Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ผู้อารักขา

ผู้อารักขา
วันที่ 29/4/2011

ด้วยนโยบายประหยัดและลดภาวะโลกร้อน ห้างสรรพสินค้าและร้านค้าหลายแห่งจึงได้ร่วมใจกันลดราคาหรือมีของแถมพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อสินค้าโดยไม่รับถุงพลาสติกจากทางห้าง แม้แต่ร้าน 7-11 เอง ก็กล่าวขอบคุณเมื่อลูกค้าไม่รับถุงพลาสติก เหตุนี้เองลูกค้าจำนวนมากก็ขอมีส่วนร่วมด้วย โดยการไม่รับถุงพลาสติก หรือ เตรียมถุงผ้า ตะกร้า ภาชนะต่างๆ มาจากบ้านแทน มาตรการนี้ฉันเห็นด้วยเป็นการส่วนตัว เพราะสามารถลดจำนวนขยะลงได้ ส่งเสริมให้นำถุงเดิมสภาพดีกลับมาใช้ซ้ำ เป็นการลดปริมาณการผลิตถุง ที่การผลิตแต่ละครั้งต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรโลกและปล่อยสารพิษออกมาทำลายโลกอีกด้วย ว้าว! มีข้อดีหลายอย่างเชียว ดังนั้น เราคริสเตียนไทยก็มาร่วมใจกันลดโลกร้อนดีกว่าคะ ในฐานะผู้อารักขา

[สดด.8:3-6 เมื่อข้าพระองค์มองดูฟ้าสวรรค์อันเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ดวงจันทร์และดวงดาวซึ่งพระองค์ได้ทรงสถาปนาไว้ 4มนุษย์เป็นผู้ใดเล่าซึ่งพระองค์ทรงระลึกถึงเขาและบุตรของมนุษย์เป็นใครเล่าซึ่งพระองค์ทรงเยี่ยมเขา 5เพราะพระองค์ทรงสร้างเขาให้ต่ำกว่าพระเจ้า {หรือ ทูตสวรรค์} แต่หน่อยเดียว และสวมศักดิ์ศรีกับเกียรติให้แก่เขา 6พระองค์ทรงมอบอำนาจให้ครอบครองบรรดาพระหัตถกิจของพระองค์ พระองค์ทรงให้สิ่งทั้งปวงอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา]

พระคัมภีร์กล่าวว่าพระเจ้าทรงรักโลก แต่ไม่เห็นมีตอนไหนเลยที่ระบุว่ามนุษย์รักโลก อย่างไรก็ตาม เมื่อพระเจ้าทรงรักโลก ทรงสร้างโลกและสรรพสิ่งทั้งปวงที่อยู่นั้น รวมถึงมนุษย์ด้วย เราในฐานะที่เป็นมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้าง ก็ต้องตระหนักถึงความรับผิดชอบของตนที่มีต่อโลกใบนี้ด้วย แต่น่าเสียดายที่บางครั้งมนุษย์ลืมบทบาทหน้าที่ของตนไป มนุษย์ลืมไปว่าตนนั้นเป็นผู้อารักขาที่ต้องรายงานต่อพระเจ้า

พระเจ้าทรงประทานสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่แก่มนุษย์ให้ปกครองดูแลทั้งโลก ซึ่งเมื่อมีสิทธิอำนาจมาก เราก็ต้องมีความรับผิดชอบสูงด้วย เราต้องตระหนักเสมอว่าเราปฏิบัติต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างอย่างไร

ชีวิตของเราและสิ่งสารพัดที่เรามี ล้วนเป็นของประทานมาจากพระเจ้า เราจึงมีหน้าที่อารักขาสิ่งสารพัดนั้น ยกตัวอย่างเช่น

ด้านการงานอาชีพ เมื่อเรามีอาชีพ เราต้องสัตย์ซื่อต่ออาชีพของเราเอง โดยทำงานอย่างเต็มกำลังดุจดังกระทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า [อฟ.6:7 จงปรนนิบัตินายด้วยจิตใจชื่นบานเหมือนกับปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ปรนนิบัติมนุษย์, คส.3:23]

ด้านการเงิน เมื่อเรามีทรัพย์สินเงินทอง เราต้องใช้จ่ายทรัพย์สินอย่างชาญฉลาด ไม่สุรุ่ยสุร่าย หรือปล่อยให้รายรับรายจ่ายไม่สมดุลย์กัน จนเกิดอาการชักหน้าไม่ถึงหลัง หรือสร้างภาระหนี้สินเกินกำลัง

ด้านครอบครัว ทุกคนมีบทบาทหน้าที่ในครอบครัวของตน [คส.3:18-21 ฝ่ายภรรยาจงยอมฟังสามีของตน ซึ่งเป็นการสมควรในองค์พระผู้เป็นเจ้า ฝ่ายสามีก็จงรักภรรยาของตน และอย่ามีใจขมขื่นต่อนาง ฝ่ายบุตรทั้งหลายจงเชื่อฟังบิดามารดาของตนทุกอย่าง เพราะการนี้เป็นที่ชอบพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า ฝ่ายบิดา ก็อย่ายั่วบุตรของตนให้ขัดเคืองใจ เกรงว่าเขาจะท้อใจ”] และดูแลครัวเรือนของตน [1ทธ.5:8 “ถ้าแม้ผู้ใดไม่เลี้ยงดูวงศ์ญาติของตน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในบ้านเรือนของตน ผู้นั้นก็ได้ปฏิเสธพระศาสนาเสียแล้ว และชั่วยิ่งกว่าคนที่ไม่ได้เชื่อเสียอีก] ครอบครัวในที่นี้ รวมไปถึงครอบครัวแห่งความเชื่อด้วย

ด้านการรับใช้ เรามีหน้าที่อารักขาคริสตจักรของพระองค์ รับใช้พระเจ้าด้วยสุดใจ สุดกำลัง เราต้องห่วงใยฝูงแกะ เลี้ยงดูลูกแกะ เราต้องประกาศพระคริสต์ เราต้องช่วยเหลือคนยากจน ลูกกำพร้า หญิงม่าย คนด้อยโอกาส เราต้องรักเพื่อนบ้าน และอีกหลายประการ ที่เราต้องทำตามพระบัญชาของพระเยซู

ด้านร่างกาย เรามีหน้าที่ดูแลร่างกายของเราซึ่งเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (1 คร.6:19) เราออกกำลังกายบ้างหรือเปล่า? เราทานอาหารตามใจปากมากกว่าการคำนึงถึงคุณค่าทางโภชนาการหรือไม่?

ด้านคริสตจักร เรามีหน้าที่ในฐานะพระกายของพระคริสต์ ในการรับใช้พระเจ้าร่วมกับพี่น้องในคริสตจักร สามัคคีธรรมร่วมกัน “สมาชิกภาพของคริสตจักรเป็นการทรงเรียกออกมาสู่การผูกพันตัวต่อคุณธรรมความสัตย์ซื่อทางพันธสัญญา ส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ทางพันธสัญญาต่อคริสตจักรคือ การเข้าร่วมประชุม การรับใช้ การถวายสิบลด นิมิต และการปกครองของผู้นำ” (ความสัมพันธ์บนพันธสัญญา โดย อาเชอร์ อินเทรเตอร์ แปลโดย ปริศนา เฮ้ง เรียบเรียงโดย กฤษฎา ชูสกุลธนะชัย หน้า 154-155)

ด้านจิตใจและจิตวิญญาณ เรามีหน้าที่ในการนมัสการพระเจ้า อธิษฐานทูลพระองค์ ศึกษาพระวจนะของพระองค์

ด้านของประทาน ของประทานนานาประการหรือตะลันต์ที่พระเจ้าทรงประทานให้นั้นล้วนเพื่อประโยชน์ต่อผู้อื่นและถวายเกียรติแด่พระองค์ เราจึงมีหน้าที่รักษาการเจิม รักเรียนรู้ รักฝึกฝน และใช้ของประทานทั้งสิ้นด้วยความรัก

จริงๆ แล้วยังมีอีกหลายด้านหลายส่วนในชีวิตของเราที่เกี่ยวข้องในฐานะผู้อารักขา ซึ่งคงกล่าวถึงไม่หมดในที่นี้ ทั้งนี้ เราสามารถเป็นสามัญชนที่สำแดงการมหัศจรรย์แห่งพระคุณของพระเจ้าในชีวิตประจำวันได้

พระเจ้าทรงเป็นต้นแบบของผู้อารักขา ทรงอารักขาทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง รวมทั้งอารักขาเราด้วย [สดด.121: 1-8 1ข้าพเจ้าเงยหน้าดูภูเขา ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากไหน 2ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก 3พระองค์จะไม่ให้เท้าของท่านพลาดไป พระองค์ผู้ทรงอารักขาท่านจะไม่เคลิ้มไป 4ดูเถิด พระองค์ผู้ทรงอารักขาอิสราเอล จะไม่ทรงหลับสนิทหรือนิทรา 5พระเจ้าทรงเป็นผู้อารักขาท่าน พระเจ้าทรงเป็นที่กำบังที่ข้างขวามือของท่าน 6ดวงอาทิตย์จะไม่โจมตีท่านในเวลากลางวัน หรือดวงจันทร์ในเวลากลางคืน 7พระเจ้าจะทรงอารักขาท่านให้พ้นภยันตรายทั้งสิ้นพระองค์จะทรงอารักขาชีวิตของท่าน 8พระเจ้า จะทรงอารักขาการเข้าออกของท่าน ตั้งแต่กาลบัดนี้สืบไปเป็นนิตย์]
ขอพระเจ้าทรงโปรดช่วยเราให้เป็นผู้อารักขาที่ชอบพระทัยพระองค์ [1คร.4:1-2 ให้ทุกคนถือว่าเราเป็นคนรับใช้ของพระคริสต์ และเป็นผู้อารักขาสิ่งล้ำลึกของพระเจ้า ฝ่ายผู้อารักขาเหล่านั้นต้องเป็นคนที่ไว้วางใจได้ทุกคน]

แถมท้ายด้วย 9 คำถามที่พระเจ้าจะไม่ถามคุณ (ที่มา www.gracezone.org)
1) พระเจ้าจะไม่ถามคุณว่า.... คุณขับรถยี่ห้ออะไร? รุ่นอะไร? ราคาเท่าไร?
แต่พระองค์จะถามว่าคุณเคยใช้รถนี้ รับ-ส่งใคร? กี่คน?
2) พระเจ้าจะไม่ถามคุณว่า.... บ้านของคุณมีเนื้อที่เท่าไร? สร้างด้วยอะไร? ราคาเท่าไร?
แต่พระองค์จะถามว่าคุณเคยให้ใคร?พักพิงในบ้านในยามที่เขาต้องการ
3) พระเจ้าจะไม่ถามคุณว่า.... คุณมีเสื้อผ้ากี่ชุด? ยี่ห้ออะไร? ราคาเท่าไร?
แต่พระองค์จะถามว่าคุณได้ให้เสื้อผ้ากับ คนที่ต้องการกี่คน? กี่ชุด? (ถ้ามีเยอะ ส่งไปน้ำยืนนะคะ ^_^)
4) พระเจ้าจะไม่ถามคุณว่า.... คุณมีเงินเดือนเท่าไร?
แต่พระองค์จะถามว่าคุณได้เงินเดือนนี้ มาด้วยวิธีใด? และใช้ทำอะไร (ถวายสิบลดแล้ว ถวายเพื่องานมิชชั่นด้วยนะคะ ^_^)
5) พระเจ้าจะไม่ถามคุณว่า.... คุณมีตำแหน่งงานอะไร?
แต่คุณได้ทำงานอย่างดียอดเยี่ยมเพียงใด?
6) พระเจ้าจะไม่ถามคุณว่า.... คุณมีเพื่อนกี่คน?
แต่พระองค์จะถามว่ามีกี่คนที่ยอมรับคุณเป็นเพื่อน?
7) พระเจ้าจะไม่ถามคุณว่า.... เพื่อนบ้านของคุณเป็นอย่างไร?
แต่พระองค์จะถามว่าคุณปฏิบัติต่อเพื่อนบ้านของคุณอย่างไร?
8) พระเจ้าจะไม่ถามคุณว่า.... คุณมีผิวสีอะไร?
แต่พระองค์จะถามว่าบุคลิกของคุณเป็นอย่างไร?
9) พระเจ้าจะไม่ถามคุณว่า.... คุณได้ประกาศกับคนกี่คน?
แต่พระองค์จะถามว่าคุณได้สร้างคนเป็นสาวกของพระเยซูกี่คน?

ไม่มีความคิดเห็น: