Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2552

อย่าละเลยแขกแปลกหน้า

อย่าละเลยแขกแปลกหน้า
วันที่ 24/3/2009
หนังสือ “พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดีต่อฉัน” ซึ่งเรียบเรียงโดย ศบ.สมศักดิ์ จิตรุ่งเรืองนิจ คจ.อันติโอเกีย สวนมะลิ กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า เมื่อพระวิญญาณทรงเจิมหรือเทฤทธิ์เดชมาสู่ผู้ใด บุคคลนั้นจะมีผลชีวิต 3-4 เรื่องที่พบได้ คือ
1. มีความปิติยินดี และจิตใจพักผ่อนสบายกับพระเจ้า
2. หลงรักพระเยซูมากๆ
3. หิวกระหายอยากอ่านพระคัมภีร์
4. อดใจไม่ได้ ต้องพูดเรื่องพระเจ้าออกไป
ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงเทฤทธิ์เดชลงมายังบุตราบุตรีของพระองค์ และเราเริ่มเห็นสิ่งนี้มากขึ้นและมากขึ้น ครูเป้ก็เป็นอีกผู้หนึ่งซึ่งมีอาการข้างต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อที่ 4 เนื่องจากครูเป้อดใจไม่ได้เลยที่จะประกาศเรื่องราวพระกิตติคุณ ล่าสุดได้ขออนุญาตจากคริสตจักรในการเปิดสอนภาษาอังกฤษฟรีให้กับผู้สนใจ ทุกเช้าวันอาทิตย์ลูกศิษย์ลูกหาจึงพบกับครูเป้ได้ ตั้งแต่เวลา 9.30-10.30 น. ซึ่งนักศึกษาจำนวนหนึ่งก็จะตามครูเป้ขึ้นไปนมัสการที่คริสตจักรและใช้เวลาช่วงบ่ายทานข้าวและสามัคคีธรรมร่วมกัน
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันมองเข้าไปในห้องเรียนของครูเป้ พบว่ามีนักศึกษาจำนวนมากทีเดียว และตอนช่วงรับประทานอาหาร ครูเป้ก็นั่งทานข้าวล้อมรอบไปด้วยนักศึกษาจำนวนหนึ่ง ฉันมีโอกาสเข้าไปทานข้าวด้วย ครูเป้จึงได้เผยความในใจออกมาว่า อยากให้นักศึกษาได้รู้จักพี่น้องในคริสตจักรบ้าง ไม่ใช่รู้จักเพียงครูเป้เท่านั้น และครูเป้ก็ปรารถนาให้พี่น้องไปช่วยเป็นพยานในห้องเรียนบ้าง ฉันก็เห็นด้วยกับความคิดของครูเป้นะ แต่ก็ถามไปอย่างหนึ่งว่า แล้วครูเป้บอกใครหรือเปล่าล่ะว่าครูเป้กำลังทำอะไรอยู่ และที่สำคัญคือ ครูเป้ได้ทูลปรึกษากับพระเจ้าหรือยัง และครูเป้ได้ขอคนงานจากพระองค์หรือเปล่า ครูเป้ก็ตอบว่า “เออ พี่ยังไม่เคยขอคนงานเลย” นั่นแหละคือหน้าที่ของครูเป้ ส่วนเรื่องอื่น พระเจ้าจะทรงนำและกระทำการของพระองค์เอง [ฟป.1:6 ข้าพเจ้าแน่ใจว่าพระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีไว้ในพวกท่านแล้ว จะทรงกระทำให้สำเร็จจนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์] ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ขอได้รับการหนุนใจให้อธิษฐานเผื่อครูเป้ด้วยนะคะ
เรื่องราวของครูเป้ทำให้ฉันระลึกถึงพระคัมภีร์ข้อนี้ขึ้นมาทันที [ฮบ.13:2 อย่าละเลยที่จะต้อนรับแขกแปลกหน้า เพราะว่าโดยการกระทำเช่นนั้น บางคนก็ได้ต้อนรับทูตสวรรค์โดยไม่รู้ตัว] พระเจ้าทรงเรียกครูเป้ และครูเป้มีหัวใจของผู้รับใช้อย่างเต็มขนาด ไม่ละเลยผู้อื่น ปรารถนาให้คนแปลกหน้าหรือแม้แต่หน้าแปลก (อุ้ย! เกี่ยวไหมเนี่ย) ได้รับความรอด ครูเป้ต้อนรับแขกมิใช่แค่ด้วยอาหารธรรมดา แต่เป็นอาหารแห่งชีวิตซึ่งได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้า มิได้ต้อนรับด้วยน้ำธรรมดาเท่านั้น แต่เป็นการต้อนรับด้วยน้ำธำรงชีวิตจากองค์พระผู้เป็นเจ้า มิได้ต้อนรับด้วยการให้ความรู้ตามธรรมดาโลกเท่านั้น แต่ต้อนรับด้วยความรู้เรื่องของพระเจ้า และพี่น้องเหล่านั้นจะมีความรู้เรื่องของพระเจ้าดั่งน้ำที่มีอยู่เต็มทะเล [ฮบก.2:14 เพราะว่าพิภพจะเต็มไปด้วย ความรู้ในเรื่องพระสิริของพระเจ้า ดังน้ำที่เต็มทะเล]
การให้ในแบบที่โลกให้นั้น หลายครั้งก็น่ากลัวทีเดียว เพราะเป็นการให้ที่ต้องการผลตอบแทน ทำให้บางครั้งเราต้องระมัดระวังตัวเสมอในการที่จะรับสิ่งใดจากผู้อื่น [สุภาษิต 23:6-7 อย่ากินอาหารของคนที่ตระหนี่ อย่าปรารถนาของโอชะของเขา7เพราะเขาเป็นเหมือนคนที่คอยนับอยู่ข้างใน เขาพูดกับเจ้าว่า "จงกินและดื่มเถิด" แต่ใจของเขามิได้อยู่กับเจ้า] ต่างจากการให้ที่เกิดขึ้นในบุคคลฝ่ายวิญญาณ เพราะการให้ของเขาและเธอนั้น เป็นการให้ที่บริสุทธิ์ เขาและเธอได้มาเปล่าๆ ก็ให้ออกไปเปล่าๆ มิได้ปรารถนาสิ่งใดมากไปกว่าการถวายเกียรติแด่พระบิดา
เราทั้งหลายจึงมิต้องแสวงหาบำเหน็จบนโลกใบนี้ เนื่องจากเรามีบำเหน็จที่ยิ่งใหญ่บนสวรรค์รอคอยเราอยู่ [มธ.6:19-20 "อย่าส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในโลก ที่อาจเป็นสนิมและที่แมลงกินเสียได้ และที่ขโมยอาจขุดช่องลักเอาไปได้ แต่จงส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ ที่ไม่มีแมลงจะกินและไม่มีสนิมจะกัด และที่ไม่มีขโมยขุดช่องลักเอาไปได้] เราไม่จำเป็นต้องอวดอ้างในสิ่งที่เราได้ทำเพื่อพระเจ้า แต่เราจะอวดอ้างในสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำเพื่อเรา [สดด.20:7 บ้างก็โอ้อวดเรื่องรถรบ บ้างก็เรื่องม้า แต่เราอวดเรื่องพระนามพระเจ้าของเรา]
มนุษย์ได้รับการสร้างตามพระฉายาของพระเจ้าด้วยความรัก มนุษย์เป็นผู้ที่พระองค์ทรงรักยิ่งนัก ทรงรักทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้น เราในฐานะลูกคนหนึ่งของพระองค์ซึ่งรักพระองค์นั้น จึงได้รับการดลใจจากภายในให้รักเพื่อนมนุษย์ด้วยเช่นกัน [มธ 25:31-40 31"เมื่อบุตรมนุษย์ทรงพระสิริเสด็จมากับทั้งหมู่ทูตสวรรค์ เมื่อนั้นพระองค์จะประทับบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองของพระองค์ 32บรรดาประชาชาติต่างๆจะประชุมพร้อมกันต่อพระพักตร์พระองค์ และพระองค์จะทรงแยกมนุษย์ทั้งหลายออกเป็นสองพวก เหมือนอย่างผู้เลี้ยงแกะจะแยกแกะออกจากแพะ 33ส่วนฝูงแกะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ แต่ฝูงแพะนั้นจะทรงจัดให้อยู่เบื้องซ้าย 34ขณะนั้น พระมหากษัตริย์จะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ว่า "ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับเอาราชอาณาจักร ซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก 35เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านทั้งหลายก็ได้จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้ 36เราเปลือยกายท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วยท่านก็ได้มาเยี่ยมเอาใจใส่เรา เมื่อเราต้องจำอยู่ในพันธนาคาร ท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา" 37เวลานั้นบรรดาผู้ชอบธรรมจะกราบทูลว่า "พระองค์เจ้าข้า ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ทรงหิวหรือทรงกระหายน้ำ และได้จัดมาถวายแด่พระองค์แต่เมื่อไร 38ที่ข้าพระองค์ได้เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลก หน้า และได้ต้อนรับไว้ หรือเปลือยพระกาย และได้สวมฉลองพระองค์ให้แต่เมื่อไร 39ที่ข้าพระองค์เห็นพระองค์ประชวรหรือต้องจำอยู่ในพันธนาคาร และได้มาเฝ้าพระองค์นั้นแต่เมื่อไร" 40แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสกับเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย"

ไม่มีความคิดเห็น: