Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2552

เมฆ

เมฆ
วันที่ 30/8/2009

ยามค่ำคืนฉันนอนมองออกนอกหน้าต่าง เห็นเมฆที่ล่องลอยไปบนฟากฟ้า นั่นไงดอกไม้ นั่นไงหมู-หมา-กา-ไก่ นั่นไงเหมือนคนที่ฉันรู้จักเลย แต่หน้าตาตลกจัง (เอิ้ก เอิ้ก) เมฆเป็นอะไรต่ออะไรหลายอย่างตามจินตนาการของฉัน และฉันก็ปรารถนาที่จะเห็นพระเจ้าในหมู่เมฆนั้นด้วย [มก.13:26 เมื่อนั้นเขาจะเห็น บุตรมนุษย์เสด็จมาในเมฆ ทรงฤทธานุภาพและพระสิริเป็นอันมาก]
เมฆสีขาวตัดกับความมืดยามรัตติกาลทำให้ท้องฟ้าสวยขึ้นถนัดตา ในพระคัมภีร์มีหลายตอนด้วยกันที่บอกเราว่าเมฆเป็นสัญลักษณ์แห่งพระสิริและการทรงสถิตของพระเจ้า [1พกษ.8:11 ปุโรหิตจึงยืนปรนนิบัติอยู่ไม่ได้ เพราะเมฆนั้น เพราะพระสิริของพระเจ้าเต็มพระนิเวศของพระเจ้า] เมื่อเห็นเมฆปุ๊บจึงทำให้นึกถึงพระเจ้าปั๊บ! องค์พระผู้สร้าง พระผู้ทรงปั้นเมฆ ในพระคัมภีร์หลายตอนยังกล่าวด้วยว่าพระองค์ทรงเมฆเป็นราชรถ เป็นพาหนะ เช่นในสดุดี [สดด.68:4 จงร้องเพลงถวายพระเจ้า จงร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์ จงยกย่องพระองค์ผู้ทรงเมฆเป็นพาหนะ พระนามของพระองค์คือพระเยโฮวาห์ จงลิงโลดต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์] แล้วก็ทำให้นึกถึงในวัยเด็กที่ฉันทำม้าก้านกล้วย และขี่มันข้ามคันนา ว้าว! แต่นี้ไม่เหมือนกันนะ พาหนะของพระเจ้ายิ่งใหญ่ไร้เทียมทานเหนือพาหนะใด เมฆเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่พระเจ้ากำหนด กว้างไกลสุดขอบฟ้าขอบโลก เมฆไม่เคยหยุดนิ่ง เหมือนที่พระเจ้ามิเคยหยุดนิ่ง พระองค์มิเคยหลับสนิทหรือนิทรา [สดด.121:4 ดูเถิด พระองค์ผู้ทรงอารักขาอิสราเอล จะไม่ทรงหลับสนิทหรือนิทรา] พระวิญญาณก็มิเคยหยุดเคลื่อนไหวในชีวิตของเรา ยังทรงเปี่ยมด้วยฤทธานุภาพ และประกอบกิจอยู่ภายในเราเสมอ แต่เราต่างหากเล่าที่ไม่ค่อยนิ่งสักเท่าไร พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราหยุดนิ่งเสียบ้าง เพราะหากเราไม่นิ่ง เราก็คงไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณ และคงไม่รู้จักพระราชกิจของพระองค์ [สดด.46:10 จงนิ่งเสีย และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้าเราเป็นที่ยกย่องท่ามกลางประชาชาติ เราเป็นที่ยกย่องในแผ่นดินโลก]
มีสำนวนหนึ่งของคนไทยที่ว่า “มาเหนือเมฆ” ซึ่งหมายถึง การคิดหรือทำด้วยชั้นเชิงที่เหนือกว่าผู้อื่น ซึ่งก็ยิ่งให้ภาพขององค์พระเจ้าที่ว่า มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ทรงยิ่งใหญ่เหนือกว่าผู้ใดและสิ่งใดในโลก ทรงมาเหนือเมฆอย่างแท้จริง
ในเชิงวิทยาศาสตร์นั้น เมฆ เกิดจากการรวมตัวหรือเกาะกลุ่มของไอน้ำ ซึ่งในที่สุดก็จะเกิดการควบแน่นและตกลงมาเป็นฝน เป็นละอองน้ำและเกล็ดน้ำแข็งที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนลอยตัวอยู่ในชั้นบรรยากาศ ที่เราสามารถมองเห็นได้ แต่เรารู้ดีว่าเมฆเกิดจากการทรงสร้างของพระเจ้า [โยบ.36:27 เพราะพระองค์ทรงดึงหยดน้ำขึ้นไป ซึ่งกลั่นเป็นฝนจากเมฆของพระองค์] พระองค์ทรงสร้างเมฆ และกำหนดกฎเกณฑ์ให้มัน [โยบ.37:16 ท่านทราบถึงการทรงตัวของเมฆหรือ เป็นพระราชกิจอันประหลาดของพระองค์ผู้สมบูรณ์ในความรู้] ในยามที่ท้องฟ้าไม่มีเมฆ ก็จะเรียกว่าท้องฟ้าใส ท้องฟ้าโปร่ง เมื่อเมฆลอยมา ฟ้าก็สวยงดงามจับตายิ่งขึ้น หากเมื่อมีแสงสุรีย์ศรีหรือแสงจันทรามาตกต้องด้วยเล่า เมฆเบาสบายก็ยิ่งงดงามประหลาดตา เวลาที่เราขึ้นเครื่องบินที่ได้ไต่เพดานขึ้นไปสูงเหนือเมฆ ก็ราวกับว่าเราแหวกว่ายโฉบเฉี่ยวล่องลอยไปมาในคลื่นเมฆปุกปุย ซึ่งให้ความอ่อนละมุนละไมในหัวใจอย่างล้ำลึก ให้สัมผัสถึงความรักอีกรูปแบบหนึ่งจากพระเจ้า
[สดด.57:10 เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ใหญ่ยิ่งถึงฟ้าสวรรค์ ความสัตย์สุจริตของพระองค์สูงถึงเมฆ]

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณที่ข้อความนี้เป็นจริงแล้วในชีวิตของฉัน