Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

แม่

แม่

วันที่ 10/2/2009
ความรู้ด้านพระคัมภีร์ของฉันช่างอ่อนด้อยนัก ฉันเคยคิดว่าทำไมพระคัมภีร์จึงไม่ได้ให้ภาพของแม่ชัดเจนเหมือนกับภาพของพระบิดา แต่เมื่อพินิจพิเคราะห์อีกครั้งก็พบว่า ภาพของแม่ในพระคัมภีร์ก็ชัดเจนเช่นกัน
“แม่” ในพระคัมภีร์เดิม
แม่คนแรกของโลกก็คือเอวา พระเจ้ารักเอวามาก [ปฐก.3:20 ชายนั้นเรียกภรรยาของตนว่าเอวา {ศัพท์นี้เหมือนคำที่แปลว่า มีชีวิตอยู่} เพราะนางเป็นมารดาของปวงชนที่มีชีวิต] พระเจ้าให้สิทธิพิเศษแก่เอวาและพงษ์พันธุ์ของเธอ ให้มีชัยชนะ ให้มีอำนาจเหนือซาตาน [ปฐก.3:15 เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์ของเขาด้วย พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ]
แม้ว่าเอวาจะดำเนินชีวิตผิดพลาดไปด้วยการไม่เชื่อฟังพระเจ้า [ปฐก.3:6 เมื่อหญิงนั้นเห็นว่า ต้นไม้นั้นน่ากิน และน่าดูด้วย ทั้งเป็นต้นไม้ที่มุ่งหมายจะให้เกิดปัญญา จึงเก็บผลไม้นั้นมากิน แล้วส่งให้สามีกินด้วย เขาก็กิน] แต่เธอก็ได้รับผลจากสิ่งที่เธอทำแล้ว ซึ่งทุกท่านก็ทราบดีถึงชีวิตหลังสวนเอเดนของอาดัมและเอวา
จากชีวิตที่แสนสุขในสวนเอเดน แดนสวรรค์ในแผ่นดินโลก เอวากลับต้องระหกระเหินออกมาทำมาหากิน ลำบากลำบนในแผ่นดินโลก สวนเอเดนของพระเจ้างดงามแค่ไหน คงจะเกินจินตนาการและความเข้าใจของเรา แต่ที่แน่ๆ เราซาบซึ้งดีถึงชีวิตในแผ่นดินโลก เป็นชีวิตที่ต้องประสบกับเรื่องราวต่างๆ มากมาย มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดชั่วลมหายใจของเรา ต้องผจญกับสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา ทั้งความเจ็บป่วย ความเหน็ดเหนื่อย ความทุกข์ยาก ความยากจนขัดสน ฯลฯ กล่าวได้ว่ามนุษย์จะต้องเผชิญชีวิตตลอดตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายไปเลยทีเดียว อย่างไรก็ดี ช่วงเวลาของการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ไม่นานนักหรอก เพียงแค่ไม่กี่สิบปีเท่านั้นเอง ดังนั้น สันติสุขจึงเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั้งสิ้นแสวงหา และจะพบในที่ใดได้อีกเล่า หากมิใช่โดยทางพระคริสต์
ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงให้เราพบสันติสุข ด้วยว่าสันติสุขที่พระองค์ทรงมอบให้ ไม่เหมือนสันติสุขที่โลกให้ เราเรียนรู้ที่จะผจญทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลัง พระเจ้าทรงเป็นความรัก ความหวัง ความชูใจ เป็นผู้เลี้ยงดู เป็นผู้ประทานพร เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา
ภาพพระคุณของแม่ชัดเจนตั้งแต่ครั้งปฐมกาล เอวาต้องเลี้ยงดูลูกของเธอ ดูแลอดัม ต้องทำงานบ้าน รวมถึงงานในเรือกสวนไร่นาอีกเล่า ช่างเป็นภาระที่หนักสำหรับผู้หญิงเสียจริง แต่สิ่งนี้คงไม่ได้ทำให้เอวาท้อแท้สิ้นหวังเท่ากับที่ต้องพบว่าคาอินได้ฆ่าอาเบล หัวใจแม่อย่างเอวาย่อมแตกสลาย เธอคงตรอมตรม ตีอกฟกช้ำร้องทูลต่อองค์พระเป็นเจ้า พระองค์ทรงอยู่ที่ไหนนี่ พระองค์ไม่รักเอวาแล้วหรือ….แต่พระเจ้าทรงประเสริฐ ทรงประทานเสทให้เธอ [ปฐก.4:25 …นางก็ให้กำเนิดบุตรชาย เรียกชื่อว่า เสท เพราะ "พระเจ้าทรงโปรดให้ฉันมีบุตรอีกคนหนึ่งแทนอาแบลเพราะคาอินฆ่าอาแบลเสีย"] และพงษ์พันธุ์ของเธอก็ก่อเกิดมากมายจนเต็มแผ่นดินโลกจวบจนถึงทุกวันนี้
ฉันขอกล่าวเพิ่มเติมถึงแม่บางคนที่ฉันประทับใจเป็นการส่วนตัวนะคะ
นางซาราห์ ภรรยาแสนสวยดุจเจ้าหญิงของอับราฮัม มารดาผู้ให้กำเนิดบุตรยามชรา เธอเลี้ยงดูอิคอัคมาอย่าง ทนุถนอม แต่กลับต้องยินยอมที่จะพลัดพรากจากลูก ถึงแม้ในพระคัมภีร์จะเน้นไปที่การถวายบุตรของอับราฮัม แต่ฉันเชื่อแน่ว่าสุภาพบุรุษเต็มร้อยอย่างอับราฮัมย่อมไม่สามารถกระทำสิ่งนี้เพียงลำพัง โดยไม่แจ้งให้ซาราห์ทราบ และซาราห์เองก็ต้องยินยอมด้วยความทุกข์ระทม แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็คงชื่นชมยินดีกับการที่จะได้ถวายสิ่งที่หวงแหนยิ่งกว่าชีวิตของเธอให้กับพระเจ้า [ปฐก.22]
มารดาของโมเสส ในพระคัมภีร์มิได้กล่าวถึงรายละเอียดของมารดาโมเสสมากนัก แต่กลับให้ภาพของแม่ผู้รักลูกอย่างชัดเจน [อพย.2] เธอซ่อนบุตรชายไว้ และเมื่อเห็นว่าซ่อนต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ตัดหางลอยแพ เอ้ย! นำใส่ตะกร้าให้ลอยไปจนถึงมือราชธิดาของฟาโรห์ ทั้งยังให้พี่สาวของโมเสสไปเป็นพี่เลี้ยง และตนเองไปสมัครเป็นแม่นมอีกด้วย และแม้จะมิได้มีการกล่าวถึงเธออีก ฉันก็เชื่อแน่ว่า เธอต้องเป็นผู้หนึ่งที่อยู่เคียงคู่กับโมเสส จนกระทั่งโมเสสกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ นำชนชาติของพระเจ้าเดินทางสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา
นางเรเบคาร์ มารดาซึ่งทำให้ฉันหงุดหงิดใจกับพฤติกรรมของเธอ [ปฐก.27] เพราะดูเหมือนว่าความรักของเธอออกจะลำเอียงไปทางยาโคบ แต่เธอก็ทำลงไปด้วยหัวใจที่รักลูก และในท้ายที่สุดเธอก็มิปรารถนาที่จะเห็นลูกทั้งสองของเธอต้องเข่นฆ่ากันเอง
นางนาโอมี แม่สามีของนางรูธ ถึงแม้ว่าเธอจะขมขื่นกับชีวิตในครั้งอดีต แต่เธอก็รักนางรูธ และปรารถนาให้นางรูธพบกับความสุข เธอเป็นผู้มีบทบาทสำคัญให้นางรูธพบกับโบอาส เศรษฐีรูปงามจิตใจดี ผู้ซึ่งต่อมากลายเป็นบิดาของโอเบด ผู้เป็นบิดาของเจสซี ซึ่งเป็นบิดาของดาวิด….พงษ์พันธุ์ขององค์พระเยซู [พระธรรมนางรูธ]
นางฮันนาห์ มารดาของซามูเอล เธอมีชีวิตที่ร้าวรานเนื่องจากพระเจ้าทรงปิดครรภ์ของเธอ แต่เธอก็มิได้ลดความไว้วางใจในพระองค์ เธอทูลขอต่อพระเจ้า และพระองค์ทรงฟังเสียงของเธอ ประทานซามูเอลให้กับเธอ เธอเลี้ยงดูอุ้มชูให้ดื่มนมจากอก จนเมื่อเด็กหย่านม ก็ได้พาเด็กนั้นไปถวายต่อพระพักตร์พระเจ้า และอยู่ที่นั่นตลอดไป และนางยังเย็บเสื้อเล็กๆ นำมาให้ซามูเอลทุกปี พระเจ้าทรงชอบพระทัยหัวใจของนาง พระเจ้าทรงประทานบุตรให้นางแทนกุมารซามูเอลนั้น และกุมารซามูเอลก็เติบโตขึ้น ปรนนิบัติพระเจ้า เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ [1ซมอ.1-2]
หญิงชาวชูเนม หญิงผู้มั่งคั่งซึ่งปรนนิบัติเอลีชา ผู้รับใช้ของพระเจ้า ให้การต้อนรับเอลีชาไว้อย่างดีในเรือนของเธอ เธอได้บุตรมาโดยการอัศจรรย์จากพระเจ้า แต่เธอกลับต้องสูญเสียบุตรน้อยไปจากตักและอกของเธอ เธอทำทุกอย่างเพื่อเรียกชีวิตของบุตรน้อยกลับคืนมา และพระเจ้าก็ทรงเมตตายิ่งใหญ่ การอัศจรรย์ยิ่งกว่าได้เกิดขึ้น เด็กน้อยคนนั้นฟื้นคืนชีวิต เป็นแก้วตาดวงใจให้เธอได้ชื่นชมยินดี และสรรเสริญพระเจ้าผู้ทรงพระคุณ [2พกษ.4:8-37]
นางเอสเธอร์ ถึงแม้พระคัมภีร์จะมิได้กล่าวว่าเอสเธอร์มีลูกหรือเปล่า แต่ฉันเห็นหัวใจที่รักชาติยิ่งชีพของเธอ “ถ้าฉันพินาศ ฉันก็พินาศ” นั่นคือประโยคเด็ดของเธอที่แตะใจฉัน โอ้โห! ฉันปลื้มเอสเธอร์สุดๆ หัวใจแบบนี้แหละที่สมควรยกย่องว่ามีหัวใจอย่างแม่ [พระธรรมเอสเธอร์]

“แม่” ในพระคัมภีร์ใหม่
นางอลิซาเบธ ญาติของนางมารีย์ เธอมีบุตรเมื่อชราแล้ว ผู้ซึ่งมีบุตรยามชราคงไม่คล่องแคล่วเหมือนท้องสาวเป็นแน่ ฉันเชื่อว่าเธอต้องใช้ความอดทนอย่างมากในการตั้งครรภ์ บุตรของเธอนามยิ่งใหญ่ว่า “ยอห์น” ผู้เตรียมทางให้กับองค์พระเยซู นางอลิซาเบธตื่นเต้นแม้เมื่อมีบุตรยามชรา เธอชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า
นางมารีย์ ในพระคัมภร์ใหม่นั้น คงมิมีแม่คนใดเด่นไปกว่านางมารีย์ มารดาผู้ประเสริฐขององค์พระเยซู เธอต้องพบกับคำสบประมาทตั้งแต่เธอเริ่มตั้งครรภ์องค์พระคริสต์น้อยๆ เธอยอมทุกสิ่ง ด้วยรู้ตัวว่าเป็นทาสีขององค์พระเจ้า เธอระหกระเหินเดินทางจนกระทั่งต้องคลอดพระเยซูในคอกสัตว์ เธอต้องอพยพหลบหนีจากเมืองหนึ่งไปสู่เมืองหนึ่ง การเดินทางสมัยก่อนนั้นลำบากมาก มิได้สดสวยหรือบินสบาย Smoot as silk แต่ประการใด ทั้งเมื่อพระเยซูเติบโตมาอีกเล่า เธอก็ต้องปวดร้าวยิ่งนัก ที่เห็นลูกของเธอถูกข่มเหง ถูกต่อต้าน ถูกใส่ร้ายอย่างไม่เป็นธรรม และน้ำตาเธอคงหลั่งเป็นสายเลือด ยามเห็นภาพบุตรชายที่รักของเธอบนไม้กางเขน แรงเฆี่ยนแต่ละครั้งบาดใจหัวอกของผู้เป็นแม่ รอยแผลเฆี่ยนแต่ละรอย ดุจรอยแผลร้าวลึกในจิตใจของเธอ แรงกดจากมงกุฏหนามกดทับหัวใจของเธอ แรงหอกที่เสียดแทงสีข้างแทงลึกเข้าไปในใจของเธอ รอยตะปูที่ตอกลงไปทิ่มลึกไปในหัวใจของเธอ เลือดที่ไหลรินขององค์พระเยซูประหนึ่งเลือดในกายของเธอจะพลุ่งพล่านออกมา ประดุจว่าจะดับชีวิตของเธอเสียให้ได้ โอ! หัวใจของแม่ แม่ผู้ให้กำเนิด แม่ผู้เลี้ยงดูอุ้มชูทนุถนอมลูกมาตั้งแต่ในครรภ์ เพียงแค่รู้ว่าตนเองจะมีลูก ก็เป็นความปลาบปลื้มยิ่งกว่าอัญมณีหรือสิ่งมีค่าใดๆ การได้เลี้ยงดูลูกจนเติบใหญ่ก็เป็นความสุขใจของผู้เป็นแม่ แต่เมื่อวันหนึ่งกลับต้องเห็นลูกของตนถูกตรึงตายไปต่อหน้าต่อตา หัวใจของผู้เป็นแม่จะร้าวรานสักปานใด…นางมารีย์เอ๋ย
พระเจ้าทรงทดแทนความร้าวรานของเธอด้วยความชื่นชมยินดีอันเต็มล้น ความตื้นตันใจอันเหลือประมาณเกิดขึ้นกับเธอ เมื่อพระคริสต์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ จนกระทั่งเมื่อเห็นองค์พระคริสต์เสด็จขึ้นสู่สรวงสวรรค์

“แม่” ในปัจจุบัน (แม่ของฉัน)
ภาพของแม่ในใจฉันชัดเจนมากกว่าใคร ตั้งแต่เมื่อครั้งฉันยังเล็ก ฉันเคยคิดว่าแม่ไม่รัก เพราะแม่ทิ้งฉันไว้ตามลำพังที่บ้านนอก อยู่กับพ่อที่โหดร้าย (หลายคนคงทราบเรื่องราวพ่อของฉันมาแล้วนะคะ ซึ่งฉันจะไม่กล่าวถึงอีกในที่นี้ คงเหลือแต่คำขอบพระคุณและสรรเสริญพระบิดาผู้ยิ่งใหญ่ และขอบคุณในความดีงามของพ่อ ที่พระเจ้าทรงโปรดให้ฉันเกิดมาโดยพ่อคนนี้ และฉันก็เพิ่งมาซาบซึ้งบุญคุณนี้ภายหลัง เมื่อพ่อจากโลกนี้ไปแล้ว)
สาเหตุที่แม่ปล่อยฉันไว้กับปู่ย่าและพ่อที่ต่างจังหวัด เนื่องจากแม่ไม่มีความพร้อมในการเลี้ยงดูฉัน เมื่อเข้ากรุงเทพครั้งแรก แม่ยังไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง การงานก็ไม่มั่นคง แม่จำเป็นต้องฝากฉันไว้ที่ต่างจังหวัด แต่เมื่อแม่เริ่มมีการงานที่มั่นคงขึ้น มีที่อยู่แน่นอน เริ่มเก็บเงินได้บ้าง แม่ก็ย้ายฉันมาอยู่กรุงเทพฯ ให้เข้ามัธยม 1 ในกรุงเทพฯ ฉันดีใจมากเลยที่ได้อยู่กับแม่…เย้!…แต่แม่ก็ทำงานหนักมาก แม่ทำงานโรงงาน ทำมากก็ได้มาก แม่จึงต้องทำมากๆ เพื่อจะได้มีเงินมาพอให้ฉันเรียนหนังสือ แม่ไม่มีเวลาให้ฉันเลย วันๆ เอาแต่ทำงาน ฉันก็คิดว่าแม่ไม่รัก แม่ไม่เอาใจใส่ เวลาที่โรงเรียนเชิญผู้ปกครองไปพบหรือมีงานโรงเรียน แม่ไม่เคยไปด้วยเลย แม่ไปครั้งแรกวันมอบตัวเท่านั้น วันแม่แห่งชาติ ฉันก็ต้องกราบแม่คนอื่นที่โรงเรียน เป็นความปวดร้าวในหัวใจเล็กๆ ยิ่งนัก เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันก็ต้องทำงานเองทุกอย่างสารพัด เพราะแม่ไม่มีเวลาทำ ฉันไม่มีเวลาเล่นสนุกกับเพื่อนเท่าไรนัก เวลาที่ขอไปไหนแม่ก็มักไม่ให้ไป เพราะแม่เป็นห่วง แต่ตอนนั้นฉันคิดว่าแม่ใจร้าย แม่ไม่รัก เวลาที่ขอสตางค์ซื้อของ แม่ก็จะบ่นจะดุว่า จนฉันเลิกขอไปเลย แม่อ้างความไม่จำเป็นต่างๆ นานา บางครั้งก็ดุว่า บางครั้งก็มึนตึง จนฉันเครียด ต้องเข้าไปร้องไห้ในห้องน้ำบ่อยๆ (กลัวคนเห็น) แต่แม่รู้…ต่อมาฉันจึงได้รู้ว่า แม่ไม่มีเงิน แม่จึงไม่ซื้อของให้ฉันอย่างที่เพื่อนๆ ของฉันได้ แต่แม่ไม่กล้าบอกฉันว่าแม่ไม่มีเงิน แม่จึงยกข้ออ้างต่างๆ มากมายขึ้นมาต่อว่าฉัน อย่างไรก็ตาม หากตอนนั้นแม่บอกความจริงว่าไม่มีเงิน ฉันก็ไม่แน่ใจว่าฉันจะเข้าใจแม่หรือเปล่า
เวลาที่ฉันไม่เข้าใจการบ้านหรือบทเรียน ฉันก็ถามแม่ไม่ได้ เพราะแม่เรียนจบประถม 4 แม่จึงสอนฉันไม่ได้ ฉันก็ตีโพยตีพายว่าแม่ช่างไม่รู้อะไรซะบ้างเลย เมื่อมีปัญหา ฉันขอคำปรึกษาจากแม่ แม่ก็จะต่อว่าสมทบ แหม! แทนที่จะให้กำลังใจ กลับต่อว่าซะนี่ ฉันละกลุ้มจริงๆ เลย แต่เมื่อโตขึ้นจึงได้รู้ว่า แม่ต้องการให้ฉันเข้มแข็ง ต่อสู้และเผชิญปัญหาด้วยตัวเอง เพราะฉันไม่มีพ่อ และแม่ไม่มีเวลาที่จะมาดูแลประคบประหงมฉันได้ แม่ต้องทำงานหนัก แรกๆ นั้น โรงงานของแม่อยู่ประตูน้ำ ในขณะที่บ้านอยู่ดอนเมือง แม่ก็กลับดึกอยู่แล้ว แต่เมื่อที่ทำงานแม่ย้ายไปอยู่บางนา คราวนี้แหละ ฉันเห็นหน้าแม่น้อยมาก แม่ออกจากบ้านตั้งแต่ตีห้า ฉันยังไม่ตื่นเลย แม่กลับมาถึงบ้านดึก ฉันก็นอนซะแล้ว (คร่อก) และที่หนักกว่านั้นคือ บางคืนแม่ก็ไม่กลับเลย ทำโอที เพื่อจะได้เงินเยอะๆ และเมื่อทำดึกมากๆ ก็นอนค้างที่โรงงานนั่นเลย ฉันจึงต้องนอนเหงาอยู่คนเดียว จริงๆ แล้ว เช่าบ้านอยู่กับเพื่อนแม่ด้วย แต่ไม่ค่อยถูกกัน (อะแป่ว) เขาชอบเอาเปรียบแม่ แม่ฉันก็ยอมเค้าซะทุกอย่างเลย อะไรจะยอมเค้าปานนั้นละแม่ สู้น่ะ สู้ เป็นไหมคะ…เพื่อนแม่คนนั้นเอาเปรียบเราจนถึงวันสุดท้ายที่เราแยกจากกัน ตอนนั้นฉันทำงานแล้ว จึงมีเงินไปอยู่ที่ใหม่ เพื่อนแม่สร้างความแค้นใจให้ฉันมาก ซึ่งต่อมาฉันก็ต้องขอการเยียวยาจากพระเจ้า ฉันต้องอภัยให้เขา เหมือนที่พระเยซูอภัยให้ฉัน ฉันต้องไม่จดจำความผิด ขอบคุณพระเจ้า ในที่สุด ฉันก็หลุดพ้นจากบ่วงมารนั้น ฉันเจอหน้าเขาก็ยังสามารถยกมือสวัสดีได้อย่างจริงใจ ทั้งยังอธิษฐานเผื่อเขาทุกครั้งที่ระลึกถึง
ฉันไม่ได้โกรธแม่จริงๆ หรอก และอาการน้อยใจหรือความคิดที่ว่าแม่ไม่รักน่ะ ก็เป็นอารมณ์ชั่ววูบ เพราะฉันรู้ว่าแม่รักฉันมาก แม่รักฉันมากจริงๆ แม่ถูกพ่อทิ้งไปมีผู้หญิงใหม่ แถมมีลูกคนใหม่มาเย้ยอีกต่างหาก แต่แม่ก็สู้ทน แบกรักความขมขื่น ยอมรับความเปลี่ยนแปลง เลี้ยงดูฉันมาโดยลำพังตลอด…มีผู้ชายหลายคนมาจีบแม่ แต่แม่ก็ปฏิเสธ ไม่เล่นด้วย เพราะเป็นห่วงฉัน ตอนนั้นฉันคิดว่า โอ้โห! ทำไมแม่ไม่แต่งกับคนนั้นหล่ะ ดีออก เป็นคนดี รวยด้วยนะแม่ แต่แม่ก็ยืนยันว่า ไม่แต่งงานใหม่เด็ดขาด แม่มีฉันคนเดียวก็พอแล้ว ทุกวันนี้ ฉันจึงอดขอบคุณพระเจ้าไม่ได้ที่แม่คิดอย่างนั้น เพราะเราไม่รู้จริงๆ ว่าคนที่เข้ามาใหม่ในครอบครัวของเราจะเป็นอย่างไร พระเจ้าก็ปกป้องเราไว้ให้พ้นจากซึ่งชั่วร้าย
แม่ชอบชมลูกคนอื่นให้ฉันฟัง ลูกของป้าคนนั้นดีอย่างนี้ ลูกของน้าคนนั้น เก่งอย่างนั้น แต่ฉันสิ แย่ทุกอย่างเลย ก็มารู้ภายหลังว่า แม่กลัวฉันเหลิงน่ะ เลยไม่กล้าชมมาก แต่ลับหลัง แม่ก็จะไปเล่าวีรกรรมของฉันให้เพื่อนๆ ฟัง ด้วยความยินดีปรีดา วันที่ฉันเรียนจบเป็นอีกวันที่แม่ภูมิใจมาก และทุกวันนี้แม่ก็ภูมิใจในตัวฉัน ที่เห็นฉันมีความสุข และได้ทำอะไรหลายๆ อย่างให้กับผู้อื่นด้วย
แม่เลี้ยงลูกเก่ง ฉันคิดเช่นนั้น เมื่อจบมัธยม 3 ฉันย้ายไปเรียน ปวช. ที่วิทยาเขตจักรพงษภูวนารถ จริงๆ ฉันอยากเรียนต่อ มัธยมปลาย แต่แม่บอกว่าไม่มีเงินส่งเรียน เรียน ปวช. จบแล้วจะได้ทำงานเลย เมื่อย้ายที่เรียน แม่ก็ให้อิสระฉันมากขึ้น ฉันสามารถไปไหนมาไหนได้ตามใจปรารถนา และฉันก็กลับบ้านพร้อมเรื่องราวตื่นเต้นมาเล่าให้แม่ฟังเสมอ ฉันได้ตัดสินใจเอง ทำอะไรทุกอย่างเองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อจบ ปวช. ฉันก็อ้อนแม่ขอเรียนต่อ อีก 2 ปีนะแม่นะ ขอเรียนต่อ ปวส. หน่อยน่า และหลังจากนั้นจะหาเงินเรียนเอง แม่ก็ใจดี ยอมทำงานหนัก ส่งฉันเรียนต่อจนจบ ปวส. ที่พณิชยการพระนคร ซึ่งไกลจากบ้าน ฉันต้องออกจากบ้านแต่เช้า นั่งรถไฟฉึกฉัก ฉึกฉัก จากดอนเมืองไปลงยมราช นั่งชมทิวทัศน์สองฝั่งทาง เห็นวิถีชีวิตผู้คนมากมายตลอดแนวทางรถไฟ ได้พบเพื่อนใหม่บนรถไฟ บางวันก็คุยกันไปตลอดทาง บางวันก็ตกลงกันว่า วันนี้เราหลับกันเหอะ แล้วต่างคนก็ต่างหลับ ตื่นมาอีกทีก็ต้องรีบกระโดดลงจากรถ ขืนลงช้า รถไฟจะเลยไปถึงหัวลำโพง ใครๆ ก็บอกว่า ทำไมแม่ให้ลูกเรียนไกลบ้านจังเลย แม่บอกว่า “เรียนไกลๆ จะได้ไม่โง่” (แป่ว)
ฉันเคยทำให้แม่เสียใจที่สุด คือ เมื่อฉันเรียนจบ ฉันเริ่มทำงานที่ธนาคารแห่งหนึ่งเป็นงานแรก แต่ฉันไม่ชอบงานธนาคาร มันไม่ตื่นเต้นกระชากใจวัยรุ่นเลยน่ะแม่ ทำได้ไม่นานฉันก็ลาออก แม่เสียใจมากๆ เลย แต่ฉันขอบคุณพระเจ้า เพราะฉันได้ย้ายงานไปหลายบริษัท มีประสบการณ์หลายอย่าง พบเจอผู้คนหลากหลาย จนถึงบริษัทแห่งหนึ่งที่ฉันเข้าไปทำให้ได้พบกับเพื่อนร่วมงานที่เป็นนักศึกษา BSC ฉันจึงตามเพื่อนมาเรียนด้วย และเรียนต่อจนจบ ในขณะที่เพื่อนเลิกเรียนไปตั้งนานแล้ว และที่ BSC นี้เอง ที่ทำให้ฉันรู้จักพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผ่านคำพยานและการแบ่งปันของมิชชันนารีผู้สอน
ฉันทำให้แม่โกรธที่สุด เมื่อฉันบอกว่า ฉันเป็นคริสเตียนแล้วนะ ฉันไม่ไหว้พระอีกต่อไป หิ้งพระที่แม่เคยใช้ให้ฉันทำความสะอาดและถวายดอกไม้อยู่เป็นประจำนั้น ฉันขอลาออกจากหน้าที่นี้ แม่โกรธมากๆ แต่กาลเวลาก็ทำให้แม่คลายความโกรธลง กลายเป็นเฉยๆ จนทุกวันนี้ แม่จะบอกใครต่อใครว่า ลูกสาวเป็นคริสเตียน จากเดิมที่ฉันต้องออกจากบ้านทุกวันอาทิตย์ แต่แม่หยุดงานวันอาทิตย์ แม่จึงไม่ชอบใจนัก ฉันชวนแม่มาโบสถ์แม่ก็ไม่มาด้วยนี่นา แต่ต่อมา แม่ก็เห็นว่าฉันได้รับการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แม่ก็พอใจกับสิ่งที่ฉันเป็น เมื่อถึงวันอาทิตย์ แม่ก็ให้เกียรติฉัน เพราะรู้ว่าฉันต้องไปโบสถ์
แม่เป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงความรักเท่าไร พูดคำว่ารักไม่เป็น แต่เมื่อฉันบอกรักแม่ แม่ก็ค่อยๆ เริ่มพูดบอกรักฉันบ้าง จนทุกวันนี้ เราบอกรักกันทุกครั้งที่พูดคุยกัน แม่ไม่เคยกอดฉันเลย ฉันจึงเป็นฝ่ายกอดแม่ก่อน ครั้งแรกแม่ก็ทำตัวแข็งทื่เป็นหินเชียว แต่ตอนนี้เราสองแม่ลูกสวมกอดกันได้อย่างมีความสุข
ในวันนี้ นอกจากปรารถนาจะรับใช้พระคริสต์ตลอดชีวิตของฉันแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ฉันปรารถนาก็คือ การได้พบแม่บนสวรรค์ ฉันปรารถนาที่จะเห็นแม่ของฉันรอด ฉันอธิษฐานเผื่อแม่เสมอ…แม่ขา ลูกรักแม่คะ ขอพระเจ้าอวยพรแม่
“แม่” และ “ลูก”
วันนี้ หากคุณเป็นแม่ คุณได้รับของขวัญที่วิเศษและยิ่งใหญ่จากพระเจ้า ลูกน้อยเป็นของขวัญล้ำค่าที่สุด รองจากองค์พระเยซู แม่ทุกคนรักและปรารถนาให้ลูกมีความสุข ขอที่แม่ทุกคนจะเลี้ยงดูลูกตามแนวทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า ให้แม่ทั้งหลายจะเป็นดังพระธรรมสุภาษิตบทที่ 31 บำเหน็จแห่งสวรรค์รอคุณอยู่ [สภษ.31:28 ลูกๆ ของเธอตื่นขึ้นมาก็ชมเชยเธอ สามีของเธอก็สรรเสริญเธอ]
หากวันนี้ คุณเป็นลูก โปรดจงรับรู้ว่า มิมีแม่คนไหนที่ไม่รักลูก แม้แต่แม่ที่มีลูกโดยไม่ตั้งใจก็ตาม สายเลือดเข้มข้นแห่งเอวาที่อยู่ในกายของแม่ทุกคน และสายใยรักจากพระเจ้า ย่อมไม่สามารถทำให้แม่คนใดอดที่จะไม่รักลูกของตนเองได้
พระคัมภีร์สอนให้เรารักและให้เกียรติบิดามารดาของเรา ซึ่งฉันขอหยิบยกมาบางข้อ
[อพย.20:12 จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า เพื่ออายุของเจ้าจะได้ยืนนานบนแผ่นดิน ซึ่งพระเจ้าของเจ้าประทานให้แก่เจ้า]
[ฉธบ.5:16 จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า ดังที่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าทรงบัญชาเจ้าไว้ เพื่อเจ้าจะมีชีวิตยืนนาน และเจ้าจะไปดีมาดีในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าประทานให้แก่เจ้า]
[สภษ.23:25 จงให้บิดามารดาของเจ้ายินดี จงให้ผู้ที่คลอดเจ้าเปรมปรีดิ์]
[มธ.19:19 จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของตน และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง]
นอกจากนั้น พระคัมภีร์ยังได้กล่าวถึงโทษของการไม่เคารพให้เกียรติบิดามารดาไว้ด้วย
[อพย.21:15 ผู้ใดทุบตีบิดามารดาของตน ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึงตาย]
[อพย.21:17 ผู้ใดด่าแช่งบิดามารดาของตน ผู้นั้นต้องถูกปรับโทษถึงตาย]
ไม่ว่าแม่ของลูกจะเป็นอย่างไร ลูกก็ขอปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้า เชื่อฟังพระองค์ด้วยความกตัญญูต่อพระองค์ และต่อแม่ของลูก ลูกรู้ว่าผู้ที่มีความกตัญญูย่อมพบกับความเจริญ และเป็นที่ชอบในสายพระเนตรของพระเจ้า
หากแม่ทำให้ลูกเจ็บปวด ลูกรู้หรือไม่ ลูกทำให้แม่เจ็บปวดมากกว่า เมื่อครั้งแรกคลอดนั่นไง
หากแม่ทำร้ายลูก ลูกรู้หรือไม่ ลูกทำร้าย ถีบ กระทุ้ง เตะต่อยแม่ อยู่ภายในตัวของแม่
หากแม่ไม่เคยเลี้ยงดูลูก ลูกรู้หรือไม่ แม่เลี้ยงดูลูกอย่างอดทนถึง 9 เดือน ในครรภ์ของแม่
หากแม่ไม่เคยโอบกอดลูก ลูกรู้หรือไม่ แม่โอบกอดลูกด้วยน้ำคร่ำของแม่ ลูกรับอาหารจากเส้นเลือด
ของแม่ผ่านทางสายรกนั้น
หากเสียงของแม่ที่บ่นว่ารบกวนลูก ลูกรู้หรือไม่ ลูกส่งเสียงร้องรบกวนแม่มาตั้งแต่ครั้งยังเล็ก
หากลูกไม่เคยเห็นหน้าแม่ ลูกรู้หรือไม่ แม่ปรารถนามากกว่าเพียงใดที่จะได้พบหน้าลูกน้อยในครรภ์
หากลูกคิดว่าแม่ไม่รัก ลูกรู้หรือไม่ แม่ประคบประหงมลูกอยู่ในครรภ์จนกระทั่งลืมตามาดูโลก
ยังมิเพียงพอที่จะเรียกว่ารักอีกหรือ
หากลูกถูกแม่ดุว่าทำร้าย ให้นึกถึงคนที่ไม่เคยได้ยินเสียงแม่
ขอเพียงได้ยินเสียงแม่ เขายอมทำทุกอย่าง
หากลูกไม่เคยได้ยินเสียงแม่ ให้นึกถึงคนที่ไม่เคยเห็นหน้าแม่
เขาปรารถนาจะได้พบแม่ แม้เพียงสักครั้งหนึ่งในชีวิต
หากลูกไม่เคยเห็นหน้าแม่ ให้นึกถึงคนที่ไม่เคยรู้จักชื่อแม่
เขาปรารถนาจะรู้จักชื่อของแม่ แม้ว่าจะไม่เคยพบแม่ตลอดชีวิตของเขา
หากลูกไม่เคยรู้จักชื่อแม่ ให้นึกถึงคนที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะเกิดมาดูโลก
หากวันนี้ลูกมิมีชีวิตอยู่บนโลก ลูกจะพบความรักประเสริฐขององค์พระเจ้าได้อย่างไร
ลูกร้องทูลต่อพระเจ้า ขอที่ลูกซึ่งรักแม่อยู่แล้ว จะรักแม่ยิ่งกว่าเดิม และยิ่งไปกว่านั้น ขอที่ลูกจะรักพระเจ้ามากยิ่งขึ้น ลูกปรารถนาที่จะรักพระองค์และใกล้ชิดพระองค์มากกว่าเดิม
แม้ลูกบางคนไม่เคยเห็นหน้าแม่ ลูกบางคนเจ็บปวดขมขื่นกับแม่ แต่ก็ไม่มีรักใดทดแทนความรักของแม่ได้ เว้นแต่ ความรักของพระเจ้า ความรักของพระองค์ไร้ขีดจำกัด สามารถเติมเต็มความรักในทุกรูปแบบ
ได้หนุนตักแม่ ได้บอกรักแม่ ทานกับข้าวฝีมือแม่ ไปเที่ยวกับแม่ อ่านพระคัมภีร์ให้แม่ฟัง อธิษฐานกับแม่ ให้เงินแม่ ยืมเงินแม่บ้างบางครั้ง (แป่ว) สิ่งเหล่านี้เป็นความสุขของฉัน…ขอบคุณพระเจ้า ลูกได้หนุนตักแม่ และลูกพักใจในพระเยซู ลูกอยู่ในอ้อมรักของแม่ และอยู่ในอ้อมรักของพระเจ้า
แม่คือ ผู้สร้างสรรค์ ทุกสิ่งอัน เพื่อลูกรัก แม่คือ ผู้ฟูมฟัก ผู้มอบรัก ผู้เลี้ยงดู
แม่คือ ผู้อุ้มชู ให้ความรู้ กำลังใจ แม่คือ หญิงผู้ให้ ทุ่มเทใจ กายเพื่อลูก
แม่คือ ผู้นำลูก ผู้พันผูกด้วยหัวใจ แม่คือ ผู้ยิ่งใหญ่ หญิงเดียวใน ใจของลูก
แม่คือ ผู้เพาะปลูก หว่านความงาม สู่จิตใจ แม่คือ ยอดดวงใจ ยอดผู้ให้ ยอดสตรี

ไม่มีความคิดเห็น: