Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันศุกร์ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553

The Call : พระพรจากพระเจ้า ผ่าน ศจ.ดร.นันทชัย มีชูธน

The Call : พระพรจากพระเจ้า ผ่าน ศจ.ดร.นันทชัย มีชูธน
วันที่ 9/11/2009
สู่อพยพ
เมื่อวันเสาร์ที่ 7/9/2009 ที่ผ่านมา สมาชิกในโครงการ The Call & Life Impact ได้มีโอกาสสรรเสริญพระเจ้า ด้วยเรื่องราวคำพยานจากชีวิตของ อ.นันทชัย ซึ่งเราต่างก็ได้รับการหนุนใจ ได้รับพระพร ได้รับการเสริมกำลังใหม่ ได้รับการเติมไฟ ผ่านการสอนและแบ่งปันของอาจารย์
ฉันไม่อาจที่จะบันทึกพระพรที่ได้รับในวันนั้นได้ทั้งหมด จึงทำได้เพียงแบ่งปันบทเรียนในบางเสี้ยวมุมเท่านั้น
มนุษย์นั้นเป็นคนบาป แต่มนุษย์ซึ่งเป็นคนบาปและชั่วร้ายนี้ สามารถมายืนอยู่ใกล้พระเจ้าซึ่งบริสุทธิ์อย่างยิ่งได้ โดยที่มนุษย์ไม่ตาย ด้วยเพราะพระเยซู…ขอบคุณพระเยซู
พระเจ้าทรงพระคุณมากล้น ทรงอ่อนสุภาพ เราจึงรู้สึกสนิทสนมกับพระองค์ในฐานะพระบิดา ในฐานะสหายเลิศ ในฐานะครู และในอีกหลายฐานะ แต่อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงยิ่งใหญ่ เราจึงต้องรับใช้พระเจ้าด้วยความยำเกรง ด้วยความเกรงกลัวจนตัวสั่น ทั้งยังต้องสร้างรากฐานให้มั่นคงด้วยพระคัมภีร์ [สดด.112:1 จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด คนที่เกรงกลัวพระเจ้าก็เป็นสุข คือผู้ปีติยินดีเป็นอันมากในพระบัญญัติของพระองค์]
การสร้างรากฐานให้มั่นคงในพระคัมภีร์นั้น ต้องศึกษาอย่างสมดุลทั้งพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ พระคัมภีร์เดิมเป็นคำถาม คำถามมากมายบันทึกไว้ถึงเศษสามในสี่ของพระคัมภีร์ ส่วนที่เหลืออีกหนึ่งในสี่ก็เป็นคำตอบ บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ใหม่
พระธรรมอพยพ ได้เผยให้เราทราบถึงพันธสัญญา (Covenant) ซึ่งเป็นพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกระทำผิดพันธสัญญานั้น ฝ่ายนั้นจะต้องตาย…แต่โดยพระคุณพระเจ้า พระเยซูได้ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว เพื่อคนผิดบาปอย่างเรา
ถูกเบียดเบียนเพื่อเพิ่มทวี [อพย.1:12]
ด้วยพระสัญญาของพระเจ้าที่ทรงให้ไว้กับอับราฮัมว่าจะให้มีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง มากดังดวงดาวบนท้องฟ้า และเม็ดทรายในท้องทะเล ชาวอิสราเอลในอียิปต์จึงทวีจำนวนมากยิ่งขึ้น จนฟาโรห์เองก็หวั่นๆ ถ้าอย่างนั้นก็เกณฑ์มาใช้แรงงานซะให้หนักหนำใจเลย…แต่อัศจรรย์ค่ะพี่น้อง เพราะยิ่งถูกเบียดเบียน ก็ยิ่งเพิ่มทวี [อพย 1:12 แต่ยิ่งถูกเบียดเบียนมากเท่าไร ชนชาติอิสราเอลก็ยิ่งทวีมากขึ้น และยิ่งแพร่หลายออกไป ชาวอียิปต์ก็ครั่นคร้ามต่อชนชาติอิสราเอล] บทเรียนนี้โดนใจฉันอย่างจัง เพราะบางครั้ง ฉันก็อยู่ใน Comfort Zone มากเกินไป จึงตั้งใจไว้ว่า แม้จะไม่มีใครมาเบียดเบียน ฉันก็จะเบียดเบียนตัวเองเพื่อพระคริสต์ กล่าวคือ ต้องตื่นเช้าขึ้น ดูรายการทีวีน้อยลง เพื่อใช้เวลากับพระเจ้า อธิษฐาน นมัสการ อ่านพระคัมภีร์ รวมถึง เข้มแข็งในการอดอาหารอธิษฐานมากขึ้น
ไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น [อพย.1:15-21]
ถ้าเราเชื่อฟังและยำเกรงพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ เราก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น เหมือนนางผดุงครรภ์ชาวฮีบรู 2 คน ที่ยำเกรงพระเจ้ามากกว่ากษัตริย์อียิปต์ ไม่ยอมฆ่าเด็กชายชาวฮีบรู พระเจ้าจึงทรงโปรดปรานนาง [อพย.1:17 แต่นางผดุงครรภ์ยำเกรงพระเจ้า จึงมิได้ทำตามพระบัญชาของกษัตริย์อียิปต์ ปล่อยให้บุตรชายรอดชีวิต…อพย.1:20 พระเจ้าจึงทรงโปรดปรานนางผดุงครรภ์นั้น ประชาชนยิ่งทวีมากขึ้น และมีกำลังเข้มแข็งมาก]
ลอยมันออกไป [อพย.2:1-10]
ชีวิตเราเป็นของพระเจ้า ทุกสิ่งในชีวิตของเรา เวลาของเรา ครอบครัวของเรา การงานของเรา ทรัพย์สินของเรา ก็ล้วนเป็นของพระเจ้า ถ้าเรามีของรักของหวง จงลอยสิ่งนั้นให้กับพระเจ้า แล้ววันหนึ่งสิ่งนั้นจะลอยกลับมายังเรา พร้อมเพิ่มทวี ดังคุณแม่ของโมเสส ที่แม้ว่าจะรักลูกมากเพียงไร แต่ก็ยอมที่จะลอยออกไป ฝากไว้กับพระเจ้า เมื่อโมเสสลอยไปพบธิดาฟาโรห์ คุณแม่ของโมเสสก็ยังกลายเป็นแม่นม ได้ลูกกลับมาสู่อ้อมอก ทั้งยังได้เงินค่าจ้างจากธิดาฟาโรห์ และโมเสสก็ได้รับการเลี้ยงดูแบบเจ้าชายอีกด้วย…เห็นไหมละว่า ผลเพิ่มทวีเพียงไร
อีกมุมหนึ่งในฐานะผู้เลี้ยง เราต้องเลี้ยงแกะของพระเจ้าด้วยความรักและเอาใจใส่ ไม่ใช่ปล่อยลอยแพออกไปส่งๆ โดยไม่มีจุดหมาย ให้เราเป็นเหมือนกับคุณแม่ของโมเสสที่ได้วางแผนลอยโมเสสออกไป ต้องอธิษฐาน ต้องจัดเตรียมสานตะกร้าอย่างดี ต้องกะเวลาที่ธิดาฟาโรห์จะมาสรงน้ำ ต้องคำนวณระยะทางและกระแสน้ำที่นำพาโมเสสไป ทั้งยังให้พี่สาวของโมเสสคอยดูเหตุการณ์อยู่ใกล้ๆ อีกด้วย [อพย 2:1-10 1ยังมีชายเผ่าเลวีคนหนึ่ง ได้หญิงสาวคนเลวีมาเป็นภรรยา 2หญิงนั้นตั้งครรภ์คลอดบุตรชาย เมื่อนางเห็นว่าบุตรน่ารัก จึงซ่อนไว้ถึงสามเดือน3ครั้นนางจะซ่อนต่อไปอีกไม่ได้แล้วก็เอาตะกร้าสานด้วยต้นกก ยาด้วยยางมะตอยและชัน เอาทารกใส่ลงในตะกร้า แล้วนำไปวางไว้ที่กอปรือริมแม่น้ำ 4ส่วนพี่สาวยืนอยู่แต่ไกลคอยดูว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นแก่น้อง 5เมื่อพระราชธิดาของฟาโรห์ลงไปสรงที่แม่น้ำ และพวกสาวใช้เดินเที่ยวไปตามริมฝั่ง พระนางทรงเห็นตะกร้าอยู่ระหว่างกอปรือ จึงทรงสั่งให้สาวใช้ไปนำมา 6เมื่อเปิดตะกร้านั้นออกก็เห็นทารกกำลังร้องไห้ พระนางทรงเมตตาทารกนั้น ตรัสว่า "นี่เป็นลูกชาวฮีบรู" 7พี่สาวทารกจึงทูลถามพระราชธิดาของฟาโรห์ว่า "จะให้หม่อมฉันไปหานางนมชาวฮีบรูมาเลี้ยงทารกนี้ให้พระนางไหม" 8พระราชธิดาของฟาโรห์จึงมีรับสั่งว่า "ไปหาเถิด"หญิงสาวนั้นจึงไปเรียกมารดาของทารกนั้นมา 9ฝ่ายพระราชธิดาของฟาโรห์ จึงตรัสสั่งหญิงนั้นว่า "รับเด็กนี้ไปเลี้ยงไว้ให้เราแล้วเราจะให้ค่าจ้าง" หญิงนั้นจึงรับทารกไปเลี้ยงไว้ 10เมื่อทารกเติบใหญ่ขึ้นแล้ว นางก็พามาถวายพระราชธิดาของฟาโรห์ พระนางก็รับไว้เป็นพระราชบุตรของพระนาง ประทานชื่อว่า โมเสส ตรัสว่า "เพราะเราได้ฉุดขึ้นมา {ชื่อ โมเสส คล้ายคำฮีบรูที่แปลว่า ฉุดขึ้นมา} จากน้ำ"]


ถ้ารับใช้พระเจ้าด้วยกำลังของเรา ก็จะถูกเผาผลาญ [อพย 3]
Wow! โมเสสเข้าเฝ้าพระเจ้า ใกล้ชิดเพียงนั้น โดยที่ไม่ตาย! [อพย.3:2-6 2ทูตของพระเจ้าก็ปรากฏแก่โมเสสท่ามกลางพุ่มไม้เป็นเปลวไฟ โมเสสมองดู เห็นพุ่มไม้นั้นมีไฟลุกโชนอยู่ แต่มิได้ไหม้โทรมไป 3โมเสสจึงว่า "ข้าจะแวะเข้าไปดู สิ่งแปลกประหลาดนี้ ว่าเหตุไฉนพุ่มไม้จึงไม่ไหม้" 4ครั้นพระเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขาเดินเข้ามาดู จึงตรัสออกมาจากพุ่มไม้นั้นว่า "โมเสส โมเสสเอ๋ย"โมเสสทูลตอบว่า "ข้าพระองค์อยู่ที่นี่" 5พระองค์จึงตรัสว่า "อย่าเข้ามาใกล้ที่นี่ ถอดรองเท้าของเจ้าออกเสีย เพราะว่าที่ซึ่งเจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์" 6แล้วพระองค์ตรัสอีกว่า "เราเป็นพระเจ้าของบิดาเจ้า เป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ" โมเสสปิดหน้าเสีย เพราะกลัวไม่กล้ามองดูพระเจ้า] โมเสสเติบโตมาด้วยการเรียนรู้วิทยายุทธแบบเจ้าชายอิยิปต์ เต็มไปด้วยกำลังและสติปัญญา ในขณะที่หนุ่มแน่นเขาพร้อมแล้วที่จะรับใช้พระเจ้า เป็น Somebody แต่พระองค์ทรงเห็นว่ายังไม่ถึงเวลา เวลาของพระองค์เป็นอีก 40 ปี ต่อมา ในเวลาที่เขาเป็นเพียงคนเลี้ยงฝูงแพะแกะ ในเวลาที่เขาเป็น Nobody พระองค์ทรงใช้เขาทำการณ์ใหญ่ โดยพระองค์เสด็จนำหน้า เราเองก็เช่นกัน หากรับใช้พระเจ้าด้วยกำลังของเรา ด้วยความคิด สติปัญญา และวิธีของเรา ก็จะถูกเพลิงเผาผลาญ ทำงานไม่เกิดผล พบเจอผู้คนก็ไม่เป็นพร…โอ พระเจ้า อย่าให้เราเป็นเช่นนั้นเลย
เข้าสุหนัต [อพย.4:24-26]
เมื่องานเข้า! เป็นรับสั่งจากเบื้องบน โมเสสก็ไม่สามารถแก้ตัวได้อีกต่อไป…เขาจึงพร้อมแล้วที่จะทำงานใหญ่นำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์ แต่ในระหว่างทางจากมิเดียนไปอียิปต์นั้น พระเจ้าจะทรงประหารชีวิตของท่านเสีย…เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะเขาบกพร่องในเรื่องเล็กๆ แต่เป็นเรื่องใหญ่ เพราะเป็นเรื่องของการไม่เชื่อฟัง ก็เขามิได้เข้าสุหนัตให้บุตรชายนะสิ แต่ขอบคุณพระเจ้าที่เขามีภรรยาที่เฉียบแหลม เธอไหวเหลือเกิน เธอจัดการเรียบร้อย [อพย.4:24-26 ณที่พักระหว่างทาง พระเจ้าเสด็จมาพบโมเสส และจะทรงประหารชีวิตของท่านเสีย 25นางศิปโปราห์จึงเอาหินคมตัดหนังที่ปลายองคชาตบุตรชายของตน แล้วเอาไปแตะเท้าของโมเสสกล่าวว่า "จริงนะ ท่านเป็นเจ้าบ่าวแห่งโลหิตแก่ฉัน"26พระเจ้าจึงทรงละท่านไป นางจึงกล่าวว่า "ท่านเป็นเจ้าบ่าวแห่งโลหิต" เนื่องจากพิธีเข้าสุหนัต] เราเองก็เช่นกัน ก่อนที่จะรับใช้พระเจ้า ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือใหญ่ เราต้องระวังระไว อย่าได้ซ่อนบาปของตนไว้เด็ดขาด
ข้ามทะเลแดง [อยพ.14]
หลายครั้งที่ชีวิตเราก็โดนขนาบแทบจะกระดิกไม่ไหว แต่ขอจงอย่าท้อแท้สิ้นหวัง เพราะพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครก็ขวางเราไม่ได้ เหมือนชาวอิสราเอลที่ถูกขนาบ ข้างหน้าก็ทะเลแดง ข้างหลังก็กองทัพอียิปต์ ดูเหมือนว่าความตายรออยู่ข้างหน้า แต่พระเจ้าเท่านั้น ที่เป็นผู้สร้างและกำหนดชีวิตของเรา ขอเพียงเรานิ่งสงบ และรอคอยพระเจ้า (ด้วยการอธิษฐาน) พระองค์จะนำพาเราให้พ้นจากการไล่ล่าของศัตรูที่อยู่ด้านหลัง นำพาเราข้ามทะเลแดง กระโดดข้ามกำแพงอุปสรรคที่อยู่ข้างหน้า [อพย.14:13-14 13โมเสสจึงเตือนประชากรว่า "อย่ากลัวเลย มั่นคงไว้ คอยดูความรอดที่จะมาจากพระเจ้า ซึ่งพระองค์จะประทานให้แก่ท่านทั้งหลายในวันนี้ด้วยคนอียิปต์ ซึ่งท่านทั้งหลายเห็นในวันนี้ แต่นี้ไปจะไม่ได้เห็นอีกเลย 14พระเจ้าจะทรงรบแทนท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงสงบอยู่เถิด"]
น้ำขม [อพย.15:23]
อุตส่าห์หนีจากกองทัพอียิปต์และข้ามทะเลแดงมาได้ กลับต้องมาเจอน้ำขมซะนี่ (น้ำขมนะคะ บ่ใช่น้ำผึ้งขม ละครน้ำเน่าอ่ะ) แต่ขอบคุณพระเจ้า เหตุการณ์ที่ตำบลมาราห์สอนเราว่า ห้ามกระโจนเข้าไปหาสิ่งที่เราอยากได้ มิฉะนั้นมันจะขม ชีวิตจะพบแต่ความขม…อะไรก็ตามที่เป็นของเราแล้ว ไผก็สิแย่งบ่ได้ ฉะนั้น จงรอคอยพระเจ้าเสมอ [อพย.15:23 ครั้นมาถึงตำบลมาราห์ เขาก็กินน้ำที่ตำบลมาราห์ นั้นไม่ได้ เพราะน้ำขม เหตุฉะนั้นจึงตั้งชื่อว่ามาราห์ {แปลว่า ความขม}]
บัญญัติสิบประการ [อพย.20:1-17]
1. อย่ามีพระเจ้าอื่นใด
2. อย่าทำรูปเคารพสำหรับตน
3. อย่าออกพระนามพระเจ้าของเจ้าอย่างไม่สมควร
4. จงระลึกถึงวันสะบาโต
5. จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า
6. อย่าฆ่าคน
7. อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา
8. อย่าลักทรัพย์
9. อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน
10. อย่าโลภ
ขอพระเจ้าทรงโปรดให้เราเป็นคริสเตียนที่รักษาบัญญัติ 10 ประการ ไว้ให้มั่น
สูตรเด็ดจากอาจารย์นันทชัย
1. การไม่รู้จักพระเจ้า แปรผันผกผันกับ การไม่เชื่อฟังพระเจ้า หมายถึง เหตุที่เราไม่เชื่อฟังพระเจ้า เพราะเราไม่รู้จักพระองค์ ดังนั้น ผลลัพธ์ของคนที่รู้จักพระเจ้าคือ ผู้นั้นเชื่อฟังพระเจ้าอย่างหมดใจ
2. การทำงานหนัก แปรผันผกผันกับ การรู้จักพระเจ้า หมายถึง ยิ่งทำงานหนักมากเท่าไร ก็จะทำให้เรารู้จักพระเจ้าน้อยลงเท่านั้น ดังนั้น หากต้องการรู้จักพระเจ้ามากขึ้น ต้องทำงานหนักให้น้อยลง และใช้เวลากับพระองค์มากขึ้น
แฮะ แฮะ จดได้แค่นี้ค่ะ 
หากพี่น้องหลงรักพระธรรมอพยพ สามารถพบกับความตื่นเต้นเช่นนี้ได้ในชั้นเรียนรวีวารศึกษา ทุกวันอาทิตย์ เวลา 8.30 น. โดย ศจ.ธงชัยของเรา ณ คริตจักรนิมิตใหม่นะคะ (ช่วงนี้กำลังเรียนพระธรรมอพยพอยู่พอดีเลย)
ฝากพี่น้องอธิษฐานเผื่อ
อาจารย์นันทชัยนำภาพพันธกิจอีสาน ซึ่งอาจารย์ได้ริเริ่มเมื่อหลายปีก่อน ด้วยภาระใจที่จะนำความรอดและความรู้ไปสู่ชุมชน โดยฐานที่มั่นอยู่ที่บ้านโนน จังหวัดร้อยเอ็ด ปัจจุบันสอนหนังสือให้กับเด็กกว่า 200 คน และมีผู้มาร่วมนมัสการในวันอาทิตย์ประมาณ 50 คน ฝากพี่น้องอธิษฐานเผื่อสำหรับการรับใช้ของอาจารย์ สุขภาพ ครอบครัว การดูแลจากพระเจ้า การเขียนหนังสือ ตำรา วิชาการต่างๆ และขอพระเจ้าทรงประทานครูอาสาสมัครและทุนทรัพย์ในการขยายพันธกิจอีสาน ที่ซึ่งทุ่งนากำลังเหลืองอร่าม
น้องเพียว นิสิตหนุ่ม ปี 1 จากรั้วมหาวิทยาลัยรังสิต ได้มาขับร้องเพลงสากล ให้พวกเราฟัง 2 เพลง ไพเราะมากค่ะ ภรรยา ศบ.บอกว่าฟังแล้วน้ำตาไหล…มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงนำเด็กบ้านนอกจากบ้านโนนมาร้องเพลงสากลให้คนเมืองกรุงฟังได้ ปัจจุบันน้องเพียวเรียนด้านดนตรี Jass ด้วยทุนของสมเด็จพระพี่นางฯ โดยตั้งใจว่าเมื่อสำเร็จการศึกษา จะกลับไปรับใช้พระเจ้าด้วยการสอนหนังสือที่บ้านเกิด
น้องบุ๋ม นิสิตสาว ปี 4 เอกเปียโน จากรั้วจันทร์เกษม มาช่วยเปิดทำนองเพลงในขณะที่น้องเพียวขับร้อง บุ๋มไม่รู้ว่าพ่อแม่ของตนเป็นใคร รู้แต่ว่าผู้ที่อุปการะเธออยู่นั้นเป็นพ่อกับแม่ของเธอ เธอถูกเก็บมาจากกองขยะ หน้าคริสตจักร เธอเล่นเปียโนเก่งมาก และเป็นเด็กดี
ขอถวายเกียรติทั้งสิ้นแด่พระองค์ และขอพระเจ้าทรงโปรดอำนวยพรทุกท่าน

ไม่มีความคิดเห็น: