Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สาวกผู้รับพร

สาวกผู้รับพร
วันที่ 01/08/2009
พระเจ้าจะทรงอวยพรท่าน เพื่อให้ท่านเป็นพรสู่ผู้อื่น!
ในห้องเรียนวิชาการเป็นสาวก เมื่อค่ำคืนวันที่ 22/7/2009 ของนักศึกษาภาคค่ำโรงเรียนพระคริสต์ธรรมสวนพลู อาจารย์ประยูร ได้สอนถึงกระบวนการสร้างสาวกของพระเยซูว่า “การเป็นสาวกของพระเยซู” ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นในวันเดียว หรือเกิดจากการสมัครใจเพียงครั้งเดียว หรือ การตัดสินใจเพียงครั้งเดียว แต่เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ไม่มีทางลัด และไม่มีรูปแบบสำเร็จรูป เริ่มต้นจากพระเยซู พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้เราแต่ละคนก้าวเข้ามาเป็นสาวกของพระองค์ในทุกขณะของชีวิตที่เรากำลังดำเนินอยู่ ทุกคนจะได้รับการเชิญให้มาเป็นสาวกของพระเยซูจากพระองค์เป็นการส่วนตัว (ที่มา: ส่วนหนึ่งของบทเรียนเรื่องการเป็นสาวก)
ช่างน่าปลาบปลื้มใจยิ่งนักที่องค์พระเยซูเชิญเราเป็นสาวกของพระองค์เป็นการส่วนตัว “ทรงเรียกเป็นการส่วนตัว” เรื่องราวการทรงเรียกสาวกที่ฉันประทับใจอย่างมาก คือเมื่อครั้งที่พระเยซูทรงเรียกชาวประมง พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด และเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดั่งหาปลา”(มธ.4:18-22, มก.1:16-20, ลก.5:1-11) แต่สิ่งที่น่าประทับใจยิ่งกว่าก็คือ ทุกวันนี้ พระเยซูก็ยังทรงเรียกสาวกของพระองค์เหมือนดังที่จารึกไว้ในพระคัมภีร์ โดยสิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ในสมัยพระคัมภีร์ตามที่กล่าวถึงนั้น พระเยซูทรงตรัสเรียกสาวกโดยพระองค์เอง เป็นพระเยซูชาวนาซาเร็ธที่เหล่าสาวกมองเห็น แต่ปัจจุบันเราได้รับการทรงเรียกโดยพระเยซูแห่งฟ้าสวรรค์ ผู้ที่เรามองไม่เห็น เราได้รับการเร้าใจอย่างลึกซึ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และแม้ว่าเราจะไม่เห็น แต่เชื่อ ก็เป็นสุข…ฮาเลลูยา
เมื่อเราตัดสินใจเป็นสาวกของพระองค์แล้ว ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างเรากับพระเยซูเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การที่พระองค์ทรงเรียกนั้น ทรงให้สิทธิเสรีภาพในการตัดสินใจแก่เรา ดังเช่นเมื่อครั้งทรงเรียกสาวกของพระองค์ในขณะที่ทรงดำรงสภาพเป็นมนุษย์นั้น สาวกก็มีสิทธิตัดสินใจว่าจะตามพระองค์ไปหรือไม่ และจะตามไปถึงแค่ไหน จะตามพระองค์ไปจนถึงวันสุดท้ายของชีวิต หรือจะตามพระองค์เพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งเหมือนยูดาส
สาวก คือ ผู้ที่ได้รับพร ดังนั้น แม้ว่าหลายครั้งสาวกจะพบกับอุปสรรคในการติดตามพระเยซู สาวกแท้ก็จะไม่ย่อท้อ หากต้องยอมทนทุกข์ ยอมเป็นเมล็ดที่เปื่อยเน่า [ยน.12:24] “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงไปในดินและเปื่อยเน่าไป ก็จะคงอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว ก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก”
อาจารย์ประยูรได้เล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า การที่สาวกมิได้ติดสนิทกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัวนั้น เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ ยังสามารถทำพันธกิจของพระองค์ได้ แต่ก็มิต่างอะไรกับ “หมาเห่าเสียงดัง” แต่ไม่สามารถเอาตัวเองรอดได้ ว่าแล้ว อาจารย์ประยูรก็เล่าเรื่องประกอบการสอน ดังนี้
ครั้งหนึ่งเกิดเหตุเพลิงไหม้ที่ประตูน้ำโดยไม่ทราบสาเหตุ (เพราะอาจารย์ประยูรไม่ได้บอก) ทุกคนในบ้านหลับสนิทในขณะที่เพลิงค่อยๆ โหมกระพือ เจ้าหมาน้อยที่เลี้ยงไว้จึงส่งเสียงเห่าดังลั่น จนเจ้าของบ้านตื่นมาพบ แล้วเรียกเพื่อนบ้านให้มาช่วยดับไฟ แต่ก็ช้าไปนิด บ้านได้วอดไปเกือบทั้งหลัง แต่ก็ขอบคุณพระเจ้าที่ทุกคนรอดชีวิต เมื่อไฟมอดแล้ว ทุกคนก็ยืนมองสภาพของบ้านด้วยความหดหู่ และที่หดหู่ไม่แพ้กันคือ เจ้าหมาน้อยตัวนั้นที่เห่าเสียงดังปลุกเจ้าของบ้านจนตื่น ช่วยชีวิตของทุกคนนั้น กลับถูกไฟคลอกตายอย่างน่าสงสาร เพราะมีโซ่เส้นเล็กๆ ผูกเจ้าหมาน้อยไว้กับเสาบ้าน ทำให้อาจารย์ประยูรหวนคิดถึงชีวิตของคริสเตียน ที่หลายครั้งคริสเตียนก็เห่าเสียงดัง เอ้ย! ทำงานรับใช้พระเจ้าด้วยกิจกรรมต่างๆ มากมาย และเกิดผล มีคนรับเชื่อใหม่ มีการฟื้นฟู นำผู้อื่นไปสู่ความรอด แต่คริสเตียนผู้นั้นกลับไม่รอด เพราะไม่มีประสบการณ์ส่วนตัวกับพระเจ้า มีโซ่ตรวนเป็นพันธนาการผูกคออยู่…คริสเตียนเอ๋ย อย่าเป็นเช่นนั้นเลย
การเปรียบเทียบตามที่เล่ามาอาจจะดูรุนแรงไปนิด แต่เมื่อใคร่ครวญดูแล้วก็เห็นจริงดังว่า จะดีกว่าสักเท่าใดหากเราเป็นสาวกที่ติดสนิทกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว และทำงานรับใช้พระองค์อย่างเกิดผลเป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ ในสถานที่ซึ่งพระองค์ทรงเรียกเรา…ให้ไป ในเรื่องที่พระองค์ทรงเรียกเรา…ให้ทำ ในสิ่งที่พระองค์ทรงเรียกเรา…ให้เป็น
“ถนนขรุขระที่มีพระเจ้า ก็ดีกว่าถนนทองคำที่ปราศจากพระองค์” (อาจารย์ประยูร)… คุณค่าของสาวกคือการมุ่งแสวงหาพระเจ้า คือการติดสนิทกับพระองค์เป็นการส่วนตัว [ยน.15:5] “เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย”
พระบิดาที่รัก ลูกเข้ามาร้องทูลต่อพระองค์ด้วยใจรักและบูชา ขอทรงโปรดเมตตาฟังคำวิงวอนของลูก เพื่อผู้อ่านทุกคน พระบิดาเจ้าข้า ความปิติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน เขาเป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง การทุกอย่างซึ่งเขากระทำก็จำเริญขึ้น (สดด.1:2-3) เขาปรนนิบัติพระเจ้าด้วยความยำเกรงและเกษมเปรมปรีด์จนเนื้อเต้น (สดด.2:11) พระองค์เจ้าข้า การช่วยกู้เป็นของพระองค์ ขอพระพรของพระองค์หลั่งลงเหนือประชากรของพระองค์เทอญ (สดด.2:8)

ไม่มีความคิดเห็น: