Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2554

จุดคุ้มทุน

จุดคุ้มทุน
วันที่ 30/03/2011

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับการสัมมนาของสมาคมที่เสร็จสิ้นลงด้วยความพอใจของทุกฝ่าย ฉันซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานก็อดที่จะปลื้มใจไม่ได้เหมือนกัน เราวางแผนล่วงหน้าสำหรับงานครั้งนี้มากว่า 4 เดือน โดยคาดหวังจะมีผู้ร่วมสัมมนาไม่ต่ำกว่า 100 คน เพราะมีจุดคุ้มทุนอยู่ที่ 100 คน ดังนั้น เราจึงการันตีจำนวนคนกับโรงแรมไว้ที่ 100 คน หากผู้เข้าร่วมสัมมนาไม่ถึง 100 คน ทางเราก็ต้องจ่ายให้กับโรงแรมในอัตรา 100 คนอยู่ดี และแน่นอนว่าหากเป็นเช่นนั้นเราจะไม่คุ้มทุนหรือต้องขาดทุนนั่นเอง

จุดคุ้มทุน (Break even point) หมายถึง จุดหรือปริมาณการขายหรือบริการที่ทำให้กิจการได้รับรายได้เท่ากับค่าใช้จ่ายพอดี ในองค์กรธุรกิจหรือแม้แต่องค์กรทั่วไปจึงมักต้องคำนวณจุดคุ้มทุนไว้เสมอ

ฉันเดินทางไปร่วมพันธกิจน้ำยืน อุบลราชธานี กับทีมนิมิตใหม่ เมื่อวันที่ 11/3/2011 ระหว่างทางก็ได้แบ่งปันกับครูแมมว่ากำลังจะมีการสัมมนาในวันที่ 22/3/2011 และจะปิดรับสมัครในวันที่ 15/3/2011 แต่เรายังมีผู้เข้าร่วมสัมมนาไม่ถึงครึ่งของจำนวนที่คาดไว้เลย จริงๆ แล้วฉันมีความกังวล เพราะถึงแม้ว่าสมาคมที่เจ้านายและฉันทำงานให้นี้จะเป็นสมาคมที่เรียกตัวเองว่าเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร แต่ก็อดไม่ได้ที่ต้องนึกถึงกำไรอยู่ดี โดยเราอาจจะใช้คำอื่นที่ดูดีกว่าว่า “ไม่ได้หวังกำไร แค่ไม่ขาดทุนก็พอ” (อ้าว!)

เมื่อพูดกับครูแมมจบ ก็เหมือนกับว่ามีอะไรมาจุกอยู่ที่คอ (อึก อึก) ฉันจึงอธิษฐานขอวางทุกสิ่งไว้ต่อหน้าบัลลังก์พระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่อยู่เบื้องหลังหรือการงานที่คาค้าง ฝากทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในพระหัตถ์พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงสัญญาไว้ “เมื่อเรามอบงานไว้กับพระเจ้า พระองค์จะทรงสถาปนาไว้” แหล่มเลย! แล้วฉันก็เดินหน้าไปน้ำยืนอย่างสบายใจเฉิบ โดยที่ตลอดเวลาขณะอยู่น้ำยืนหรือแม้แต่เมื่อกลับมาถึงกรุงเทพฯแล้ว ฉันก็ไม่มีความกังวลในงานเรื่องดังกล่าวอีกเลย

ฉันไม่รู้หรอกว่าผลงานจะออกมาเป็นอย่างไร แต่ฉันได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว และที่สำคัญกว่านั้นคือ ฉันมีความหวังใจ ฉันมีความหวังใจในพระเจ้าพระผู้สร้าง และต้องเรียนรู้ที่จะถ่อมใจรับพระกรุณาคุณจากพระเจ้าในทุกกรณี

เมื่อไปถึงน้ำยืน เราพบว่าพี่น้องผู้เชื่อทั้งใหม่และเก่าหายไปเป็นจำนวนหนึ่ง เราทราบว่าบางคนก็ป่วย บางคนก็ติดธุระการงานต่างๆ แต่บางคนก็ห่างไปจากทางของพระเจ้าเลยก็มี ฟังแล้วก็น่าใจหายใช่ไหมละคะ…แต่เดี๋ยวก่อน! เราต้องหายใจนะ แต่ห้ามใจหายเด็ดขาด!!! และที่สำคัญที่สุดคือ เราต้องมีความหวังใจในพระเจ้าเสมอ เพราะเราวางใจพระองค์

การงานทางโลกนั้น มักวัดผลงานกันด้วยปริมาณและตัวเลขสถิติต่างๆ เช่น บริษัทที่ฉันทำงานอยู่นี่ ก็ตั้งเป้าเป็นยอดขาย ปีละกี่พันล้านก็ว่ากันไป ส่วนงานของสมาคมนั้นก็วัดกันด้วยตัวเลขอยู่ดี เพียงแต่จะเน้นเป็นตัวเลขจำนวนคนมากกว่าตัวเงินเท่านั้นเอง อย่างไรก็ดี การจะเข้าร่วมสัมมนากับสมาคมได้นั้นก็ต้องจ่ายเงินก่อน จึงจะมีสิทธิ์ ไม่เหมือนกับงานสัมมนาของคริสเตียนหลายแห่งที่สามารถเข้าร่วมได้ แม้บางครั้งยังไม่ได้จ่ายเงินหรือไม่มีเงินจ่ายก็ตาม ^_^

การงานทางโลกมักตั้งจุดคุ้มทุนไว้เพื่อความอยู่รอด เหมือนกับที่สมาคมตั้งไว้ว่า ครั้งนี้ต้องมีผู้เข้าสัมมนา 100 คนจึงจะคุ้มทุน หากน้อยกว่าก็ขาดทุน หากได้ 100 คนก็เท่าทุน หากได้มากกว่า 100 คน ก็เป็นกำไรไป…ขอบคุณพระเจ้า สัปดาห์สุดท้ายก่อนวันงาน มีผู้สมัครเข้ามาจำนวนมาก จนทำให้เป้าหมายที่เราตั้งไว้สำเร็จ

สำหรับการงานของพระเจ้าหรือการงานฝ่ายวิญญาณนั้น เราไม่สามารถนำตัวเลขมาเป็นเกณฑ์วัดผลงานแบบฝ่ายโลกกันได้ทั้งหมด เพราะการงานฝ่ายวิญญาณนั้นเป็นความล้ำลึกอย่างมาก พระเจ้าทรงมีเกณฑ์การวัดและตัดสินไม่เหมือนกับที่มนุษย์มอง ดังตัวอย่างเช่น

- น้ำมันหอมนารดาราคาสูงที่มารีย์นำมาชโลมพระบาทพระเยซูนั้น ยูดาสมองว่าเป็นการสิ้นเปลือง แต่พระเยซูทรงมีมุมมองที่แตกต่าง (ยน.12:3-8) ยูดาสมองว่าไม่คุ้ม แต่สุดคุ้มสำหรับมารีย์ และล้ำค่าสำหรับพระเยซู
- สาวกเห็นว่าขนมปัง 5 ก้อน และปลา 2 ตัว คงไม่พอเลี้ยงฝูงชนจำนวนมากนั้น และพวกเขาก็ไม่มีเงินที่จะไปซื้ออาหารให้กับฝูงชนเหล่านั้นด้วย ไม่คุ้มเลย ฉะนั้น ปล่อยให้พวกเขากลับบ้านกันไปเถอะ แต่พระเยซูทรงมีมุมมองที่แตกต่าง (มธ.14:14-21)
- มารธาและมารีย์เห็นว่าหากพระเยซูทรงเสด็จมาเร็วกว่านี้ ลาซารัสก็คงไม่ตาย แต่พระเยซูทรงมีมุมมองที่แตกต่าง (ยน.11;21,32) การทำให้ลาซารัสฟื้นขึ้นจากความตายนั้น คุ้มค่ามากกว่า ล้ำค่าเหนือกว่า และงดงามด้วยสง่าราศีของพระองค์
- มารธาเห็นว่ามารีย์ควรจะมาช่วยเธอจัดเตรียมอาหารเพื่อพระเยซูและเหล่าสาวก แต่พระเยซูทรงมีมุมมองที่แตกต่าง (ลก.10:38-42) มารีย์ได้เลือกฉวยสิ่งที่ล้ำค่ากว่าและเหนือกว่าเอาไว้แล้ว

เราเห็นการวัดผลลัพธ์ในฝ่ายวิญญาณที่แตกต่างจากการวัดผลฝ่ายเนื้อหนังหรือฝ่ายโลกอย่างมากมายในพระคัมภีร์ ซึ่งกล่าวให้ครบถ้วนทั้งหมดได้ยากยิ่ง เราจึงเป็นเพียงผู้ทาสที่พระเจ้าทรงกระทำการผ่านเราเท่านั้น หน้าที่ของเราคือการเป็นภาชนะที่พร้อมสำหรับงานของพระองค์ เราทำเต็มที่ เต็มใจ เต็มความสามารถและพลังที่พระองค์ทรงดลใจอยู่ [คส.1:29 เพื่อเหตุนี้เองข้าพเจ้าจึงตรากตรำทำงานด้วยความอุตสาหะ เข้มแข็งด้วยพลังที่พระองค์ทรงดลใจข้าพเจ้าอยู่] ส่วนการเกิดผลนั้น เป็นของพระเจ้า…เราหว่านด้านวิญญาณ ก็เก็บเกี่ยวในด้านวิญญาณ

การตั้งเป้าหมายด้วยตัวเลขนั้นเป็นสิ่งที่ดีและจำเป็นมาก หากวางแผนดี ตั้งเป้าหมายดี ก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว เช่น ประเทศไทยต้องมีคริสเตียนเพิ่มขึ้นเป็นอีกกี่เปอร์เซ็นต์ในอีก 10 ปีข้างหน้า, คริสตจักรจะต้องมีคริสตจักรลูกกี่แห่งภายในปีที่กำหนด, คริสตจักรจะต้องมีสมาชิกเพิ่มอีกจำนวนเท่าใด, คริสตจักรจะต้องมีเงินถวายเท่าไร, คริสตจักรจะต้องส่งมิชชันนารีออกไปจำนวนเท่าใด, สมาชิกจะต้องนำรับเชื่อกี่คนในแต่ละปี, สมาชิกจะต้องมีน้องเลี้ยงกี่คน เหล่านี้เป็นต้น (มีบางคนตั้งเป้าด้วยว่า จะขับผีกี่ตัว…หุหุ ฉันไม่เอาด้วยนะ ไม่ชอบผี!) ขอบคุณพระเจ้าสำหรับเป้าหมายเหล่านั้น แต่ถ้าเป้าหมายเหล่านั้นทำให้เราไม่มีสันติสุขละก็ ต้องใส่เกียร์ถอยหลังตั้งสติ กลับมานั่งจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง

ในการงานฝ่ายโลกนั้น เราต้องสร้างผลงาน ทำตามเป้าหมายที่บริษัทหรือเจ้านายกำหนดไว้ หากทำได้ก็เป็นที่ชื่นชอบโปรดปรานของเจ้านาย แต่สำหรับจอมเจ้านาย พระบิดาบนสวรรค์นั้น พระองค์ทรงโปรดปรานเราอยู่แล้ว แม้เราจะเป็นคนที่ไม่เอาไหนเลยหรือไม่ทำอะไรเลยก็ตาม ทว่า ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ทรงมีต่อเราต่างหาก เราจึงปรารถนาที่จะรับใช้พระองค์ เพียรพยายามวางตัวเราให้คู่ควรกับความโปรดปรานของพระองค์

“เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน
ให้ท่านมีใจปรารถนาทั้งให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์’ (ฟป.2:13)


จุดคุ้มทุนของการงานฝ่ายโลกอยู่ที่ผลงานตามเป้าหมาย แต่จุดคุ้มทุนในการงานของพระเจ้านั้น อยู่ที่ผลของพระวิญญาณบริสุทธ์ และรางวัลที่ยิ่งใหญ่คือ บำเหน็จจากองค์พระเยซู และชีวิตนิรันดร์บนสวรรค์!

ไม่มีความคิดเห็น: