Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ปุ๋ยชั้นดีเสิศ

ปุ๋ยชั้นดีเลิศ
วันที่ 01/08/2009
ช่วงนี้ใครได้ดูละครเรื่อง ผู้ใหญ่ลีกับนางมา บ้างเอ่ย ยกมือขึ้น…เย้ เย้ ยก 2 มือเลย ก็คือตัวฉันนั่นเอง ดูละครน้ำดีแล้วก็ได้ผ่อนคลายดีค่ะ และเมื่อดูละครแล้วก็ได้มาย้อนดูตัว
ละครแฝงไว้ด้วยวิถีชีวิตชนบทบ้านทุ่ง ให้กลิ่นอายของการถ้อยทีถ้อยอาศัยแบบไทยๆ ที่คงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวอย่างน่าชื่นใจ ฉากท้องทุ่งเขียวขจีทำให้ฉันนึกถึงชีวิตวัยเด็ก ที่วิถีชีวิตผูกพันกับท้องทุ่ง แวดล้อมด้วยธรรมชาติที่บริสุทธิ์งดงาม ผสมผสานกับน้ำใจของผู้คนที่งดงามดุจเดียวกัน
ฉากละครตอนที่ผู้ใหญ่ลีกับนางมาฉีดปุ๋ยในนาข้าวนั้น เป็นฉากที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตของเกษตรกรหลายๆ คน เพราะพืชที่จะเติบโตได้ดีนั้น หาได้อาศัยเพียงแร่ธาตุซึ่งมีอยู่ในดินตามธรรมชาติอย่างเดียวไม่ แต่ต้องใส่ปุ๋ยลงไปด้วย การใส่ปุ๋ยนั้นก็ต้องเป็นปุ๋ยชั้นดี คือ ปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อการเติบโตที่สมบูรณ์ของพืชพรรณและเพื่อการดำรงอยู่ที่ยั่งยืนของผืนดิน หากใช้ปุ๋ยสูตรเลว คือปุ๋ยอนินทรีย์หรือปุ๋ยเคมี ก็จะให้การเติบโตที่เห็นผลรวดเร็ว แต่ทำลายระบบชีวภาพ และให้ผลร้ายต่อผู้บริโภคในท้ายที่สุด
ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ใหญ่ลีใช้สูตรปุ๋ยอะไร แต่คิดว่าเป็นปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยชีวภาพนั้นแหละ เมื่อครั้งยังเด็กฉันก็เห็นปู่ย่าตายาย พี่ป้าน้าอา ใช้มูลสัตว์ เช่น ขี้วัว ขี้ควาย ขี้หมู ขี้เป็ดขี้ไก่ ซึ่งเรียกว่าปุ๋ยคอก และบางครั้งก็ใช้พืชนี่แหละใส่ลงไปในดินเลย ให้จุลินทรีย์และแบคทีเรียทำงานตามธรรมชาติ เรียกว่าปุ๋ยพืชสด และก็มีปุ๋ยอีกชนิดหนึ่ง คือ ปุ๋ยหมัก ซึ่งมีวิธีการทำง่ายๆ แค่นำเศษพืช เช่น ผักตบชวา เศษหญ้า ฟางข้าว เศษอาหาร และมูลสัตว์มาผสมรวมกันตามสัดส่วน และหากต้องการให้เกิดปฏิกิริยาในการเปื่อยเน่าเร็วขึ้น ก็อาจใส่น้ำยาเร่งลงไปด้วยก็ได้
ณ โรงเรียนแห่งหนึ่งในทุ่งหมาหอน เอ้ย! โรงเรียนบ้านหนองบัวทองซึ่งฉันเรียนตอนเด็กๆ เอ่ยชื่อไปตอนนี้ก็ไม่มีใครรู้จักหรอกค่า เพราะโรงเรียนนี้ยุบไปตั้งนานแล้ว (แป่ว) ก็แหม ล่าสุดมีครูอยู่ 2 คน คือ ครูเล็กกับครูใหญ่ แต่เราก็มีเพื่อนเรียนตั้งแต่ประถม 1 ถึงประถม 6 นะคะ เรื่องสอนก็ไม่มีปัญหาค่ะ เพราะถึงแม้จะมีคุณครู 2 คน ก็จับนักเรียนบางชั้นมาเรียนรวมกัน เช่น ป.1 มาเรียนรวมกับ ป.2 เป็นต้น ซึ่งก็ไม่เหลือกำลังของคุณครูค่ะ เพราะ ป.1 มี 6 คน และ ป.2 มี 2 คน หรือบางครั้ง คุณครูก็ใช้วิธีให้นักเรียน ป.6 ไปสอนน้อง ป.1, ป.2 และ ป.3 เป็นต้น นักเรียนโรงเรียนดังกล่าวจึงฉลาดแบบแปลกๆ (อ้าว) ฉันเองนะถึงแม้จะไม่ได้เรียนอนุบาล (เพราะไม่มีไง) แต่ฉันก็ได้เรียน ป.1 ตั้ง 2 ปีแน่ะ ก็เลยไม่รู้จะเรียกว่าโง่หรือฉลาดดี ให้คนรอบข้างพิจารณาดูเองละกัน (ไอ๋หยา) เนื่องจากตอนที่พี่สาวซึ่งอายุมากกว่า 1 ปี เข้าเรียนชั้น ป.1 ฉันก็ขี่จักรยาน หิ้วปิ่นโต ตามไปเรียนกับเธอด้วย แต่ก็ไม่ได้ไปทุกวันนะคะ เพราะโดนยายดุ ยายเกรงว่าฉันจะไปก่อความวุ่นวายที่โรงเรียน เมื่อถึงคราวที่พี่สาวขึ้นชั้น ป.2 ฉันก็ยังคงอยู่ ป.1 เพราะอายุครบเกณฑ์เข้าโรงเรียนพอดี ก่อนหน้านี้ระบบการศึกษาไม่ได้อนุโลมให้นักเรียนเข้าเรียนก่อนเกณฑ์ ฉันจึงได้เรียน ป.1 ถึง 2 ครั้ง ด้วยประการฉะนี้
ในวิชาการเกษตร คุณครูให้นักเรียนปลูกผักคนละ 1 แปลง พวกเรานักเรียนทั้งหลายก็ใช้ปุ๋ยคอกโรยบนแปลงผัก วันดีคืนดีคุณครูก็แนะนำให้ใช้ปุ๋ยยูเรีย ซึ่งเป็นปุ๋ยอีกชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในประเภทปุ๋ยอินทรีย์ วิธีการทำก็ไม่ยากคะ เพียงแค่ใช้ปัสสาวะหมักทิ้งไว้สัก 1-2 สัปดาห์ แล้วนำมาผสมน้ำ แล้วรดผัก โอ้โห! พ่อแม่พี่น้องเอ๋ย ผักงามดีแต้ๆ เจ้า…เอาละสิ แล้วจะหาปัสสาวะมาจากไหนละเนี่ย ตอนนี้แหละที่ฮากันทั้งโรงเรียน เพราะเด็กผู้ชายก็จะปัสสาวะใส่แกลลอนไว้ เมื่อเหม็นได้ที่ เอ้ย! เมื่อได้ระยะเวลาตามที่กำหนดก็จะนำมาผสมกับน้ำให้เจือจาง นำมารดผักกัน แต่ว่า พวกเด็กผู้หญิงนี่สิ ไม่มีใครกล้าปัสสาวะหรอก แต่ก็อยากได้ปุ๋ยยูเรียสูตรนี้ จึงต้องไปขอจากเด็กผู้ชาย เด็กผู้ชายก็เล่นตัว จึงเกิดศึกชิงปุ๋ยยูเรียขึ้นมา เด็กผู้หญิงรวมหัวกันเอาปุ๋ยยูเรียในแกลลอนไปซ่อนไว้ แต่ก็ไม่พ้นสายตาพวกเด็กผู้ชายอยู่ดีนั่นแหละ เด็กผู้ชายนำเรื่องไปฟ้องคุณครูว่าเด็กผู้หญิงขโมยปัสสาวะผมไป ผมอุตส่าห์อั้นมาจากบ้าน เอาไว้มายิงกระต่ายที่โรงเรียนแล้วเชียว คุณครูจึงทำโทษให้เด็กผู้หญิงรดน้ำผักให้กับผู้ชายทุกคน เป็นเวลา 1 เดือน พี่น้องคะ ตอนนั้นอากาศหนาวค่ะ หนาวชนิดที่ว่าพูดออกมากลายเป็นไอเป็นควันนั่นแหละค่ะ พวกเราเด็กผู้หญิงจึงต้องตักน้ำจากสระน้ำซึ่งอยู่ไกลพอสมควร มารดผักของตัวเองและของเด็กผู้ชายด้วย งานนี้หนาวจริงๆ ค่ะ…แต่ยังไงซะเราก็ขอบคุณปุ๋ยยูเรียของเด็กผู้ชายอยู่ดีแหละคะ เพราะทำให้ผักของเราใบเขียวใหญ่ ลำต้นอวบอั๋น น่ารับประทาน จนคุณครูให้คะแนนเต็ม ยิ้มหน้าบานกว่าใบผักซะอีกนะพวกเรา แต่ว่า ผักนั้นไม่มีใครกล้ากินค่ะ…กลัวปุ๋ยยูเรีย อิอิ
เมื่อพูดถึงปุ๋ยก็ทำ ให้นึกถึงสูตรปุ๋ยชั้นดีเลิศโดยพระเจ้า ที่ อ.ซิดนีย์นำมาถ่ายทอด ซึ่งก็คือ สูตรพงศาวดารสองเจ็ดสิบสี่ ที่เป็นสูตรสำหรับการฟื้นฟู สำหรับการรักษาแผ่นดินให้หาย [2พศด.7:14] “ถ้าประชากรของเราผู้ซึ่งเขาเรียกกันโดยชื่อของเรานั้นจะถ่อมตัวลง และอธิษฐานและแสวงหาหน้าของเรา และหันเสียจากทางชั่วของเขา เราก็จะฟังจากสวรรค์ และจะให้อภัยแก่บาปของเขาและจะรักษาแผ่นดินของเขาให้หาย”
หากจะเปรียบคริสเตียนเป็นเช่นเมล็ดพืชที่หล่นลงดิน เมื่อเน่าเปื่อยแล้ว ก็ค่อยๆ เติบโตเป็นลำต้นเล็กๆ และขยายเป็นลำต้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่รากก็ค่อยๆ ชอนไซลึกลงไปในดินเพื่อดูดกินอาหารและแร่ธาตุ เมื่อเติบโตจนได้ที่แล้ว ก็ออกใบ ออกดอก ออกผลในที่สุด
อย่างไรก็ตาม หากเมล็ดพืชนั้นไม่ได้หล่นลงในดินดี หรือหากว่าได้หล่นลงในดินดีแล้ว แต่กลับมีนกกาหรือสิงสาราสัตว์อื่นๆ มาจิกกินทำลาย การเติบโตย่อมหยุดชะงัก หรือบางเมล็ดก็เลี้ยงไม่โตซะแล้ว กลับตายไปเลยก็มี ดังนั้น หากจะให้ต้นไม้นั้นอยู่รอดและเกิดผลดี จำต้องมีองค์ประกอบหลายอย่างด้วยกัน นอกจากจะต้องป้องกันศัตรูที่มารุกราน ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกแล้ว ปัจจัยภายในของต้นไม้นั้นก็สำคัญเช่นเดียวกัน กล่าวคือ คริสเตียนจำเป็นต้องพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเปรียบเสมือนแร่ธาตุซึ่งมีอยู่แล้วอย่างเหนือธรรมชาติ แต่ขณะเดียวกัน คริสเตียนก็ต้องร่วมมือกับพระเจ้าด้วย ต้องใส่ปุ๋ยฝ่ายวิญญาณ ต้องได้รับการเลี้ยงดูถ่ายทอดตามแบบอย่างของพระเยซู กินอาหารอย่างเพียงพอและสมดุลทั้งอาหารหลักและอาหารเสริม ซึ่งได้แก่ การนมัสการ การอธิษฐาน การอ่านพระคำ ทั้งยังต้องสามัคคีธรรมกับพี่น้องผู้เชื่ออื่นๆ อย่างสม่ำเสมอ และที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การต้องออกไปเป็นพรและเป็นพยานต่อผู้อื่นด้วย
เรามาใส่ปุ๋ยชั้นดีเลิศให้กับชีวิตคริสเตียนของเราและของผู้อื่นกันดีกว่าค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น: