Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด

ความรักยิ่งใหญ่ที่สุด
วันที่ 09/07/2009

คุณเคยรู้สึกไหมว่า คุณรักใครบางคนไม่ได้…คุณอาจจะไม่เคย แต่ฉันเคยคะ…ช่างเป็นความรู้สึกที่ทรมานเสียนี่กระไร พระบัญชาของพระเจ้าสั่งให้เรารักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง แต่ฉันก็ยังรักคนๆ หนึ่งไม่ได้ ทำอย่างไรดี
ใจหนึ่งก็รู้ว่าการรักใครบางคนไม่ได้นั้น เป็นสิ่งที่ขัดต่อคำสอนของพระเจ้า แต่อีกใจหนึ่งก็ยังโต้เถียงอยู่ว่า จะรักเขาได้อย่างไร (อ้าว) กลายเป็นคนสองใจซะแล้ว ซึ่งสิ่งนี้อีกเช่นกันที่ทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสียพระทัย…ฉันเคยอธิษฐานเผื่อตนเองอยู่เสมอว่า ขอให้ฉันรู้น้ำพระทัยของพระเจ้า และขอให้ฉันทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าด้วย ดังนั้น เมื่อรู้แล้วไม่ทำก็บาปอีก (ผ่าง)
ฉันต้องปล้ำสู้กับเนื้อหนังของตัวเองอย่างหนัก เมื่อฉันเกิดความรู้สึกว่ารักคนๆ หนึ่งไม่ได้ ซึ่งลำพังฉันก็คงไม่สามารถรักเขาได้ด้วย หากไม่มีพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าที่ฉันมีพระองค์ซึ่งเป็นต้นกำเนิดแห่งความรัก และฉันยังมีพี่น้อง คริสเตียนมากมายที่หนุนใจ ใส่ใจ ให้คำปรึกษาด้วยความรัก ฉันนำเรื่องนี้ไปปรึกษาพี่ๆ ที่คริสตจักร ซึ่งทุกคนน่ารักมาก ให้คำแนะนำที่ดี ให้ขอสติปัญญาจากพระเจ้า ให้ใช้ความรักนำหน้า ให้คงความสัมพันธ์ที่ดีไว้ เพราะเราเองก็เป็นคนบาป [รม.3:23] “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า” เราเป็นคนบาปที่สมควรแก่อาชญา แต่โดยพระคุณ พระเจ้าไม่ทรงทอดทิ้งเรา ไม่ทรงตัดความสัมพันธ์กับเรา คนบาปอย่างเราจึงได้รับความรอด [รม.6:23]
“เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” แล้วเราจะสำแดงความรักของเราต่อพี่น้องดังเช่นที่พระเยซูได้ทรงวางแบบอย่างไว้หรือไม่ [รม.5:8] “แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา”
ก่อนที่ฉันจะกำชัยชนะเรื่องนี้ได้นั้น ฉันก็ดูเหมือนจะแพ้…เอ่อ หรือจะบอกว่าแพ้ไปแล้วก็น่าจะใช่ เพราะเมื่อฉันรู้สึกว่ารักคนๆ นั้นไม่ได้แล้ว การตอบสนองก็เกิดขึ้น แม้จะมีวลีหนึ่งที่โดนใจวัยมันส์ว่า “ไม่ขึ้นอยู่กับว่าถูกหรือผิด แต่ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของคุณ” ที่ฉันยังจำได้ติดหูก็ตาม แต่ในขั้นแรกนั้น ฉันเลือกตอบสนองตามเนื้อหนัง…อย่างไรก็ดี ฉันขอบคุณพระเจ้า เพราะในท้ายที่สุด ฉันขอเลือกอีกครั้ง โดยเลือกตอบสนองในมุมมองของพระคริสต์
ในช่วงที่ฉันยังเดินอยู่กับความพ่ายแพ้นั้น ซาตานมันก็คงชอบใจนักแล เพราะฉันตัดความสัมพันธ์กับคนๆ นั้น แทบจะสิ้นเชิง ฉันรื้อหนังสือที่เขาเคยให้ไว้ ออกจากบ้านไป และแม้หนังสือบางเล่มจะยังคงอยู่ที่บ้าน แต่ฉันก็ตั้งใจว่าจะไม่อ่านมันอีกต่อไป ฉันปลดรูปถ่ายของเขาออก และตั้งใจที่จะตัดความสัมพันธ์กับเขาในทุกทาง…แต่พระเจ้ามิทรงประสงค์ให้ฉันเป็นคนไร้รัก ซึ่งในพระคัมภีร์ก็บอกว่า จงรักศัตรูของท่าน [มธ.5:44] “ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน”
Wow! แม้แต่ศัตรูยังต้องรักเลย แต่นี่เป็นพี่น้องในพระคริสต์ ฉันก็ต้องยิ่งรักมากกว่าศัตรูสักเท่าไร ฉันต้องมองพี่น้องด้วยมุมมองของพระเจ้า ด้วยสายพระเนตรของพระองค์ แต่ฉันก็ยังรักเขาไม่ได้อยู่ดี…มันเป็นความเจ็บปวดที่ร้าวลึก ที่เราเคยสรรเสริญพระเจ้าด้วยกัน อธิษฐานด้วยกัน แบ่งปันกันและกัน และหนุนจิตชูใจกันมาด้วยความรัก แต่เมื่อวันหนึ่งมีเหตุต้องให้ขัดเคืองกัน สิ่งดีๆ ที่เคยทำร่วมกันมา ก็ไม่มีค่าอะไรเลย (เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ) …พระคำมากมายที่ว่าด้วยเรื่องความรักผุดขึ้นมาในมโนนึกของฉัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระธรรม 1 คร. บทที่ 13 แต่ดูเหมือนว่า พระคำเหล่านั้นเป็นเพียงความรู้ในสมอง ไม่สามารถช่วยอะไรฉันได้เลย ไม่สามารถแทงทะลุจิตวิญญาณของฉันได้ ธรรมชาติบาปของฉันได้ขัดขวางไว้ไม่ให้ฉันสัมผัสความรักของพระเจ้า
[1คร.13:7] “ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง” …โป๊ะเชะ โดนจังๆ พระคัมภีร์กล่าวไว้เช่นนั้น แต่ในภาวะที่คนมันหมดรัก ก็ยากนักที่จะรักใคร หัวใจฉันด้านชาไปหมด น้ำตาฉันไหลด้วยความช้ำใจ “พระบิดาเจ้าข้า ลูกทำไม่ได้” ฉันไม่มีสันติสุขเลย ในขณะที่พระเจ้าทรงรอคอยที่ฉันจะตอบสนองอย่างถูกต้อง
การเดินออกจากทางของพระเจ้าเป็นความเจ็บปวด การขาดสันติสุขก็เป็นสิ่งที่ฉันมิพึงปรารถนา จึงร้องทูลต่อพระเจ้าว่าสิ่งนี้เหลือกำลังของฉัน และร้องเรียกพระองค์ด้วยถ้อยคำสั้นๆ ว่า “พระบิดาที่รัก ช่วยลูกด้วย”
พระเจ้าทรงเบิกตา ให้ฉันเห็นสิ่งมหัศจรรย์ในพระคำของพระองค์ [อสค.36:26] “เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้าและเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเจ้า เราจะนำใจหินออกไปเสียจากเนื้อของเจ้า และให้ใจเนื้อแก่เจ้า” ฉันอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า ทูลขอพระเจ้าให้ปลดปล่อยฉันจากคนใจหิน และใส่วิญญาณใจใหม่ให้กับฉัน ขอที่พระองค์จะทรงเปลี่ยนแรงบันดาลใจของฉัน ให้พระบัญญัติของพระองค์จารึกแทงทะลุในจิตวิญญาณของฉัน ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เทความรักของพระเจ้าเข้ามาในจิตใจที่เย็นชาของฉัน เพราะหากฉันบ่มความชั่วช้าไว้ในใจ ชีวิตนี้ก็คงขาดพระพร [สดด.66:18] “ถ้าข้าพเจ้าได้บ่มความชั่วไว้ในใจข้าพเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าคงไม่ทรงสดับ”
พระองค์ทรงรู้ถึงความทุกข์ใจของฉัน และทรงปลอบประโลมฉัน [อสย.30:20] “และถึงแม้องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานอาหารแห่งความยากลำบากและน้ำแห่งความทุกข์ใจให้แก่เจ้า ถึงกระนั้นพระครูของเจ้าจะไม่ซ่อนตัวอีกเลย แต่ตาของเจ้าจะเห็นพระครูของเจ้า”
ฉันอธิษฐานซ้ำแล้วซ้ำอีก ทูลขอด้วยความกระหาย ให้พระองค์ทรงเติมฉันด้วยพระวิญญาณแห่งความรักของพระองค์…ในที่สุด ความรักของพระองค์ก็ค่อยๆ เติบโตในหัวใจ จนกระทั่งฉันสัมผัสได้ว่าฉันสามารถรักคนๆ นั้นได้แล้ว
การอธิษฐาน ปลุกความรักให้ลุกขึ้น ความรักนำมาซึ่งการอธิษฐานมากขึ้น ในทางกลับกัน คำอธิษฐานฟื้นความรักกลับมาได้มากขึ้น (สตอร์มี โอมาร์เทียน) ฉันจึงทูลต่อพระเจ้าว่า ฉันรักเขาคนนั้น และจะไม่ยอมให้สิ่งใดมาทำให้เราขาดจากความรักของพระเจ้า และขาดจากความรักของกันและกันได้ และที่สำคัญคือ ฉันขอรักทุกคน ดังเช่นที่พระองค์ทรงบัญชาไว้…ฉันขอหัวใจรักอย่างพระคริสต์
[1คร.13:13] “ดังนั้นยังตั้งอยู่สามสิ่ง คือความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด”

ไม่มีความคิดเห็น: