Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

เจ้าตัวอิจฉา

วันที่ 9/8/2010

วิชาการให้คำปรึกษาที่โรงเรียนพระคริสต์ธรรมสวนพลูเทอมนี้ อ.วีระนุช มอบหมายงานชิ้นหนึ่งให้นักศึกษาภาคค่ำจับคู่กันทำรายงาน เพื่อนำไปสู่การเป็นที่ปรึกษาที่ดี หัวข้อที่แต่ละคู่ได้นั้นก็แตกต่างกันออกไป พี่อิ๋วกับฉันนั้นจับคู่กันและทำรายงานในหัวข้อ “ความอิจฉาริษยา” ทุกสิ่งนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ พระเจ้าทรงประสงค์ให้ฉันเรียนรู้เรื่องดังกล่าวตามน้ำพระทัยของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง

อันว่าความอิจฉาริษยานั้น เป็นความบาปที่ตกทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษนั่นทีเดียว ตั้งแต่ครั้งอาดัมกับเอวาในสวนเอเดน โดยต้นแบบแห่งความอิจฉาริษยาก็คือเจ้ามารซาตานนั่นไง เจ้าลูซิเฟอร์ ฑูตสวรรค์ผู้มีจิตใจอิจฉาริษยา ปรารถนาจะเป็นเหมือนพระเจ้า มันจึงต้องร่วงลงมาจากฟ้า พระคัมภีร์ให้บทเรียนเรื่องความอิจฉาริษยาไว้มากมายหลายตอน เรื่องราวที่โด่งดัง ก็เช่น คาอินกับอาเบล, เอซาวกับยาโคบ, นางซาราห์และฮาการ์, โยเซฟและพี่ชาย, ซาอูลและดาวิด เป็นต้น

ถึงแม้ว่าฉันได้ผ่านบทเรียนและกลับใจเรื่องความอิจฉาริษยามาหลายรอบแล้วก็จริง แต่ดูเหมือนว่ายังต้องเรียนรู้อีกและยังต้องกลับใจอีก ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำฉันด้วย

หนังสือเล่มหนึ่งที่ฉันอ่านเพื่อประกอบการทำรายงานคือ “อิจฉาและริษยา” ของเฮนรี่ ดับบลิว ไรท์ แปลโดย ภัทรียา กาญจนมุกดา ของสำนักพิมพ์บริดจ์ คอมมิวนิเคชั่น อ่านไปก็สำรวจตนเองไป ระลึกถึงที่คริสตจักร ที่ทำงาน เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง และอื่นๆ

คำว่า “อิจฉา” มีความหมายว่า มีความอยากได้ในสิ่งที่ผู้อื่นมี แต่เราไม่มี ทั้งด้านทรัพย์สมบัติ ลักษณะรูปร่างนิสัย และการประสบความสำเร็จ ส่วนคำว่า “ริษยา” หมายความว่า ความรู้สึกไม่พอใจ หรือเป็นทุกข์เป็นร้อน เมื่อเห็นผู้อื่นมี ในสิ่งที่ตัวเองไม่มี

ความอิจฉาริษยามีรากมาจากการไม่เชื่อวางใจพระเจ้า ไม่เชื่อว่าพระเจ้ารักและดูแล ไม่เชื่อว่าพระองค์ช่วยเหลือค้ำจุนทุกสิ่งในชีวิตได้ ทั้งนี้ กุญแจ 3 ประการ เพื่อทำความเข้าใจเรื่องความอิจฉาริษยา คือ ข้อ 1- ไม่วางใจพระเจ้า, ข้อ 2- ไม่เชื่อว่าพระเจ้าจะดูแลชีวิตคุณ, ข้อ 3- ไม่ยอมรับตัวเองอย่างที่พระองค์ยอมรับคุณ

วิญญาณที่เกี่ยวข้องกับความอิจฉาริษยา ได้แก่ ความรู้สึกทั้งหมดที่พัวพันอยู่กับสิ่งเหล่านี้ คือ การแก้แค้น ความโหดร้าย ความโกรธ การผูกพยาบาท ความเดือดดาล ซาดิสท์ การกรีดร้อง การอาฆาตแค้น การทรยศ การควบคุม ชอบบงการ การครอบงำ ขาดความอดทน ร้อนใจ การวิพากษ์วิจารณ์ ความโลภ เห็นแก่ได้ ความปรารถนาที่ควบคุมไม่ได้ อยากรู้อยากเห็น ความไม่พอใจ กิเลสในวัตถุสิ่งของ การขโมย ความขมขื่น ขุ่นเคือง การต่อต้าน ดูถูก แข่งขัน การเป็นศัตรู การต่อสู้ เกลียดชัง การเกลียดสิทธิอำนาจ การเป็นศัตรู ฉุนเฉียว การฆาตกรรม ความแค้นใจ เกลียดตัวเอง เจ้าอารมณ์ ไม่ยอมยกโทษ ความรุนแรง โมโหจัด ทะเลาะวิวาท ความรำคาญ โต้เถียง ไม่ลงรอยกัน ถกเถียง ประชดประชัน พูดให้ร้าย ยะโสโอหัง หยิ่งทะนง

ปัญหาของความอิจฉาริษยา คือ ต่อให้คุณมีมากเท่าไร คุณก็ไม่เคยพอใจ ความอิจฉาไม่เคยปล่อยให้คุณอยู่ตามลำพัง และจะไม่ปล่อยให้คุณมีสันติสุข เพราะคุณจะคอยเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นตลอดเวลา คุณยอมรับตัวเองอย่างที่เป็น รวมถึงสิ่งที่พระเจ้ากำลังทำในชีวิตคุณในระดับของคุณไม่ได้

วิญญาณแห่งความอิจฉาริษยาไม่เคยทำให้ใครมีความสุข มันกัดกินสันติสุขไปโดยที่หลายครั้งนั้นไม่รู้ตัว สำหรับฉันนั้นสิ่งนี้เกิดขึ้นที่บ้านนั่นเอง ไม่ใช่ที่ใดอื่นไกลเลย ด้วยเหตุว่าฉันเกิดอาการเปรียบเทียบโดยไม่รู้ตัว เมื่อเห็นคุณลุงคุณป้าข้างบ้านดูแลลูกสาวอย่างดี คุณลุงคุณป้าอายุประมาณ 60 ปีแล้ว แต่ทำทุกสิ่งสารพัดให้กับลูกสาววัยประมาณ 40 ที่ต้องออกไปทำงานนอกบ้าน โดยคุณลุงคุณป้าจะดูแลงานบ้านงานเรือนให้ทั้งหมด โดยที่ลูกสาวไม่ต้องทำงานบ้านเลย เช้ามา พ่อแม่ก็หยิบรองเท้าให้ เปิดประตูบ้านให้ ล้างรถให้ เย็นมาก็รอเปิดประตูรับลูก ช่วยถือของ พร้อมมีอาหารเย็นจัดเตรียมไว้ให้ ทานอิ่มแล้วพ่อกับแม่ก็ล้างให้ เป็นต้น เมื่อเห็นดังนั้นแล้วก็อดเปรียบเทียบไม่ได้ในเวลานั้น รู้สึกอิจฉาพี่สาวข้างบ้านขึ้นมาซะแล้ว

หลังจากพิมพ์รายงานรอบแรกเสร็จและส่งให้พี่อิ๋วช่วยเพิ่มเติมเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่อ่าน สิ่งที่พิมพ์ ก็วนเวียนซ้ำไปมาอยู่ในหัว และก็ต้องตกใจอย่างมากที่พบว่าฉันเป็นคนอกตัญญูสิ้นดีและมีความอิจฉาอย่างร้ายกาจที่เปรียบเทียบตนเองกับพี่สาวข้างบ้านเช่นนั้น ช่างน่าละอายจริงๆ

ในวันเดียวกันนั้น ช่วงเวลาส่วนตัวได้หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน เล่มนี้อ่านค้างนานแล้ว ชื่อเรื่อง “พระคริสต์ในคุณสะท้อนพระสิริของพระองค์” โดย ดร.เลส คาร์เตอร์ แปลโดย จารุวรรณ ใหม่วงศ์ สำนักพิมพ์ศูนย์ทีรันนัส เมื่อเปิดปุ๊บก็พบหัวข้อเรื่อง “รับหัวใจทาสรับใช้ไว้เป็นของตน” เรื่องโดยย่อกล่าวว่า ในคำเทศนาของเปาโลเรื่องความถ่อมใจ ท่านอธิบายว่าพระเยซูทรง “รับสภาพทาส” ซึ่งคำนี้ช่วยให้เกิดความเข้าใจที่มั่งคั่งในความถ่อมใจของพระคริสต์

ในสมัยการปกครองของโรม เจ้านายสามารถปล่อยทาสให้เป็นอิสระได้ แต่บางครั้งผู้ที่ได้รับอิสรภาพจะบอกเจ้านายของตนว่า “แม้ว่าข้าพเจ้าเป็นอิสระจะเลือกทำอะไรก็ได้ ข้าพเจ้าต้องการอยู่กับท่านเป็นข้ารับใช้ท่านต่อไป ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตัวเยี่ยงทาส แม้เราทั้งคู่รู้ว่าข้าพเจ้าไม่ได้เป็นทาสแล้วก็ตาม” นี่คือ หัวใจของทาสรับใช้

พระเยซูทรงรักษาท่าทีของทาสรับใช้เอาไว้ ประการแรก ท่าทีในการอุทิศตัวต่อพระเจ้า แล้วก็ท่าทีในการอุทิศตัวต่อผู้คน แม้ว่าจะทรงสามารถทำสิ่งใดก็ตามและที่ใดก็ตามที่พระองค์ต้องการ พระองค์ทรงเลือกจะเป็นผู้รับใช้ด้วยใจสมัครแก่ผู้ที่ต้องการพระองค์ การทำเช่นนั้น พระองค์ต้องเอาการมุ่งสนใจแต่ตัวเองออกไป และใส่ใจกับผู้ที่พระองค์ทรงรักก่อน

ผู้เขียนยังกล่าวด้วยว่า ท่าทีของทาสรับใช้เป็นเรื่องยากที่จะทำให้สำเร็จได้ในหลายสถานการณ์ และบางคนอาจจะเอาเปรียบจากคุณสมบัติที่ดีนั้นได้ เป็นไปได้เสมอที่ใครบางคนจะใช้เราในทางที่ไม่ถูกไม่ควร แต่ผู้เขียนก็บอกเราว่า “ลืมมันเสียเถอะ” จริงอยู่ การเป็นผู้รับใช้อาจเชิญชวนให้คนไม่ไวต่อความรู้สึกของคนอื่น อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถเป็นทุกสิ่งสำหรับทุกคนได้

ตัวอย่างที่ดีตัวอย่างหนึ่งมาจากการสนทนาของพระเยซูกับเหล่าสาวกของพระองค์ ในคืนก่อนที่เขาจะอายัดพระองค์ เป็นเวลาของการชำระก่อนมื้ออาหารปัสกา ตามธรรมเนียมกำหนดให้สมาชิกในกลุ่มที่ต่ำต้อยกว่า หรืออ่อนอาวุโสกว่านำอ่างน้ำไปล้างเท้าของคนที่มาในฐานะผู้นำ พระเยซูทรงอยู่ในฐานะที่มอบหมายหน้าที่นี้ให้ใครสักคนในหมู่พวกเขาทำ แต่ด้วยความสงบ ไม่มีคำกล่าวใดๆ ออกมา พระองค์ทรงเปลื้องผ้าคาดเอว ถืออ่างน้ำและกระทำการที่น่าอัปยศอดสูนี้โดยเต็มพระทัย

ทำไมจึงทรงทำเช่นนี้? เพื่อสื่อสารถ้อยคำที่ทรงพลัง นั่นคือ พระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าแห่งการปรนนิบัติ

เรื่องนี้ขึ้นต้นด้วยความอิจฉาริษยาแล้วทำไมจบลงด้วยการปรนนิบัติล่ะ ก็เพราะเหตุว่าฉันได้อิจฉาพี่สาวข้างบ้าน โดยเปรียบเทียบสิ่งที่ฉันเป็นและสิ่งที่เธอเป็น เธอได้รับการปรนนิบัติอย่างดี เธอมีในสิ่งที่ฉันไม่มี ฉันจึงอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าทำไมฉันจึงไม่มี แต่อย่ากระนั้นเลย เรื่องสำคัญที่สุดมิใช่อยู่ที่ว่าคนอื่นมีหรือไม่มีอะไร และไม่ขึ้นอยู่กับว่าฉันมีหรือไม่มีอะไร แต่ขึ้นอยู่กับว่าฉันได้ยอมรับในสิ่งที่ฉันมีหรือเปล่า ฉันได้ขอบพระคุณพระเจ้าหรือเปล่า และฉันได้ไว้วางใจพระเจ้าหรือเปล่า และที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือ ฉันต้องมีหัวใจแห่งการปรนนิบัติผู้อื่น มิใช่ปรารถนาจะให้ผู้อื่นมาปรนนิบัติ เพราะฉันปรารถนาจะเดินตามพระเยซูยิ่งนัก

ขอบคุณพระเจ้า พระเยซู และพระวิญญาณบริสุทธิ์…เมื่อสารภาพบาปกลับใจ พระองค์ก็ทรงอภัยให้ทั้งสิ้น แต่ว่าหน้าที่ของฉันยังไม่จบ นอกจากหัวใจที่ไม่ต้องอิจฉาริษยาผู้ใดแล้ว ฉันต้องมีความถ่อมใจ ต้องสวมหัวใจแห่งการปรนนิบัติ และที่สำคัญที่สุดคือ สวมหัวใจแห่งความรัก เพราะความรักนั้นยิ่งใหญ่ที่สุด

[1คร.13:4-8] “ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง ความรักไม่มีวันสูญสิ้น …”
***ขอพี่น้องโปรดอธิษฐานเผื่อให้ฉันเดินอยู่ในความรักแบบพระคริสต์อย่างแน่วแน่มั่นคงด้วย
หมายเหตุ: ตัวอักษรสีเขียว หมายถึง ไม่ได้เขียนเอง แต่คัดลอกมาจากหนังสือเล่มอื่น

ไม่มีความคิดเห็น: