Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สิ่งที่ดีที่สุด

สิ่งที่ดีที่สุด

วันที่ 23/6/2009
[สดด.84:10]
เพราะวันเดียวในบริเวณพระนิเวศของพระองค์ ดีกว่าพันวันในที่อื่น…
บทเรียนล้ำค่าล่าสุดซึ่งฉันได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้งจากประสบการณ์ชีวิตในช่วง 1 เดือน ที่ผ่านมา คือ เคล็ดลับแห่งการดำเนินชีวิตที่จะไม่พลาดจากสิ่งที่ดีที่สุด…ดูเหมือนว่าระยะเวลาที่ผ่านมาฉันได้ประจักษ์แก่ใจแล้วว่า สิ่งที่ดีที่สุดคืออะไร หากว่าในทางปฏิบัติฉันยังคงห่างไกลจากสิ่งนั้นมากนัก แต่พระเจ้าผู้ทรงเป็นยอดดวงใจของฉัน ทรงรักฉันเกินกว่าที่จะให้ฉันจมปลักอยู่กับหลุมตมแห่งความผิดพลาดนั้น
ฉันสนุกสนานกับการใช้ชีวิตมาก ซึ่งฉันเข้าใจไปเองว่าเป็นการใช้ชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้า แต่พระเจ้าก็ทรงสอนฉันอย่างรวดเร็วว่า ฉันหลงผิดไป ด้วยว่าฉันทำหลายสิ่งหลายอย่างมากเกินไป ในขณะที่งานประจำที่ทำอยู่ก็ยุ่งอยู่แล้ว ดังนั้น หลังเลิกงานและวันหยุด ฉันจึงควรจะพักผ่อน และใช้เวลาอยู่ที่แทบพระบาทของพระเจ้า แต่ฉันกลับทำหลายสิ่งมากเกินไป ทั้งการสอนภาษาอังกฤษหลังเลิกงานเพื่อการประกาศ การเรียนพระคัมภีร์ภาคค่ำ และการร่วมกิจกรรมอื่นๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าทุกสิ่งที่ฉันทำล้วนเป็นสิ่งดีทั้งสิ้น แต่ฉันลืมไปว่ามนุษย์มีความจำกัดในทุกด้าน ทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา กิจกรรมตลอดทั้งสัปดาห์ของฉันทำให้ฉันเหนื่อยอ่อน ตื่นเช้ามาก็ไม่มีแรง เกิดอาการเพลีย อ้าว! ถ้าอย่างนั้นนอนต่อดีกว่า คร่อก ฟี้! เมื่อตื่นมาอีกทีก็ต้องรีบไปทำงานซะแล้ว ฉันจึงพลาดการเฝ้าเดี่ยวในช่วงเช้า เมื่อเป็นเช่นนี้อยู่หลายวัน ก็เริ่มไม่มีสันติสุข แม้ว่าตลอดทั้งวันฉันสามารถอธิษฐาน ร้องเพลงนมัสการเบาๆ หรือตรึกตรองถึงข้อพระคัมภีร์ที่สามารถจำได้ แต่สิ่งเหล่านี้มิอาจทดแทนเวลาแห่งสันติสุขที่ฉันพักสงบอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าตามลำพังได้เลย
พระวิญญาณทรงสอนฉันอย่างอ่อนสุภาพ ทำให้ฉันระลึกถึงคำพูดหนึ่งจากพี่เลี้ยงฝ่ายวิญญาณว่า “อย่าลืมสิ่งที่ดีที่สุด” วลีที่เธอกล่าวนี้ฝังอยู่ในใจฉัน และฉันก็พบข้อความทำนองนี้อีกจากการอ่านหนังสือ “ไฟของพระเจ้า” โดย จอย ดอว์สัน (หน้า 84) “สิ่งดีเป็นศัตรูกับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ” และฉันก็พบข้อความนี้อีกครั้งในเช้าวันหนึ่งขณะเฝ้าเดี่ยวด้วยหนังสือ “สุดหัวใจแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าสูงสุด” โดย ออสวอลล์ แชมเบอรส์ …ใช่แล้ว ฉันทำสิ่งที่ดีหลายอย่าง จนกระทั่งฉันพลาดสิ่งที่ดีที่สุดไป
[มธ.26:40] …"เป็นอย่างไรนะ ท่านทั้งหลายจะคอยเฝ้าอยู่กับเราสักทุ่มเดียวไม่ได้หรือ”
คำตรัสของพระเยซูประโยคนี้ตามติดฉันไปทุกที่ เป็นเสียงเร่งเร้าจากภายในที่รอการตอบสนอง ซึ่งนำฉันไปสู่การกลับใจอีกครั้งหนึ่ง ต้องกลับมาทบทวนกิจกรรมในแต่ละวันของตนเองว่าสิ่งใดที่ควรทำต่อ หรือสิ่งใดที่ควรตัดออก เพื่อคงความสัมพันธ์ที่แนบสนิทกับองค์พระเยซูได้ลึกซึ้งดังเดิมหรือยิ่งกว่าเดิม
พี่เลี้ยงฝ่ายวิญญาณตลอดทั้งอาจารย์หลายท่านได้เตือนสติเสมอว่า เราไม่จำเป็นต้องไล่ตามผู้อื่น ด้วยการแสวงหาของประทานฝ่ายวิญญาณ หรือการเติมเต็มความรู้ต่างๆ โดยเข้าร่วมการสัมมนาทุกรายการ มีการฟื้นฟูที่ไหนก็ตามไปที่นั่น ทั้งนี้ เพราะพระเจ้าทรงอยู่กับเรา ทรงสถิตอยู่ในทุกอณูใจของเรา แต่เราเองต่างหากที่ละเลยพระองค์ไป (การสัมมนา และฟื้นฟูต่างๆ เป็นสิ่งที่ดี แต่จะมีประโยชน์อะไรเล่า หากเรามิได้มีชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว)
เราทุกคนต้องระวังที่จะไม่รับใช้พระเจ้าจนไม่มีเวลาส่วนตัวกับพระองค์ องค์พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างที่ยอดเยี่ยม พระองค์มิได้ทรงใช้เวลารับใช้ประชาชนมากกว่าที่จะสามัคคีธรรมและอธิษฐานต่อพระบิดาอย่างเป็นส่วนตัว การอธิษฐานเป็นสิ่งสำคัญอย่างชัดเจนสำหรับพระองค์
[มก.1:35]
ครั้นเวลาเช้ามืดพระองค์ได้ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่เปลี่ยว และทรงอธิษฐานที่นั่น
[ลก.4:42]
ครั้นรุ่งเช้า พระองค์เสด็จออกไปยังที่เปลี่ยว …
[ลก.5:16]
แต่พระองค์เสด็จออกไปในที่เปลี่ยวและทรงอธิษฐาน
แม้กระทั่งก่อนที่พระองค์จะทรงกระทำพันธกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็ทรงอธิษฐานจนพระเสโทของพระองค์เป็นเหมือนเลือด [ลก.22:44] เมื่อพระองค์ทรงเป็นทุกข์มากนัก พระองค์ยิ่งปลงพระทัยอธิษฐาน พระเสโทของพระองค์เป็นเหมือนโลหิตไหลหยดลงถึงดินเป็นเม็ดใหญ่ แม้แต่ขณะนี้ วินาทีนี้ พระองค์ก็มิทรงหยุดที่จะอธิษฐานเพื่อเรา [ฮบ.7:25] ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงสามารถเป็นนิตย์ที่จะช่วยคนทั้งปวง ที่ได้เข้ามาถึงพระเจ้า โดยทางพระองค์นั้นให้ได้รับความรอด เพราะว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ เพื่อช่วยทูลขอพระกรุณาให้คนเหล่านั้น
โอ พระเจ้า มีฤทธิ์เดชอยู่ที่นั่น! เมื่อเราติดสนิทกับพระองค์ ณ ที่ประทับของพระองค์ ที่ประทับของพระองค์เป็นที่รักจริงๆ…เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องรู้ว่าหน้าที่ในพันธกิจหลักของเราคืออะไร เพื่อเราจะอยู่ในขอบเขตเหล่านั้น โดยไม่หลุดออกนอกทางเนื่องจากแรงกดดันของคนรอบข้าง คำร้องขอหรือความคาดหวังของใครบางคน หรือแม้แต่ความคาดหวังของตัวเราเอง… [ยก.4:17] เหตุฉะนั้นผู้ใดรู้ว่าอะไรเป็นความดีและไม่ได้กระทำ คนนั้นจึงมีบาป
เมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว ฉันก็ต้องกลับใจใหม่ ขอการชำระจากพระเจ้า บอกพระองค์ว่า พระองค์เป็นที่หนึ่งในชีวิตของฉัน นอกจากพระองค์แล้ว ฉันไม่ปรารถนาผู้ใด [สดด.73:25] นอกจากพระองค์ ข้าพระองค์มิมีผู้ใดในฟ้าสวรรค์ นอกจากพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาใดใดในโลก…
มนุษย์จำเป็นต้องมีความสมดุลในทุกๆ ด้านของชีวิต ความสมดุลจะต้องอยู่ทั้งในด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และจิตวิญญาณ… ฉันจึงเริ่มตัดกิจกรรมบางรายการที่ดึงเวลาของฉันไปจากพระเจ้า Wow! เพื่อสันติสุขซึ่งเกินความเข้าใจก็อยู่กับฉันอีกครั้ง
ลดหรือตัดสิ่งที่ดีออก เพื่อที่จะไม่พลาดสิ่งที่ดีที่สุด!
บทเรียนเรื่องนี้เข้มข้นยิ่งขึ้นอีก เพราะการตีสอนยังมิหยุดแค่นั้น ฉันมีอาการทางร่างกายด้วย กล่าวคือ ปวดศีรษะอย่างรุนแรง และบางครั้งก็มีอาการคันตามร่างกาย บางคืนต้องตื่นมากลางดึกเพราะปวดศีรษะมากจนน้ำตาไหล หรือบางครั้งก็คันมากจนนอนไม่ได้ ฉันไม่รู้ว่าอาการที่ฉันเป็นนั้นเกิดจากสาเหตุใด ทว่า ในราตรีอันมืดมิด ฉันต้องต่อสู้ด้วยการนมัสการและอธิษฐานอย่างหนักโดยลำพัง
สวัสดิการอย่างหนึ่งของบริษัทคือการตรวจสุขภาพประจำปี ซึ่งปีนี้ผลการตรวจสุขภาพของฉันอยู่ในเกณฑ์ปกติ ยกเว้นความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดที่มีค่าสูงเกินปกติเล็กน้อย ซึ่งได้รับการแนะนำให้ไปตรวจซ้ำ เมื่อศึกษาถึงสารตัวนี้ก็พบว่า สามารถเกิดในผู้ที่เป็นภูมิแพ้ หรือโรคพยาธิ เมื่อเล่าให้เพื่อนฟัง เพื่อนก็บอกว่า “เธอต้องมีพยาธิแน่ๆ เลย เธอถึงได้ผอมขนาดนี้” แต่ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะมีพยาธินะ ฉันรู้ว่าที่ตนเองผอม เนื่องจากการเลือกรับประทานอาหาร และกิจกรรมที่ทำอยู่ในแต่ละวันก็เผาผลาญพลังงานค่อนข้างมาก ฉันจึงคิดไปว่าตนเองต้องมีอาการแพ้อะไรบางอย่างแน่เลย เอ๊ะ หรือว่าจะเป็นเพราะวันก่อนไปกินส้มตำปูมา เกี่ยวไหมนะ จากนั้นก็พิจารณาไปทีละรายการว่าเกิดจากอะไร อาหาร อากาศ ความสะอาด หรืออื่นๆ …เออ! แล้วทำไมไม่ไปหาหมอละตัวเอง
ฉันไปพบแพทย์เมื่อวันจันทร์ที่ 15/6/2009 ผ่านมา คุณหมอวิเคราะห์อาการแล้วก็บอกว่าเป็นไมเกรนนะหนู ไมเกรนเกิดจากความเครียด ไอ๋หยา! ฉันไม่เคยคิดว่าคริสเตียนจะเป็นไมเกรน เป็นคริสเตียนต้องมีความสุขสิ จะเครียดได้ยังไง ฉะนั้นไมเกรนของหนูไม่ได้เกิดจากอาการเครียดแน่นอนคะคุณหมอ หนูร้องเพลงทุกวันเลย หนูมีความสุขดีออก มีสาเหตุอื่นอีกหรือเปล่าคะ หมอทำท่าหนักใจ แล้วบอกว่า ไม่เครียดก็ไม่เครียด ดีแล้วที่ไม่เครียด แต่ไมเกรนก็อาจจะเกิดจากร่างกายอ่อนล้า พักผ่อนไม่เพียงพอด้วย เอ้อเหอ พอฟังแบบนี้ก็ค่อยพูดกันรู้เรื่องหน่อยหนึ่ง คือ ยังไงก็ไม่ยอมรับว่าตัวเองเครียด คุณหมอก็ให้ยามารับประทาน หลายขนานด้วยกัน ยาทุกตัวระบุไว้ด้วยว่า “ทานแล้วจะเกิดอาการง่วงซึม” และหมอยังให้ยาแก้แพ้มาด้วย แต่หมอบอกว่า ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดไม่ได้สูงเกินปกติมาก (ค่า Eosinophil สูงกว่า 3%) อาการแพ้จึงไม่น่าเป็นห่วง และไม่ต้องตรวจเลือดซ้ำด้วย รอไปตรวจอีกทีตอนครบรอบปีก็ได้ ถ้าร่างกายแข็งแรง พักผ่อนเพียงพอ ก็จะไม่มีอาการแพ้ แต่สรุปว่า เมื่อกินยาครบทุกตัวแล้ว สลบเลยคะท่าน
เต็มๆ เลยค่ะ กับบทเรียนนี้ที่ถูกเตือนทางวิญญาณจิต และทางร่างกาย ฉะนั้นแล้ว ก็ต้องเลิกทำกิจกรรมดีๆ บางรายการ ฉกฉวยวาระแห่งความชื่นชมยินดีไว้เสมอ ซึ่งการผ่อนคลายของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน บ้างก็ ชอปปิ้ง เสริมสวย นวดสปา เล่นดนตรี กีฬา วาดรูป เลี้ยงสัตว์ ปลูกต้นไม้ ทำกับข้าว ท่องเที่ยว อ่านหนังสือ ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อที่จะไม่พลาดสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อจะสามารถดูแลพระวิหารของพระเจ้า จะได้รับใช้พระเจ้าไปได้นานๆ ด้วยความชื่นชมยินดี และสันติสุขอันเปี่ยมล้น [1คร.6:19] ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเคสส่วนตัวนะคะ คนอื่นอาจจะแตกต่างกันออกไป ฉะนั้น กรณีของผู้อื่นที่เกิดขึ้นคล้ายๆ ฉัน พระเจ้าอาจจะทรงมีแผนการและพระประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป
ฉันยอมรับแล้วคะว่าตนเองเครียด ซึ่งสาเหตุมีหลายประการด้วยกัน คือ
1. งานประจำที่ทำอยู่ต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ และมีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้ต้องทำงานแข่งกับเวลา และมีความกดดันว่า งานต้องออกมาดีที่สุด
2. เวลาเลิกงานปกติคือ 17.00 น. แต่หลายครั้งไม่สามารถเลิกงานตรงเวลาได้ เพราะงานด่วนเข้าตอนบ่ายหรือใกล้ๆ เลิกงาน ทำให้วันที่ต้องไปสอนหรือไปเรียนนั้นต้องลุ้นอยู่ตลอดเวลาว่า จะไปสอนทันไหม จะไปเรียนทันไหม
3. หลายครั้งเลิกงานตามปกติได้ แต่ต้องหอบงานมาทำที่บ้านหลังเลิกงาน หรือเสาร์อาทิตย์
4. เป็นคนไม่ชอบนั่งมอเตอร์ไซด์ เวลานั่งมอเตอร์ไซด์ไกลๆ แล้วไข้จะกินซะให้ได้ สารภาพเลยว่ากลัวมาก นั่งไปอธิษฐานไป แต่การนั่งมอเตอร์ไซด์เป็นวิธีที่ประหยัดและรวดเร็วที่สุดในวันไปเรียน จาก office ไปโรงเรียน
5. เป็นคนไม่ชอบนั่งแท็กซี่คนเดียว โดยเฉพาะเวลากลางคืน แต่ก็จำเป็นต้องนั่งในวันไปเรียน นั่งไปก็อธิษฐานไป “พระองค์เจ้าข้า ลูกอยากกลับถึงบ้านเร็วๆ”
เมื่อรู้สาเหตุของการเครียดแล้วก็ต้องเยียวยาทีละรายการ เพราะการเครียดบ่งบอกถึงการไม่ไว้วางใจองค์พระผู้เป็นเจ้า น้ำพระทัยของพระองค์คือ การประทานสวัสดิภาพไม่ใช่ทุกขภาพ
[ยรม.29:11] พระเจ้าตรัสว่า เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ เพื่อจะให้อนาคตและความหวังใจแก่เจ้า

ไม่มีความคิดเห็น: