Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ฟิลิปปิน โฟ โฟ

ฟิลิปปิน โฟ โฟ
วันที่ 16/07/2009

เมื่อวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดที่ผ่านมา ณ เวลาเย็น พี่แอ๊ด พยาบาลคนสวยได้รับใช้พี่น้องโดยการชักชวนพลพรรครักพระเยซูจำนวนหนึ่ง ทั้งคนป่วยและคนไม่ป่วย ไปร่วมงานฟื้นฟู โดย ศจ.ดร.มัทธิว คูรูวิลล่า (Rev.Dr. Matthew Kuruvilla) ณ คริสตจักรสะพานเหลือง พวกเราได้จับจองที่นั่งในแถบหน้าๆ เพื่อใกล้ชิดกับขอบเวทีให้มากที่สุด การนมัสการเป็นไปอย่างชื่นมื่น ดื่มด่ำไปในการทรงสถิตของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยนและทรงฤทธิ์ ดร.มัทธิว เทศนาไป เต้นไป ร้องเพลงไป เป็นความชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งถ่ายทอดลงมายังผู้ฟังทุกคนด้านล่างเวที
ฉันตื่นตาตื่นใจไปกับการอัศจรรย์แห่งพระคำของพระเจ้าผ่านผู้รับใช้ของพระองค์ ปกติเวลาที่ฉันฟังเทศนา ฉันจะจดบางสิ่งอย่างลงไปด้วย แต่ในวันนั้นฉันฟังอย่างเดียว และสิ่งที่จำได้ไม่ลืมคือ “ฟิลิปปิน โฟ โฟ”
ไอ๋หยา!…แล้วชื่อนี้คืออะไรกันแน่ ตะแรกก็งงนิดหนึ่งว่าชื่อนี้ท่านมัทธิวได้แต่ใดมา ฉับพลันก็ต้องร้องว่า อ๋อ! ก็องค์พระบิดาท่านทรงประทานให้…ตลอดรายการของการเทศนาเป็นภาษาอังกฤษ จะมีอาจารย์คนไทยเป็นผู้แปลคำเทศนา แต่เมื่อ ดร.มัทธิว กล่าวถึงฟิลิปปิน โฟ โฟ ในครั้งแรก ก็เล่นเอาผู้แปลอึ้งไปชั่วขณะ และก็คาดว่าด้านล่างเวทีจำนวนหนึ่งก็อึ้งกิมกี่กับภาษาอังกฤษสำเนียงอินเดียของ ดร.มัทธิว ด้วยเหมือนกัน ส่วนฉันนั้นคิดไปถึงประเทศฟิลิปปินส์นู้นแน่ะ เอ๊ะ หรือว่า ที่ประเทศฟิลิปปินส์ มีวงดนตรีชื่อ ฟิลิปปินส์ โฟ โฟ แหม ตั้งชื่อเลียนแบบวงเอฟโฟหน้าตี๋ซะด้วย แต่แล้วทุกคนก็ถึงบางอ้อว่า ฟิลิปปิน โฟ โฟ ในที่นี้ก็คือ พระธรรมฟิลิปปี บทที่ 4 ข้อ 4 นั่นเองล่ะท่าน… แล้วคนทั้งหลายก็ฮา ตรึม ด้วยความชื่นชมยินดี
“จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด” [ฟป.4:4]
เมื่อเราพร้อมใจกันสรรเสริญพระเจ้าด้วยความชื่นชมยินดี พระองค์ก็ทรงโปรดปรานยิ่งนัก พระองค์ทรงสถิตเหนือคำสรรเสริญ พระองค์เทพระพรลงมาท่ามกลางการนมัสการ ในวันดังกล่าว คนจำนวนมากหายโรคอย่างอัศจรรย์ทันทีโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า บางส่วนก็อาการดีขึ้น บางส่วนก็คาดว่าจะมีอาการดีขึ้นเมื่อกลับมาถึงบ้าน และที่สำคัญก็คือ มีคนจำนวนมากได้รับการรักษาทางด้านจิตวิญญาณ ด้วยการเปิดใจต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด…และแล้ว ไม่ว่าเราจะผจญอยู่กับปัญหาหนักขนาดไหน หรือเผชิญกับความทุกข์มากมายเพียงใดก็ตาม เราก็สามารถ “ผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลัง” [ฟป.4:13] ขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด
“จงให้จิตใจที่อ่อนสุภาพของท่านประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์” [ฟป.4:5-7]
ดร.มัทธิว ยังคงเดินสายเทศนา ประกาศข่าวประเสริฐ และนำการอัศจรรย์แห่งการรักษาโรคในพระนามขององค์พระเจ้าอยู่ในประเทศไทยต่อไปจนถึงปลายปีนี้…ขอพระเจ้าทรงโปรดอวยพรและเสริมกำลัง ดร.มัทธิว และทีมงาน เพื่อพระเกียรติเป็นของพระองค์

ฟิลิปปิน โฟ โฟ

ฟิลิปปิน โฟ โฟ
วันที่ 16/07/2009

เมื่อวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดที่ผ่านมา ณ เวลาเย็น พี่แอ๊ด พยาบาลคนสวยได้รับใช้พี่น้องโดยการชักชวนพลพรรครักพระเยซูจำนวนหนึ่ง ทั้งคนป่วยและคนไม่ป่วย ไปร่วมงานฟื้นฟู โดย ศจ.ดร.มัทธิว คูรูวิลล่า (Rev.Dr. Matthew Kuruvilla) ณ คริสตจักรสะพานเหลือง พวกเราได้จับจองที่นั่งในแถบหน้าๆ เพื่อใกล้ชิดกับขอบเวทีให้มากที่สุด การนมัสการเป็นไปอย่างชื่นมื่น ดื่มด่ำไปในการทรงสถิตของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยนและทรงฤทธิ์ ดร.มัทธิว เทศนาไป เต้นไป ร้องเพลงไป เป็นความชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งถ่ายทอดลงมายังผู้ฟังทุกคนด้านล่างเวที
ฉันตื่นตาตื่นใจไปกับการอัศจรรย์แห่งพระคำของพระเจ้าผ่านผู้รับใช้ของพระองค์ ปกติเวลาที่ฉันฟังเทศนา ฉันจะจดบางสิ่งอย่างลงไปด้วย แต่ในวันนั้นฉันฟังอย่างเดียว และสิ่งที่จำได้ไม่ลืมคือ “ฟิลิปปิน โฟ โฟ”
ไอ๋หยา!…แล้วชื่อนี้คืออะไรกันแน่ ตะแรกก็งงนิดหนึ่งว่าชื่อนี้ท่านมัทธิวได้แต่ใดมา ฉับพลันก็ต้องร้องว่า อ๋อ! ก็องค์พระบิดาท่านทรงประทานให้…ตลอดรายการของการเทศนาเป็นภาษาอังกฤษ จะมีอาจารย์คนไทยเป็นผู้แปลคำเทศนา แต่เมื่อ ดร.มัทธิว กล่าวถึงฟิลิปปิน โฟ โฟ ในครั้งแรก ก็เล่นเอาผู้แปลอึ้งไปชั่วขณะ และก็คาดว่าด้านล่างเวทีจำนวนหนึ่งก็อึ้งกิมกี่กับภาษาอังกฤษสำเนียงอินเดียของ ดร.มัทธิว ด้วยเหมือนกัน ส่วนฉันนั้นคิดไปถึงประเทศฟิลิปปินส์นู้นแน่ะ เอ๊ะ หรือว่า ที่ประเทศฟิลิปปินส์ มีวงดนตรีชื่อ ฟิลิปปินส์ โฟ โฟ แหม ตั้งชื่อเลียนแบบวงเอฟโฟหน้าตี๋ซะด้วย แต่แล้วทุกคนก็ถึงบางอ้อว่า ฟิลิปปิน โฟ โฟ ในที่นี้ก็คือ พระธรรมฟิลิปปี บทที่ 4 ข้อ 4 นั่นเองล่ะท่าน… แล้วคนทั้งหลายก็ฮา ตรึม ด้วยความชื่นชมยินดี
“จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด” [ฟป.4:4]
เมื่อเราพร้อมใจกันสรรเสริญพระเจ้าด้วยความชื่นชมยินดี พระองค์ก็ทรงโปรดปรานยิ่งนัก พระองค์ทรงสถิตเหนือคำสรรเสริญ พระองค์เทพระพรลงมาท่ามกลางการนมัสการ ในวันดังกล่าว คนจำนวนมากหายโรคอย่างอัศจรรย์ทันทีโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า บางส่วนก็อาการดีขึ้น บางส่วนก็คาดว่าจะมีอาการดีขึ้นเมื่อกลับมาถึงบ้าน และที่สำคัญก็คือ มีคนจำนวนมากได้รับการรักษาทางด้านจิตวิญญาณ ด้วยการเปิดใจต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด…และแล้ว ไม่ว่าเราจะผจญอยู่กับปัญหาหนักขนาดไหน หรือเผชิญกับความทุกข์มากมายเพียงใดก็ตาม เราก็สามารถ “ผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลัง” [ฟป.4:13] ขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด
“จงให้จิตใจที่อ่อนสุภาพของท่านประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์” [ฟป.4:5-7]
ดร.มัทธิว ยังคงเดินสายเทศนา ประกาศข่าวประเสริฐ และนำการอัศจรรย์แห่งการรักษาโรคในพระนามขององค์พระเจ้าอยู่ในประเทศไทยต่อไปจนถึงปลายปีนี้…ขอพระเจ้าทรงโปรดอวยพรและเสริมกำลัง ดร.มัทธิว และทีมงาน เพื่อพระเกียรติเป็นของพระองค์

ฟิลิปปิน โฟ โฟ

ฟิลิปปิน โฟ โฟ
วันที่ 16/07/2009

เมื่อวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดที่ผ่านมา ณ เวลาเย็น พี่แอ๊ด พยาบาลคนสวยได้รับใช้พี่น้องโดยการชักชวนพลพรรครักพระเยซูจำนวนหนึ่ง ทั้งคนป่วยและคนไม่ป่วย ไปร่วมงานฟื้นฟู โดย ศจ.ดร.มัทธิว คูรูวิลล่า (Rev.Dr. Matthew Kuruvilla) ณ คริสตจักรสะพานเหลือง พวกเราได้จับจองที่นั่งในแถบหน้าๆ เพื่อใกล้ชิดกับขอบเวทีให้มากที่สุด การนมัสการเป็นไปอย่างชื่นมื่น ดื่มด่ำไปในการทรงสถิตของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยนและทรงฤทธิ์ ดร.มัทธิว เทศนาไป เต้นไป ร้องเพลงไป เป็นความชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งถ่ายทอดลงมายังผู้ฟังทุกคนด้านล่างเวที
ฉันตื่นตาตื่นใจไปกับการอัศจรรย์แห่งพระคำของพระเจ้าผ่านผู้รับใช้ของพระองค์ ปกติเวลาที่ฉันฟังเทศนา ฉันจะจดบางสิ่งอย่างลงไปด้วย แต่ในวันนั้นฉันฟังอย่างเดียว และสิ่งที่จำได้ไม่ลืมคือ “ฟิลิปปิน โฟ โฟ”
ไอ๋หยา!…แล้วชื่อนี้คืออะไรกันแน่ ตะแรกก็งงนิดหนึ่งว่าชื่อนี้ท่านมัทธิวได้แต่ใดมา ฉับพลันก็ต้องร้องว่า อ๋อ! ก็องค์พระบิดาท่านทรงประทานให้…ตลอดรายการของการเทศนาเป็นภาษาอังกฤษ จะมีอาจารย์คนไทยเป็นผู้แปลคำเทศนา แต่เมื่อ ดร.มัทธิว กล่าวถึงฟิลิปปิน โฟ โฟ ในครั้งแรก ก็เล่นเอาผู้แปลอึ้งไปชั่วขณะ และก็คาดว่าด้านล่างเวทีจำนวนหนึ่งก็อึ้งกิมกี่กับภาษาอังกฤษสำเนียงอินเดียของ ดร.มัทธิว ด้วยเหมือนกัน ส่วนฉันนั้นคิดไปถึงประเทศฟิลิปปินส์นู้นแน่ะ เอ๊ะ หรือว่า ที่ประเทศฟิลิปปินส์ มีวงดนตรีชื่อ ฟิลิปปินส์ โฟ โฟ แหม ตั้งชื่อเลียนแบบวงเอฟโฟหน้าตี๋ซะด้วย แต่แล้วทุกคนก็ถึงบางอ้อว่า ฟิลิปปิน โฟ โฟ ในที่นี้ก็คือ พระธรรมฟิลิปปี บทที่ 4 ข้อ 4 นั่นเองล่ะท่าน… แล้วคนทั้งหลายก็ฮา ตรึม ด้วยความชื่นชมยินดี
“จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด” [ฟป.4:4]
เมื่อเราพร้อมใจกันสรรเสริญพระเจ้าด้วยความชื่นชมยินดี พระองค์ก็ทรงโปรดปรานยิ่งนัก พระองค์ทรงสถิตเหนือคำสรรเสริญ พระองค์เทพระพรลงมาท่ามกลางการนมัสการ ในวันดังกล่าว คนจำนวนมากหายโรคอย่างอัศจรรย์ทันทีโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า บางส่วนก็อาการดีขึ้น บางส่วนก็คาดว่าจะมีอาการดีขึ้นเมื่อกลับมาถึงบ้าน และที่สำคัญก็คือ มีคนจำนวนมากได้รับการรักษาทางด้านจิตวิญญาณ ด้วยการเปิดใจต้อนรับองค์พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด…และแล้ว ไม่ว่าเราจะผจญอยู่กับปัญหาหนักขนาดไหน หรือเผชิญกับความทุกข์มากมายเพียงใดก็ตาม เราก็สามารถ “ผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลัง” [ฟป.4:13] ขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด
“จงให้จิตใจที่อ่อนสุภาพของท่านประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์” [ฟป.4:5-7]
ดร.มัทธิว ยังคงเดินสายเทศนา ประกาศข่าวประเสริฐ และนำการอัศจรรย์แห่งการรักษาโรคในพระนามขององค์พระเจ้าอยู่ในประเทศไทยต่อไปจนถึงปลายปีนี้…ขอพระเจ้าทรงโปรดอวยพรและเสริมกำลัง ดร.มัทธิว และทีมงาน เพื่อพระเกียรติเป็นของพระองค์

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

มีทำนองเพลงบรรเลงอยู่ภายใน

มีทำนองเพลงบรรเลงอยู่ภายใน
วันที่ 14/7/2009

“มีทำนองเพลงบรรเลงอยู่ภายใน พระเยซูกระซิบในใจ” เป็นประโยคซึ่งพี่สาวที่รักในพระคริสต์ท่านหนึ่งเขียนอีเมล์มาให้เมื่อหลายเดือนก่อน เป็นประโยคสั้นๆ ที่ทำให้ฉันเกิดความปลื้มปิติในใจเป็นอย่างมาก และแล้วพี่สาวก็เฉลยว่าประโยคนั้นเป็นท่อนหนึ่งของบทเพลง “มีทำนองเพลงบรรเลงอยู่ภายใน” Wow! แต่งมาได้อย่างไรนี่ ช่างสัมผัสแตะต้องใจยิ่งนัก ว่าแล้วเราสองพี่น้องก็ร่วมกันร้องเพลงนี้กันอย่างครื้นเครงเมื่อยามที่เราเจอหน้ากัน ต่อมาไม่นาน พี่สาวก็นำเรื่องราวของผู้แต่งเพลงนี้ คือ Luther Burgess Bridgers มาให้อ่าน เขาแต่งเมื่อปี 1910 ในชื่อภาษาอังกฤษว่า “He keeps me singing”
โดยปกติแล้ว เราจะสามารถร้องเพลงได้อย่างชื่นบานเมื่อหัวใจมีความยินดี แต่ยามใดที่หัวใจขมขื่นเจ็บปวดล่ะ เราจะยังสามารถร้องเพลงได้ด้วยหัวใจยินดีอยู่หรือไม่…คำตอบคือ คงร้องเพลงเช่นนั้นไม่ได้แน่ หากปราศจากพระเจ้า…ลูเธอร์ก็เช่นเดียวกัน เขาแต่งเพลงนี้ในยามที่ชีวิตแทบไม่เหลืออะไรแล้ว นอกจากพระเจ้า…ฉันขอหยิบยกเรื่องราวของลูเธอร์ซึ่งเขียนไว้ในหนังสือ “เพลงสร้างชีวิต” มาให้ทุกท่านอ่านอย่างย่อๆ อีกครั้ง
ลูเธอร์ บริดเจอร์ส เกิดในปี 1884 มีคุณแม่เป็นคริสเตียนที่ร้อนรน ซึ่งส่งผลต่อชีวิตของลูเธอร์มาก โดยเฉพาะเรื่องการเตรียมตัวเป็นผู้รับใช้เต็มเวลา ลูเธอร์เริ่มเป็นผู้รับใช้เต็มเวลาด้วยอายุ 17 ปี และเขาก็แต่งงานกับซาราห์ ในปี 1910 ลูเธอร์ได้รับเชิญให้ไปจัดการประกาศข่าวประเสริฐ 2 สัปดาห์ ลูเธอร์จึงพาภรรยาและลูกๆ ไปพักกับพ่อแม่ของภรรยา สองสัปดาห์แห่งการประกาศผ่านไปอย่างยอดเยี่ยม มีการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างมากมาย คนบาปกลับใจ คริสเตียนเข้มแข็งขึ้น
แล้ว…ในทันทีทันใด ก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถเข้าใจได้อธิบายก็ไม่ได้ ในช่วงที่ชีวิตรับใช้ที่กำลังประสบความสำเร็จสูงสุด แต่ลูเธอร์กลับพบโศกนาฏกรรมในชีวิต กล่าวคือ ไฟไหม้ที่บ้านพ่อตา ไหม้ราบราบ และพรากชีวิตภรรยาและลูกทั้งสามคนจากไป
พิธีฝังศพผ่านไป คืนอันมืดมิดยังคงอยู่ในจิตใจของลูเธอร์ แต่พลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำการอัศจรรย์แห่งพระคุณในจิตใจของเขา ลูเธอร์เริ่มร้องเพลงแห่งค่ำคืนที่ทำให้กำแพงคุกแห่งความโศกเศร้าของเขาพังทลายลง และเขาก็สามารถมีชัยชนะและเดินเข้าไปสู่แสงสว่างแห่งอิสรภาพของลูกของพระเจ้า ลูเธอร์ระลึกถึงความทรงจำในอดีต และการมองถึงพระสัญญาในอนาคต เขาก็เขียนคำร้องและทำนองเพลงที่บรรยายถึงชีวิตจิตวิญญาณของเขาเอง และในนั้นเองที่ซ่อนเคล็ดลับแห่งชัยชนะฝ่ายจิตวิญญาณ เนื้อเพลงแปลเป็นภาษาไทยไว้ ดังนี้
มีทำนองเพลงบรรเลงอยู่ภายใน พระเยซูกระซิบในใจ อย่ากลัวเพราะเราอยู่ด้วยจงชื่นใจ สุขหรือทุกข์สบายหรือไข้…(ร้องรับ: พระเยซู พระเยซู พระองค์ผู้ประเสริฐ พระนามนี้ ข้าชูเชิด ดลใจให้ร้องเพลงล้ำเลิศ)…ชีวิตข้าเคยชอกช้ำเพราะทำบาป จิตใจข้าเดือดร้อนวุ่นวาย พระเยซูอวยพร ทุกข์ร้อนผ่อนคลาย ใจสบายจึงอยากร้องเพลง…บางครั้งทรงนำให้ผ่านแม่น้ำใหญ่ ต้องข้ามห้วยเขาลำเนาไพร บางทีต้องสู้ศึกลองใจหลายหน แต่ข้าเดินตามพระองค์ไป…ไม่ช้านานพระองค์เสด็จกลับมา ต้อนรับข้าขึ้นไปเมืองฟ้า เมื่อนั้นข้าจะติดตามพระองค์ไป ครอบครองเมืองแมนงามวิไล
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับชีวิตและผลงานของลูเธอร์ ในวันนี้ที่ฉันป่วยอยู่บ้านด้วยไข้หวัด (แต่ไม่ใช่ไข้หวัด 2009 นะคะ…ไม่ต้องกลัว…บังเอิญไปติดน้องคนหนึ่งในที่ทำงานน่ะค่ะ น้องเป็นไข้หวัดใหญ่ แต่ขอบคุณพระเจ้า ฉันเป็นไข้หวัดธรรมดา) พระคุณของพระเจ้าก็ยังค้ำชูฉันอยู่ แม้ว่าฉันจะเหนื่อยล้าทางกาย แต่พระเจ้าทรงชูใจฉันไว้ด้วยคำรักมากมายในพระวจนะของพระองค์ และด้วยบทเพลงรักมากมายจากผู้รับใช้ของพระองค์…มีทำนองเพลงบรรเลงอยู่ภายใน จึงเป็นอีก 1 บทเพลง ที่พระเจ้าทรงเล้าโลมใจฉันในวันนี้
การสรรเสริญพระเจ้า เป็นเคล็ดลับอันมหัศจรรย์จริงๆ นับวันก็ยิ่งเห็นความมหัศจรรย์มากขึ้น พระเจ้าสอนเราให้นมัสการพระองค์ ด้วยทรงประสงค์จะเทพระพรของพระองค์ลงมายังเรา เมื่อเราเปิดใจต่อพระองค์ พระองค์จะสอนเราอธิษฐาน และนมัสการพระองค์ในวิถีซึ่งทำสงครามฝ่ายวิญญาณในสถานฟ้าอากาศ พระองค์ทรงฝึกมือของเราให้ทำสงคราม ฝึกนิ้วมือของเราให้ทำศึก และฝึกใจของเราให้เข้มแข็งกล้าหาญ และในขณะที่เราเต้นโลด ตบมือ ชูมือ ขับร้อง เล่นดนตรีสรรเสริญพระองค์อยู่นั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเทฤทธิ์เดชของพระองค์ลงมา เทการเจิมของพระองค์ลงมา นำการเยียวยาและปลดปล่อยลงมายังบรรดาประชาชาติของพระองค์ นำมาซึ่งการสรรเสริญพระองค์สืบต่อๆ ไปเป็นนิตย์
สดด.40:3 พระองค์ทรงบรรจุเพลงใหม่ในปากข้าพเจ้า เป็นบทเพลงสรรเสริญพระเจ้าของเรา คนเป็นอันมากจะเห็นและเกรงกลัว และวางใจในพระเจ้า
สดด.47:5-9 5พระเจ้าเสด็จขึ้นด้วยเสียงโห่ร้อง พระเจ้าเสด็จขึ้นด้วยเสียงแตร 6จงร้องเพลงสรรเสริญถวายพระเจ้า จงร้องเพลงสรรเสริญเถิด จงร้องเพลงสรรเสริญถวายพระมหาราชาของเรา จงร้องเพลงสรรเสริญเถิด 7เพราะพระเจ้าทรงเป็นพระราชาเหนือแผ่นดินโลกทั้งสิ้น จงร้องเพลงสรรเสริญด้วยบทสดุดี 8พระเจ้าทรงครอบครองนานาประชาชาติ พระเจ้าทรงประทับบนพระที่นั่งบริสุทธิ์ของพระองค์ 9บรรดาเจ้านายของชนชาติทั้งหลายประชุมกัน เป็นประชากรของพระเจ้าแห่งอับราฮัม เพราะบรรดาโล่ของแผ่นดินโลกเป็นของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นที่ยกย่องอย่างสูง
สดด.56:3-4,10 3เมื่อข้าพระองค์กลัว ข้าพระองค์วางใจในพระองค์ 4ในพระเจ้า ผู้ที่ข้าพระองค์สรรเสริญพระวจนะของพระองค์ ในพระเจ้า ข้าพระองค์วางใจอย่างปราศจากความกลัว เนื้อหนังจะกระทำอะไรแก่ข้าพระองค์ได้ 10ในพระเจ้าผู้ซึ่งข้าพระองค์สรรเสริญพระวจนะของพระองค์ ในพระเป็นเจ้า ผู้ซึ่งข้าพระองค์สรรเสริญพระวจนะของพระองค์
สดด.63:1-7 1ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์แสวงพระองค์ จิตวิญญาณของข้าพระองค์กระหายหาพระองค์ เนื้อหนังของข้าพระองค์กระเสือกกระสนหาพระองค์ ในดินแดนที่แห้งและอ่อนโหย ที่ที่ไม่มีน้ำ 2เช่นนั้นแหละ ข้าพระองค์จึงเคยเห็นพระองค์ในสถานนมัสการ เห็นฤทธานุภาพและพระสิริของพระองค์ 3เพราะว่าความรักมั่นคงของพระองค์ดีกว่าชีวิต ริมฝีปากของข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ 4เช่นนั้นแหละ ข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ ตราบเท่าชีวิตของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ชูมือต่อพระนามของพระองค์ 5จิตใจของข้าพระองค์จะอิ่มหนำดังกินเนื้ออย่างดีและไขมัน และปากของข้าพระองค์จะสรรเสริญพระองค์ด้วยริมฝีปากที่ชื่นบาน 6เมื่อข้าพระองค์คิดถึงพระองค์ขณะอยู่บนที่นอนและภาวนาถึงพระองค์ทุกๆ ยาม 7เพราะพระองค์ทรงเป็นความอุปถัมภ์ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์เปรมปรีดิ์อยู่ในร่มปีกของพระองค์

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด

ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด
วันที่ 09/07/2009

คุณเคยรู้สึกไหมว่า คุณรักใครบางคนไม่ได้…คุณอาจจะไม่เคย แต่ฉันเคยคะ…ช่างเป็นความรู้สึกที่ทรมานเสียนี่กระไร พระบัญชาของพระเจ้าสั่งให้เรารักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง แต่ฉันก็ยังรักคนๆ หนึ่งไม่ได้ ทำอย่างไรดี
ใจหนึ่งก็รู้ว่าการรักใครบางคนไม่ได้นั้น เป็นสิ่งที่ขัดต่อคำสอนของพระเจ้า แต่อีกใจหนึ่งก็ยังโต้เถียงอยู่ว่า จะรักเขาได้อย่างไร (อ้าว) กลายเป็นคนสองใจซะแล้ว ซึ่งสิ่งนี้อีกเช่นกันที่ทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสียพระทัย…ฉันเคยอธิษฐานเผื่อตนเองอยู่เสมอว่า ขอให้ฉันรู้น้ำพระทัยของพระเจ้า และขอให้ฉันทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าด้วย ดังนั้น เมื่อรู้แล้วไม่ทำก็บาปอีก (ผ่าง)
ฉันต้องปล้ำสู้กับเนื้อหนังของตัวเองอย่างหนัก เมื่อฉันเกิดความรู้สึกว่ารักคนๆ หนึ่งไม่ได้ ซึ่งลำพังฉันก็คงไม่สามารถรักเขาได้ด้วย หากไม่มีพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าที่ฉันมีพระองค์ซึ่งเป็นต้นกำเนิดแห่งความรัก และฉันยังมีพี่น้อง คริสเตียนมากมายที่หนุนใจ ใส่ใจ ให้คำปรึกษาด้วยความรัก ฉันนำเรื่องนี้ไปปรึกษาพี่ๆ ที่คริสตจักร ซึ่งทุกคนน่ารักมาก ให้คำแนะนำที่ดี ให้ขอสติปัญญาจากพระเจ้า ให้ใช้ความรักนำหน้า ให้คงความสัมพันธ์ที่ดีไว้ เพราะเราเองก็เป็นคนบาป [รม.3:23] “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า” เราเป็นคนบาปที่สมควรแก่อาชญา แต่โดยพระคุณ พระเจ้าไม่ทรงทอดทิ้งเรา ไม่ทรงตัดความสัมพันธ์กับเรา คนบาปอย่างเราจึงได้รับความรอด [รม.6:23]
“เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” แล้วเราจะสำแดงความรักของเราต่อพี่น้องดังเช่นที่พระเยซูได้ทรงวางแบบอย่างไว้หรือไม่ [รม.5:8] “แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา”
ก่อนที่ฉันจะกำชัยชนะเรื่องนี้ได้นั้น ฉันก็ดูเหมือนจะแพ้…เอ่อ หรือจะบอกว่าแพ้ไปแล้วก็น่าจะใช่ เพราะเมื่อฉันรู้สึกว่ารักคนๆ นั้นไม่ได้แล้ว การตอบสนองก็เกิดขึ้น แม้จะมีวลีหนึ่งที่โดนใจวัยมันส์ว่า “ไม่ขึ้นอยู่กับว่าถูกหรือผิด แต่ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของคุณ” ที่ฉันยังจำได้ติดหูก็ตาม แต่ในขั้นแรกนั้น ฉันเลือกตอบสนองตามเนื้อหนัง…อย่างไรก็ดี ฉันขอบคุณพระเจ้า เพราะในท้ายที่สุด ฉันขอเลือกอีกครั้ง โดยเลือกตอบสนองในมุมมองของพระคริสต์
ในช่วงที่ฉันยังเดินอยู่กับความพ่ายแพ้นั้น ซาตานมันก็คงชอบใจนักแล เพราะฉันตัดความสัมพันธ์กับคนๆ นั้น แทบจะสิ้นเชิง ฉันรื้อหนังสือที่เขาเคยให้ไว้ ออกจากบ้านไป และแม้หนังสือบางเล่มจะยังคงอยู่ที่บ้าน แต่ฉันก็ตั้งใจว่าจะไม่อ่านมันอีกต่อไป ฉันปลดรูปถ่ายของเขาออก และตั้งใจที่จะตัดความสัมพันธ์กับเขาในทุกทาง…แต่พระเจ้ามิทรงประสงค์ให้ฉันเป็นคนไร้รัก ซึ่งในพระคัมภีร์ก็บอกว่า จงรักศัตรูของท่าน [มธ.5:44] “ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน”
Wow! แม้แต่ศัตรูยังต้องรักเลย แต่นี่เป็นพี่น้องในพระคริสต์ ฉันก็ต้องยิ่งรักมากกว่าศัตรูสักเท่าไร ฉันต้องมองพี่น้องด้วยมุมมองของพระเจ้า ด้วยสายพระเนตรของพระองค์ แต่ฉันก็ยังรักเขาไม่ได้อยู่ดี…มันเป็นความเจ็บปวดที่ร้าวลึก ที่เราเคยสรรเสริญพระเจ้าด้วยกัน อธิษฐานด้วยกัน แบ่งปันกันและกัน และหนุนจิตชูใจกันมาด้วยความรัก แต่เมื่อวันหนึ่งมีเหตุต้องให้ขัดเคืองกัน สิ่งดีๆ ที่เคยทำร่วมกันมา ก็ไม่มีค่าอะไรเลย (เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ) …พระคำมากมายที่ว่าด้วยเรื่องความรักผุดขึ้นมาในมโนนึกของฉัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระธรรม 1 คร. บทที่ 13 แต่ดูเหมือนว่า พระคำเหล่านั้นเป็นเพียงความรู้ในสมอง ไม่สามารถช่วยอะไรฉันได้เลย ไม่สามารถแทงทะลุจิตวิญญาณของฉันได้ ธรรมชาติบาปของฉันได้ขัดขวางไว้ไม่ให้ฉันสัมผัสความรักของพระเจ้า
[1คร.13:7] “ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง” …โป๊ะเชะ โดนจังๆ พระคัมภีร์กล่าวไว้เช่นนั้น แต่ในภาวะที่คนมันหมดรัก ก็ยากนักที่จะรักใคร หัวใจฉันด้านชาไปหมด น้ำตาฉันไหลด้วยความช้ำใจ “พระบิดาเจ้าข้า ลูกทำไม่ได้” ฉันไม่มีสันติสุขเลย ในขณะที่พระเจ้าทรงรอคอยที่ฉันจะตอบสนองอย่างถูกต้อง
การเดินออกจากทางของพระเจ้าเป็นความเจ็บปวด การขาดสันติสุขก็เป็นสิ่งที่ฉันมิพึงปรารถนา จึงร้องทูลต่อพระเจ้าว่าสิ่งนี้เหลือกำลังของฉัน และร้องเรียกพระองค์ด้วยถ้อยคำสั้นๆ ว่า “พระบิดาที่รัก ช่วยลูกด้วย”
พระเจ้าทรงเบิกตา ให้ฉันเห็นสิ่งมหัศจรรย์ในพระคำของพระองค์ [อสค.36:26] “เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้าและเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า เราจะนำใจหินออกไปเสียจากเนื้อของเจ้า และให้ใจเนื้อแก่เจ้า” ฉันอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า ทูลขอพระเจ้าให้ปลดปล่อยฉันจากคนใจหิน และใส่วิญญาณใจใหม่ให้กับฉัน ขอที่พระองค์จะทรงเปลี่ยนแรงบันดาลใจของฉัน ให้พระบัญญัติของพระองค์จารึกแทงทะลุในจิตวิญญาณของฉัน ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เทความรักของพระเจ้าเข้ามาในจิตใจที่เย็นชาของฉัน เพราะหากฉันบ่มความชั่วช้าไว้ในใจ ชีวิตนี้ก็คงขาดพระพร [สดด.66:18] “ถ้าข้าพเจ้าได้บ่มความชั่วไว้ในใจข้าพเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าคงไม่ทรงสดับ”
พระองค์ทรงรู้ถึงความทุกข์ใจของฉัน และทรงปลอบประโลมฉัน [อสย.30:20] “และถึงแม้องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานอาหารแห่งความยากลำบากและน้ำแห่งความทุกข์ใจให้แก่เจ้า ถึงกระนั้นพระครูของเจ้าจะไม่ซ่อนตัวอีกเลย แต่ตาของเจ้าจะเห็นพระครูของเจ้า”
ฉันอธิษฐานซ้ำแล้วซ้ำอีก ทูลขอด้วยความกระหาย ให้พระองค์ทรงเติมฉันด้วยพระวิญญาณแห่งความรักของพระองค์…ในที่สุด ความรักของพระองค์ก็ค่อยๆ เติบโตในหัวใจ จนกระทั่งฉันสัมผัสได้ว่าฉันสามารถรักคนๆ นั้นได้แล้ว
การอธิษฐาน ปลุกความรักให้ลุกขึ้น ความรักนำมาซึ่งการอธิษฐานมากขึ้น ในทางกลับกัน คำอธิษฐานฟื้นความรักกลับมาได้มากขึ้น (สตอร์มี โอมาร์เทียน) ฉันจึงทูลต่อพระเจ้าว่า ฉันรักเขาคนนั้น และจะไม่ยอมให้สิ่งใดมาทำให้เราขาดจากความรักของพระเจ้า และขาดจากความรักของกันและกันได้ และที่สำคัญคือ ฉันขอรักทุกคน ดังเช่นที่พระองค์ทรงบัญชาไว้…ฉันขอหัวใจรักอย่างพระคริสต์
[1คร.13:13] “ดังนั้นยังตั้งอยู่สามสิ่ง คือความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด”

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Praise And Pray

Praise And Pray
วันที่ 27/6/2009

เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองและขอบคุณพระเจ้า เนื่องในโอกาสที่คริสตจักรนิมิตใหม่ครบรอบ 27 ปี ในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ จึงกำหนดให้มีรายการ Praise And Pray ทุกวันเสาร์ เวลา 18.00 น. ไปจนกระทั่งถึงวันครบรอบวันเกิด แต่ในวันนี้มีสมาชิกมาร่วมค่อนข้างน้อย เนื่องจากขาประจำส่วนหนึ่งไปเข้าค่าย Alpha Weekend ที่พัทยา
หนึ่งนำเราทุกคนนมัสการพระเจ้า พวกเราดื่มด่ำไปกับพระคุณความรักและการทรงสถิตของพระองค์ โลดแล่นไปกับเสียงเพลงแห่งการนมัสการที่เราน้อมถวายเป็นเครื่องบูชาที่บริสุทธิ์แด่พระองค์ แต่เราชื่นใจยิ่งกว่านั้นอีก เมื่อรู้ว่าพระองค์ทรงร้องเพลง [ศฟย.3:17] “พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าอยู่ท่ามกลางเจ้า เป็นนักรบผู้ประทานความมีชัย พระองค์ทรงเปรมปรีดิ์เพราะเจ้าด้วยความยินดี พระองค์จะทรงรื้อฟื้นเจ้าใหม่ด้วยความรักของพระองค์ พระองค์จะทรงเริงโลดเพราะเจ้าด้วยร้องเพลงเสียงดัง”
ศบ.พงษ์ศักดิ์แบ่งปันเราด้วยพระวจนะจากพระธรรมสดุดี 102 “คำร่ำร้องในยามทุกข์ใจ” เราทุกคนล้วนมีความทุกข์ใจในช่วงเวลาหนึ่งเวลาใดด้วยกันทั้งสิ้น บางครั้งก็มิได้ทุกข์ใจเพราะเรื่องของตนเอง แต่ทุกข์ใจเพราะเหตุแห่งคนที่เรารัก หรือทุกข์ใจกับเรื่องสำคัญที่ห่างไกลเราออกไปหลายพันหมื่นไมล์ แต่ขอที่เรานั้นจะไม่ท้อแท้ในการอธิษฐาน แม้ว่าหลายครั้งดูเหมือนพระเจ้าจะมิทรงตอบ เนิ่นนานเหลือเกินพระองค์เจ้าข้า! ทว่าเราก็ชื่นใจที่พระองค์ฟังคำอธิษฐานของเรา ทรงฟังคำร้องทูลของเราเสมออย่างมิเบื่อหน่าย พระองค์ทรงอยู่ และพระองค์ยังทรงเหมือนเดิมเสมอนิรันดร์
[สดุดี 102] 1ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงฟังคำอธิษฐานของข้าพระองค์ขอเสียงร้องของข้าพระองค์มาถึงพระองค์ 2ขออย่าทรงซ่อนพระพักตร์ของพระองค์จากข้าพระองค์ในวันทุกข์ใจของข้าพระองค์ ขอทรงเงี่ยพระกรรณฟังข้าพระองค์ ขอทรงตอบข้าพระองค์โดยเร็วเมื่อข้าพระองค์ร้องทูลต่อพระองค์ 3เพราะวันของข้าพระองค์สิ้นไปอย่างควัน และกระดูกของข้าพระองค์ไหม้อย่างเตาไฟ 4จิตใจของข้าพระองค์ถูกนาบเหมือนหญ้าและเหี่ยวไป ข้าพระองค์ลืมรับประทานอาหารของข้าพระองค์ 5เหตุด้วยเสียงร้องครางของข้าพระองค์ กระดูกของข้าพระองค์เกาะติดเนื้อของข้าพระองค์ 6ข้าพระองค์เป็นเหมือนนกกระทุงที่ในถิ่นทุรกันดารดุจนกเค้าแมวในที่ร้างเปล่า 7ข้าพระองค์นอนไม่หลับ ข้าพระองค์เหมือนนกโดดเดี่ยวบนหลังคาเรือน 8ศัตรูของข้าพระองค์เยาะหยันข้าพระองค์วันยังค่ำผู้ที่คลั่งใส่ข้าพระองค์ใช้ชื่อข้าพระองค์แช่ง 9เพราะข้าพระองค์กินขี้เถ้าต่างอาหาร และเจือน้ำตาเข้ากับเครื่องดื่ม10เหตุด้วยความพิโรธและความกริ้วของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงชูข้าพระองค์ขึ้นและโยนข้าพระองค์ทิ้งไปเสีย 11วันเวลาของข้าพระองค์เหมือนเงาเวลาเย็น ข้าพระองค์เหี่ยวไปเหมือนหญ้า 12ข้าแต่พระเจ้า แต่พระองค์ประทับบนบัลลังก์เป็นนิตย์พระนามของพระองค์ดำรงอยู่ทุกชั่วชาตพันธ์ 13พระองค์ทรงลุกขึ้นสงสารศิโยน เพราะถึงเวลาที่จะทรงพระกรุณาเธอ เออ เวลากำหนดมาถึงแล้ว 14เพราะผู้รับใช้ของพระองค์รักซากก้อนหินของเธอนัก และสงสารผงคลีของเธอ 15บรรดาประชาชาติจะกลัวพระนามของพระเจ้า และบรรดาพระราชาของแผ่นดินโลกกลัวพระสิริของพระองค์ 16เพราะพระเจ้าจะทรงสร้างศิโยน พระองค์จะทรงปรากฏด้วยพระสิริของพระองค์ 17พระองค์จะสนพระทัยในคำอธิษฐานของคนสิ้นเนื้อประดาตัว และจะไม่ทรงดูหมิ่นคำอธิษฐานของเขา 18ขอบันทึกเรื่องนี้ไว้ให้ชาตพันธุ์ที่จะมีมา เพื่อประชาชนที่ยังจะทรงสร้างมานั้นจะได้สรรเสริญพระเจ้า 19บันทึกว่า พระองค์ทอดพระเนตรลงมาจากที่สูงอันบริสุทธิ์ของพระองค์ จากฟ้าสวรรค์ พระเจ้าทอดพระเนตรแผ่นดินโลก 20เพื่อทรงฟังเสียงร้องครางของเชลย เพื่อทรงปล่อยคนที่ต้องถึงตายให้เป็นอิสระ 21เพื่อมนุษย์จะประกาศพระนามของพระเจ้าในศิโยนและกล่าวสรรเสริญพระองค์ในเยรูซาเล็ม 22ขณะเมื่อชนชาติทั้งหลายรวบรวมกัน ทั้งบรรดาราชอาณาจักรเพื่อนมัสการพระเจ้า 23พระองค์ทรงหักกำลังของข้าพเจ้ากลางทาง พระองค์ทรงกระทำให้วันเวลาของข้าพเจ้าสั้นเข้า 24ข้าพเจ้าว่า "ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ขออย่าทรงนำข้าพระองค์ไปเสีย ในกึ่งกลางวันเวลาของข้าพระองค์ พระองค์ ผู้ปีเดือนดำรงอยู่ตลอดทุกชั่วชาตพันธุ์" 25เมื่อเดิมพระองค์ทรงวางรากฐานของแผ่นดินโลกและฟ้าสวรรค์เป็นพระหัตถกิจของพระองค์ 26สิ่งเหล่านี้จะพินาศ แต่พระองค์จะทรงดำรงอยู่ สิ่งเหล่านี้จะเก่าไปเหมือนเครื่องนุ่งห่ม พระองค์ทรงเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้เหมือนเสื้อผ้า แล้วมันก็สิ้นไป 27แต่พระองค์ยังคงเดิม และปีเดือนของพระองค์ไม่สิ้นสุด 28ลูกหลานของบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์จะอยู่มั่นคง และพงศ์พันธุ์ของเขาจะได้รับการสถาปนาต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์
พระเจ้าทรงเรียกชนชาติอิสราเอลว่า “ประชากรของเรา” ดังปรากฏใน อพย.3:7-10 เมื่อครั้งที่ชาวอิสราเอลตกเป็นทาสของอียิปต์ และได้ร้องทูลความทุกข์ใจต่อพระเจ้า พระองค์ทรงเห็นความทุกข์ของชาวอิสราเอล 7พระเจ้าตรัสว่า "เราเห็นความทุกข์ของประชากรของเราที่อยู่ในประเทศอียิปต์แล้ว เราได้ยินเสียงร้องของเขา เพราะการกดขี่ของพวกนายงาน เรารู้ถึงความทุกข์ร้อนต่างๆ ของเขา 8เราลงมาเพื่อจะช่วยเขาให้รอดจากมือชาวอียิปต์ และนำเขาออกจากประเทศนั้น ไปยังแผ่นดินที่อุดมกว้างขวาง เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนม และน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ คือไปยังที่อยู่ของชาวคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส 9บัดนี้คำร่ำร้องของชนชาติอิสราเอลมาถึงเราแล้ว ทั้งเราได้เห็นการบีบคั้นซึ่งชาวอียิปต์กระทำต่อเขาแล้ว 10เราจะใช้เจ้าไปเฝ้าฟาโรห์ เพื่อจะได้พาประชากรของเราคือชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์"
ช่างน่าชื่นใจนักที่เราเป็นประชากรของพระองค์ ลองฟังพระสุรเสียงของพระองค์ชัดๆ อีกครั้งสิคะ
“เจ้าเป็นประชากรของเรา”
1. ทรงเห็น พระเจ้าทรงสร้างเรามา ทรงเห็นชีวิตของเรา เราจะหนีไปไหนให้พ้นพระเจ้า แม้ในที่ลึกแห่งทะเลไกลโพ้น [สดด.139:9-10] “ถ้าข้าพระองค์จะติดปีกแสงอรุณ และอาศัยอยู่ที่ส่วนของทะเลไกลโพ้น แม้ถึงที่นั่น พระหัตถ์ของพระองค์จะนำข้าพระองค์และพระหัตถ์ขวาของพระองค์จะยึดข้าพระองค์ไว้”
2. ทรงได้ยิน พระกรรณของพระองค์สดับคำวอนของเราเสมอ ทรงสนพระทัยคำอธิษฐานของคนสิ้นเนื้อประดาตัว
3. ทรงรู้ พระเจ้าทรงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเรา พระเจ้าทรงรู้ใจของเรา และทรงยินดียิ่งนักเมื่อเราเข้าไปหาพระองค์ แม้เราไม่ต้องเอ่ยปากอะไร พระองค์ก็ทรงรู้หมดสิ้น
4. ทรงลงมา โดยพระคุณของพระองค์ ทรงส่งพระบุตรองค์เดียวลงมาจากฟ้าสวรรค์ เพื่อช่วยเราให้รอด
5. เราจะใช้เจ้าไป พระองค์ทรงเรียกเราให้รับใช้พระองค์ ตามพระประสงค์ของพระองค์ ดังนั้น หากเราตั้งใจรับใช้พระเจ้า เราก็ไม่ต้องกลัวอะไร พระองค์สัญญาว่าพระพรจะตกไปถึงลูกหลาน แม้ว่าตอนนี้เราจะรับใช้ด้วยความทุกข์เพียงใดก็ตาม (สดด.102:18)
ฮาเลลูยา!
เราได้ร่วมใจกันอธิษฐานเผื่อสำหรับผู้เจ็บป่วยคือ คุณพ่อของพี่หมู-สมภพ น้องยุ้ย-ลูกสาวคุณสุภาพ ซี อธิษฐานสำหรับ Alpha Weekend ที่กำลังดำเนินการอยู่ ณ พัทยา อธิษฐานเพื่อประเทศไทย อธิษฐานเพื่องานครบรอบ 27 ปีของคริสตจักร และอธิษฐานสำหรับทีมนมัสการ

วางใจพระเจ้า

วางใจพระเจ้า
วันที่ 26/6/2009

สืบเนื่องจาก Walk with Jesus ฉบับที่แล้ว ได้มีผู้ถามเข้ามาว่า แล้วตกลงจะเพิ่มอะไร จะตัดหรือลดอะไร เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดละจ๊ะ…ก็ตอบคำถามก่อนนะคะว่า สิ่งที่จะลดคือ การเรียนพระคัมภีร์ภาคค่ำ ให้เหลือเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ก็พอ ดังนั้น หากปรารถนาจะได้ปริญญาเหมือนนักศึกษารุ่นพี่ ก็คงต้องใช้เวลาประมาณ 7-10 ปี (แป่ว!) แต่ไม่เป็นไรคะ จะได้มีอาจารย์และเพื่อนหลายๆ คน อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างวางไว้ที่พระเจ้า…อีกรายการหนึ่งซึ่งจะตัดออกคือการที่ต้องอ่านหนังสืออื่นๆ ให้น้อยลง เพื่อจะมีเวลากับหนังสือของพระเจ้ามากขึ้น ส่วนสิ่งที่จะเพิ่มก็คือ ต้องนอนมากขึ้น โดยนอนอย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมง หรือหากนอนได้ 8 ชั่วโมงก็ยิ่งดี พร้อมทั้งปรับกิจกรรมบางรายการเพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต ทั้งนี้ เพื่อชีวิตที่สมดุลในทุกด้าน [สดด.16:9] “เพราะฉะนั้นจิตใจข้าพเจ้าจึงยินดีและจิตวิญญาณก็ปรีดา ร่างกายของข้าพเจ้าก็อาศัยอยู่อย่างปลอดภัยด้วย”
วันนี้ฉันขออนุญาตพาไปพบกับฉากหนึ่งใน 1 พกษ.18-19 เพื่อพบกับท่านเอลียาห์นะคะ เอลียาห์สามารถเอาชนะผู้เผยพระวจนะของพระบาอัลจำนวน 450 คนที่ภูเขาคารเมลได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าเอลียาห์ต้องทุ่มเทกำลังอย่างมากในการท้าทายผู้เผยพระวจนะเหล่านั้น โห! แค่มารตัวเดียวเราก็ต้องใช้พลังสู้อย่างมากอยู่แล้ว แต่นี่ มากันตั้ง 450 ตัว เอ้ย! คน เอลียาห์จึงต้องใช้พลังอย่างมากทางด้านจิตวิญญาณ ทั้งยังต้องเสียพลังงานในการฆ่าทั้ง 450 คน อีก งานนี้หินน่าดู เอลียาห์จึงเหนื่อยล้าทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และจิตวิญญาณ แต่นั่นยังไม่พอ เขายังไม่หยุดพัก เขาเผยพระวจนะกับกษัตริย์อาหับ และอธิษฐานขอฝนอีกต่างหาก เมื่อนางเยเซเบลส่งคนไปฆ่าเอลียาห์ เขาจึงต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปไกลหลายไมล์ และไปนอนหมดสภาพอยู่ใต้ต้นซาก…เอลียาห์ขาดสมดุลในชีวิต เขาเหนื่อยอ่อน ท้อแท้ จนกระทั่งเขาอธิษฐานต่อพระเจ้าให้เอาชีวิตไปจากเขาเสีย ช่างน่าเศร้าจริงๆ คะ พี่น้อง เขาไม่ได้วางแผนชีวิตตามที่เคยทำ เขารู้สึกกลัว หดหู่ ท้อใจ จนถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย และพระเจ้าก็ตรัสกับเขาว่า “เจ้าเหนื่อยเกินไป เจ้าจะต้องกินอาหารสัก 2 มื้อ และหลับยาวๆ สักตื่น” และเมื่อเอลียาห์ฟื้น กำลังของเขาก็กลับมา เขาเดินทางต่อไปยังโฮเรป และพระวจนะของพระเจ้าก็มาถึงเขาที่นั่น และด้วยพระคำของพระองค์ที่สดใหม่อยู่เสมอ เอลียาห์ก็ถูกส่งออกไปอีกครั้งเพื่อรับใช้พระองค์ต่อไป (ศึกษาเพิ่มเติมใน 1 พกษ.18-19 และหนังสือ กระบวนการสร้างผู้นำ ของจอยส์ ไมเออร์ นะคะ)
เรื่องราวของเอลียาห์ได้ย้ำเตือนให้ฉันรู้ว่า “สิ่งที่ดีเป็นศัตรูของสิ่งที่ดีที่สุด” นั้นเป็นอย่างไร การทำหลายอย่าง การสวมหมวกหลายใบ โดยไม่ประเมินกำลังของตนเอง ทำให้ยุ่งจนเกินไป แล้วอ่อนแอฝ่ายวิญญาณ ไม่เป็นพรต่อชีวิตตัวเองและต่อชีวิตผู้อื่นด้วย ถ้าอย่างนั้นเห็นทีต้องขอบคุณอาการไมเกรนซะละมั้ง ที่ทำให้ฉันได้กลับมาทบทวนการดำเนินชีวิตอีกครั้งหนึ่ง จนได้คำตอบว่า “สิ่งที่ดีที่สุด คือ การได้อยู่แทบพระบาทพระเจ้า” แค่นั้นยังไม่พอ ฉันยังได้รับบทเรียนที่ต่อเนื่องตามมาติดๆ ซึ่งพร้อมจะเล่าให้ทุกท่านฟังแล้ว…แท่น แทน แท้น
อาการไมเกรนเริ่มเล่นงานฉันตั้งแต่ต้นเดือน แต่เหตุการณ์ที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้นั้น เกิดขึ้นในช่วงวันที่ 15-21/6/2009 โดยฉันได้ไปพบแพทย์ในวันจันทร์ และหยุดงานต่อเนื่องทั้งวันอังคารและวันพุธ ส่วนวันพฤหัสบดี ตื่นมาตอนเช้าโดยไม่มีอาการปวดศีรษะแล้ว ฉันก็ดีใจว่าตัวเองหายแล้วนะ และก็โอ้ลั่นล้าไปทำงาน ยาไมเกรนก็ไม่ได้พกไป เพราะกินแล้วจะง่วงมาก อาจทำงานไม่ได้ เมื่อทำงานไปสักพักอาการไมเกรนก็ถามหา จนต้องลางานต่อในช่วงบ่าย เพื่อนที่ทำงานน่ารักใจดี ขับรถมาส่งถึงบ้าน ส่วนเพื่อนอีกคนหนึ่งซื้ออาหารกลางวันให้มาด้วย
เมื่อทานยาแล้วก็นอนสิคะ แต่ตื่นขึ้นมาก็กลับรู้สึกไม่อยากอยู่บ้านซะงั้น ทำไงดีล่ะ อยากไปต่างจังหวัด เปลี่ยนบรรยากาศ ปรารถนาอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และก็คิดถึงทะเล ‘โอ้ทะเลแสนงาม ฟ้าสีครามสดใส ข้าปรารถนาจะไป ข้าจะไปทะเล’ ไปทะเลดีกว่า ก็คิดจะไปชะอำตามลำพัง เพราะไม่คิดว่าจะไม่ใครว่างพอที่จะไปกับฉัน จึงถามเบอร์รีสอร์ทจากเพื่อน แต่ฉับพลันก็นึกถึงพี่น้อย พี่เลี้ยงฝ่ายวิญญาณขึ้นมา จึงสะบัดใจจากชะอำ ขอไปนอนบ้านพี่น้อยสักคืนดีกว่า เมื่อโทรหาพี่น้อย พี่น้อยก็เทศนากัณฑ์ใหญ่ว่าสาเหตุที่เป็นไมเกรนเพราะไม่รู้จักดูแลตัวเอง แต่พี่น้อยก็เต็มใจต้อนรับฉันด้วยความยินดี พร้อมทั้งบอกด้วยว่าในวันรุ่งขึ้นพี่น้อยกับกลุ่มสตรีซึ่งเรียนพระคัมภีร์กับพี่น้อยนั้นจะเดินทางไประยองกัน ว้าว! โลกนี้พระเจ้าประทาน พระเจ้าช่างรู้ใจจริงๆ ทรงใส่ใจหัวใจที่บอบช้ำของฉัน คืนนั้นฉันจึงได้ค้างคืนที่บ้านพี่น้อย
เข้าวันศุกร์ พี่น้อยปลุกแต่เช้าเพื่อจะพาไปวิ่งออกกำลังกายที่สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์ฯ ใกล้บ้าน ฉันก็เพลียเล็กน้อยเพราะในช่วงกลางคืนอาการไมเกรนเขากลับมาอีก...ฉันจึงได้รับบทเรียนเพิ่มเติมอีก 2 ประการ
1. ความเป็นคนดี รอบคอบ [มธ.5:48] “เหตุฉะนี้ท่านทั้งหลายจงเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนอย่างพระบิดาของท่าน ผู้ทรงสถิตในสวรรค์เป็นผู้ดีรอบคอบ” หากฉันพกยามา และรีบทาน อาการไมเกรนก็คงไม่กำเริบ และฉันคงจะนอนหลับด้วยความสันติตลอดคืน
2. ความไว้วางใจ…เพราะว่าฉันเป็นห่วงงานมาก ฉันจึงกลับไปทำงาน ทั้งๆ ที่อาการไมเกรนยังไม่หายขาด ฉันควรจะวางใจพระเจ้า มอบภาระงานทั้งหมดไว้กับพระองค์ มิใช่มาแบกเองเช่นนี้ [สภษ.16:3] “จงมอบงานของเจ้าไว้กับพระเจ้า และแผนงานของเจ้าจะได้รับการสถาปนาไว้”
พี่น้อยเตือนสติให้ฉันใส่ใจดูแลร่างกายให้มากกว่านี้ ให้สมกับที่พระเจ้าทรงรักเรา พระองค์จะเสียพระทัยเพียงใดที่ฉันไม่ดูแลร่างกาย ซึ่งเป็นพระวิหารของพระองค์ ฉันคงจะจากโลกนี้ไปเร็วกว่ากำหนด เนื่องจากไม่ดูแลตัวเอง [1คร.3:16] “ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน” พี่น้อยย้ำแล้วย้ำอีก ให้ฉันใช้ชีวิตอย่างสมดุลในทุกๆ ด้าน
ฉันไม่ได้ไปทะเลคะ แต่พระเจ้าทรงนำฉันไปอีกที่หนึ่ง ซึ่งฉันได้เห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่เหนือผู้คนของพระองค์ที่นั่น…พี่ต่าย น้องบอส (ลูกชายของพี่ต่าย) พี่น้อย และฉัน เดินทางไประยองในช่วงเย็น และถึงที่หมายในเวลาค่อนข้างดึก เราขอบคุณพี่ต่ายที่พาเรามาถึงที่พักด้วยความปลอดภัย สถานที่ซึ่งเราไปนั้นเป็นรีสอร์ทซึ่งซุกตัวอยู่ในสวนผลไม้พื้นที่ร้อยกว่าไร่ของพี่ต่ายและครอบครัว ปลูกไม้ผลไว้หลายชนิด เช่น มังคุด เงาะ ทุเรียน ลองกอง ระกำ ส้มโอ พวกเราทุกคนจึงได้สนุกสนานกับการทานผลไม้สดๆ จากต้น พี่ต่ายดูแลพวกเราเป็นอย่างดี เราสะดวกสบายและอิ่มหนำกับอาหารอย่างดีทุกมื้อ พอช่วงบ่าย บรรดาสตรีซึ่งเรียนพระคัมภีร์กับพี่น้อยก็ทะยอยตามมา เธอพาลูกและสามีมาด้วย พวกเราจึงไม่เหงาด้วยเสียงสดใสของเด็กๆ ตกกลางคืน เราสนุกสนานกับการปิ้งย่างบาร์บีคิว ชิมอาหารทะเล และจิบไวน์รสละมุนจากโรงงานของพี่ต่าย
B.J.Garden Vill Resort เป็นสถานที่ซึ่งเราไปแอบอิงยามสุดสัปดาห์ ด้วยบริการที่ประทับใจ อาหารอร่อย ราคาประหยัด นอกจากจะมีสวนผลไม้ล้อมรอบแล้ว รีสอร์ทดังกล่าวยังมีโรงงานผลิตไวน์ชั้นเลิศซ่อนตัวอยู่ด้วย ไวน์ของพี่ต่ายได้รับคัดเลือกจากทางการให้นำไปต้อนรับสำหรับงานสุดยอดผู้นำ APEC ซึ่งได้จัดขึ้นในเมืองไทย นอกจากนั้น ไวน์ของที่นี่ยังได้รับรางวัลนวัตกรรมดีเด่นจากยุโรปอีกด้วย แต่พี่ต่ายไม่ได้เดินทางไปรับรางวัลซะงั้น (แป่ว)
พี่ต่ายนำเราเยี่ยมชมกรรมวิธีผลิตไวน์ ซึ่งซับซ้อนมาก พี่ต่ายมีตะลันต์ในการคิดค้นสูตรไวน์ใหม่ๆ เสมอ โรงงานแห่งนี้จึงผลิตไวน์คุณภาพจากพืชในท้องถิ่น เช่น มังคุด กระชายดำ แมงเม่า ลูกยอ และอาจจะมีอีก แต่ฉันจำไม่ได้ รู้แต่ว่า ยังมีการผลิต น้ำมังคุด มังคุดกวน ทุเรียนกวน อีกด้วย…แม้ว่ากิจการรีสอร์ทและสวนผลไม้จะดำเนินไปด้วยดี แต่พี่ต่ายก็ปรารถนาที่จะขาย โดยพี่ต่ายมุ่งที่จะดำเนินกิจการด้านไวน์อย่างเดียว เพื่อที่พี่ต่ายจะสามารถรับใช้พระเจ้าได้อย่างเต็มกำลังมากขึ้น
เช้าวันอาทิตย์ มีการนมัสการร่วมกัน นำโดยมือกีตาร์ชาวสิงคโปร์ จากนั้นพี่น้อยจึงเทศนาในหัวข้อ “วางใจพระเจ้า” โอ้โห ฉันกำลังขับเคี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พอดีเลย สิ่งที่พี่น้อยเทศนาจึงทันเวลาสำหรับฉัน แต่มิเพียงเท่านั้น หลายคนก็พูดว่า พระเจ้าก็ตรัสกับเขาผ่านทางการเทศนาของพี่น้อยเช่นกัน เช่น น้องบอส ลูกชายสุดหล่อของพี่ตาย เพิ่งรับเชื่อและบัพติศมาเมื่อปีที่ผ่านมา ขณะนี้กำลังเรียนชั้นปีที่ 1 ในสาขาด้านวิศวกรรม ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นานาชาติ บอสตั้งใจว่าจะเรียนให้ได้เกรด 4 ทุกวิชา พร้อมทั้งตั้งแผนการในการไปเรียนต่อต่างประเทศไว้ด้วย เมื่อจบการเทศนา บอสได้แบ่งปันว่า บอสยอมแล้ว บอสไม่เอาแล้วสำหรับความตั้งใจของตนเอง บอสคิดแต่ว่าบอสจะทำอย่างนั้น จะทำอย่างนี้ แล้วขอพระเจ้าอวยพรสำหรับสิ่งที่บอสคิด ซึ่งเป็นความบาปแห่งความหยิ่งผยอง การไม่ไว้วางใจ และเป็นการพึ่งพาความรอบรู้ของตัวเอง ต่อไปนี้ บอสจะทูลถามพระเจ้าก่อนว่าทรงปรารถนาจะให้บอสทำสิ่งใด แล้วบอสก็จะทำอย่างเต็มกำลัง
[รม.9:15-16] “เพราะพระองค์ตรัสกับโมเสสว่า เราประสงค์จะกรุณาผู้ใด เราก็จะกรุณาผู้นั้น และเราจะเมตตาใคร เราก็จะเมตตาผู้นั้น เพราะฉะนั้นทุกสิ่งจึงไม่ขึ้นแก่ความตั้งใจหรือการตะเกียกตะกาย แต่ขึ้นอยู่กับพระกรุณาของพระเจ้า” พระคัมภีร์ข้อนี้แทงทะลุจิตวิญญาณของฉันอย่างจริงจัง ขณะเฝ้าเดี่ยวในวันเสาร์ ฉันจึงได้คุยเรื่องนี้กับพี่น้อย และให้พี่น้อยอธิษฐานเผื่อ ฉันทูลต่อพระเจ้าว่า ฉันยอมจำนนต่อพระองค์ ฉันยอมพระองค์ทุกอย่าง ที่ผ่านมา ฉันทำหลายอย่างด้วยความตั้งใจและความสามารถของตนเอง ฉันจะกะแผนงานของตัวเองไว้ (Plan before Pray) เช่น เมื่อเรียนจบ จะต้องทำงานที่นั่นที่นี่ จะซื้อบ้านภายในเวลากี่ปี จะซื้อรถภายในเวลากี่ปี จะเก็บเงินให้ได้จำนวนเท่าไรภายในระยะเวลากี่ปี จะเป็นนั่นเป็นนี่ภายในเวลากี่ปี เป็นต้น ฉันทำผิดอย่างมหันต์ทีเดียว ที่คิดแผนงานของตนเอง แล้วบังคับให้พระเจ้าอวยพรแผนงานที่ฉันคิดขึ้นมา โดยมิได้ถามพระองค์สักนิดว่า พระองค์ปรารถนาจะให้ฉันทำอะไร หรือเป็นอะไร ทั้งๆ ที่พระเจ้าทรงตรัสสอนไว้แล้ว แต่ฉันกลับไม่เชื่อฟัง [สภษ.3:5] “จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง” พระเจ้าตรัสแล้วแน่แท้ไม่แปรเปลี่ยน แต่ฉันกลับทำตรงกันข้าม ฉันไม่ได้ถ่อมใจฟังพระสุรเสียงของพระองค์เลยแม้แต่นิดเดียว ฉันก็ไม่ต่างอะไรกับลูซิเฟอร์เลย
พี่น้อยเทศนาด้วยหัวข้อ “การวางใจพระเจ้า” ซึ่งสรุปได้ดังนี้
การวางใจ หมายถึง ความมุ่งหวัง ความมั่นใจในความสัตย์ซื่อ ในคุณธรรม ในความสามารถ หรือในคุณลักษณะของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
พระเจ้าสร้างเรามาเพื่อพระเกียรติยศของพระองค์ ทรงสร้างเรามาเพื่อนมัสการพระองค์ พระองค์ทรงสะอิดสะเอียดความหยิ่งยโส ดังนั้น เราจึงต้องเดินกับพระองค์ด้วยความไว้วางใจ อย่าพึ่งพาตนเองหรือผู้อื่น พึ่งพาพระองค์เท่านั้น
1. อย่าวางใจตนเอง อย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง แสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้าก่อนเสมอทุกครั้ง ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ตาม (สภษ.3:5-7)
2. อย่าวางใจในเจ้านาย (ผู้มีตำแหน่งสูงกว่าเรา หรือผู้มีอำนาจ ผู้มีอิทธิพลทั้งหลาย ฯลฯ) เมื่อมีปัญหา ให้พึ่งพาและปรึกษาองค์พระเจ้าสูงสุดก่อนผู้อื่น เมื่อเดินในทางของพระเจ้า การยกย่องก็มาจากพระองค์ (สดด. 75:6-7, สดด.118:8-9, 1 ซมอ. 2:6-9)
3. จงวางใจในพระเจ้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม จงวิ่งเข้าหาพระเจ้าก่อน แสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ก่อนเสมอ พระเจ้าเกี่ยวข้องกับเราในทุกทาง ทรงรักเรามาก ทรงทอดพระเนตรความหวังใจของเรา ทรงเคลื่อนไหวในทุกเหตุการณ์ของเรา พระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่ง (สดด.121:1-8, สดด.62:8, สดด.42:11, ยรม.33:3)
พี่น้อยตบท้ายด้วยพระวจนะใน [1พศด.29:11-12] “ข้าแต่พระเจ้าความยิ่งใหญ่ ฤทธานุภาพ พระสิริชัยชนะและความโอ่อ่าตระการเป็นของพระองค์ และบรรดาสิ่งที่มีอยู่ในฟ้าสวรรค์ และในแผ่นดินโลกเป็นของพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า ราชอาณาจักรเป็นของพระองค์ และพระองค์ทรงเป็นที่ยกย่องเป็นจอมของสิ่งสารพัด ทั้งความมั่งคั่งและเกียรติมาจากพระองค์ และพระองค์ทรงครอบครองอยู่เหนือทุกสิ่ง ฤทธานุภาพและมหิทธิฤทธิ์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และอยู่ที่พระหัตถ์ของพระองค์ที่จะทรงกระทำให้ใหญ่ยิ่งและประทานกำลังแก่ทั้งมวล”
การวางใจพระเจ้าเป็นเรื่องที่ยากจริงๆ ฉันทำไม่ได้ มันยากมาก ขอบอก! แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงอยู่ฝ่ายฉัน ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพระองค์ อย่างไรก็ตาม ฉันรู้ว่าจะต้องพบกับสนามสอบเรื่องการวางใจในมิติที่ยากขึ้นเรื่อยๆ และการถ่อมใจเท่านั้นที่จะทำให้ฉันผ่านไปได้ ขอพระเจ้าทรงโปรดเมตตาช่วยฉันในเรื่องนี้ [สดด.25:9] “พระองค์ทรงนำคนใจถ่อมไปในสิ่งที่ถูก และทรงสอนมรรคาของพระองค์แก่คนใจถ่อม”
ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงอภัยให้เมื่อฉันกลับใจ ฉันต้องเก็บแผนงานทุกอย่างที่คิดไว้พับใส่กระเป๋าและโยนลงทะเลไป และจะไม่ขุดมันขึ้นมาอีก พร้อมทั้งมอบงานทั้งสิ้นไว้กับพระเจ้า ฉันไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้วว่าฉันจะทำงานปัจจุบันได้นานแค่ไหน จะมีเงินเท่าไร จะเป็นอะไร จะทำอะไรในอนาคต (Pray before Plan) …และแล้วสันติสุขซึ่งเกินความเข้าใจก็ซาบซ่านอยู่ในวิญญาณจิต
โธ่ เธอจ๋า ถ้าวางใจพระเจ้าซะตั้งแต่แรก ก็ไม่ต้องเป็นไมเกรนแล้ว!