Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

อยากจะขอบคุณ

วันที่ 24/8/2010

เมื่อเร็วๆ นี้เกิดเหตุการณ์บางอย่างในชีวิต จนเป็นเหตุให้ต้องเข้านอนโรงพยาบาล 1 คืน ตั้งแต่จำความได้ เคยนอนโรงพยาบาล 1 ครั้ง ตอนที่ยังเป็นเด็กอยู่ และนอนโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่งเมื่อ ปี 2008 ที่โรงพยาบาลตราด (อ้าว! เหตุการณ์นี้ไม่เกี่ยว แค่ไปนอนค้างคืนที่หอพักพยาบาล เมื่อครั้งเดินทางกับพี่อิ๋วไปเยี่ยมเยียนพี่ป๊อบที่จังหวัดตราด)

วันเกิดเหตุที่ต้องนอนโรงพยาบาลเป็นครั้งที่ 2 ในชีวิตนั้น เกิดขึ้นระหว่างที่กำลังเดินทางกลับจากคริสตจักรน้ำยืน อุบลราชธานี แวะทุกปั้ม ฉันก็ถ่ายท้องทุกครั้งเลย ถ้าเป็นช่วงเหตุการณ์ปกติ เพื่อนๆ ก็มักจะแซวว่า “จองที่” คือว่า หากไปที่ไหน แล้วได้ถ่ายท้องที่นั่น แสดงว่า เราเป็นเจ้าของหรือมีส่วนร่วม (อันนี้พูดเล่นๆ กันในหมู่เพื่อนฝูงนะคะ)

พี่น้องร่วมทางในรถก็อธิษฐานเผื่อฉัน ฉันรู้สึกขอบคุณมาก ทั้ง ศบ.พงษ์ศักดิ์ คุณยายอรุณ ครูแมม และพี่อิ๋ว แม้แต่คนขับรถคือเฮียเป็ดก็เอายามาให้ทาน แต่อาการของฉันก็ยังไม่ดีขึ้น ยิ่งเดินทางนานขึ้นก็ยิ่งปวดท้องมากขึ้น ปวดมากจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เกิดอาการปั่นป่วน มวนๆ บิดๆ อย่างรุนแรง โดยเฉพาะช่วงระยะทางจากโคราชถึงกรุงเทพฯ นั้น นอนไม่ได้เลย ต้องงอตัวและเอาหัวพิงเบาะข้างหน้า เป็นความทรมานอย่างมาก เมื่อถึงกรุงเทพฯ ปุ๊บ เจอโรงพยาบาล ก็ขอเลี้ยวเข้าปั๊บเลย

การถ่ายท้องคงจะหยุดลงแล้ว แต่อาการปวดท้องกลับหนักขึ้น มาถามเพื่อนที่เคยมีอาการนี้ภายหลัง เพื่อนเล่าว่าเกิดจากลำไส้ถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง และมีเชื้อโรคอยู่ที่ลำไส้ด้วย ประกอบกับการเดินทางไกล รถเด้งขึ้นเด้งลง ไม่ได้นอน อาการจึงหนักมาก ต่อมาฉันก็เริ่มหนาวสั่น ไข้ขึ้น หมดเรี่ยวหมดแรง น้ำตาไหลพราก

เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาดูอาการ พอคนเดิมออกไป คนใหม่ก็เข้ามา ก็ถามชื่อ ถามประวัติ ถามอาการซ้ำอีก โอ๊ย! ปวดท้องจะแย่อยู่แล้ว ถามเซ้าซี้อยู่ได้ ทำไมไม่คุยกันเองนะ สรุปว่าอาการหนักต้อง Admit ฉันก็ตกลง สักพักหนึ่งก็มีคนใหม่เข้ามาอีก มาเจาะเลือด มาถามประวัติ ถามอาการอีก คราวนี้ระเบิดลง ไม่ไหวแล้ว ไม่อยู่แล้วโรงพยาบาลนี้ กลับบ้านดีกว่า ครูแมมก็เข้ามาหนุนใจว่าให้นอนโรงพยาบาลเถอะ ฉันจึงตกลง เอาไงเอากัน

“เป็นยังไงมั่งคนเก่ง” เสียงหล่อทุ้มอบอุ่นลอยเข้ามา ตอนแรกฉันคิดว่าเป็นคุณหมอ แต่เป็นน้ามุขสุดหล่อของครูแมม มาพร้อมน้องมัท ฉันยกมือไหว้ได้ข้างเดียว เพราะมืออีกข้างถูกสายน้ำเกลือสกัดไว้ ความรู้สึกตอนนั้นเหมือนคุณพ่อมาเยี่ยมเลยคะ รู้สึกถึงความห่วงใยเจือความอบอุ่นที่บอกไม่ถูก น้ำตาแห่งความตื้นตันใจก็ไหลออกมาปนกับน้ำตาแห่งความเจ็บปวดจากอาการป่วย น้ามุขบอกว่า “หมดสภาพเลย” เอ้อเหอ ของจริงคะน้ามุข เก่งไม่ออกแล้วคราวนี้

คริสตจักรของเรานั้นเป็นครอบครัวใหญ่ มีสมาชิกหลายร้อยคน ป้ายวงก็เพิ่งจากเราไป หลายคนก็เหน็ดเหนื่อยกับการเตรียมงานศพ สมาชิกบางคนก็เจ็บป่วย สมาชิกบางคนก็สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก สมาชิกบางคนก็ต้องการความช่วยเหลือในรูปแบบต่างๆ ขอบคุณที่คริสตจักรของเรานั้นรักและพะวงซึ่งกันและกัน…ขอบคุณเหลือเกิน

เล่าข้ามฉากไปนิดหนึ่งคะ พยาบาลนำตารางค่าห้องมาให้ดู “จะเลือกแบบไหนคะ ตอนนี้เหลือเฉพาะห้องเดี่ยวธรรมดา กับห้องเดี่ยววีไอพี” โอ้โห! ขอกลับบ้านได้ไหม (จ๊าก! ไม่ทันแล้ว) ห้องธรรมดาก็ราคา 3,800++ โอ๊ะโอ๋ ราคาประมาณห้อง Deluxe โรงแรมสี่ดาวเลยนะคะ ฉันจึงตกลงเลือกห้องที่ถูกที่สุดซึ่งยังมีอยู่ คือห้องราคา 3,800 บาท

พี่อิ๋วหัวหยิกน่ารัก อาสานอนเฝ้าคนป่วยโดยที่ไม่ได้ร้องขอ สองพี่น้องจึงนอนโรงพยาบาล 1 คืน ขอบคุณพระเจ้า เมื่อถึงเวลาเช้าอาการก็ดีขึ้น เติมน้ำเกลือเป็นขวดที่ 2 พี่อิ๋วต้องกลับไปนมัสการที่โบสถ์ ส่วนฉันนั้นสามารถลากถังน้ำเกลือด้วยตัวเองได้แล้ว ช่วงสายๆ เจ้าหน้าที่การเงินโทรมาแจ้งค่าใช้จ่ายเบื้องต้นคืนแรก จำตัวเลขไม่ได้ ได้ยินแต่คำว่าหมื่นกว่าๆ อ๊ะ ไข้จะขึ้นไหมเนี่ย แต่เบิกประกันได้ส่วนหนึ่ง และฉันต้องชำระเองส่วนหนึ่ง

คุณหมอเข้ามาดูอาการตอนประมาณ 10 โมง และมีมติว่าให้นอนโรงพยาบาลต่ออีก 1 คืน แต่ฉันไม่ตกลง คุณหมอบอกว่าถ้าคุณกลับบ้านก็เสี่ยงมาก เพราะคุณอ่อนเพลียมาก แล้วหมอก็ให้แลบลิ้น ปลิ้นตา กดท้อง กดนู่น กดนี่ แล้วก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ ซึ่งต้อง check out เวลาบ่ายสอง (เหมือนโรงแรม…อีกแล้ว) ฉันก็นอนให้น้ำเกลือต่อไปเรื่อยๆ ประมาณเที่ยงก็มีเจ้าหน้าที่มาแจ้งค่าใช้จ่ายจริงกับการนอนโรงพยาบาล 1 คืน คือ 12,100.72 บาท ซึ่งขอบคุณพระเจ้าที่บริษัทซึ่งทำงานอยู่ได้ทำประกันให้กับพนักงาน ประกันจึงจ่ายให้ 10,260.72 บาท และฉันจ่ายส่วนเกิน 1,840 บาท

น้ามุขกับครูแมมมารับออกจากโรงพยาบาล ฉันแอบบ่นกับครูแมมว่าต้องจ่ายส่วนเกิน 1,840 บาทแน่ะ ถ้าเข้าโรงพยาบาลที่มีประกันสังคมด้วย ก็คงไม่ต้องจ่ายเลย (แต่ถ้าคืนที่ป่วยต้องเดินทางต่อไปที่ย่านพระราม 2 ใกล้บ้านนั้น เห็นจะไม่ไหวแน่) ครูรวี จึงเตือนว่าให้คิดในแง่บวก ให้ขอบคุณพระเจ้าที่ก้อนใหญ่นั้นมีผู้จ่ายให้ ส่วนเรานั้นจ่ายเฉพาะก้อนเล็กเท่านั้น ขอบคุณพระเจ้า

ด้วยความที่ค่าห้องแพงเหลือเกิน น้ามุขจึงช่วยหยิบทุกอย่างที่อยู่ในรายการของผู้ป่วยใส่ถุงให้ ทั้งขนม น้ำ นมกล่อง น้ำผลไม้ หนังสือพิมพ์ และกระเป๋าเล็กบรรจุอุปกรณ์ทำความสะอาดร่างกาย เป็นอันฮาสำหรับฉันมาก

กระบวนการส่งต่อผู้ป่วยเกิดขึ้นที่คริสตจักรนิมิตใหม่ คุณพี่อ้อยกับพี่เว้ง และพี่แอ๊ด อาสาไปส่งถึงบ้าน คุณพี่แอ๊ดนั้นขนของอันหนักอึ้งเข้าไปถึงในบ้านเลยทีเดียวเชียว ส่วนพี่เว้งนั้นก็หัวเราะอารมณ์ดี “ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรหรอก หายแล้ว” นั่นคือกำลังใจจากพี่ชายของเรา

“พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่ในยามยากลำบาก” [สดด.46:1] ขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงเป็นความช่วยเหลือที่พร้อมอยู่เสมอจริงๆ ในยามยากลำบากนั้น ทรงให้ความช่วยเหลือผ่านทางคริสตจักรของพระองค์ “โอกาสเหมาะที่สุดที่จะยื่นมือไปช่วยใคร คือเวลาที่เขาต้องการความช่วยเหลือ” เป็นคำกล่าวที่เป็นจริงมาก ขอบคุณพระเจ้าอีกครั้งสำหรับพี่น้องทุกคนที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในยามยากลำบาก ทั้งที่เอ่ยนามและไม่ได้เอ่ยนาม ขอบคุณทุกคนที่อธิษฐานเผื่อ ขอบคุณทุกข้อความทั้งทางโทรศัพท์และทาง facebook ขอบคุณสำหรับโทรศัพท์ทุกสาย ขอบคุณทุกความห่วงใย เหตุการณ์นี้ทำให้ระลึกถึงสุภาษิตที่ว่า “มิตรสหายก็มีความรักอยู่ทุกเวลา และพี่น้องก็เกิดมาเพื่อช่วยกันยามทุกข์ยาก” [สภษ.17:17]

พระเจ้าทรงได้รับเกียรติจากการกระทำของทุกท่าน แม้ท่านจะทำกับคนเล็กน้อยคนนี้ ท่านได้เลียนแบบองค์พระเยซู พระองค์ทรงชี้ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ฝ่ายจิตวิญญาณก็สนิทแน่นแฟ้นเช่นเดียวกับความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่หากจะว่าไปแล้ว เรานั้นก็มีสายเลือดเดียวกัน โดยทางพระโลหิตขององค์พระเยซู

ฮาเลลูยา!

ไม่มีความคิดเห็น: