Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

ถ้าเจ้าเชื่อ…เจ้าก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

วันที่ 10/05/2010

วันนี้มีเรื่องราวของพี่น้องในโบสถ์มาเล่าสู่กันฟังคะ เป็นเรื่องราวของอีกชีวิตหนึ่ง ที่ถึงแม้จะเป็นคริสเตียนได้ไม่ถึงปี แต่ก็มีชีวิตที่ได้รับการเจิมที่สุดยอด อันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เสมอในสายพระเนตรของพระบิดา

“การเจิมที่สุดยอด” คือ ชีวิตของคนผู้นั้นที่เปลี่ยน และมีผลต่อคนอื่น เป็นที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า
พี่น้อยแบงค์เป็นพี่สาวที่น่ารัก มีหัวใจซึ่งจดจ่อที่พระเยซู ปรารถนาจะเป็นเหมือนพระเยซู ปรารถนาที่จะรับใช้พระองค์ผู้ทรงพระชนม์ ฉันรู้จักพี่น้อยครั้งแรกในโซนอธิษฐาน ซึ่งพี่อิ๋วเป็นคนชวนมา และตั้งแต่นั้น พี่น้อยเป็นสาวกที่สัตย์ซื่อในการเข้าร่วมโซนอธิษฐาน และเข้าร่วมกลุ่มเซลล์ Holiness และพระสิริ ทั้งยังเข้าร่วมกิจกรรมอื่นๆ ที่คริสตจักรจัดขึ้นโดยมิได้ขาด แม้ว่าจะต้องหยุดขายของอันเป็นแหล่งรายได้ของตนเองก็ตาม (พี่น้อยไม่รู้หรอกว่าฉันเล่าเรื่องของเธอ อย่างไรก็ตาม ขอการปกป้องจากพระเจ้าอยู่เหนือชีวิตของเธอเสมอ และขอที่พี่น้อยจะได้รับบำเหน็จทั้งในแผ่นดินสวรรค์ และที่แผ่นดินโลก)

พี่น้อยเป็นแบบอย่างของผู้ถ่อมใจ พี่น้อยบอกเสมอว่า “มีอะไรก็บอกพี่นะ เตือนพี่นะ สอนพี่นะ พี่เป็นคริสเตียนใหม่ ไม่รู้อะไรมาก พี่ก็จะเผลอทำอะไรแบบบ้านๆ” พี่น้อยหารู้ไม่ว่า ในความเป็นบ้านๆ ของพี่น้อยนี่แหละที่หนุนใจคนเป็นจำนวนมาก พี่น้อยเป็นคนหนึ่งที่ตั้งใจเรียนพระคัมภีร์ทุกครั้ง ตั้งใจอธิษฐานโดยตลอด ตั้งใจนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง ตั้งใจกระทำทุกอย่างเพื่อรับใช้พระเจ้า พี่แขกก็ยังชมให้ฟังว่า พี่น้อยหนุนใจพี่แขกมากในการช่วยเหลือพี่แขกเก็บข้าวของต่างๆ โดยไม่ต้องเอ่ยปากขอ พี่น้อยมีของประทานในการปรนนิบัติชัดเจนมาก รักการประกาศ และมีหัวใจแห่งการเชื่อฟังเป็นที่สุด

ในวัย 50 นี้ พี่น้อยต้องขายของหน้าธนาคารกรุงเทพ สาขาประดิพัทธิ์ นั่นเป็นเหตุให้เราตั้งฉายาคุณเธอว่า “พี่น้อยแบงค์” พี่น้อยต้องตรากตรำทำงานกลางค่ำกลางคืน ไม่ว่าฝนจะตก ไม่ว่าจะร้อน หรือเหน็บหนาว ก็นั่งสูดดมควันรถ ขายของอยู่ริมถนน ตั้งแต่ช่วงหลังพระอาทิตย์ตกดินจนถึงเที่ยงคืน กว่าจะกลับถึงบ้านแถวรามอินทราสายไหมก็รุ่งขึ้นของอีกวัน กระนั้นก็ดี พี่น้อยก็เป็นขาประจำในการเรียนพระคัมภีร์ช่วงเย็นวันเสาร์กับพี่ลี่ และช่วงเช้าวันอาทิตย์กับ อ.ธงชัย

ก่อนที่จะรู้จักพระเจ้า พี่น้อยขายหนังสือมือสองนานาชนิด เน้นไปที่หนังสือปืน หนังสือเกย์ หนังสือพระ แต่เมื่อรู้จักพระเจ้าแล้ว พี่น้อยก็ทิ้งสิ่งเก่าๆ ไปสิ้น และเริ่มต้นสิ่งใหม่ หันมาขายหนังสือน้ำดีมือสองเล็กๆ น้อยๆ ควบคู่กับการขายพรมเช็ดเท้า ส่งผลให้รายได้ลดลงฮวบใหญ่ แต่พี่น้อยยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้องเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า โดยเชื่ออย่างสุดหัวใจว่าพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อจะทรงเลี้ยงดูพี่น้อยดุจเลี้ยงแกะ สมดังสดุดี 23 ที่พี่น้อยจารึกไว้ในดวงใจ

รายได้เพียงเล็กน้อยนี้ มิใช่ใช้จ่ายเพียงลำพัง พี่น้อยต้องจุนเจือลูกชาย ลูกสะใภ้ และหลานสาววัยทารก ซึ่งอยู่บ้านเดียวกัน อีกทั้งยังต้องจัดเตรียมบางส่วนช่วยเหลือลูกสาววัยประมาณ 10 ขวบ ซึ่งอยู่บ้านอีกหลังหนึ่งด้วย อย่างไรก็ตาม พี่น้อยเป็นนักถวายตัวยง นอกจากสิบลดแล้ว เธอได้ถวาย 100 บาท ทุกเดือน ด้วยใจกว้างขวางและยินดี เพื่อสนับสนุนผู้รับใช้พระเจ้าเต็มเวลาท่านหนึ่ง

พี่น้อยย้ำบ่อยครั้งว่า “มีอะไรก็บอกพี่นะ จะให้ทำอะไรก็บอก ไปไหนก็บอกพี่ด้วยนะ ป่ะ ไปไหนไปกัน” ล่าสุดนี้ เมื่อวันจันทร์ที่ 3/5/2010 ที่ผ่านมา พี่น้อยก็ไปเดินอธิษฐานกับพวกเราแถวคริสตจักรลูกที่บางใหญ่ แต่บางช่วงเราก็ขับรถอธิษฐานกัน 4 สาว โดยมีพี่ตุ๊กตาและพี่ปุ้ยเป็นผู้หญิงนั่งแถวหน้า เราเชื่อว่าการอธิษฐานของเรานั้นจะรื้อทลายฟ้าสวรรค์ที่เป็นทองสัมฤทธิ์ แม้เราจะไม่เห็นผลในการอธิษฐานโดยทันที แต่การอธิษฐานนี้จะก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวในย่านฟ้าอากาศ เกิดการเขย่าที่แผ่นดินโลก และเกิดการสั่นสะเทือนในฟ้าสวรรค์ เราอธิษฐานตลอดเส้นทาง เผื่อทุกร้าน ทุกบ้านที่พบ ทุกสถานที่และผู้คนที่เจอะเจอ หรือแม้กระทั่งสิ่งที่เรานึกขึ้นมาได้

อ้าว! ไปไกลอีกแล้ว ย้อนกลับมาเรื่องพี่น้อยต่อนะคะ เมื่อวันเสาร์ที่ 8/5/2010 พี่น้อยร่วมเดินทางไปทำพันธกิจที่คริสตจักรลูก อ.แกลง จ.ระยอง ร่วมกับพี่อิ๋ว พี่สุภาพ และน้องยุ้ย กว่าจะกลับถึงบ้านก็หลายทุ่ม เมื่อถึงวันอาทิตย์ก็ยังมาเข้าร่วมฝึกอบรมอัลฟาในช่วงบ่าย และต่อด้วยการไปอธิษฐานเพื่อประเทศไทยที่วัฒนาวิทยาลัยอีกด้วย

เมื่อถามพี่น้อยว่า “เหนื่อยไหม” พี่น้อยตอบว่า “มันก็เหนื่อยมากนะ แต่ถ้าเราเชื่อว่าเราทำได้ เราก็จะทำได้ และถ้าเราเชื่อว่าเราสู้ไหว เราก็จะสู้ไหว เราชื่นชมยินดี” โอ้โห! พี่น้องคะ ช่างเป็นคำหนุนใจจริงๆ ทำให้ระลึกถึงพระคำข้อนี้ [ยน.11:40 พระเยซูตรัสกับเธอว่า "เราบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่า ถ้าเจ้าเชื่อเจ้าก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า"]

ใช่แล้วค่ะ ทุกสิ่งบรรดามีที่เกิดขึ้นนั้น จะใหญ่ตามขนาดความเชื่อของเรา [ฮบ.11:1 ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง] ถ้าเรามีความเชื่อเล็ก เราคงทำได้เพียงเรื่องเล็ก หากเรามีความเชื่อที่ใหญ่ สิ่งที่ยิ่งใหญ่ก็สามารถเกิดขึ้นได้

มีหนังสือ 2 เล่ม คือ Think Big - The Magic of Thinking BIG หรือ คิดใหญ่ ไม่คิดเล็ก และ Thinking out of the box หรือ คิดนอกกรอบ ที่ได้ให้ความสำคัญกับแนวความคิดของมนุษย์ อันนำไปสู่ผลลัพท์ที่ยิ่งใหญ่ โดยหนังสือทั้ง 2 เล่มนี้ถูกตีพิมพ์เป็นภาษาต่างๆ จำนวนมาก และได้รับความนิยมระดับโลก ทว่า หนังสือนี้เพิ่งเกิดขึ้นในยุคนี้เท่านั้น และแนวคิดที่นำเสนอก็เป็นเพียงบางเสี้ยวมุมเท่านั้น มิอาจเทียบกับวิถีล้ำลึกในพระคัมภีร์ ซึ่งกำเนิดมาแล้วเป็นพันๆ ปีได้

พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ทรงเป็นพระเจ้าซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ดังนั้น เราจึงมองไม่เห็น และไม่สามารถเห็นได้ ทั้งเราเองก็ไม่เหมาะสมที่จะเห็นพระองค์ด้วย เพราะทรงบริสุทธิ์ ทรงสง่าราศียิ่งนัก

หากเรามีภาพของพระเจ้าที่ไม่ยิ่งใหญ่และไม่ชัดเจนมากพอ หรือการที่เรายังสงสัยอยู่ นั่นก็เป็นเพราะพระเจ้าในความคิดของเราเล็กเกินไป เป็นการจำกัดพระเจ้าอยู่ในกรอบความคิดแคบๆ ของเรา เพราะเรามีความเชื่อไม่ใหญ่พอ และเมื่อมีความเชื่อที่ไม่ใหญ่พอเช่นนี้แล้ว เราจะเห็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร เราจะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้อย่างไร

วันนี้ ฉันจึงต้องถามตัวเองซ้ำอีกครั้งว่า “มีความเชื่อที่ใหญ่ในองค์พระเจ้าผู้ทรงยิ่งใหญ่เพียงใด”

ขอพระเจ้าทรงโปรดอวยพรให้ทุกท่านได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์…Amen!

ไม่มีความคิดเห็น: