Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ยกชูพระแสงเหนือชีวิต

ยกชูพระแสงเหนือชีวิต
วันที่ 13/2/2009
[อฟ.6:11 จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อจะต่อต้านยุทธอุบายของพญามารได้]
หนึ่งในยุทธภัณฑ์อันทรงฤทธิ์ซึ่งองค์พระเจ้ามอบให้ ก็คือ “พระแสง” หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า “ดาบ” ซึ่งในที่นี้หมายถึง “พระวจนะ” ของพระเจ้า เราทั้งหลายต้องยกชูพระวจนะของพระเจ้า เหนือชีวิตของเรา
การดำเนินชีวิตคริสเตียนอย่างมีชัยชนะนั้น จำเป็นต้องสวมยุทธภัณฑ์อยู่เสมอ อธิษฐานในพระวิญญาณทุกเวลาพร้อมทั้งสวมทับด้วยความรัก…เมื่อมีดาบ แต่เราไม่ใช้ ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร รังแต่จะเกะกะกลายเป็นสนิมเขรอะขระ แม้เมื่อใช้ดาบ แต่ใช้ไม่ถูกวิธี ใช้ไม่สม่ำเสมอ หรือใช้เพียงบางครั้ง เราก็คงจะได้ประโยชน์จากดาบนั้นน้อย เมื่อถูกข้าศึกโจมตี แม้จะมีโล่ มีหมวกเหล็ก มีทับทรวง คาดเข็มขัด สวมรองเท้าเรียบร้อยแล้ว แต่ใช้ดาบไม่เก่ง หรือเมื่อเจอข้าศึกบางประเภท เรากลับทิ้งดาบเสียดื้อๆ แล้วเราจะกำชัยชนะได้อย่างไรเล่า [อฟ.6:13 เหตุฉะนั้นจงรับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะได้ต่อต้านในวันอันชั่วร้ายนั้น และเมื่อเสร็จแล้วจะอยู่อย่างมั่นคงได้ เหตุฉะนั้นท่านจงมั่นคง เอาความจริงคาดเอว เอาความชอบธรรมเป็นทับทรวงเครื่องป้องกันอก และเอาข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความพรั่งพร้อมมาสวมเป็นรองเท้า และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเป็นโล่ ด้วยโล่นั้นท่านจะได้ดับลูกศรเพลิงของพญามารเสีย จงเอาความรอดเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือพระแสงของพระวิญญาณ คือ พระวจนะของพระเจ้า จงอธิษฐานวิงวอนทุกอย่าง จงขอโดยพระวิญญาณทุกเวลา ทั้งนี้จงระวังตัวด้วยความเพียรทุกอย่าง จงอธิษฐานเพื่อธรรมิกชนทุกคน]
ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงมอบยุทธภัณฑ์ให้กับเรา ทั้งยังมีคู่มือหรือวิธีใช้ให้กับเรา ประทานผู้นำฝ่ายวิญญาณ ศิษยาภิบาลและอาจารย์ให้กับเราด้วย ขอเพียงเราน้อมใจรับพระคุณไว้เท่านั้น
ขอบคุณพระเจ้า พระองค์ทรงฝึกปรือมือของเราให้ทำสงคราม พระองค์ทรงประสงค์ให้เรายกชูดาบแห่งชัยชนะ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว พระองค์ทรงใช้ดาบของพระองค์นี่แหละ แทงทะลุจิตวิญญาณของฉัน
ฉันรู้จักพระเจ้าผ่านการอ่านพระคัมภีร์เด็ก โดยเมื่อยังเป็นเด็กอายุสิบกว่าๆ นั้น ได้เขียนจดหมายไปตามที่อยู่ในหนังสือพิมพ์ เพื่อขอรับหนังสือ ขณะนั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหนังสืออะไร รู้แต่ว่าฟรี ชอบของฟรีตั้งแต่เด็ก จึงได้หนังสือฟรีมาสมใจ ด้านในเป็นหนังสือการ์ตูนสี่สีสวยงาม บรรจุเรื่องราวครั้งปฐมกาล ตั้งแต่ยุคสมัยอดัมกับเอวานั่นทีเดียวเชียว ฉันก็อ่านด้วยความสนุกสนาน เหมือนกับอ่านนิทานทั่วๆ ไป ฉันอ่านไปจนจบเล่ม เรื่องราวในนั้นน่าตื่นเต้น ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ แต่ในใจฉันก็คิดว่า “โม้สิ้นดี” และหลังจากนั้น 2-3 ปี ก็ได้หยิบมาอ่านอีก เพราะเมื่อเก็บหนังสือไว้ ถ้ามีโอกาสก็จะกลับไปอ่านรอบสอง หรือมากกว่านั้น ซ้ำแล้วซ้ำอีกในบางเล่ม
จากนั้น จำไม่ได้แล้วว่า พ.ศ. ไหน ได้มีโอกาสดูรายการโทรทัศน์ ตอนนั้นมี หัทยา เกษสังข์ บางทีก็มี อ.ธงชัย ประดับชนานุรัตน์ และ พี่ปุ๊ อัญชลี (กรี๊ดดดดดด) จากบทเพลงหนึ่งเดียวคนนี้…ฉันชอบพี่ปุ๊ จึงนั่งดูจนจบ และหลังจากนั้นก็ได้ดูอีกแต่ไม่บ่อยนัก เพราะรู้สึกว่าเวลาออกอากาศไม่ตรงกับรูปแบบการใช้ชีวิตของฉัน
จนกระทั่งได้มาเรียนภาษาอังกฤษที่ BSC โอ้โห! เริ่มได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูมากขึ้น ฉันเคยอ่านมาแล้ว จึงช่วยให้เข้าใจง่ายขึ้น ฉันชอบไปนั่งเรียน English Bible และเข้าร่วมกิจกรรม Friday Night ทุกครั้งที่มีโอกาส ตอนนั้นอยากได้ภาษาอังกฤษ ไม่สนใจหรอกว่าเนื้อหาที่จะเรียนนั้นเป็นอย่างไร เพื่อนก็เตือนว่า “เฮ้ย แก ระวังโดนหลอกนะ คนพวกนั้นหวังผลประโยชน์ จะล้างสมองให้แกเป็นคริสเตียน” ฉันก็ตอบเพื่อนไปว่า “ไม่มีใครมาล้างสมองฉันได้หรอก ฉันไม่โง่นะเว้ย” (แป่ว)
ฉันหารู้ไม่ว่า พระคำที่ซึมซับเข้ามาทีละนิดนั้น เปรียบเสมือนดาบซึ่งแทงทะลุเข้ามาในจิตวิญญาณของฉันจริงๆ ดาบนั้นค่อยๆ แทงเข้ามา ทลายกำแพงแห่งความมืด ทลายความเศร้าหมองขมขื่นภายในใจ ต้องบอกว่า “ไม่ใช่แค่ล้างสมองเท่านั้น แต่ล้างหัวใจของฉันด้วย” ตอนหลังเพื่อนก็บอกว่า “ตูว่าแล้วเชียว แกต้องเป็นเหมือนพวกมัน”…เพื่อนประเภทนี้ พูดมากจัง ฉันจึงถือโอกาสเป็นพยานและชวนมาโบสถ์ซะเลย จากนั้นมา เพื่อนก็เงียบกริบ ไม่แซวอีกต่อไป
พระคัมภีร์ซึ่งประทับใจฉันมากตั้งแต่ครั้งแรกคือ 1 คร.บทที่ 13 เรื่องของความรักไง ความรักล้วนๆ รักอย่างไรนะ ช่างน่าค้นหาเสียจริง…ฉันขอบคุณพระเจ้าที่ถึงแม้ว่าจะต้องลำบากลำบนในตอนเด็กบ้าง ไม่ได้อยู่กับพ่อ แต่ก็ไม่ขาดความรักจากแหล่งอื่น ฉันแวดล้อมด้วยความรักจากแม่ ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง และฉันก็คิดว่าฉันรักทุกๆ คนเหมือนกัน จนกระทั่งฉันได้พบพระคริสต์ ฉันจึงได้พบแหล่งความรักนิรันดร์ ฉันได้ตระหนักว่า ความรักของฉันนั้นช่างแห้งแล้งเยือกเย็น เพียงแค่ข้อแรกของนิยามรักฉันก็ไม่ผ่านซะแล้ว “ความรักนั้นก็อดทนนาน” โอ้โห มันยากนะสำหรับคนใจร้อนอย่างฉัน ฉันมีความรักแบบเห็นแก่ตัว ฉันรักคนเหล่านั้นเพราะคนเหล่านั้นรักฉันก่อน ฉันรักเพราะเขาดีต่อฉัน ฉันรักเพราะเขาเป็นญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงของฉัน ส่วนคนทั่วไปฉันไม่ได้รักเขา เช่น เมื่อเจอคนขอทาน ฉันก็ให้เงินเขา พบคนเดือดร้อน ฉันก็ช่วยเหลือเขา แต่ฉันไม่ได้รักเขา ฉันแค่สงสารเขา [1คร.13:1-3 แม้ข้าพเจ้าพูดภาษาแปลกๆ ได้ เป็นภาษามนุษย์ก็ดี เป็นภาษาทูตสวรรค์ก็ดี แต่ไม่มีความรักข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง แม้ข้าพเจ้าจะเผยพระวจนะได้ และเข้าใจในความล้ำลึกทั้งปวงและมีความรู้ทั้งสิ้น และมีความเชื่อมากยิ่งที่สุดพอจะยกภูเขาไปได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย แม้ข้าพเจ้าจะสละของสารพัดหรือยอมให้เอาตัวข้าพเจ้าไปเผาไฟเสีย แต่ไม่มีความรัก จะหาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าไม่] และเมื่อต้องคบหาสมาคมกับผู้อื่นด้วยอีกเล่า เช่น เพื่อนสนิทของฉัน ฉันรักเขา เพราะเขาดีต่อฉัน แต่เมื่อเขาทำให้ฉันโกรธ ฉันก็คิดว่า ฉันไม่รักเขาแล้ว เพราะเขาทำให้ฉันโกรธ ฉันไม่มีความอดทนเลย ประโยคแรกฉันก็ไม่ผ่านซะแล้ว ฉันขอละข้ออื่นๆ ไว้ในฐานที่เข้าใจนะคะ สรุปได้สั้นๆ ว่า ฉันยังบกพร่องอย่างมากในเรื่องความรัก พออ่านไปก็ร้องอู้ฮู รักแบบนั้นมันยากจังเลยนะ แต่ฉันก็บอกพระเจ้าว่า ฉันอยากมีความรักแบบนั้นแหละ แบบ 1 คร. บทที่ 13 [1คร.13:4-13 ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง ความรักไม่มีวันสูญสิ้น แม้การเผยพระวจนะก็จะเสื่อมสูญไป แม้การพูดภาษาแปลกๆนั้นก็จะมีเวลาเลิกกัน แม้วิชาความรู้ก็จะเสื่อมสูญไป เพราะความรู้ของเรานั้นไม่สมบูรณ์ และการเผยพระวจนะนั้นก็ไม่สมบูรณ์ แต่เมื่อความสมบูรณ์มาถึงแล้ว ความบกพร่องนั้นก็จะสูญไป เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก ใคร่ครวญหาเหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการเด็กเสีย เพราะว่าบัดนี้เราเห็นสลัวๆเหมือนดูในกระจก แต่เวลานั้นจะได้เห็นพระพักตร์ชัดเจน เดี๋ยวนี้ความรู้ของข้าพเจ้าไม่สมบูรณ์ เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า ดังนั้นยังตั้งอยู่สามสิ่ง คือความเชื่อ ความหวังใจ และความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด]
เมื่อรับเชื่อ ก็ได้พี่สุเป็นพี่เลี้ยง พี่สุก็สอนให้ท่องข้อพระคัมภีร์ ตอนนั้นจำได้ 2 ข้อ คือ ยน.3:16 [ยน.3:16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์] กับ ยน.15:5 [ยน.15:5 เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย]
จากนั้น ฉันได้ไปเรียนต่อ ซึ่งต้องเรียนเสาร์อาทิตย์ ประกอบกับพี่สุมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในชีวิต จึงไม่ได้เรียนพระคัมภีร์กับพี่สุอีก และฉันก็ไม่ได้มาโบสถ์ด้วย แต่ฉันยังอ่านพระคัมภีร์สม่ำเสมอ โดยอ่านวันละเล็กละน้อยตามหน้าที่ซึ่งคิดว่าต้องทำ ไม่ได้อ่านด้วยจิตวิญญาณอย่างแท้จริง เมื่อมีข้อสงสัยก็ถามกับอาจารย์ที่สอนภาษาอังกฤษ เพราะเป็นกลุ่มคริสเตียนที่ฉันพบเจอบ่อยที่สุด บางครั้งก็เข้าร่วมกลุ่มเซลล์ซึ่งครูฝรั่งจัดร่วมกับเจ้าหน้าที่ BSC คนไทย กลุ่มที่ฉันไปบ่อยที่สุด คือกลุ่มของ Roger-Anne ที่บ้านพักของท่าน และกลุ่ม Sherilyn ที่จัดร่วมกับพี่หนู ที่บ้านพักของ Sherilyn และหลายครั้งก็ใช้เวลาร่วมกับอาจารย์ท่านอื่น ซึ่งอายุอานามไม่ต่างกันเท่าไร จึงเป็นเหมือนเพื่อนกันซะมากกว่า เพื่อนเหล่านั้นไม่พลาดที่จะแบ่งปันพระพรต่อกัน
จนกระทั่งฉันได้มีโอกาสทำงานที่ ECB (Evangelical Church of Bangkok) ซึ่งฉันทำงานแวดล้อมด้วยคริสเตียน ก็รู้สึกตื่นเต้นมาก และเริ่มละอายใจว่า ฉันรู้พระคัมภีร์น้อยจังเลย และพระเจ้าก็ทรงตอบหัวใจที่กระหายด้วยการส่งนางฟ้า หรือจะเรียกว่า ฑูตสวรรค์ ก็ได้ แต่ก็คือ “พี่น้อย” ชนัดดา ไชยสาคร เข้ามาในชีวิต โดยก่อนที่จะรู้จักพี่น้อยนั้น พี่เกี้ยซึ่งเป็นผู้จัดการอยู่ในคริสตจักร ได้เล่าให้ฟังว่าเคยเรียนพระคัมภีร์กับพี่น้อย และอยากให้ฉันเรียนกับพี่น้อยบ้าง ช่วงนั้นพี่น้อยอยู่ต่างประเทศ เมื่อกลับมาเมืองไทย พี่เกี้ยจึงแนะนำให้เรารู้จักกัน ครั้งแรกที่พบพี่น้อยก็รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้แปลกแฮะ อะไรจะอยากสอนพระคัมภีร์ปานนั้น ฉันก็อยากเรียนนะ แต่อาการอยากเรียนของฉันมันเทียบไม่ได้เลยกับอาการอยากสอนของพี่น้อย
ฉันได้เรียนพระคัมภีร์กับพี่น้อยทั้งในแบบเดี่ยวและแบบกลุ่ม ถ้าแบบเดี่ยวก็ไปเรียนที่บ้านพี่น้อยซึ่งอยู่ดอนเมือง ถ้าเป็นแบบกลุ่มก็เรียนที่ ECB หลังการนมัสการรอบแรก หัวข้อแรกที่ได้เรียนกับพี่น้อยคือ “น้ำพระทัยพระเจ้าสำหรับสตรี” พี่น้อยปลูกฝังให้สตรีทั้งหลายนั้นเป็นสตรีที่เลิศประเสริฐ งามทั้งกาย วาจา จิตใจ และจิตวิญญาณ เป็นพระพรต่อคนรอบข้าง เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า และที่สำคัญที่สุดคือ เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระองค์
อีกแล้วครับท่าน! ฉันเจออีกแล้ว ท่อง ท่อง ท่อง เนี่ย! พี่น้อยเขี่ยวเข็ญให้ท่องพระคัมภีร์ โดยเฉพาะ สภษ.31:10-31 ภรรยาที่ดีเลิศ ฉันก็ท่องได้อยู่พักหนึ่งนะ แต่พอห่างไปก็ลืม แหะแหะ ตอนนี้ก็จำไม่ได้ทั้งหมด ต้องกลับไปรื้อฟื้นใหม่
พี่น้อยบินไปต่างประเทศเป็นระยะๆ พี่น้อยสั่งสอนสาวกทั้งในและต่างประเทศ แต่ฉันบินบ่อยกว่าพี่น้อยซะอีก คือว่า ฉันบินไปบินมา ฉิวไปฉิวมา โดดไปโดดมา เดี๋ยวเรียนเดี๋ยวหยุด แหะ แหะ
จนกระทั่งล่าสุดที่พี่น้อยไปอยู่ต่างประเทศเป็นแรมปี หัวใจฉันกลับเรียกร้องกระหายหาใคร่เรียนพระคัมภีร์เป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่มีใครสอนเป็นกิจลักษณะ ฉันจึงตั้งใจอ่านพระคัมภีร์ด้วยตนเอง ศึกษาด้วยตนเองมากขึ้น โดยใช้หนังสืออธิบายพระคัมภีร์ หรือหนังสือวรรณกรรมคริสเตียนประกอบ และไม่ยอมพลาดการเทศนาใดๆ…แม้ทุกวันนี้ ฉันก็ยังคงต้องศึกษาพระคัมภีร์ต่อไป เรียนรู้ที่จะฝึกปรือมือของฉันให้ใช้ดาบแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างถูกต้อง ฉันยังอ่อนด้อยและต้องเรียนรู้อีกมาก แต่ฉันขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพระวิญญาณที่ทรงเป็นพระครูในชีวิตของฉัน ขอบคุณพระเจ้าที่พี่น้อยเป็นครูของฉัน
ฉันอธิษฐานที่จะได้มีโอกาสเรียนพระคัมภีร์กับพี่น้อยอีก โดยขณะนี้พี่น้อย อืม… ต้องเรียกว่า “ครูน้อย” สินะ เปิดสอนพระคัมภีร์ฟรีสำหรับสตรีที่บ้านของครูน้อยเอง อยู่ดอนเมืองคะ เรียนทุกวันพฤหัสบดี 9.00-12.00 น. จึงหนุนใจสตรีทุกท่านว่า หากมีโอกาสอย่าพลาดพระพรในครั้งนี้นะคะ และหากเป็นไปได้ สามารถเชิญชวนสตรีที่เรารู้จักให้มาเรียนกับครูน้อยได้ ครูน้อยปรารถนาให้สตรีทั้งหลายเป็นสตรีที่งดงาม เป็นคนงานที่ไม่ต้องอาย ใช้พระวจนะแห่งความจริงอย่างถูกต้อง ซึ่งสิ่งนี้ เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า [2ทธ.2:15 จงอุตส่าห์สำแดงตนว่าได้ทรงพิสูจน์แล้วเป็นคนงานที่ไม่ต้องอาย ใช้พระวจนะแห่งความจริงอย่างถูกต้อง]

ติดต่อครูน้อย
คุณชนัดดา ไชยสาคร
114/55 ถนนนาวงประชา แขวงทุ่งสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ 10210
Email: marynoi@truemail.co.th

ไม่มีความคิดเห็น: