Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

สอง-เจ็ด-สิบสี่

สอง-เจ็ด-สิบสี่
วันที่ 19/5/2009

คุณคงเคยเห็นถุงปุ๋ยเคมีมาบ้างแล้ว บนถุงปุ๋ยมักปรากฏเลขสามตำแหน่งด้วยกัน เช่น 16–16–8, 18–16–0 หรือ 46–0–0 ตัวเลขตำแหน่งแรก หมายถึงไนโตรเจนทั้งหมด (N) เลขตำแหน่งที่สอง หมายถึงฟอสเฟตที่เป็นประโยชน์ต่อพืช (P205) และตัวเลขตัวสุดท้าย หมายถึงโพแทสเซียมที่ละลายในน้ำได้ (K20) ในกรณีที่ปุ๋ยมีธาตุอาหารเพียงชนิดเดียว เราเรียกปุ๋ยดังกล่าวว่าปุ๋ยเชิงเดี่ยว ตัวอย่างเช่น ปุ๋ยสูตร 16–16–8 หมายถึง ปุ๋ย 100 กิโลกรัม มีธาตุอาหารที่เป็นไนโตรเจนทั้งหมด 16 กิโลกรัม ฟอสเฟตที่เป็นประโยชน์ต่อพืช 16 กิโลกรัม และโพแทสเซียมที่ละลายน้ำ 8 กิโลกรัม เป็นต้น
อ้าว! แล้วกัน นี่เป็นบทความเกี่ยวกับการเกษตรหรือไร เลิกอ่านดีกว่า…ว้า! อย่าเพิ่งเลิกอ่านนะคะ อ่านต่อหน่อยละกัน เพราะสาเหตุที่กล่าวอ้างเรื่องสูตรปุ๋ยเคมีข้างต้น ก็เพื่อนำมาซึ่งความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับสูตรปุ๋ย 2-7-14 ซึ่งเป็นสูตรปุ๋ยชีวิต คุณภาพไร้เทียมทาน เป็นสูตรรักษาแผ่นดินให้หาย ซึ่ง อ.ซิดนีย์ นำมาแบ่งปันนั่นเอง [2 พศด.7:14 ถ้าประชากรของเราผู้ซึ่งเขาเรียกกันโดยชื่อของเรานั้นจะถ่อมตัวลง และอธิษฐาน และแสวงหาหน้าของเรา และหันเสียจากทางชั่วของเขา เราก็จะฟังจากสวรรค์ และจะให้อภัยแก่บาปของเขา และจะรักษาแผ่นดินของเขาให้หาย]
ชาวโลกใช้ปุ๋ยเคมีสูตรต่างๆ เพื่อให้พืชผลงอกงามดีฉันใด ผู้เชื่อก็จะสูตรปุ๋ยแห่งชีวิต 2 พศด. 7:14 เพื่อรักษาแผ่นดินให้หาย ยิ่งไปกว่านั้น
อาจารย์วรพงศ์ จริยพฤทธิพงศ์ (อ.ซิดนีย์) ให้เกียรติมาเทศนาที่นิมิตใหม่อีกครั้งเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา อาจารย์ได้แบ่งปันถึงพระราชกิจอันมีพระคุณทั้งสิ้นของพระเจ้ามากมาย ซึ่งหนึ่งในพระราชกิจนั้น คือการฟื้นฟูในเขตภาคเหนือ โดยเฉพาะในอำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งไฟแห่งการฟื้นฟูลุกโชนและโหมกระพือออกไปโดยรอบ ทั้งยังค่อยๆ เคลื่อนจากภาคเหนือลงมา และจะเคลื่อนไปจรดภาคใต้ของแผ่นดินไทย แต่ก็มิใช่เพียงแค่นั้น พระเจ้าทรงใช้ชาวอมก๋อย ทรงใช้คนกระเหรี่ยงให้ออกไปจนสุดปลายแผ่นดินโลก ชาวบ้านอมก๋อยผู้เล็กน้อยมีฝันที่ยิ่งใหญ่ มีนิมิตที่ยิ่งใหญ่ เพื่อรับใช้พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่
ในช่วงปีหลังๆ ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างอัศจรรย์ ด้วยเพราะพระราชกิจอันทรงฤทธิ์และอัศจรรย์ของพระเจ้า [สดด.77:11-15 ข้าพเจ้าจะระลึกถึงพระราชกิจทั้งปวงของพระเจ้า พระเจ้าข้า ข้าพระองค์จะจดจำบรรดาการอัศจรรย์ของพระองค์ในสมัยก่อนๆ ข้าพระองค์จะตรึกตรองถึงพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์ และรำพึงถึงพระราชกิจอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า วิธีการของพระองค์บริสุทธิ์ พระองค์ใดจะยิ่งใหญ่อย่างพระเจ้าของเรา พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงกระทำการอัศจรรย์ ผู้ทรงสำแดงฤทธานุภาพของพระองค์ท่ามกลางชนชาติทั้งหลาย พระองค์ได้ทรงไถ่ประชากรของพระองค์ด้วยพระกรของพระองค์ คือเชื้อสายของยาโคบ และโยเซฟ] จากพื้นดินซึ่งแห้งแล้งกันดาร จากแผ่นดินที่ไม่มีผู้ใดปรารถนาจะย่างกรายเข้าไปเยือน จากพื้นที่ซึ่งทางราชการใช้ลงโทษข้าราชการที่ประพฤติมิชอบ กล่าวคือ เมื่อผู้ใดกระทำผิด ก็จะถูกส่งไปดัดสันดานที่อำเภออมก๋อย เสมือนการลงโทษให้อยู่ในดินแดนที่ไกลปืนเที่ยงแร้นแค้น แต่นั่นก็เป็นเพียงอดีต ด้วยว่าอมก๋อยเปลี่ยนไปมาก โดยพระคุณของพระเจ้า ได้เกิดการพลิกฟื้นในทุกหัวระแหง คนบาปกลับใจ แสวงหาพระเจ้า อดอาหารอธิษฐานด้วยใจร้อนรน สัตย์ซื่อในการถวายสิบลด และพระเจ้าก็ทรงอวยพรทุกคนที่ร้องทูล ทรงอวยพรครอบครัวของเขา การงาน และทุกสิ่งในการครอบครองของเขา ทรงอวยพรให้เกิดพืชผลอันอุดม ทรงทำให้ชาวบ้านที่ยากจนที่สุดในอันดับต้นๆ ของประเทศ กลับกลายเป็นชาวบ้านที่มีอันจะกิน ซึ่งทั้งหมดนี้ เป็นเพราะชาวบ้านเรียนรู้เคล็ดลับในการเข้าสนิทกับพระเจ้า แสวงหาพระองค์ด้วยสูตร 2-7-14 ซึ่งพระองค์ทรงสัญญาที่จะประทานพระพรนานาประการให้กับผู้เชื่อทั้งหลาย ขอเพียงเราร้องทูลต่อพระองค์ด้วยใจจริงเท่านั้น
พระเจ้าทรงสร้างเรามาเพื่อนมัสการพระองค์ พระเจ้าทรงเรียกเรามาเพื่อรับใช้พระองค์ แต่สาเหตุที่ทรงสร้างและทรงเรียกเรานั้น ก็เนื่องด้วยทรงรักเรา ทรงปรารถนาที่จะอวยพรเราทุกคน และการเชื่อฟังก็เป็นเคล็ดลับสำคัญที่จะเปิดบัญชรฟ้าสวรรค์ให้พระเจ้าทรงเทพระพรลงมายังชีวิตของเรา
พระเจ้าทรงมีพระพรสำหรับทุกคน 100% ทุกวัน แต่หลายครั้งเช่นกันที่บางคนไม่สามารถรับพระพรจากพระองค์ได้เต็มร้อย ทั้งนี้เนื่องด้วยความบาปที่ไม่ยอมชำระ อันเป็นเหตุให้ฟ้าสวรรค์เป็นทองสัมฤทธิ์
ชาวบ้านอมก๋อยเป็นแบบอย่างที่ดีในการแสวงหาพระเจ้า เขาฟังเสียงพระเจ้า ซึ่งพระเจ้าก็ทรงตรัสกับคุณเช่นกันว่า “จงทูลเรา และเราจะตอบเจ้า และจะบอกสิ่งที่ใหญ่ยิ่งและที่ซ่อนอยู่ ซึ่งเจ้าไม่รู้นั้นให้แก่เจ้า” [ยรม.33:3]
สิ่งที่ใหญ่ยิ่งและที่ซ่อนอยู่คืออะไร?…แน่นอนว่า พระเจ้ามักทำในสิ่งที่เราคิดไม่ถึง และไม่ขึ้นอยู่กับความสามารถของเรา แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราเชื่อและวางใจพระองค์แค่ไหน และเรายอมกับพระองค์มากน้อยแค่ไหนต่างหาก

“เงินเดือนมากมาย ผมไม่เอา ผมขออยู่เพื่อรับใช้พระเจ้า เพื่อเห็นการฟื้นฟู” (อ.ซิดนีย์)
ขอพระเกียรติทั้งสิ้นจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด…ฮาเลลูยา

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เรียงฟืน

เรียงฟืน
วันที่ 3/5/2009
เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนศิษยาภิบาลได้แบ่งปันเรื่องการเรียงฟืนจากบทปฐมกาล [ปฐก.22:9 เมื่อเขาทั้งสองมาถึงที่ซึ่งพระเจ้าตรัสบอกเขาไว้ อับราฮัมก็สร้างแท่นบูชาที่นั่น เรียงฟืนเป็นระเบียบ แล้วมัดอิสอัคบุตรชายวางไว้บนแท่นบูชาบนฟืน] เมื่อฟังแล้ว รู้สึกได้ว่าพระคำแตะลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งของจิตใจ ภาพของการเรียงฟืนในใจของฉันไม่เคยชัดเจนเช่นนี้มาก่อนเลย ฉันรู้จักพระคัมภีร์ข้อนี้ดี ทั้งยังได้ยินได้ฟังมามาก เพราะหลายคนมักหยิบยกเรื่องอับราฮัมถวายบุตรมาแบ่งปัน แต่ฉันเพียงแค่รู้เท่านั้น ฉันยังไม่เข้าใจอย่างแท้จริง แม้จนบัดนี้ ฉันก็คิดว่ายังเข้าใจได้ไม่หมด พระคำของพระเจ้าลึกซึ้งและสดใหม่อยู่เสมอ แต่ฉันขอบคุณพระเจ้า ศิษยาภิบาลทำให้ฉันเข้าใจเพิ่มขึ้นถึงภาพของการนมัสการ การที่เราจะไปถึงแท่นบูชาของพระเจ้า การจะอุทิศถวายเพื่อพระองค์นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเตรียมการให้พรักพร้อม กล่าวคือ ต้องเตรียมชีวิตในทุกด้าน เตรียมจิตใจ จิตวิญญาณ เพื่อให้มือสะอาดและใจบริสุทธิ์ ก่อนที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้า ประดุจดังการเรียงฟืนให้เป็นระเบียบก่อนการถวายเครื่องบูชา
การเรียงฟืนที่บันทึกไว้ในเลวีนิติก็ให้ภาพที่ชัดเจนเช่นเดียวกัน [ลนต.1:7 และบุตรของอาโรนผู้เป็นปุโรหิตจะก่อไฟที่แท่น และเรียงฟืนบนไฟ] การเรียงฟืนดังกล่าวทำให้ฉันกลับมาทบทวนตนเองอีกครั้งว่า การดำเนินชีวิตของฉันได้เรียงฟืนให้เป็นระเบียบหรือยัง และก็พบว่า ชีวิตฉันยังไม่เป็นระเบียบเท่าที่ควร ชีวิตยังคงไร้ระเบียบ ยุ่งเหยิง ทั้งๆ ที่พระเจ้าของเรามิใช่พระเจ้าแห่งความยุ่งเหยิง ดังนั้น เมื่อชีวิตของฉันยังคงยุ่งเหยิง ไร้ระเบียบวินัยอยู่ ก็แสดงว่า ฉันยังไม่ได้ดำเนินชีวิตอย่างที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ ฉันต้องเรียงฟืน ต้องฝึกวินัยอีกหลายประการ
[สภษ.6:23 เขาตายเพราะขาดวินัยในชีวิต และเพราะความโง่อย่างยิ่งของเขา เขาจึงหลงเจิ่นไป] โอ้โห ข้าน้อยขอคารวะท่านซาโลมอน สุภาษิตข้อนี้โดนอย่างจัง ถ้าทั้งขาดวินัยและยังโง่อีกละก็ ชีวิตคงต้องตายจริงๆ…“จะตายเพราะขาดวินัย” ฮาไม่ออกเลย และเมื่อได้อ่านหนังสือเรื่อง กระบวนการสร้างผู้นำ ของจอยส์ ไมเออร์ ซึ่งกล่าวถึงเรื่องวินัยไว้ว่า “ผู้นำจะต้องมีวินัย” ซึ่งผู้นำที่แท้จริงคือ ผู้ที่สามารถบังคับใจควบคุมตนเองได้ ซึ่งดีกว่าการตีเมืองได้ซะอีก โอ้โห สุดยอด เจ๋งจริงๆ ฉันรับมาเต็มๆ และก็ตั้งใจว่านับแต่นี้เป็นต้นไปจะฝึกตัวเองให้อยู่หมัดมากขึ้น ขอพระเจ้าจะทรงเปิดเผยวินัยที่ฉันยังบกพร่องอยู่ให้ฉันรู้ด้วย
วินัยซึ่งฉันจะต้องรับการเปลี่ยนแปลงโดยทันทีมี 4 เรื่องด้วยกัน และฉันเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงช่วยให้ฉันไม่อ่อนล้าในการทำความดี ในการฝึกระเบียบวินัยให้เป็นไปตามน้ำพระทัยเจ้า เพื่อให้ฉันพรักพร้อมในการทำการดีในวิถีทางของพระองค์ เหมือนกับที่ทรงช่วยให้ฉันฝึกวินัยด้านอื่นมาแล้ว [1ทธ.4:8 เพราะถ้าการฝึกทางกายนั้นมีประโยชน์อยู่บ้าง ทางของพระเจ้าก็มีประโยชน์ในทุกทาง เพราะทรงไว้ซึ่งประโยชน์สำหรับชีวิตปัจจุบันและชีวิตอนาคตด้วย]
ฉันต้องเรียงฟืน เรียงชีวิต ฝึกฝนระเบียบวินัยในเรื่องต่อไปนี้
1. การออกกำลังกาย เพราะขาดการออกกำลังกายที่ดีอย่างเพียงพอ ร่างกายจึงอ่อนแอและป่วยบ่อย ทั้งๆ ที่ สถานที่ซึ่งฉันอาศัยอยู่นั้นมีห้องออกกำลังกายและอุปกรณ์พร้อมสรรพ มีสระว่ายน้ำให้ว่ายเล่นเย็นใจ แต่ฉันแทบจะไม่ได้ไปใช้บริการเลย เหตุผลที่ไม่ได้ออกกำลังกายก็มีมากมายที่จะอ้าง แต่เบื้องลึกเบื้องหลังคือ “ความขี้เกียจ และ การขาดวินัย” นั่นเอง
2. การกิน ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงให้ฉันนั้นอิ่มบริบูรณ์ แต่ทว่า หลายครั้ง ฉันกลับละเลยพระพรจากการกิน ปล่อยให้การกินเป็นช่องทางให้มารโจมตี เช่น กินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ กินเพราะเห็นแก่ความอร่อย กินอาหารฟุ่มเฟือย กินอาหารไม่เป็นเวลา เป็นต้น [ลก.12:29 ท่านทั้งหลายอย่าเสาะหาว่าจะกินอะไรดีหรือจะดื่มอะไร และอย่ามีใจกังวล]
3. การฝึกภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษเป็นสิ่งสำคัญในการทำงาน ตลอดจนการรับใช้พระเจ้า แต่ฉันกลับละเลยไม่ใส่ใจเท่าที่ควร ภาษาอังกฤษจึงยังไม่พัฒนาไปไหน 3 ปีที่แล้วเป็นอย่างไร ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่อย่างนั้น เผลอๆ อาจจะด้อยพัฒนาลงอีกต่างหาก…ไม่ได้แล้ว ฉันต้องเริ่มต้นใหม่ แม้ว่าจะไม่ค่อยได้ใช้ภาษาอังกฤษมากเหมือนก่อนแล้ว แต่ฉันก็ต้องฝึกฝนที่จะใช้ทุกวัน
4. การดูละครน้ำเน่า ฉันเป็นคนที่ดูละครน้อยมาก กล่าวคือ สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เท่านั้น ฉันรู้ว่าสิ่งนี้ทำให้เสียเวลา และรู้ดีว่าสิ่งนี้มีผลกระทบทางลบต่อจิตวิญญาณของฉัน แต่บางครั้งก็ยังอดดูไม่ได้ เช่น เมื่อกลับถึงบ้านตอนเย็นก็จะดูข่าว และเลยเถิดดูละครหลังข่าวด้วย ฉันก็กินข้าวไปดูละครไป รู้สึกเพลินๆ จนกินข้าวเสร็จแล้ว ละครยังไม่จบ แต่อยากรู้ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรก็ติดตามต่อ กว่าละครจะจบก็ดึก ซึ่งแย่งชิงเวลาที่ฉันควรนั่งลงแทบพระบาทของพระเจ้าไป [1ทธ.4:7 อย่าใส่ใจกับเทพนิยายอันหาสาระมิได้ จงฝึกตนในทางธรรม]
ฉันเคยคิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กน้อย โดยหารู้ไม่ว่าเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้นี่แหละที่จะเป็นอุปสรรคขวางกั้นการเติบโตในทางของพระเจ้า ดังนั้น ฉันจึงต้องก้าวผ่านไปให้ได้ เพราะหากฉันไม่ผ่านเรื่องเหล่านี้ พระเจ้าจะไว้วางใจให้ฉันทำสิ่งใหญ่กว่านี้ได้อย่างไร [ยรม.12:5 "ถ้าเจ้าวิ่งแข่งกับมนุษย์ และเขาทำให้เจ้าเหน็ดเหนื่อย เจ้าจะแข่งกับม้าได้อย่างไร และถ้าเจ้ายังล้มลงในแผ่นดินที่ปลอดภัย เจ้าจะทำอย่างไรในดงลุ่มแม่น้ำจอร์แดน]
“นี่ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย นิสัยที่ดี ฯลฯ แต่ยังเกี่ยวข้องกับการสร้างคุณภาพชีวิตภายในที่ดี เมื่อคุณมีชีวิตที่สมดุล มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้าและตัวเอง คุณก็จะมีความสมบูรณ์ในวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย” (คัดลอกจากหนังสือ “ทางออก” หน้า 213 โดย อนิต้า บาร์คเคอร์)

หลับสบาย‏

หลับสบาย
วันที่ 2/5/2009
การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับร่างกายของเรา ซึ่งผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าโดยเฉลี่ยแล้วควรจะนอนวันละ 8 ชั่วโมง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลเป็นสำคัญ สำหรับฉันแล้วนอนวันละ 6 ชั่วโมง ก็เพียงพอ แต่ถ้าวันไหนงานหนักเป็นพิเศษ เหนื่อยมาก ก็ต้องการนอนมากกว่า 6 ชั่วโมง และก็ขอบคุณพระเจ้า หากจำเป็น ก็สามารถนอนได้วันละ 4 ชั่วโมงเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นแบบนี้บ่อยๆ ฉันก็เหมือนโดนน็อค และพาลป่วยไปเลย
มีผู้รับใช้พระเจ้าที่ฉันรู้จักท่านหนึ่ง นอนเพียงวันละ 2 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ระหว่างวันท่านก็งีบเล็กๆ น้อยๆ เช่น ขณะนั่งรอคิวเพื่อทำอะไรบางอย่าง หรือแม้แต่ขณะขับรถติดไฟแดง ท่านก็สามารถงีบได้ และท่านสามารถตื่นได้เมื่อไฟเขียวมา หรือบางครั้งช่วงเวลาเสี้ยวนาทีหนึ่งท่านก็อาจจะหลับตาขับรถ เอ้อเหอ! เสียวสันหลังวูบเลย ประกันที่ไหนก็ช่วยไม่ได้แล้ว ต้องอธิษฐานลูกเดียวเลย สำหรับผู้ที่นั่งคู่ไปด้วย (คำแนะนำทั่วไป…เป็นความสามารถพิเศษเฉพาะบุคคล ห้ามเลียนแบบ!)
พระธรรมสดุดี 127:2 กล่าวไว้ว่า “พระองค์ประทานแก่ผู้ที่รักของพระองค์ ให้หลับสบาย” โอ้โห! อ่านแล้วทำตาโตด้วยนะคะ ตื่นเต้น พระเจ้าช่างน่ารักอะไรเช่นนี้ ทรงให้เราหลับสบาย ก็เพราะว่าเรารักพระองค์ไง และทำอย่างไรจึงจะได้ขึ้นชื่อว่ารักพระองค์ ก็คือ การเชื่อฟัง และกระทำตามน้ำพระทัยของพระองค์นั่นเอง ทำในสิ่งที่พระองค์อนุญาต และไม่ทำในสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม หากเมื่อทำเช่นนี้แล้ว จะทำงานอะไร จะเดินไปทางใด องค์อัลฟาและโอเมกาก็จะประทานความสำเร็จให้กับเรา และเราผู้ที่รักพระองค์นั้น ก็จะหลับสบาย [สดด.127: 1-2 ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงสร้างบ้าน บรรดาผู้ที่สร้างก็เหนื่อยเปล่า ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงเฝ้าอยู่เหนือนคร คนยามตื่นอยู่ก็เหนื่อยเปล่า เป็นการเหนื่อยเปล่า ที่ท่านลุกขึ้นแต่เช้ามืดนอนดึก และกระหืดกระหอบกินอาหาร เพราะพระองค์ประทานแก่ผู้ที่รักของพระองค์ ให้หลับสบาย]
มนุษย์เราหลับสบายวันละหลายชั่วโมง ในขณะที่พระเจ้าของเรานั้น ทรงตื่นอยู่เสมอ มิเคยหลับสนิทหรือนิทรา เพราะพระองค์เป็นปฐมและอวสาน ทรงอัศจรรย์เหนือกาลเวลา ก่อนนอนเราจึงพบพระองค์ ตื่นขึ้นมาเราก็พบพระองค์ แม้ขณะหลับ พระองค์ก็ปลอบโยนเรา [สดด.121:4-8 ดูเถิด พระองค์ผู้ทรงอารักขาอิสราเอล จะไม่ทรงหลับสนิทหรือนิทรา พระเจ้าทรงเป็นผู้อารักขาท่าน พระเจ้าทรงเป็นที่กำบังที่ข้างขวามือของท่าน ดวงอาทิตย์จะไม่โจมตีท่านในเวลากลางวัน หรือดวงจันทร์ในเวลากลางคืน พระเจ้าจะทรงอารักขาท่านให้พ้นภยันตรายทั้งสิ้นพระองค์จะทรงอารักขาชีวิตของท่าน พระเจ้าจะทรงอารักขาการเข้าออกของท่าน ตั้งแต่กาลบัดนี้สืบไปเป็นนิตย์]
หลายครั้งที่ฉันมีเรื่องรบกวนจิตใจ มีปัญหาที่แก้ไขไม่ตก มีความกังวลบางอย่างที่ยังไม่หลุดไประหว่างวัน ค่ำคืนของวันนั้น ฉันจะเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยจิตใจที่ฟกช้ำ ทว่า ใช้เวลากับพระองค์อย่างไรก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นพันธนาการที่ตึงรัดไว้ได้ ฉันได้แต่ทูลพระเจ้าว่า “พระบิดาเจ้าข้า ลูกอ่อนแอ ลูกเหน็ดเหนื่อย ลูกไม่รู้ว่าลูกจะทำอย่างไร ลูกขอพึ่งพาพระองค์” และฉันก็หลับไปด้วยน้ำตา แต่บางครั้งก็หลับไปด้วยอาการเครียด (คร่อก ฟี้)…ฮาเลลูยา ขอบคุณพระเจ้า ฉันพบว่าเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ฉันมีสันติสุขดังที่ปรารถนา พระเจ้าทรงเยียวยาหัวใจในขณะที่ฉันนอนหลับ พระเจ้าของเรามิทรงหลับจริงๆ
ค่ำคืนที่ผ่านมา พระเจ้าก็ทรงเยียวยาฉันอีกครั้ง…เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ฉันยอมรับว่าฉันผิดพลาดไป แต่เมื่อฉันทูลสารภาพบาปต่อพระองค์ ขอการเยียวยาจากพระองค์ พระองค์ก็ทรงสัตย์ซื่อเสมอนิรันดร์
ช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ฉันไม่ได้กลับบ้านไปหาแม่เลย เพราะส่วนใหญ่แม่จะเป็นฝ่ายมาหาและมานอนค้างคืนด้วยที่คอนโด แต่เมื่อวานฉันกลับไปนอนค้างบ้านแม่ หลังจากมีความสุขกับเรื่องราวสนุกสนานที่เล่าสู่กันฟังตามประสาแม่ลูกแล้ว ฉับพลันฉันก็ต้องสะกดอารมณ์ไว้ แต่ฉันสะกดไม่อยู่ เพราะเมื่อเข้าไปในห้องนอนของฉัน ก็พบสภาพที่ไม่อาจนอนได้ เพราะคุณแมงมุมชักใยอย่างสนุกสนานอยู่บนเพดาน น้องจิ้งจกก็ไล่งับมดอย่างเพลิดเพลิน เพราะว่าคุณมดมากินแมลงสาบที่ตายแล้ว และเพียงแค่เอานิ้วแหย่ๆ ส่วนใดส่วนหนึ่งของห้อง ก็จะได้ฝุ่นดำๆ กองโตติดมือมา ทั้งบนเตียง โต๊ะเครื่องแป้ง โต๊ะเขียนหนังสือ และอุปกรณ์ทุกชิ้นที่อยู่ในห้องนั้น ตลอดจนบนเตียงนอนก็มีเศษปูนจากฝ้าเพดานหลายก้อนกระจัดกระจายเกลื่อนอยู่บนเตียง เมื่อเปิดผ้าคลุมเตียงออก ก็ต้องร้องยี้ เพราะนอนไม่ได้เด็ดขาด ฝุ่นเต็มเลย สรุปก็คือ ห้องนี้ไม่ได้เจอกับอุปกรณ์ทำความสะอาดเลยตลอดระยะเวลาที่ฉันไม่ได้กลับมา เพราะว่ากลับมาทีไรฉันก็จะทำเองทุกครั้ง และก็จะขอร้องแม่ด้วยว่า ถึงลูกจะไม่อยู่ แม่ก็เข้าไปทำความสะอาดบ้างก็ดีนะคะ แต่แม่ก็ไม่ค่อยได้ทำเท่าไร อย่างมากก็ไปกวาดๆ ถูๆ บ้าง นานๆ ครั้ง เป็นอย่างนี้มาตลอด…เอ? เขียนไปเขียนมาจะเข้าค่ายวิจารณ์บุพการีไหมเนี่ยเรา แต่ฉันไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น และขอพระโลหิตของพระเมษโปดกจะปกป้องทุกคนและทุกสิ่งที่ฉันกล่าวถึง…เดี๋ยวขอเล่าต่อนะคะ คือว่า เมื่อเจอสภาพห้องเช่นนั้น ฉันก็ฉุนสิ ก็มันฉุนจริงๆ นี่นา แต่ก็จัดแจงรีบทำความสะอาด แต่เมื่อกวาดไปกวาดมา ก็เจอกับเจ้าคุณปู่ เอ้ย เจ้ารังของคุณหนูอี๊ดๆ ดีนะที่ไม่เห็นตัวหนู ไม่งั้น กระโดดหนีออกมาแล้ว (อ้าว! นึกว่าแน่)…เมื่อเจอรังหนู ฉันก็เลิกฉุน แต่ว่า ฉันโกรธ โกรธน่ะ อารมณ์โกรธพุ่งปรี๊ดเลย ถ้าคนเป็นความดันก็อาจจะหัวใจวายได้ แต่หัวใจยังไม่วายนะคะ แต่ว่าน้ำตาร่วงเลย ฉันเปลี่ยนผ้าปูที่นอน เช็ดโต๊ะเตียงต่างๆ กวาดถูจนเสร็จ พร้อมกับหัวใจบอบช้ำ ทำไมคุณแม่ถึงเป็นขนาดนี้หนอ ฉันรู้มานานแล้วว่าแม่ไม่ชอบทำงานบ้าน แต่ ยังไงๆ ก็บ้านน่ะ ควรจะทำกันบ้าง ฉันโกรธมาก แต่พูดมากไม่ได้ เพราะเป็นลูก พอพูดไม่ได้ ในใจจึงเดือดพล่าน แม่ชวนกินอะไรก็ไม่กิน อ่านพระคัมภีร์ก็ไม่รู้เรื่อง ร้องเพลงนมัสการก็แทบไม่ออก แต่ก็ฝืนร้องออกไป ไม่ต้องสนว่าใจจะเป็นอย่างไร จากนั้นจึงอธิษฐานสารภาพบาปที่รู้สึกไม่ดีกับแม่ แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บช้ำอยู่ มีคำถามมากมายว่า ทำไมแม่ไม่ทำให้เลย แม่ไม่ได้ยุ่งอะไรมากมายเลย ฯลฯ และฉันก็รีบเข้านอน…ขอบคุณพระเจ้า ฉันตื่นขึ้นมากลางดึก พบว่าอาการป่วยก่อนนอนของฉันนั้นหายไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้า (อีกครั้ง)
ตอนเช้าฉันจึงเข้าไปขอโทษแม่ ซึ่งแม่ก็บอกว่า พอดีแม่ไม่รู้ว่าลูกจะมาตอนไหน แม่เลยไม่ได้ทำ ซึ่งฉันก็คิดในใจว่า “ไม่เป็นไรคะแม่ ถึงแม่ไม่ได้ทำ ฉันก็จะทำเอง”
เรื่องราวที่ผ่านมา ฉันได้สัมผัสประสบการณ์แห่งการปลอบโยนเยียวยาด้วยความรักของพระเจ้า ในขณะเดียวกันฉันก็ได้รับบทเรียนเป็นการส่วนตัวด้วย ทำให้นึกถึงคำขวัญประโยคหนึ่งในค่ายผู้รับใช้ยอดเยี่ยม ของอาจารย์อานุภาพ วิชิตนันท์ ที่ว่า “ไม่ขึ้นอยู่กับว่าถูกหรือผิด แต่ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของคุณ” ใช่แล้ว ไม่ขึ้นอยู่กับว่าแม่จะทำหรือไม่ทำความสะอาดห้องนอนให้ฉัน แต่ขึ้นอยู่กับว่าฉันจะตอบสนองอย่างไร หากเป็นพระเยซู พระองค์จะตอบสนองกับเหตุการณ์นี้เช่นไร พระเยซูคงไม่ฉุนเฉียวหรือโกรธแบบฉันเป็นแน่ พระองค์ทรงสุภาพและอ่อนน้อม ทรงถ่อมพระทัย ทรงเป็นแบบอย่างทั้งวาจา การประพฤติ ความรัก ความเชื่อ และความบริสุทธิ์
ฉันห่างไกลจากภาพลักษณ์ของพระเยซูเหลือเกิน แต่ฉันก็ปรารถนาที่จะใกล้ชิดพระองค์มากกว่านี้ ด้วยการเดินตามรอยพระบาทของพระองค์ ฉันต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ ฉันต้องทำตัวเองให้เป็นศูนย์ มิใช่ทำตัวเองให้เป็นศูนย์กลาง ฉันต้องจดจ่ออยู่ที่พระเยซู มิใช่จดจ่ออยู่ที่ตัวเอง
เมื่อย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ข้างต้น พบว่าสาเหตุแห่งปัญหามีเพียงประการเดียวคือ การที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งไม่เป็นไปดังที่เราคาดหวัง ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ผู้นั้นทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ หรือ ผู้นั้นไม่ทำในสิ่งที่เราชอบ จึงทำให้เราผิดหวังในคนผู้นั้น จนเกิดอาการงอน น้อยใจ สารพัด บางรายหนักเข้า ก็กลายเป็นโกรธ และเกิดรากขมขื่นในที่สุด
ความเจ็บป่วยจากอาการงอนข้างต้นนั้น รักษาได้ด้วยยาขนานเอก คือ “ยาใจ” หรือ “ความรัก” นั่นเอง
[1 คร.13:4-8 ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง ความรักไม่มีวันสูญสิ้น]
ฉันขอวิงวอนพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ ผู้มิเคยเคลิ้มหลับ ผู้มิเคยหลับสนิทหรือนิทรา ทรงโปรดให้พี่น้องทุกท่านเป็นสุข เพราะเราสรรเสริญพระองค์ เรามีความยำเกรงพระองค์ เราปีติยินดีเป็นอันมากในพระบัญญัติของพระองค์ เราจึงหลับสบาย ภายใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์และอ่อนโยนของพระองค์ ภายใต้ร่มปีกแห่งความรักของพระองค์ เพราะว่าเราทั้งหลายนั้นรักพระองค์ พวกเราสรรเสริญพระองค์…ฮาเลลูยา!