 ประการ ที่ควรทำ
1. การทำทานช่วยเหลือคนยากจน (ข้อ 2)
2. การอธิษฐาน (ข้อ 5)
3. การถืออดอาหาร (ข้อ 16)
เปาโลเองก็อดอาหาร 2 คร.11:27 ต้องทำงานเหน็ดเหนื่อยและยากลำบาก ต้องอดหลับอดนอนบ่อยๆ ต้องหิวและกระหาย ต้องอดข้าวบ่อยๆ ต้องทนหนาวและเปลือยกาย
เราต้องฟังพระวิญญาณบริสุทธิ์ อธิษฐานอดอาหาร และออกไปรับใช้…เซาโลและบารนาบัสเป็นมิชชันนารีคู่แรกที่ออกไป กจ.13:2 เมื่อคนเหล่านั้นกำลังนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าและถืออดอาหาร พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ตรัสสั่งว่า "จงตั้งบารนาบัสกับเซาโลไว้สำหรับการซึ่งเราเรียกให้เขาทำนั้น"
สิ่งที่ยากที่สุดในการอดอาหารคือ สมองหิว (หากอดไปได้ 3 วัน จะไม่รู้สึกหิว) วิธีการต่อสู้กับความคิดคือ ย้ายความคิดหนึ่งไปยังความคิดหนึ่ง
วิธีการอดอาหาร
1. ตั้งเป้าของการอดอาหารอธิษฐาน เช่น เผื่อความรอด เพื่อเราจะได้รู้จักพระเจ้าอย่างสิ้นสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง เพื่อเราจะบริสุทธิ์มากขึ้น เปิดพระคัมภีร์ในข้อที่เราชอบและประทับใจ จากนั้นตั้งเป้าเล็กๆ
2. เตรียมตัวฝ่ายร่างกาย ตัดของมัน ตัดน้ำตาล กาแฟ ตัดทีวี เกมส์มันส์ๆ หรือสิ่งที่เราติด คนที่มีโรคประจำตัวให้ปรึกษาคุณหมอ (โทร.053-282970 เบอร์ของคุณหมอคริสเตียนที่ให้คำแนะนำเรื่องอดอาหาร)
3. เตรียมฝ่ายจิตวิญญาณ สารภาพบาป ชำระใจ อธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ล้างใจให้สะอาด
4. เตรียมสมุดเล่มหนึ่ง บันทึกสิ่งที่พระเจ้าบอกเราในแต่ละวัน
5. กำหนดเวลาที่คุณอธิษฐาน
อีกด้านที่ต้องตัดสินใจ
1. จะอดกี่วัน ถ้ามือใหม่ให้เริ่ม 40 วัน
2. อย่าอดมื้อกินมื้อ อย่าอดอาหารโดยไม่ดื่มน้ำ

ประเภทของการอดอาหาร
1. อดอาหาร โดยดื่มน้ำอย่างเดียว
2. อดอาหารแข็ง ดื่มน้ำผลไม้
3. อดแบบดาเนียล
***ปิดค่ายด้วยการอธิษฐานเผื่อกันและกัน ชาวนิมิตใหม่ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก และรับประทานอาหารกลางวัน



เราออกจากค่ายประมาณบ่ายสองโมง ถึงคจ.ศิริวัฒนา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ประมาณ ห้าโมงเย็น พวกเราสามัคคีธรรมกับพี่น้องอนุชนของ คจ.ศิริวัฒนา จากนั้น ช่วงเย็นเราไปทานขันโตก บรรยากาศสวยงาม หรูหราอลังการแบบไทยๆ ด้วยความรักจากพี่แขกและพี่ๆ น้องๆ ท่านอื่น…พี่ปุ้ยซึ่งพาคุณแม่ไปเชียงใหม่ก็ได้ไปร่วมขันโตกกับเราด้วย…ขอบคุณพระเจ้า…เราตบท้ายด้วยการ shopping ที่ถนนคนเดิน…วันนี้กลุ่มอนุชนนอนที่ คจ.ศิริวัฒนา ส่วนป้าๆ เอ้ย! พี่ๆ น้องๆ ท่านอื่น นอนที่บ้านยายรุณคะ…ยายรุณกับพี่แขกเปิดบ้านต้อนรับพวกเราอย่างเต็มที่ ขาดเหลืออะไรก็บอกยายรุณและพี่แขกได้เสมอ…ขอบคุณอีกครั้งเจ้า






18/10/2008 อ.เมืองเชียงใหม่-กรุงเทพฯ
อรุณสวัสดิ์วันนี้ ได้ยินเสียงพี่อิ๋วนมัสการในสวนแต่เช้า จากนั้นพี่อิ๋วเป็นสารถีขับมอเตอร์ไซด์พาฉันกับครูแมมไปกาด (ตลาด) ซื้อกับข้าวหลายอย่าง เน้นน้ำพริก และมาจิ้มข้าวเหนียวกินกันอย่างเอร็ดอร่อย เราได้ผ่านไปเห็นบ้านที่ครูแมมเคยอยู่สมัยเด็กๆ ด้วย






จากนั้นเราสามัคคีธรรมที่บ้านพี่นพ ลูกชายยายรุณ น้องชายพี่แขก ซึ่งบ้านอยู่ตรงข้ามกัน พี่นพเป็นคนใจดี ดูแลบ้านช่องเรียบร้อย มีต้นไม้ดอกไม้สวยงาม ร่มรื่น น่าอยู่ (มีครูแมม พี่โอ พี่อิ๋ว และฉันร่วมสามัคคีธรรมจ้า)
ระหว่างที่เราสามัคคีธรรมอยู่ที่บ้านพี่นพนั้น กลุ่มอนุชนก็มีกิจกรรมสามัคคีธรรมกับอนุชนที่ คจ.ศิริวัฒนา โดยพรวกเราไปสมทบภายหลัง

เวลา 10.30 น. ดื่มด่ำพระคำผ่านการเทศนาของ อ.คำปัน
มธ.7:21 "มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า "พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า" จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้
น้ำพระทัยของพระบิดา คือ อธิษฐานให้มากขึ้น อ่านพระคัมภีร์ให้มากขึ้น รักษาชีวิตให้บริสุทธิ์
ยน.8:32 รู้จักสัจจะ สัจจะทำให้เป็นไท มีพระวจนะให้เต็มหัวใจ และท่านทั้งหลายจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท
พ่อของท่านคือมาร ยน.8:44 ท่านทั้งหลายมาจากพ่อของท่านคือมาร และท่านใคร่จะทำตามความปรารถนาของพ่อท่าน มันเป็นผู้ฆ่าคนตั้งแต่ปฐมกาล และมิได้ตั้งอยู่ในสัจจะ เพราะมันไม่มีสัจจะ เมื่อมันพูดเท็จมันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา
อดีต ปัจจุบัน
มาร บุตรของพระเจ้า
1.ฆ่าคน 2. มุสา พ้นจากทาสบาป (BA=Born Again) พ้นจากทาสมาร เรามีอิสระ
สาเหตุที่ทำให้คนอิสราเอลเข้าคะนาอันไม่ได้ (เข้าได้เพียง 2 คน คือ โยชูวาและคาเลบ)
• สดด.51:5 มารดาตั้งครรภ์ในความบาป
• รม.3:23 มนุษย์ทุกคนทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า
• 1 ยน.4:5,8,10 เขาเหล่านั้นเป็นฝ่ายโลก ไม่รัก ไม่รู้จักพระเจ้า
• 1 ยน.1:9 เราสารภาพหมดหรือยัง
• 1 คร.10:1 ได้รับอะไรหลายๆ อย่างทุกคน แต่ไม่ได้ไปแผ่นดินคะนาอันทุกคน เขาทำในสิ่งที่พระเจ้าไม่พอพระทัย [ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทั้งหลายเข้าใจว่า บรรพบุรุษของเราทั้งสิ้นได้อยู่ใต้เมฆและได้ผ่านทะเลไปทุกคน]
• ฮบ.3:8 อย่าให้จิตใจของท่านดื้อรั้นอย่างในครั้งกบฎนั้น
• ฮบ.3:10 ใจหลงผิด เจอทางแยก เพราะถูกล่อลวง ตัดสินใจไปทางแยกเลย
• ฮบ.3:11 ใจชั่ว ใจไม่เชื่อ
• ฮบ.3:13 ใจแข็งกระด้าง
• ฮบ.3:14 ไม่ไว้วางใจ
แล้วเราจะไปถึงคะนาอันได้อย่างไร
• 1 ทธ. 1:5-7 แต่จุดประสงค์แห่งคำกำชับนั้นก็คือ ให้มีความรักซึ่งเกิดจากใจอันบริสุทธิ์ และจากจิตสำนึกว่าตนชอบ และจากความเชื่ออันจริงใจ บางคนก็ได้ผิดจุดประสงค์เลี่ยงไปจากสิ่งเหล่านี้ หลงไปในทางพูดเหลวไหล และแม้ว่าเขาไม่เข้าใจคำที่เขากล่าว ทั้งสิ่งที่เขายืนยัน เขาก็ยังปรารถนาเป็นครูสอนธรรมบัญญัติ
• ฮบ.4:1 จงระมัดระวังอยู่เสมอ มิฉะนั้นอาจจะมีบางคนในพวกท่านไปไม่ถึง 1เหตุฉะนั้นเมื่อพระสัญญายังมีอยู่ว่า จะให้เราเข้าสู่การพำนักซึ่งพระองค์ทรงประทาน ก็ให้เราทั้งหลายระมัดระวังอยู่เสมอ มิฉะนั้นอาจจะมีบางคนในพวกท่านไปไม่ถึง
*** ทานอาหารกลางวันที่ร้านสเต็ก แบบบุฟเฟ่ต์ ทานกันพุงกางเลย เมื่อทานเสร็จ พี่โอรีบแยกออกไป เพื่อขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพฯ
ขอบคุณพระเจ้าที่เราได้ร่วมสามัคคีธรรมกับพี่น้องที่ คจ.เสรีภาพในพระวิญญาณ ของ อ.คำปัน โดยเราไปถึงในเวลา 14.45 น. พบว่าเป็น คจ.เล็กๆ เดิมนั้นเป็นยุ้งข้าวของบ้าน บรรยากาศภายในอบอุ่น ย่างเข้าสู่ปีที่ 9 แล้ว มีสมาชิกประมาณ 50 คน
อ.คำปัน นำนมัสการ โดยนักดนตรีจากนิมิตใหม่ น้องมัธพร้อมเสมอ กระโดดไปนั่งตีกลอง เตรียมพร้อมเป็นคนแรก ตามด้วยพี่อิ๋วและทอมมี่ มือกีตาร์ของเรา
อ.คำปันได้แบ่งปันว่า ก่อนหน้านี้รู้จักพระเจ้าแล้ว แต่บังเกิดใหม่เมื่อปี 2544 อาชีพเดิมนั้นเป็นคุณครู พระเจ้าได้ให้หมายสำคัญจนแน่ใจจึงออกมาเป็นผู้รับใช้โดยไม่ได้เรียนพระคัมภีร์ หากว่ามีนิมิตในการสร้างโบสถ์แห่งนี้ให้เข้มแข็ง
คำถามจากน้องอนุชน คือ การที่คนลงไปดิ้นและกรี๊ดในช่วงการนมัสการนั้น เขาพบพระเจ้าหรือถูกผีเข้า คำตอบจาก อ.คำปัน: บางคนก็อยู่ในการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ส่นบางคนที่อารมณ์อ่อนไหว ก็อาจจะถูกบรรยากาศพาไป แต่พี่น้องอย่าสงสัยเลย พระเจ้าจะให้ประสบการณ์เรามากขึ้นในเรื่องของพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยเราต้องเตรียมพร้อม ดังนี้
• ขอพระโลหิตพระคริสต์ชำระบาป
• ขอพระเจ้าตัดสื่อทั้งหมดออกไป
• ขอพระโลหิตพระคริสต์ปกป้อง
• ขอรับทุกอย่างที่มาจากพระเจ้าอย่างเต็มที่ แต่ไม่ขอรับอะไรก็ตามซึ่งไม่ได้มาจากพระองค์
• ต้องมั่นใจว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า
• อ่านพระคัมภีร์ พระคำเป็นฤทธิ์เดช สะสมฤทธิ์เดชให้มากเข้าไว้
• พระเจ้าไม่ฟังคนบาป ไม่ว่าจะนมัสการอย่างไร หากไม่บริสุทธิ์ พระเจ้าก็มิได้ทรงพอพระทัย
• เราต้องมีพระวจนะคอยตรวจสอบ
• พระเยซูเสด็จมาเพื่อ ล้างบาป ทำลายกิจการของมาร รับโทษแทนเรา
• อย่าประมาท วิญญาณชั่วมันจะตามเราตลอดเวลา แต่หากเรามีพระเยซู เราจะชนะมาร
• ขอพระเจ้าให้เราเห็น ให้เราได้ยินในเวลาของพระองค์ มิใช่เห็นหรือได้ยินอย่างทั่วไป
• จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด เรายืนขึ้นประกาศชัยชนะในฐานะลูกของพระเจ้า
• อธิษฐานขอพระเจ้าเสริมกำลัง ปกป้องครอบครัวเรา ทรัพย์สินของเรา คริสตจักรของเรา
• สิ่งสำคัญของของประทาน คือ การที่ต้องรับผิดชอบ การนำชีวิตเป็นเดิมพัน
• พระเยซูชนะ
• ลูกพร้อมเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระเจ้า มีไว้เพื่อคริสตจักรของพระองค์
หนึ่งนำพวกเราชาวนิมิตใหม่ร้องเพลงอวยพร คจ.เสรีภาพฯ และต่างก็อวยพรกันและกัน

อ.คำปัน ฝากอธิษฐานเผื่อ ดังนี้
• คจ.เสรีภาพในพระวิญญาณ
• น้องโยชุ: เป็นเด็กกระเหรี่ยงซึ่ง อ.คำปัน จะพามาอยู่ด้วยที่บ้าน ขอให้พระเจ้าใช้น้องมากยิ่งขึ้น และน้องยังขาดทุนการศึกษาสำหรับตนเองและน้องที่บ้านด้วย
• ภรรยาของ อ.คำปัน (อ.เรณู) สุขภาพไม่ค่อยดี เป็นเบาหวาน และปวดหลัง
• น้องมินท์ (มีสายตาฝ่ายวิญญาณชัดเจนมาก) กำลังจะคลอด ในขณะที่สามีต้องไปรับใช้ชาติเป็นทหาร 2 ปี โดยจะไปในเดือนหน้า อาจจะยังไม่มีโอกาสพบหน้าลูกก่อนไป
• อ.เด่น และภรรยา เรี่ยวแรงสำคัญของคริสตจักร
• ลูกชายของ อ.เด่น ชื่อคุณหนุ่ม มาเรียนพระคริสตธรรมที่กรุงเทพฯ
และแล้วก็ถึงเวลาต้องลาจาก น้องๆ พี่ๆ ก็ขึ้นรถตู้กลับกรุงเทพฯ ส่วนพี่อิ๋วและฉันขึ้นรถพี่แขก พร้อมกับยายรุณ น้องจี๊ น้าอ้อย น้าหนุ่ย ไปที่บ้านยายรุณ เก็บกระเป๋า และไปช่วยยายทองและน้องแจนที่ คจ.ศิริวัฒนาเก็บผ้าห่มที่นอนหมอน ซึ่งพวกเราใช้กันเมื่อคืนนี้ ไปไว้ในที่ของมัน จากนั้นยายทองและน้องแจนพาพี่อิ๋วกับฉันไปทานก๋วยเตี๋ยวปลา ก่อนพาไปส่งขึ้นรถทัวร์ รถทัวร์ออกเวลา 19.30 น. ถึงกรุงเทพฯ เวลาประมาณ 5.00 น. เที่ยวกลับเป็นรถ 2 ชั้น สบายกว่า กว้างกว่าเดิม…ขอบคุณพระเจ้า
จบการเดินทางแห่งพระพรของเส้นทางนี้ ทว่า พวกเรายังคงต้องเดินทางต่อไป อนุชนนิมิตใหม่เองก็จะเปลี่ยนไป ไม่เหมือนเดิม ไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ลุกโชติช่วงในหัวใจของพวกเขา พวกเขาพร้อมแล้วที่จะเขย่าคริสตจักรให้ก้าวไปตามน้ำพระทัยพระบิดา
ฉันเองได้เรียนรู้วิธีการรักษาไฟให้ลุกโชนอยู่เสมอ ได้รู้จักกับพี่น้องมากขึ้น ได้เห็นความรักของพระคริสต์ในชีวิตของแต่ละคน ได้รู้จักยายรุณ คนที่ฉันต้องอธิษฐานเผื่อมากขึ้นอย่างเฉพาะเจาะจง ฉันขอขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับน้าๆ ผู้ใหญ่ทั้งหลายที่ร่วมเดินทางไปกับพวกเรา ครูแมม พี่อ้อย พี่เว้ง พี่โอ น้าหนุ่ย น้าอ้อย พี่แขก พี่รินทิพย์ พี่กุ้ง และขอบคุณพระเจ้าสำหรับหนึ่งที่ใส่ใจดูแลอนุชนใกล้ชิด ขอบคุณพี่นกที่คอยเป็นหูเป็นตาจัดการหลายๆ อย่างให้เรา ขอบคุณน้องๆ อนุชนที่มีน้ำใจต่อกันและกัน ขอบคุณพี่อิ๋วที่เป็นผู้นำการเดินทางครั้งนี้ เพราะฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตามพี่อิ๋วไว้ก่อน ขอบคุณเป็นที่สุดและที่สุด คือพระบิดาบนสวรรค์
นอกจากนั้นแล้ว ฉันขอบคุณพระเจ้าสำหรับการจัดเตรียมของพระองค์สำหรับการเดินทาง เชื่อว่าทุกคนได้รับพระพร และหลายคนได้รับคำตอบ ได้ความชัดเจนในการรับใช้ตามน้ำพระทัยมากขึ้น ฉันได้รับคำตอบจากการแบ่งปันของน้องมิ้นท์ที่ คจ.เสรีภาพในพระวิญญาณ ซึ่งน้องมีของประทานด้านสายตาฝ่ายวิญญาณที่คมชัด น้องหนุนใจทุกคนให้ใช้ของประทานซึ่งพระเจ้ามอบให้อย่างเต็มกำลัง เพื่อพันธกิจของพระองค์ เพื่อผู้อื่น มิใช่เพื่อตัวเรา เราเป็นเพียงเครื่องมือเล็กๆ ชิ้นหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้ แต่ตัวเราเองต้องมีความพร้อม สวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าต่อสู้กับมารร้าย สวมทับความรัก เพื่อพระเกียรติทั้งสิ้นเป็นขององค์พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งของเรา
พระองค์เจ้าข้า เราจะเล็กน้อยลง แต่พระองค์จะทรงยิ่งใหญ่ขึ้น ยิ่งใหญ่ขึ้น…เอเมน!!!

โอ้! อมก๋อย อ้อมกอดรัก ภูเขาสวย พระวิญญาณสถิตด้วยในเราทั้งหลาย
เกิดเหตุการณ์ตื่นเต้นแสนมากมาย เราเรียนรู้ลึกซึ้งในพระทัยบิดา

การทรงเจิมเด่นชัดในอนุชน ทั่วทุกคนได้รับไฟกันถ้วนหน้า
นิมิตใหม่จะเปลี่ยนไปดังปรารถนา น้ำพระทัยพระบิดาสำเร็จเอย

บันทึก ณ กรุงเทพมหานคร: 22/10/2008