Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เพราะพระองค์ทรงพระชนม์

เพราะพระองค์ทรงพระชนม์
วันที่ 01/08/2009
พระเจ้าทรงเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิต ทรงเป็นแหล่งที่มาของชีวิต “ในพระคริสต์นั้น เราได้พบว่าตนเองเป็นใครและอยู่เพื่ออะไร นานก่อนที่เราจะได้ยินเรื่องพระคริสต์นั้น พระองค์ได้ทรงสนพระทัยในเรา และทรงวางแผนให้เราดำเนินชีวิตที่รุ่งโรจน์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของวัตถุประสงค์โดยรวมที่พระองค์กำลังทำให้สำเร็จในทุกสิ่งและทุกคน” (เอเฟซัส 1:11Msg)
เป็นความจริงนิรันดร์ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระบิดา ทรงสร้างเรา เราเกิดมาก็เพราะพระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้เราเกิด เราจึงได้รับการสร้างมาโดยพระเจ้า และเพื่อพระเจ้า แต่เคยมีไหมที่บางครั้งเราดำเนินชีวิตด้วยสติปัญญาของโลก เราลืมความจริงนิรันดร์นี้ไปเสียสนิท
พี่สาวในพระคริสต์ท่านหนึ่ง เป็นคริสเตียนที่รักพระเจ้ามาก แต่เมื่อพบกับอุปสรรค พบกับคนและเหตุการณ์ที่มิได้เป็นไปดังหวัง เกิดอกหักรักคุดขึ้นมา ก็กินยาเกินขนาด หมายจะฆ่าตัวตาย หมายจะปลิดชีวิตอันมีคุณค่าซึ่งพระบิดาได้ทรงสร้าง แต่ขอบคุณพระเจ้า พระองค์ทรงแสนดีอยู่เสมอ พระองค์มิทรงปรารถนาชีวิตที่ไร้ลมหายใจของเรา พระองค์ปรารถนาให้เรามีลมหายใจ ให้ดำเนินชีวิตบนโลกนี้ด้วยความจริง ด้วยสติปัญญาซึ่งมาจากพระองค์ เป็นพระปัญญาจากพระเจ้า ลึกลงไปในพระประสงค์ของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ พี่สาวคนดังกล่าวจึงรอดชีวิตมาได้ และจากการรอดตายครั้งนี้นี่เอง ได้นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผันในชีวิตคริสเตียนของเธอ เธอเป็นคนใหม่ในพระคริสต์ ด้วยนิสัยใหม่จากพระบัญญัติของพระองค์ ด้วยแรงบันดาลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ ด้วยพระกรนิรันดร์ที่โอบอุ้มเธอไว้อย่างอบอุ่นของพระองค์ เธอรักพระเจ้ามากขึ้น รักเพื่อนบ้านมากขึ้น รักตนเองมากขึ้น เธอนมัสการอย่างเสรีมากขึ้น อธิษฐานอย่างร้อนรนมากขึ้น ค้นหาสิ่งมหัศจรรย์ในพระคำของพระองค์มากขึ้น ชีวิตของเธอมิได้อยู่เพื่อตนเองอีกต่อไป แต่อยู่ด้วยความเชื่อและวางใจอันยิ่งใหญ่ นั่นคือ การมีชีวิตอยู่เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า
เมื่อถามไถ่ว่าเหตุไฉนพี่เธอจึงคิดฆ่าตัวตายได้เล่า ก็คุณเธอออกจะสวยสง่า ร่ำเรียนมาก็สูง เธอมิได้ด้อยกว่าผู้ใดเลยในสายพระเนตรของพระเยซู อีกทั้งเธอยังเป็นพี่เป็นน้องซึ่งทุกคนในคริสตจักรรักใคร่ ในการนี้ จอมนางงามงอนก็ได้สาธยายให้ฟังว่า ในเวลานั้นเกิดปิ๊งๆ กับหนุ่มหล่อผู้หนึ่ง ซึ่งเธอทุ่มเทหัวใจให้กับชายหนุ่มผู้นั้นเป็นอย่างมาก เป็นชายหนุ่มที่เธอรอคอยมานานตลอดทั้งชีวิตของเธอ แต่การณ์กลับเป็นว่า ชายหนุ่มผู้นั้นไม่ได้มีหัวใจรักซื่อสัตย์กับเธอเลย ไม่ได้อาลัยใยดีเธออย่างจริงใจ เมื่อเป็นดังนั้น เธอจึงรู้สึกว่า ชีวิตนี้ไร้ค่า ไม่มีใครรักเธอแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ลาโลกไปก่อนดีกว่า
หลายครั้งนั้นเราไม่รู้เลยว่าคนรอบข้างของเรามีความทุกข์อันใดบ้าง แต่ขอพระเจ้าจะช่วยเรา ให้เราได้รู้ถึงทุกข์สุขของฝูงแพะแกะ ให้เราได้รับใช้กัน ได้รับภาระซึ่งกันและกัน ให้เราได้ช่วยเหลือและหนุนใจกันเสมอ เหตุการณ์ข้างต้น เราต้องขอบคุณพระเจ้าสำหรับประสบการณ์ครั้งนี้ เพราะแม้ว่าจะพลาดพลั้ง แต่พระองค์ก็ยังทรงอยู่ ทรงรักห่วงใยและพร้อมจะให้อภัยเราเสมอ เมื่อเราตื่นมา เราก็พบพระองค์เสมอ
[1ธส.5:9-11] “เพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงกำหนดเราไว้สำหรับพระอาชญา แต่สำหรับให้เข้าสู่ความรอด โดยพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา เพื่อว่าถึงเราจะตื่นอยู่หรือจะหลับ เราจะได้มีชีวิตกับพระองค์ เหตุฉะนั้นจงหนุนใจกัน และต่างคนต่างจงก่อกันขึ้น ตามอย่างที่ท่านกำลังทำอยู่นั้น”
แม้ว่าชีวิตคริสเตียนของหลายคนยังมิได้เข้าใกล้ความตายชนิดเส้นยาแดงผ่าแปดเหมือนพี่สาวข้างต้น แต่บางชีวิตก็เสมือนเดินอยู่ในความตายด้วยเหมือนกัน ตัวฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ฉันได้ตายทางจิตวิญญาณ ตายจากความชอบธรรมของพระองค์ ฉันได้หลงหายไปจนเกือบจะออกจากทางของพระองค์
ฉันเชื่อพระเจ้ามาตั้งแต่ปี 2000 ซึ่งชีวิตของฉันก็ดำเนินมาชนิดที่ฉันก็คิดไปเองว่าปกติดี กล่าวคือ ไม่เย็น ไม่ร้อน เป็นแต่อุ่นๆ ไปโบสถ์สม่ำเสมอ แต่ไม่ทุกครั้ง อธิษฐานทุกครั้งที่มีปัญหา การอธิษฐานเพื่อผู้อื่นน่ะหรือ อย่าหวังเลย…ขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าเมื่อทรงตอบคำอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์เพราะรู้สึกว่าต้องอ่านให้จบเล่มภายใน 1 ปี ไม่ได้ดื่มด่ำซึมซับฤทธิ์เดชแห่งพระคำเท่าไร สามัคคีธรรมเหรอ ก็มีเหมือนกัน แต่หลังจากว่างจากภารกิจอื่นนะ อุ้ย! พอแล้วดีกว่า แค่นี้ก็สาธยายความบาปมาให้ทราบเยอะแยะแล้ว
ฉันมีแฟนคนหนึ่งเมื่อครั้งสมัยเรียน ปวส. (ประมาณปี 1991) แต่มีเรื่องเคืองใจกันจนต้องร้างลากัน ต่างคนต่างไป ฉันก็มุ่งหน้าเรียนต่อและทำมาหาเลี้ยงชีพ ส่วนเขานั้นกลับไปอยู่จังหวัดบ้านเกิดในภาคเหนือ ในช่วงแรกของการอยู่คนละจังหวัดนั้น เขาก็พยายามติดต่อมา แต่ฉันโกรธเขามาก จึงไม่ยอมคืนดีด้วย อีกประการหนึ่งคือ ฉันได้ย้ายบ้านหลังจากนั้น เราจึงไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย แต่เนื่องจากเป็นแฟนคนแรก ฉันจึงยังไม่ลืมเขา…ต่อมาในปี 2007 เขาติดต่อฉันได้โดยบังเอิญ เมื่อได้คุยกันเขาก็พร่ำพรรณนาถึงความรักครั้งเก่า เขาโทรมาพูดคุยด้วยอย่างสม่ำเสมอ ไฟรักในหัวใจจึงลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง จนวันหนึ่งได้รู้ว่าเขามีภรรยาแล้ว ฉันรู้สึกเศร้ามาก เขาก็ปลอบใจ และพูดย้ำแล้วย้ำอีกว่า เขาไม่ได้รักคนที่อยู่กินด้วยกันกับเขาเลย จำใจต้องอยู่เพราะความรับผิดชอบ ตอนนั้นตาฉันก็บอด (จากความชอบธรรม) ก็รู้สึกสงสารและเห็นใจเขา สิ่งที่พระคำได้สั่งสอนไว้ไม่ให้เทียมแอกกับผู้ไม่เชื่อ ไม่ให้โลภอยากได้ของเพื่อนบ้าน ไม่ให้มีจิตใจที่ไม่บริสุทธิ์กับเพศตรงข้าม คำสั่งสอนเหล่านี้ไม่มีผลต่อจิตสำนึกของฉันในโมงยามนั้นเลย พระคำของพระเจ้าไม่ได้มีฤทธิ์เดชที่จะทำให้ฉันกลับใจได้ในเวลานั้น ความบาปเช่นนี้ช่างร้ายแรงจริงๆ
อันว่าความรักทำให้คนตาบอด ก็เป็นจริงดังโบราณว่า หากรักนั้นปราศจากสติสัมปชัญญะที่พึงมี และอาการตาบอดก็มิใช่เกิดเฉพาะในความรักของชายหญิงเท่านั้น หากว่าเกิดกับความรักในรูปแบบอื่นๆ ด้วย เช่น ครอบครัวข้างบ้านมีลูกชายวัยเรียน อายุ 12 ปี เรียนอยู่มัธยมหนึ่งแล้ว มีพฤติกรรมเกเร โดดเรียนไปเล่นเกมส์ที่ร้านเกมส์เสมอ หลายครั้งก็ไถเงินน้องสาวอายุ 5 ขวบ หรือบางครั้งก็ขโมยเงินที่บ้านไป และก็โยนความผิดให้กับป้าที่อยู่ด้วย พ่อกับแม่ไม่ชอบป้าเท่าไร และอีกประการคือ เมื่อเด็กชายอยู่กับพ่อแม่ จะเป็นเด็กที่เรียบร้อย เชื่อฟัง เมื่อลูกพูดอะไร พ่อแม่จึงเชื่อทุกอย่าง ไม่เชื่อป้า อีกทั้งพ่อก็เป็นคนไปส่งลูกถึงห้องเรียนทุกวัน ไม่คาดคิดเลยว่า หลังจากพ่อลับตาไป ลูกชายก็แอบโดดเรียน โดยพ่อแม่มารู้ความจริงเมื่อได้รับแจ้งจากโรงเรียนว่าลูกชายต้องเรียนซ้ำชั้น…ในที่ทำงานบางแห่งก็เช่นเดียวกัน บางครั้งเจ้านายก็ตาบอด หูเบา หลงเชื่อคนช่างประจบ เป็นต้น
กลับมาเรื่องอาการตาบอดของฉันต่อนะ คนนั้นเขารู้ว่าฉันเป็นคริสเตียน แต่เขาก็ยังส่งจตุคามมาให้ฉันด้วยนะ แต่ขอบคุณพระเจ้าที่ฉันไม่ได้เก็บไว้ และทุกครั้งที่ไปวัด เขาจะบอกเสมอว่าอธิษฐานให้ฉันด้วย ซึ่งมีครั้งหนึ่งที่เขาไปฟังสวดภาณยักษ์ เขาก็โทรศัพท์มาเพื่อให้ฉันฟังสวดไปพร้อมๆ กับเขา การกระทำของฉันในขณะนั้นน่าสะอิดสะเอียนมาก ฉันฟังสวดไปพร้อมกับเขากว่า 2 ชั่วโมง…พระคริสต์ได้ตายไปจากชีวิต จากใจของฉันแล้ว
เราได้พบกัน 2-3 ครั้ง เมื่อเขาขึ้นมาติดต่อธุรกิจที่กรุงเทพฯ เขาสัญญาว่าจะหย่าจากภรรยา ซึ่งฉันได้นำเรื่องนี้ไปแบ่งปันให้เพื่อนคริสเตียนคนหนึ่งฟัง เธอก็บอกฉันว่า “อย่าเล่นกับไฟ” และฉันเชื่อว่าเธออธิษฐานเพื่อฉันอย่างจริงจังร้อนรน แต่ตอนนั้นความบาปได้ครอบงำฉันเป็นกำแพงหนา การเตือนของเพื่อนจึงมิได้มีความหมายสำหรับฉันเลย
พระคริสต์ทรงวายพระชนม์ไปแล้วที่ไม้กางเขน แต่ก็ทรงฟื้นคืนพระชนม์มาในวันที่สาม และพระองค์สถิตอยู่ ณ สวรรค์สถาน พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ทรงเหมือนเดิม ทั้งวานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ พระคริสต์ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันท์ใด ฤทธิ์เดชแห่งพระองค์ก็ยังคงดำรงอยู่ฉันท์นั้น วันหนึ่ง เพื่อนชวนฉันไปทำบุญวันเกิดที่วัดหัวลำโพง เราสมทบทุนซื้อโลงศพให้กับมูลนิธิป่อเต็กตึ้ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ให้กระดาษกับเราคนละแผ่น เพื่อเขียนชื่อบรรพชนและญาติสนิทมิตรรักลงไปในแผ่นกระดาษ แล้วนำไปแปะที่โลง เป็นการอุทิศส่วนกุศลให้กับชื่อเหล่านั้น แต่ฉันก็ไม่ได้เขียนชื่อใครเลย รู้สึกขึ้นมาทันทีว่าฉันไม่จำเป็นต้องเขียนแบบนี้ แล้วก็ขยำกระดาษนั้นโยนทิ้งลงถังขยะ และแล้วเพื่อนก็พาฉันเข้าไปในบริเวณที่มีรูปเคารพต่างๆ มากมาย เจ้าพ่อ เจ้าแม่สารพัดเต็มไปหมด หลายคนนำอาหารคาวหวาน หรือแม้แต่เนื้อสดๆ มาบูชารูปเคารพนั้น เพื่อนก็จุดธูปให้ฉัน เพื่อไหว้รูปเคารพเหล่านั้น เมื่อรับธูปมาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเริ่มเคลื่อนไหวภายใน รู้สึกในใจว่าฉันไหว้ไม่ได้เด็ดขาด สิ่งที่ตาไม่เห็น สิ่งที่หูไม่ได้ยิน สิ่งที่มนุษย์คาดคิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์ แต่รูปเคารพเหล่านี้ มีตาก็มองไม่เห็น มีหูก็ไม่ได้ยิน มีปากก็พูดไม่ได้ มีเท้าก็เดินไม่ได้ มีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่ยิ่งใหญ่กว่าพระใดๆ ที่อยู่ในโลก เป็นพระเจ้าองค์เดียวที่สมควรแก่การสรรเสริญและนมัสการ…มีพระองค์เพียงผู้เดียวเท่านั้น…ฉันยืนอยู่ท่ามกลางรูปเคารพ อยู่ท่ามกลางผู้ไม่เชื่อซึ่งกำลังบูชาพระเทียมเท็จ แต่หัวใจของฉันขณะนั้น มีพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระทำราชกิจอันน่าตื่นตะลึง ความบาปผิดทางใจตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาผุดเข้ามาในมโนนึก ภาพเหล่านั้นผุดขึ้นมาทีละฉากทีละตอน ฉันได้ขอให้พระเจ้าชำระฉัน ล้างใจให้กับฉัน ขอการเปลี่ยนแปลงจากพระองค์ และขอการอวยพรจากพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงสัตย์ซื่อ ทรงชำระหัวใจของฉัน
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น ชีวิตของฉันก็เปลี่ยนไป ฉันกล้าพูด กล้าประกาศได้อย่างเต็มปากว่า จะไม่มีสิ่งใดทำให้ฉันขาดจากความรักของพระองค์ได้ พระองค์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ ทรงเป็นผู้เดียวที่ฉันจะนมัสการตลอดไป
[ยน.11:25] พระเยซูตรัสกับเธอว่า "เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่วางใจในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอีก
ข้าแต่พระบิดาที่รัก ผู้ทรงพระชนม์ตลอดนิรันดร์กาล มนุษย์เป็นผู้ใดเล่าซึ่งพระองค์ทรงระลึกถึงเขา และบุตรมนุษย์เป็นใครเล่าซึ่งพระองค์ทรงเยี่ยมเขา เพราะพระองค์ทรงสร้างเขาให้ต่ำกว่าพระเจ้าแต่หน่อยเดียว และสวมศักดิ์ศรีกับเกียรติให้แก่เขา พระองค์ทรงมอบอำนาจให้ครอบครองบรรดาพระหัตถกิจของพระองค์ พระองค์ทรงให้สิ่งทั้งปวงอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา (สดด.8:4-6) พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ถวายโมทนาขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงนำข้าพระองค์ให้พ้นจากการทดลอง และให้พ้นจากซึ่งชั่วร้าย (มธ.6:13ก) ข้าแต่พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่ง ผู้ทรงยกข้าพระองค์ขึ้นจากประตูของความตาย เพื่อข้าพระองค์จะกล่าวคำสรรเสริญพระองค์ และจะเปรมปรีดิ์ในการช่วยกู้ของพระองค์ ที่ในประตูทั้งหลายแห่งชาวศิโยน (สดด9: 13-14) พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ถวายโมทนาขอบพระคุณพระองค์ เนื่องด้วยความชอบธรรมของพระองค์ ข้าพระองค์จะร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระเจ้าผู้สูงสุด (สดด.7:17) พระเจ้าข้า ราชอำนาจ ฤทธิ์เดช และพระสิริ เป็นของพระองค์สืบๆ ไป เป็นนิตย์…อาเมน (มธ.6:13ข)

ไม่มีความคิดเห็น: