Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553

อย่ากลัวเลย

อย่ากลัวเลย
วันที่ 2/12/2009
ไม่ต้องกลัว! อย่ากลัว! อย่ากลัวเลย! โอ้โห คำพูดประมาณเนี้ย ได้ยินมาตั้งนานแล้ว ใครๆ ก็พูดได้ พูดกันง่ายเนอะ แต่ทำยาก!...อืม ถูกต้องแล้วคร้าบ ลำพังตัวเราเองนั้นไม่สามารถทำได้หรอก เราต้องพึ่งพาและเชื่อฟังพระเจ้าผู้สูงสุด เพราะสิ่งนี้มิใช่ข้อควรปฏิบัติ แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ เป็นคำสั่งจากพระเจ้า
[ยชว.1:9 “เราสั่งเจ้าไว้แล้วมิใช่หรือว่าจงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าตกใจหรือคร้ามกลัวเลย เพราะว่าเจ้าไปในถิ่นฐานใด พระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าทรงสถิตกับเจ้า"]
พระวจนะเพียงข้อเดียวก็ทำให้เราหายจากความกลัวได้แล้ว Amazing จริงๆ แต่ก็ยิ่งตื่นตะลึงทึ่ง Amazing ยิ่งไปกว่านั้น คือ มีพระสัญญาอีกมากมายจากพระเจ้าที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือแห่งชีวิต ทั้งพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่…พระสัญญาทั้งปวงจากพระเจ้ายิ่งใหญ่และสูงค่า ก่อให้เกิดความเชื่อและวางใจ ทลายความกลัวทั้งสิ้นออกไปจากจิตใจของเรา
ความกลัวอยู่คู่กับฉันมาตั้งแต่เด็ก พอเกิดมาปุ๊บก็ร้องไห้จ้าเลย (แม่เล่าให้ฟัง) ไม่รู้กลัวอะไรสินะ และเนื่องจากพ่อกับแม่แยกทางกัน การเลี้ยงดูลูกจึงตกเป็นของแม่เพียงลำพัง จนกระทั่งอายุประมาณ 4-5 ขวบ แม่ก็พาไปฝากไว้กับย่า เพราะแม่ต้องเดินทางมาหางานทำที่กรุงเทพ ในเวลานั้นฉันไม่อยากจากแม่เลย กลัวไปหมด กลัวแม่มีสามีใหม่ กลัวแม่ทิ้งฉันไปอย่างที่คนอื่นชอบใส่ไฟ เมื่ออยู่กับย่า ฉันก็ต้องเจอพ่อด้วย พ่อเป็นลูกชายคนโตของครอบครัว แต่ชีวิตพ่อเป็นชีวิตของการสัมมะเลเทเมา กินเหล้า เที่ยวเตร่ มีภรรยาหลายคน ซึ่งพ่อก็อยู่กับใครไม่ได้เลย เมื่อมีลูกแล้วก็เป็นต้องได้เลิกรากันทุกราย ปล่อยให้ฝ่ายหญิงหอบลูกจากไป พ่อมีลูก 4 คน จากภรรยา 3 คน (แต่พ่อมีภรรยามากกว่านั้น) ฉันกลัวพ่อมาก เพราะพ่อชอบกินเหล้า อาละวาด ทำร้ายร่างกาย แต่ในเวลานั้นไม่มีทางเลือก ความกลัวจึงเกาะกินฝังลึกในจิตใจ จนฉันตั้งใจว่าจะไม่แต่งงานเด็ดขาด เพราะกลัวครอบครัวที่แตกแยก จนกระทั่งเติบโตขึ้นมา ความคิดก็เปลี่ยนไป ฉันยอมรับการมีครอบครัวแล้ว แต่กลับมีความกลัวแบบใหม่เกิดขึ้น คือ กลัวไม่ได้แต่งงาน (อ้าว!)
นอกจากความกลัวข้างต้นแล้ว ยังมีความกลัวอื่นๆ ที่ฉันเผชิญ เช่น กลัวการไม่เป็นที่ยอมรับ กลัวความล้มเหลวพ่ายแพ้ กลัวไม่มีเพื่อน กลัวไม่มีใครรัก กลัวสอบตก กลัวไม่สวย กลัวไม่มีเงินใช้ กลัวถูกทำร้ายร่างกาย กลัวโรคภัยไข้เจ็บ กลัวอุบัติเหตุ กลัวพิการ หรือแม้กระทั่ง กลัวความตาย
ขอบคุณพระเจ้า เมื่อได้รู้จักองค์พระเยซูคริสต์ พระวจนะของพระเจ้าได้กู้ฉันออกมาจากความกลัว ความกลัวแต่ละรายการค่อยๆ ถูกขจัดออก แต่ด้วยความบาปและความอ่อนแอของตัวฉันเอง ความกลัวบางรายการก็ยังมิอาจขจัดออกได้ ล่าสุดก็พบประสบการณ์ที่พระเจ้าทรงเยียวยา ทรงขจัดความกลัวในระดับลึกออกไปจากจิตใจของฉัน
ฉันไม่กลัวการอยู่เป็นโสด เพราะพระเจ้าทรงให้หมายสำคัญว่าฉันจะมีครอบครัว
ฉันไม่กลัวว่าใครจะไม่รัก เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก ทรงรักฉันอย่างไม่อาจอธิบายได้
ฉันไม่กลัวการไม่ได้รับการยอมรับ เพราะพระเจ้าทรงประทานสติปัญญาและจิตใจที่แน่วแน่ให้
ฉันไม่กลัวการไม่มีเพื่อน เพราะพระเยซูเป็นสหายเลิศของฉัน
ฉันไม่กลัวแม่ไม่รัก เพราะพระเจ้าทรงตรัสว่าแม่รักฉัน และแม่ก็พิสูจน์ให้เห็นว่าแม่รักฉันจริงๆ
ฉันไม่กลัวที่จะไม่สวย เพราะพระเจ้าทรงทอดพระเนตรที่จิตใจ ให้ฉันจดจ่ออยู่กับความงามภายใน
ฉันไม่กลัวความยากจน เพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้ประทานสิ่งสารพัดให้ฉันอย่างเพียงพอ
ฉันไม่กลัวโรคร้ายแรง เพราะพระเจ้าทรงเป็นผู้ปกป้อง ทรงเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ
ฉันไม่กลัวถูกใส่ร้ายหรือถูกเข้าใจผิด เพราะพระเจ้าทรงแก้คดีให้ฉัน
ฉันไม่กลัวอุบัติเหตุ เพราะพระเจ้าทรงเสด็จนำหน้าฉัน ทรงเป็นพระกำลังและป้อมปราการของฉัน
ฉันไม่กลัวพิการ เพราะพระเจ้าจะพยุงฉันไว้
ฉันไม่กลัวความตาย เพราะฉันรู้ว่า ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์ และตายไปก็ได้กำไร
[ฉธบ.31:6 จงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่ากลัวหรืออย่าครั่นคร้ามเขาเลย เพราะว่าผู้ที่ไปกับท่านคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน พระองค์จะไม่ทรงปล่อยท่านให้ล้มเหลวหรือทอดทิ้งท่านเสีย"]
ทว่า ความกลัวบางรายการก็ยังเกาะกินหัวใจของฉันอยู่ คือ กลัวภัยมืดจากมนุษย์ ซึ่งการเยียวยาได้เกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนก่อน ในขณะที่ฉันต้องเดินทางกลับจากโรงเรียนพระคริสต์ธรรม ซอยสวนพลู ถึงที่พักถนนประดิพัทธ์ ฉันต้องนั่งรถแท็กซี่ยามค่ำคืนตามลำพัง ซึ่งฉันกลัวมาก เนื่องจากมีประสบการณ์ที่ไม่ดีจากแท็กซี่ ซึ่งยังฝังใจอยู่ เมื่อขึ้นแท็กซี่ทีไร ฉันจึงอกสั่นขวัญแขวนทุกที บางคราก็ถึงกับจับไข้กันไปเลย
พี่สาวในพระคริสต์คนหนึ่งพยายามท้าทายให้ฉันหลุดพ้นจากอาการกลัวตรงจุดนี้ แต่ฉันก็ทำไม่ได้ ความกลัวขณะนั้นมากจนเกินอธิบาย…ฉันคิดและดำเนินชีวิตในฝ่ายโลก ขณะที่พี่สาวดำเนินในฝ่ายวิญญาณ ด้วยการมองข้ามปัญหา ข้ามพ้นความกลัวตามธรรมดาสามัญของมนุษย์ และให้ความจริงแห่งพระคุณของพระเจ้าเข้าครอบครองจิตใจ
ขอบคุณพระเจ้า ในขณะที่มีความกลัว ความสว่างของพระเจ้าก็ส่องทะลุกำแพงหัวใจ ทะลายความกลัวนั้นออกอย่างสง่างาม เราต้องดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ก็จริง แต่เราเป็นลูกของพระเจ้า ทรงรักและห่วงใยเราทั้งหลายเสมอ และผู้เชื่อทุกคนก็จะมีฑูตสวรรค์ประจำตัวคอยปกป้องเราเสมอ…คุณเชื่อเช่นนั้นหรือไม่? … ฉันต้องโมทนาขอบพระคุณพระเจ้าอีกครั้ง และขอบคุณพี่สาวที่แสนดีที่คอยท้าทายและหนุนใจเสมอมา ขอพระเจ้าได้รับเกียรติยศทั้งสิ้น
ความกลัวล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากเล่าให้เพื่อนที่ทำงาน 2 คน ฟังว่าไปซื้อบ้านมาหลังหนึ่ง อยู่สมุทรสาคร แต่ยังไม่ได้ย้ายไปอยู่นะ เพราะยังไม่ได้ตบแต่ง ต้องติดมุ้งลวดและผ้าม่านก่อน บ้านหลังนั้นมีกระจกใสอยู่รอบบ้าน ถ้าไม่มีผ้าม่าน ก็ไม่สะดวกที่จะอยู่แน่นอน เพื่อนก็ถามว่า แล้วไม่ติดเหล็กดัดเหรอ ฉันก็ตอบไปว่าไม่ติดหรอก เพราะหมู่บ้านนั้นไม่มีขโมย บ้านส่วนใหญ่ก็ไม่ติดเหล็กดัด และ ศบ.ก็ให้ความเห็นเมื่อครั้งไปนมัสการถวายบ้านว่า ไม่ต้องติดเหล็กดัดหรอก เพื่อนก็บอกว่า หมู่บ้านนั้นไม่มีขโมยมาก่อนเลย แต่ทั้งหมู่บ้านมันจะเข้าบ้านฉันบ้านเดียว อ้าว! ไฉนเพื่อนพูดเช่นนี้เล่า และเพื่อนอีกคนก็บอกว่า วันหยุดนี้จะไปติดมุ้งลวดกับผ้าม่านไม่ใช่เหรอ มีใครไปเป็นเพื่อนไหม “ไม่มีค่า” คือคำตอบของฉัน เพื่อนก็บอกว่าระวังนะโว้ย เราเป็นผู้หญิง และช่างก็เป็นผู้ชายทั้งนั้น ยิ่งถ้าเค้ารู้ว่าบ้านนี้มีแต่ผู้หญิงก็อันตราย จากนั้นเพื่อนก็พูดแล้วพูดอีกถึงอันตรายต่างๆ นานา…ในเวลานั้น ความกลัวในสิ่งที่เพื่อนพูดได้เกาะกินหัวใจของฉัน จนขาดสันติสุข ตลอดวันศุกร์ แต่ขอบคุณพระเจ้า พระองค์ทรงทันเวลาเสมอ พระเจ้าทรงขจัดความกลัวออกไปในเช้าวันเสาร์
ฉันไม่กลัวสิ่งที่มองไม่เห็นมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว พูดง่ายๆ คือ ไม่กลัวผีหรือวิญญาณใดๆ ทั้งนั้น ยิ่งเมื่อมารู้จักพระเจ้า ก็ยิ่งไม่กลัวสิ่งเหล่านี้เลย ไม่ว่าจะเป็นศักดิเทพ อิทธิเทพ หรือวิญญาณชั่วในสถานฟ้าอากาศ เพราะพระเยซูได้ปราบมันลงแล้ว อยู่ใต้ฝ่าพระบาทของพระองค์ [คส.2:15 พระองค์ทรงปลดเทพผู้ครองและศักดิเทพเสีย พระองค์ได้ทรงประจานเขา และชนะเขาโดยกางเขนนั้น]
วิธีการรับมือกับวิญญาณเหล่านั้นก็ง่ายมาก คือ ไม่ต้องข้องแวะกับมัน แต่เมื่อใดที่ต้องมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง มันก็อาจทำให้ตกใจบ้าง แต่ฉันไม่เคยกลัว เพราะรู้ว่าพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าผู้ใดที่อยู่ในโลก ฉันไม่กลัวสิ่งเหล่านี้หรอก แต่ฉันกลับกลัวสิ่งที่เกิดจากน้ำมือของมนุษย์ อ้าว! ถ้าอย่างนั้นก็แย่นะสิ…และพระวจนะของพระเจ้าก็ผุดขึ้นมาในมโนนึก ขจัดความกลัวตรงนี้ไปเสีย [สดด.118:6 มีพระเจ้าอยู่ฝ่ายข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่กลัวมนุษย์จะทำอะไรแก่ข้าพเจ้าได้เล่า]
เราต้องเผชิญกับเหตุการณ์และผู้คนอีกมากมายตลอดชีวิตของเรา หากเราต้องก้าวไปอย่างหวาดกลัว สันติสุขก็มิอาจดำรงอยู่ได้ แต่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะอยู่กับเราเสมอไปจนจนกว่าจะสิ้นยุค [มธ.28:20] ดังนั้น เราจะไม่หวั่นไหว เราผจญทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลัง [ฟป.4:13] หน้าที่ประการเดียวของเราคือ เชื่อและวางใจพระเจ้าอย่างแท้จริง ซึ่งจะนำมาทั้งความรอดในฝ่ายกาย ฝ่ายใจ ฝ่ายวิญญาณ ตลอดจนถึงความไพบูลย์ในพระคริสต์
ฮาเลลูยา!
สรรเสริญและขอบพระคุณพระเจ้า หากคุณไม่กลัวสิ่งใดเลย แต่หากว่าคุณกำลังเผชิญกับความกลัวหรือกำลังหวั่นไหวกับสิ่งใดก็ตาม ขอได้รับการหนุนใจโดยพระวจนะของพระเจ้า ใช้พระแสงดาบแห่งพระองค์ประหารความกลัวและศัตรูทั้งสิ้นที่เข้ามาจู่โจมคุณ พระแสงนั้นสามารถฟาดฟันและทลายปัญหาทุกประการในชีวิตของคุณได้อย่างทะลุทะลวง
[อสย.41:10 “อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้า อย่าขยาด เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า เราจะหนุนกำลังเจ้า เออ เราจะช่วยเจ้า เออ เราจะชูเจ้าด้วยมือขวาอันมีชัยของเรา”]

ไม่มีความคิดเห็น: