Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2552

ใช้หนี้

ใช้หนี้

วันที่ 3/3/2009

ในภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำซบเซาทั่วโลก ในภาวะที่หลายคนหวั่นวิตกกับหน้าที่การงาน ในภาวะที่หลายคนเคร่งเครียดกับปัญหาที่รุมเร้าและต้องเผชิญกับข่าวร้าย แต่ในภาวะเช่นนี้เองที่คริสเตียนทั้งหลายจะต้องนิ่ง สงบ ไม่หวั่นเกรงต่อข่าวร้าย ทั้งยังมีใจจดจ่อคอยท่าพระเจ้า และพร้อมเสมอที่จะอุดช่องโหว่ต่างๆ เพื่อมิให้เรา ครอบครัวของเรา คริสตจักรของเรา สังคมของเรา ประเทศของเรา โลกของเรา ต้องประสบเหตุร้าย จนถึงขั้นต้องเจ็บใจและปวดกาย
ในขณะที่หลายคนกำลังย่ำแย่ แต่คริสเตียนจะได้รับการอุ้มชูจากพระเจ้า เนื่องเพราะพระเมตตาขององค์พระเจ้านั้นงดงาม สูงส่งถึงเมฆ คริสเตียนสามารถดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ด้วยสันติสุข ชุ่มชื่นด้วยพระเมตตาที่หลั่งมาไม่ขาดสายของพระองค์
ชีวิตของฉันเดินอยู่บนเส้นทางอัศจรรย์แห่งการเลี้ยงดูขององค์พระบิดาเสมอมา เหตุการณ์ล่าสุดที่ไม่มีวันลืมนั้นเกิดขึ้นเมื่อปลายปี 2550 เป็นปีที่ฉันต้องกู้เงินจากธนาคารเพื่อซื้อคอนโด แต่โดยลำพังเงินเดือนของฉันนั้นเล็กน้อยเกินกว่าจะซื้อคอนโดราคาหลักล้านได้ และฉันก็รู้ว่าฉันทำไม่ได้ แต่ฉันรู้ว่าพระเจ้า พระบิดาบนสวรรค์ ทรงเป็นพระผู้สร้าง ทรงเป็นเจ้าของทุกสิ่ง ทรงร่ำรวยด้วยความรักและพระพรนานาประการ และฉันก็ไม่ได้ต้องการที่จะมีคอนโดด้วยความโลภ แต่เป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต ที่ต้องมีที่อยู่อาศัย ซึ่งสามารถพักกายพักใจได้ในขณะอาศัยอยู่ ทั้งยังเป็นที่พักพิงของเพื่อนพ้องน้องพี่ได้อีกด้วย ฉันร้องทูลต่อพระองค์เสมอว่า “พระบิดาทรงร่ำรวย แล้วลูกของพระองค์จะยากจนได้อย่างไร และพระสัญญาของพระองค์คือให้ลูกของพระองค์อิ่มบริบูรณ์ด้วยของดี ทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลดีในทุกสิ่ง” พี่น้องหลายคนร่วมใจกันอธิษฐานเผื่อฉัน จนธนาคารปล่อยสินเชื่อให้จำนวนหนึ่ง ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่เพียงพอ แต่ก็มากพอ ทั้งยังมีพี่น้องที่หยิบยื่นให้ยืมโดยมิได้เอ่ยปาก ครั้งนั้นฉันจึงรับไว้ด้วยความซาบซึ้ง และด้วยหัวใจที่ขอบคุณพระเจ้า ฉันเรียกพี่สาวผู้นั้นว่า “พี่ติ๊ก”
ต้นปี 2551 ฉันคืนเงินที่ยืมมาจากพี่ติ๊กจำนวนหนึ่ง แต่พี่ติ๊กไม่รับ กลับบอกว่า “ปีหน้าค่อยนำมาคืน เอาไปใช้ก่อน พี่ไม่เดือดร้อนอะไร” ฉันจึงรับไว้ ยังไม่คืน ฉันไปพบพี่ติ๊กบ้างเป็นบางครั้ง พี่ติ๊กไม่เคยพูดถึงเรื่องเงินนั้นเลย จนกระทั่งกลางปี 2551 ฉันคืนเงินให้พี่ติ๊กได้จำนวนหนึ่ง ซึ่งพี่ติ๊กไม่อยากจะรับมากนัก เพราะเกรงว่าฉันจะเดือดร้อน ฉันก็ยิ่งเกรงใจ เพราะหากพี่ติ๊กนำเงินจำนวนนี้ไปฝากธนาคาร แม้ว่าดอกเบี้ยเงินฝากจะไม่สูงนัก พี่ติ๊กก็จะได้ดอกเบี้ยมาเก็บกินได้จำนวนไม่น้อยทีเดียว ถึงแม้พี่ติ๊กจะไม่ใช่คริสเตียน แต่มีหัวใจแห่งผู้ให้อย่างแท้จริง เป็นแบบอย่างแห่งการให้ ที่ฉันขอประพฤติตาม พี่ติ๊กปฏิบัติตนเหมือนดังที่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้ [อพย.22:25 ถ้าเจ้าให้ประชากรของเราคนใดที่เป็นคนจน และอยู่กับเจ้ายืมเงินไป อย่าถือว่าตนเป็นเจ้าหนี้ และอย่าคิดดอกเบี้ยจากเขา] แต่ทั้งนี้ ฉันไม่ได้ต้องการชี้ช่องให้พี่ๆ น้องๆ ยืมเงินใครหรือให้ใครยืมเงินนะคะ เพราะไม่ว่าจะในฐานะผู้ให้ยืม หรือผู้ยืม ก็ล้วนสร้างความลำบากใจให้อยู่ดี ถ้าในฐานะผู้ให้ยืม ก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่า แล้วเราจะได้คืนหรือเปล่านะ ส่วนผู้ยืมก็อดคิดไม่ได้ว่า เมื่อไรเราถึงจะมีคืนนะ การเป็นหนี้ใครนั้น ไม่ได้สร้างสันติสุขให้เราเลย
ต้นปี 2552 ฉันได้โบนัสมาก้อนหนึ่ง ทำให้สามารถใช้คืนหนี้ซึ่งติดค้างพี่ติ๊กได้ทั้งหมด ฉันรู้สึกถึงความโล่งใจและสันติสุขอันยากจะบรรยาย ขอบคุณพระเจ้า ฉันร้องทูลต่อพระเจ้ามาตลอดที่หนี้ก้อนนี้จะถูกปลดออกไป ฉันไม่ปรารถนาจะเป็นหนี้ใดๆ นอกจากหนี้แห่งความรัก [รม.13:8 อย่าเป็นหนี้อะไรใคร นอกจากความรักซึ่งมีต่อกัน เพราะว่าผู้ที่รักเพื่อนบ้าน ก็ได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติครบถ้วนแล้ว]
พี่ติ๊กไม่ได้เรียกร้องอะไรจากฉัน พี่ติ๊กบอกเพียงว่า ให้ฉันฉวยโอกาสในการทำความดีต่อผู้อื่นไว้เสมอ ซึ่งนั่นเป็นการตอบแทนที่ดีที่สุดสำหรับพี่ติ๊ก แต่ฉันรู้ว่าแค่นั้นไม่เพียงพอหรอก ฉันเป็นหนี้พี่ติ๊ก มีภาระใจในการนำพี่ติ๊กมาถึงความรอดในองค์พระเยซูคริสต์
ในฐานะคนไทยนั้น ทุกคนที่เกิดมา ตั้งแต่อุแว้แรกที่ลืมตามาดูโลก ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนไทย ก็เป็นหนี้เสียแล้ว ซึ่งก็คือหนี้ต่อหัวที่ประเทศชาติได้แบกรับไว้ และถ้าเด็กเกิดในครอบครัวที่มีหนี้สิน ก็เสมือนว่าเด็กนั้นก็ต้องรับภาระหนี้สินของครอบครัวไปโดยปริยาย ซึ่งนั่นก็คงเป็นเรื่องของแต่ละครอบครัวนะค้า ฉันไม่ขอเกี่ยว (แป่ว)…ทว่า ที่สำคัญกว่านั้นคือ เราเป็นหนี้พระเยซู เป็นหนี้ซึ่งบรรพบุรุษของเรา คือ อดัมและเอวาได้ก่อไว้ และตกทอดมาจนถึงรุ่นเรา ทำให้เราออกห่างจากพระบิดา
พระเยซูคริสต์จึงเป็นทางเดียวที่นำเรากลับไปถึงความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกับพระบิดาได้ คนบาปอย่างเราได้รับการชำระหนี้แล้วโดยพระเยซูคริสต์ ด้วยโลหิตประเสริฐของพระองค์ได้ชำระเราให้ขาวสะอาดดุจหิมะ พระองค์จึงเป็นเจ้าของเรา มีส่วนมีสิทธิ์อย่างเต็มที่เหนือชีวิตของเรา และเรานั้นเป็นผู้ทาสของพระองค์ เป็นหนี้พระองค์
พระเยซูประสงค์ให้เราดำเนินชีวิตดังเช่นที่พระองค์ทรงกระทำ เพื่อถวายเกียรติแด่พระบิดา และการที่เราจะถวายเกียรติแด่พระบิดาได้นั้น คือ “การกระทำตามพระทัยของพระบิดา”
[ยน.4:34] พระเยซูตรัสกับเขาว่า "อาหารของเราคือการกระทำตามพระทัยของพระองค์ ผู้ทรงใช้เรามา และทำให้งานของพระองค์สำเร็จ”
[ยน.5:24] “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดฟังคำของเราและวางใจในพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา ผู้นั้นก็มีชีวิตนิรันดร์ และไม่ถูกพิพากษา แต่ได้ผ่านพ้นความตายไปสู่ชีวิตแล้ว”
การที่ฉันเป็นหนี้พระเยซูคริสต์นั้น ฉันก็ต้องใช้หนี้ โดยการเลียนแบบพระเยซูคริสต์ กระทำตามน้ำพระทัยพระบิดา รักพระองค์อย่างสิ้นสุดจิต สิ้นสุดใจ สิ้นสุดความคิด สิ้นสุดกำลัง รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง วางใจในพระองค์ รับใช้พระองค์อย่างสุดหัวใจ ซึ่งการใช้หนี้ในลักษณะนี้นั้น เป็นการใช้หนี้อย่างมีสันติสุข เป็นสันติสุขที่โลกนี้ไม่มีให้
[ยน.20:21] พระเยซูตรัสกับเขาอีกว่า "สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด พระบิดาทรงใช้เรามาฉันใด เราก็ใช้ท่านทั้งหลายไปฉันนั้น"

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณมากเลยนะครับ สำหรับบทความ