Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

การุณยฆาต

การุณยฆาต
วันที่ 29/8/2009

พ่อแม่อินเดียขอการุณยฆาตลูกพิการ 4 คน : สามีภรรยาชาวอินเดียคู่หนึ่งสุดยากจน เขียนคำร้องส่งไปยังประธานาธิบดีอินเดีย วิงวอนขอกระทำการุณยฆาตกับลูกพิการทั้ง 4 คนของตัวเอง เนื่องจากฐานะยากจน สุดปัญญาจะรักษาลูกให้หาย
เป็นข่าวแสนเศร้าซึ่งปรากฏบนหน้าจอทีวีแทบทุกสถานีในวันนี้ เนื่องด้วยบุตรชายของครอบครัวนี้ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 10-16 ปี ป่วยพิการแขนขาลีบทุกคน ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เนื่องมาจากโรคทางพันธุกรรม พวกเขาผอมโซ ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ต้องมีคนดูแลตลอด 24 ชั่วโมง ผู้เป็นพ่อแม่ก็พยายามดูแล และขายทรัพย์สมบัติมีค่าจนหมดตัวเพียงเพื่อจะมารักษาลูก แต่ในวันนี้ หมดปัญญาจริงๆ เพราะเวลาในการทำงานหาเงินยังไม่มี ต้องทุ่มเทเวลาในการดูแลลูกพิการ ดังนั้น ด้วยหัวใจที่สงสารลูก จึงคิดไปว่า หากลูกจากโลกนี้ไปแล้วจะเป็นการพ้นทุกข์ แต่ในเมื่อยังไม่ถึงเวลาที่ต้องจากโลกนี้ไปตามธรรมชาติ ก็มีวิถีทางเดียวที่เหลืออยู่คือ การทำการุณยฆาต ทั้งนี้ตามกฎหมายของอินเดียไม่อนุญาตให้มีการทำการุณยฆาต ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการผิดกฎหมายเกือบทุกประเทศ ยกเว้นที่เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ และสวิตเซอร์แลนด์ ที่มีกฎหมายในเรื่องนี้
ฉันค่อนข้างแปลกใจที่ประเทศซึ่งเรียกตัวเองว่าพัฒนาแล้ว กลับมีกฎหมายอนุญาตเรื่องการทำการุณยฆาต ซึ่งอันคำว่า การุณยฆาต ในความหมายจากสารานุกรมวิกิพิเดียนั้น ระบุว่า การุณยฆาต หรือ ปรานีฆาต (euthanasia หรือ mercy killing; การุณยฆาตเป็นศัพท์ทางนิติศาสตร์ ส่วนปรานีฆาตเป็นศัพท์ทางแพทยศาสตร์) หรือ แพทยานุเคราะหฆาต (physician-assisted suicide) หมายถึง การทำให้บุคคลตายโดยเจตนาด้วยวิธีการที่ไม่รุนแรงหรือวิธีการที่ทำให้ตายอย่างสะดวก หรือ การงดเว้นการช่วยเหลือหรือรักษาบุคคล โดยปล่อยให้ตายไปเองอย่างสงบ ทั้งนี้ เพื่อระงับความเจ็บปวดอย่างสาหัสของบุคคลนั้น หรือในกรณีที่บุคคลนั้นป่วยเป็นโรคอันไร้หนทางเยียวยา
ฆ่าด้วยความกรุณาหรือ ฆ่าด้วยความปราณีหรือ เมื่อพิจารณาในแง่มุมของพระคัมภีร์แล้ว กลับมองไม่เห็นถึงความกรุณาสักนิดเลย การฆ่าคนจะเป็นความกรุณาได้อย่างไรกัน แค่บัญญัติ 10 ประการ วิธีการนี้ก็ไม่ผ่านเสียแล้ว ผู้เดียวที่จะพิพากษามนุษย์ ผู้เป็นปฐมและอวสานมีองค์เดียวเท่านั้น คือ พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งของเรา และเหตุที่พระองค์เป็นพระผู้สร้างนี่เอง ทุกสรรพสิ่งจึงเป็นของพระองค์ และทุกสิ่งจึงขึ้นอยู่กับความกรุณาของพระเจ้า [รม.9:16 เพราะฉะนั้นทุกสิ่งจึงไม่ขึ้นแก่ความตั้งใจหรือการตะเกียกตะกาย แต่ขึ้นอยู่กับพระกรุณาของพระเจ้า]
พระเจ้าเป็นผู้ประทานชีวิต เป็นผู้ประทานลมหายใจ ดังนั้นมนุษย์จึงไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินความเป็นความตายของมนุษย์ด้วยกัน ทั้งนี้ ไม่สำคัญด้วยว่ามนุษย์นั้นจะเป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด เป็นเจ้าเหนือชีวิต เป็นกษัตริย์ เป็นแพทย์ หรือเป็นฆาตกร
ฉันไม่ได้อยู่ในฐานะพ่อและแม่ จึงไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกของความเป็นพ่อและแม่ได้ดีเท่าที่ควร แต่หากมองจากความเป็นมนุษย์แล้ว ทุกคนต่างก็เป็นอวัยวะในกายเดียวกัน หากมีอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งเจ็บ อวัยวะที่เหลือก็พลอยเจ็บไปด้วย หากคนที่เรารักเจ็บปวด เราจะไม่เจ็บปวดไปกับเขาด้วยหรือ หากเขาต้องเสียชีวิต โดยที่เราไม่ได้ทำอะไรเพื่อเขา เราจะมีชีวิตที่เต็มล้นไปด้วยสันติสุขได้หรือ ดังนั้น เราจึงควรฟันฝ่าบากบั่นไปด้วยกัน จนกว่าจะตายจากกัน แม้ว่าจะต้องเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานเหลือแสน แต่เรารู้ว่าบำเหน็จแห่งสวรรค์รอเราอยู่ ซึ่งนั่นย่อมดีกว่าการทำการุณยฆาตเพื่อหนีความทุกข์ในโลกนี้ แล้วต้องไปทุกข์ทรมานในบึงไฟนรก
ในบางครั้งที่พบเจอบางปัญหาที่หนักหนาสาหัสในชีวิต ฉันก็มักจะพูดเล่น ประชดประชัน หรือในบางครั้งด้วยอาการน้อยใจว่า “รู้งี้ ตายเสียดีกว่า” หรือ “ให้ตายเถอะ” หรือ “ไม่อยากอยู่แล้ว ฉันไม่มีค่าอะไรเลย” พี่น้องคะ หากคุณเคยคิดแบบนี้หรือมีท่าทีในลักษณะนี้ ต้องกลับใจโดยด่วนเลยค่ะ ความตายไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ชีวิตนี้มิใช่ได้มาเปล่าๆ เรารู้กันอยู่ว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย เราเองก็สมควรตาย แต่เหตุเพราะการวายพระชนม์ของพระบุตร เราจึงมีชัยเหนือความตายและได้รับชีวิตนิรันดร์ ชีวิตของมนุษย์ทุกคนจึงมีค่าด้วยกันทั้งสิ้น
“ชีวิต คือ ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากพระเจ้า” แต่หากเราไร้ซึ่งชีวิต เราจะสรรเสริญพระเจ้าได้อย่างไรกัน ดังนั้น ขอให้เรารักชีวิต (ตนเองและผู้อื่น) และมีชีวิตอยู่เพื่อสรรเสริญพระเจ้ากันดีกว่าคะ
“ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระเจ้า ตราบเท่าที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสดุดีถวายพระเจ้าของข้าพเจ้า ขณะที่ข้าพเจ้ายังเป็นอยู่” (สดด.146:2)
“จงให้ทุกสิ่งที่หายใจสรรเสริญพระเจ้า จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด” (สดด.150:6)
ในทางกลับกัน มีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่พยายามแสวงหาความเป็นอมตะ เขาไม่อยากตาย เขาไม่ยอมรับความจริงว่ามีวาระสำหรับทุกสิ่ง มีวาระเกิด มีวาระตาย และวาระนั้นพระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนดควบคุม มนุษย์จะเป็นอมตะได้อย่างไร เพราะมนุษย์นั้นเป็นพันธุ์มตะ มีเพียงองค์พระเจ้าผู้ใหญ่ยิ่งเท่านั้นที่ทรงเป็นอมตะ [1ทธ.6:16 พระองค์ผู้เดียวทรงอมตะ และทรงสถิตในความสว่างที่ซึ่งไม่มีคนใดจะเข้าไปถึง ผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยเห็น และจะเห็นไม่ได้ พระเกียรติและฤทธานุภาพอันถาวรจงมีแด่พระองค์นั้น อาเมน]

ไม่มีความคิดเห็น: