Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

หลับสบาย‏

หลับสบาย
วันที่ 2/5/2009
การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับร่างกายของเรา ซึ่งผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าโดยเฉลี่ยแล้วควรจะนอนวันละ 8 ชั่วโมง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลเป็นสำคัญ สำหรับฉันแล้วนอนวันละ 6 ชั่วโมง ก็เพียงพอ แต่ถ้าวันไหนงานหนักเป็นพิเศษ เหนื่อยมาก ก็ต้องการนอนมากกว่า 6 ชั่วโมง และก็ขอบคุณพระเจ้า หากจำเป็น ก็สามารถนอนได้วันละ 4 ชั่วโมงเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นแบบนี้บ่อยๆ ฉันก็เหมือนโดนน็อค และพาลป่วยไปเลย
มีผู้รับใช้พระเจ้าที่ฉันรู้จักท่านหนึ่ง นอนเพียงวันละ 2 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ระหว่างวันท่านก็งีบเล็กๆ น้อยๆ เช่น ขณะนั่งรอคิวเพื่อทำอะไรบางอย่าง หรือแม้แต่ขณะขับรถติดไฟแดง ท่านก็สามารถงีบได้ และท่านสามารถตื่นได้เมื่อไฟเขียวมา หรือบางครั้งช่วงเวลาเสี้ยวนาทีหนึ่งท่านก็อาจจะหลับตาขับรถ เอ้อเหอ! เสียวสันหลังวูบเลย ประกันที่ไหนก็ช่วยไม่ได้แล้ว ต้องอธิษฐานลูกเดียวเลย สำหรับผู้ที่นั่งคู่ไปด้วย (คำแนะนำทั่วไป…เป็นความสามารถพิเศษเฉพาะบุคคล ห้ามเลียนแบบ!)
พระธรรมสดุดี 127:2 กล่าวไว้ว่า “พระองค์ประทานแก่ผู้ที่รักของพระองค์ ให้หลับสบาย” โอ้โห! อ่านแล้วทำตาโตด้วยนะคะ ตื่นเต้น พระเจ้าช่างน่ารักอะไรเช่นนี้ ทรงให้เราหลับสบาย ก็เพราะว่าเรารักพระองค์ไง และทำอย่างไรจึงจะได้ขึ้นชื่อว่ารักพระองค์ ก็คือ การเชื่อฟัง และกระทำตามน้ำพระทัยของพระองค์นั่นเอง ทำในสิ่งที่พระองค์อนุญาต และไม่ทำในสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม หากเมื่อทำเช่นนี้แล้ว จะทำงานอะไร จะเดินไปทางใด องค์อัลฟาและโอเมกาก็จะประทานความสำเร็จให้กับเรา และเราผู้ที่รักพระองค์นั้น ก็จะหลับสบาย [สดด.127: 1-2 ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงสร้างบ้าน บรรดาผู้ที่สร้างก็เหนื่อยเปล่า ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงเฝ้าอยู่เหนือนคร คนยามตื่นอยู่ก็เหนื่อยเปล่า เป็นการเหนื่อยเปล่า ที่ท่านลุกขึ้นแต่เช้ามืดนอนดึก และกระหืดกระหอบกินอาหาร เพราะพระองค์ประทานแก่ผู้ที่รักของพระองค์ ให้หลับสบาย]
มนุษย์เราหลับสบายวันละหลายชั่วโมง ในขณะที่พระเจ้าของเรานั้น ทรงตื่นอยู่เสมอ มิเคยหลับสนิทหรือนิทรา เพราะพระองค์เป็นปฐมและอวสาน ทรงอัศจรรย์เหนือกาลเวลา ก่อนนอนเราจึงพบพระองค์ ตื่นขึ้นมาเราก็พบพระองค์ แม้ขณะหลับ พระองค์ก็ปลอบโยนเรา [สดด.121:4-8 ดูเถิด พระองค์ผู้ทรงอารักขาอิสราเอล จะไม่ทรงหลับสนิทหรือนิทรา พระเจ้าทรงเป็นผู้อารักขาท่าน พระเจ้าทรงเป็นที่กำบังที่ข้างขวามือของท่าน ดวงอาทิตย์จะไม่โจมตีท่านในเวลากลางวัน หรือดวงจันทร์ในเวลากลางคืน พระเจ้าจะทรงอารักขาท่านให้พ้นภยันตรายทั้งสิ้นพระองค์จะทรงอารักขาชีวิตของท่าน พระเจ้าจะทรงอารักขาการเข้าออกของท่าน ตั้งแต่กาลบัดนี้สืบไปเป็นนิตย์]
หลายครั้งที่ฉันมีเรื่องรบกวนจิตใจ มีปัญหาที่แก้ไขไม่ตก มีความกังวลบางอย่างที่ยังไม่หลุดไประหว่างวัน ค่ำคืนของวันนั้น ฉันจะเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยจิตใจที่ฟกช้ำ ทว่า ใช้เวลากับพระองค์อย่างไรก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นพันธนาการที่ตึงรัดไว้ได้ ฉันได้แต่ทูลพระเจ้าว่า “พระบิดาเจ้าข้า ลูกอ่อนแอ ลูกเหน็ดเหนื่อย ลูกไม่รู้ว่าลูกจะทำอย่างไร ลูกขอพึ่งพาพระองค์” และฉันก็หลับไปด้วยน้ำตา แต่บางครั้งก็หลับไปด้วยอาการเครียด (คร่อก ฟี้)…ฮาเลลูยา ขอบคุณพระเจ้า ฉันพบว่าเมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ฉันมีสันติสุขดังที่ปรารถนา พระเจ้าทรงเยียวยาหัวใจในขณะที่ฉันนอนหลับ พระเจ้าของเรามิทรงหลับจริงๆ
ค่ำคืนที่ผ่านมา พระเจ้าก็ทรงเยียวยาฉันอีกครั้ง…เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ฉันยอมรับว่าฉันผิดพลาดไป แต่เมื่อฉันทูลสารภาพบาปต่อพระองค์ ขอการเยียวยาจากพระองค์ พระองค์ก็ทรงสัตย์ซื่อเสมอนิรันดร์
ช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ฉันไม่ได้กลับบ้านไปหาแม่เลย เพราะส่วนใหญ่แม่จะเป็นฝ่ายมาหาและมานอนค้างคืนด้วยที่คอนโด แต่เมื่อวานฉันกลับไปนอนค้างบ้านแม่ หลังจากมีความสุขกับเรื่องราวสนุกสนานที่เล่าสู่กันฟังตามประสาแม่ลูกแล้ว ฉับพลันฉันก็ต้องสะกดอารมณ์ไว้ แต่ฉันสะกดไม่อยู่ เพราะเมื่อเข้าไปในห้องนอนของฉัน ก็พบสภาพที่ไม่อาจนอนได้ เพราะคุณแมงมุมชักใยอย่างสนุกสนานอยู่บนเพดาน น้องจิ้งจกก็ไล่งับมดอย่างเพลิดเพลิน เพราะว่าคุณมดมากินแมลงสาบที่ตายแล้ว และเพียงแค่เอานิ้วแหย่ๆ ส่วนใดส่วนหนึ่งของห้อง ก็จะได้ฝุ่นดำๆ กองโตติดมือมา ทั้งบนเตียง โต๊ะเครื่องแป้ง โต๊ะเขียนหนังสือ และอุปกรณ์ทุกชิ้นที่อยู่ในห้องนั้น ตลอดจนบนเตียงนอนก็มีเศษปูนจากฝ้าเพดานหลายก้อนกระจัดกระจายเกลื่อนอยู่บนเตียง เมื่อเปิดผ้าคลุมเตียงออก ก็ต้องร้องยี้ เพราะนอนไม่ได้เด็ดขาด ฝุ่นเต็มเลย สรุปก็คือ ห้องนี้ไม่ได้เจอกับอุปกรณ์ทำความสะอาดเลยตลอดระยะเวลาที่ฉันไม่ได้กลับมา เพราะว่ากลับมาทีไรฉันก็จะทำเองทุกครั้ง และก็จะขอร้องแม่ด้วยว่า ถึงลูกจะไม่อยู่ แม่ก็เข้าไปทำความสะอาดบ้างก็ดีนะคะ แต่แม่ก็ไม่ค่อยได้ทำเท่าไร อย่างมากก็ไปกวาดๆ ถูๆ บ้าง นานๆ ครั้ง เป็นอย่างนี้มาตลอด…เอ? เขียนไปเขียนมาจะเข้าค่ายวิจารณ์บุพการีไหมเนี่ยเรา แต่ฉันไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น และขอพระโลหิตของพระเมษโปดกจะปกป้องทุกคนและทุกสิ่งที่ฉันกล่าวถึง…เดี๋ยวขอเล่าต่อนะคะ คือว่า เมื่อเจอสภาพห้องเช่นนั้น ฉันก็ฉุนสิ ก็มันฉุนจริงๆ นี่นา แต่ก็จัดแจงรีบทำความสะอาด แต่เมื่อกวาดไปกวาดมา ก็เจอกับเจ้าคุณปู่ เอ้ย เจ้ารังของคุณหนูอี๊ดๆ ดีนะที่ไม่เห็นตัวหนู ไม่งั้น กระโดดหนีออกมาแล้ว (อ้าว! นึกว่าแน่)…เมื่อเจอรังหนู ฉันก็เลิกฉุน แต่ว่า ฉันโกรธ โกรธน่ะ อารมณ์โกรธพุ่งปรี๊ดเลย ถ้าคนเป็นความดันก็อาจจะหัวใจวายได้ แต่หัวใจยังไม่วายนะคะ แต่ว่าน้ำตาร่วงเลย ฉันเปลี่ยนผ้าปูที่นอน เช็ดโต๊ะเตียงต่างๆ กวาดถูจนเสร็จ พร้อมกับหัวใจบอบช้ำ ทำไมคุณแม่ถึงเป็นขนาดนี้หนอ ฉันรู้มานานแล้วว่าแม่ไม่ชอบทำงานบ้าน แต่ ยังไงๆ ก็บ้านน่ะ ควรจะทำกันบ้าง ฉันโกรธมาก แต่พูดมากไม่ได้ เพราะเป็นลูก พอพูดไม่ได้ ในใจจึงเดือดพล่าน แม่ชวนกินอะไรก็ไม่กิน อ่านพระคัมภีร์ก็ไม่รู้เรื่อง ร้องเพลงนมัสการก็แทบไม่ออก แต่ก็ฝืนร้องออกไป ไม่ต้องสนว่าใจจะเป็นอย่างไร จากนั้นจึงอธิษฐานสารภาพบาปที่รู้สึกไม่ดีกับแม่ แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บช้ำอยู่ มีคำถามมากมายว่า ทำไมแม่ไม่ทำให้เลย แม่ไม่ได้ยุ่งอะไรมากมายเลย ฯลฯ และฉันก็รีบเข้านอน…ขอบคุณพระเจ้า ฉันตื่นขึ้นมากลางดึก พบว่าอาการป่วยก่อนนอนของฉันนั้นหายไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้า (อีกครั้ง)
ตอนเช้าฉันจึงเข้าไปขอโทษแม่ ซึ่งแม่ก็บอกว่า พอดีแม่ไม่รู้ว่าลูกจะมาตอนไหน แม่เลยไม่ได้ทำ ซึ่งฉันก็คิดในใจว่า “ไม่เป็นไรคะแม่ ถึงแม่ไม่ได้ทำ ฉันก็จะทำเอง”
เรื่องราวที่ผ่านมา ฉันได้สัมผัสประสบการณ์แห่งการปลอบโยนเยียวยาด้วยความรักของพระเจ้า ในขณะเดียวกันฉันก็ได้รับบทเรียนเป็นการส่วนตัวด้วย ทำให้นึกถึงคำขวัญประโยคหนึ่งในค่ายผู้รับใช้ยอดเยี่ยม ของอาจารย์อานุภาพ วิชิตนันท์ ที่ว่า “ไม่ขึ้นอยู่กับว่าถูกหรือผิด แต่ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของคุณ” ใช่แล้ว ไม่ขึ้นอยู่กับว่าแม่จะทำหรือไม่ทำความสะอาดห้องนอนให้ฉัน แต่ขึ้นอยู่กับว่าฉันจะตอบสนองอย่างไร หากเป็นพระเยซู พระองค์จะตอบสนองกับเหตุการณ์นี้เช่นไร พระเยซูคงไม่ฉุนเฉียวหรือโกรธแบบฉันเป็นแน่ พระองค์ทรงสุภาพและอ่อนน้อม ทรงถ่อมพระทัย ทรงเป็นแบบอย่างทั้งวาจา การประพฤติ ความรัก ความเชื่อ และความบริสุทธิ์
ฉันห่างไกลจากภาพลักษณ์ของพระเยซูเหลือเกิน แต่ฉันก็ปรารถนาที่จะใกล้ชิดพระองค์มากกว่านี้ ด้วยการเดินตามรอยพระบาทของพระองค์ ฉันต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ ฉันต้องทำตัวเองให้เป็นศูนย์ มิใช่ทำตัวเองให้เป็นศูนย์กลาง ฉันต้องจดจ่ออยู่ที่พระเยซู มิใช่จดจ่ออยู่ที่ตัวเอง
เมื่อย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ข้างต้น พบว่าสาเหตุแห่งปัญหามีเพียงประการเดียวคือ การที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งไม่เป็นไปดังที่เราคาดหวัง ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ผู้นั้นทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ หรือ ผู้นั้นไม่ทำในสิ่งที่เราชอบ จึงทำให้เราผิดหวังในคนผู้นั้น จนเกิดอาการงอน น้อยใจ สารพัด บางรายหนักเข้า ก็กลายเป็นโกรธ และเกิดรากขมขื่นในที่สุด
ความเจ็บป่วยจากอาการงอนข้างต้นนั้น รักษาได้ด้วยยาขนานเอก คือ “ยาใจ” หรือ “ความรัก” นั่นเอง
[1 คร.13:4-8 ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง ความรักไม่มีวันสูญสิ้น]
ฉันขอวิงวอนพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ ผู้มิเคยเคลิ้มหลับ ผู้มิเคยหลับสนิทหรือนิทรา ทรงโปรดให้พี่น้องทุกท่านเป็นสุข เพราะเราสรรเสริญพระองค์ เรามีความยำเกรงพระองค์ เราปีติยินดีเป็นอันมากในพระบัญญัติของพระองค์ เราจึงหลับสบาย ภายใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์และอ่อนโยนของพระองค์ ภายใต้ร่มปีกแห่งความรักของพระองค์ เพราะว่าเราทั้งหลายนั้นรักพระองค์ พวกเราสรรเสริญพระองค์…ฮาเลลูยา!

ไม่มีความคิดเห็น: