Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2551

กวาดไล่ศัตรู

วันที่ 8/12/2008
เจอกลอน
กลอนนั้นหา เจอแล้ว เพื่อนแก้วเอ๋ย ไม่ยากเลย ไม่ต้องหา ฉันก็เห็น
เมื่อไม่หา กลับพบเจอ ไม่ยากเย็น จึงชัดเจน ได้บทเรียน การวางใจ
จงมอบงาน ของท่านไว้ กับพระเจ้า ภาระเบา ภาระหนัก ส่งมอบให้
แล้วจดจ่อ รอคอย ด้วยหวังใจ ไม่ทันไร ทรงตอบรับ กลับเป็นพร
ถ้าใครที่เคยอ่านเรื่องที่ฉันเคยแบ่งปันเมื่อวันที่ 11/11/2008 เรื่อง “กลอนหาย” ได้นั้น บัดนี้ ขอบอกว่า เจอกลอนนั้นแล้วจ้าพี่น้อง ไปหลบอยู่ในหนังสือเล่มหนึ่งในบ้านนั่นเอง เอาไปทำเป็นที่คั่นหนังสือซะนี่ ในช่วงที่กลอนนี้หายนั้นก็หาๆๆ ด้วยความกระวนกระวาย หาอย่างไรก็หาไม่เจอ จึงได้บทเรียนมาสอนใจเพิ่มเติม แต่เมื่อไม่ได้สนใจอะไรกลอนนั้นแล้ว ก็กลับโผล่มาให้เห็นซะนี่ และเมื่อกลับไปดูกลอนที่เขียนไว้ ก็ไม่เห็นจะเขียนดีอะไรมากมายเลย กลับพบว่ากลอนที่แต่งขึ้นใหม่ให้ความรู้สึกดีกว่า แหม่ หลงหาอยู่ตั้งนาน …อะไรก็ตามที่ครอบครองจิตใจของเรา หรืออะไรก็ตามที่เราจดจ่อมากกว่าพระเจ้า พระเจ้าก็จะเอาออกไปจากชีวิตของเรา เพราะพระองค์ทรงปรารถนาที่จะเป็นผู้ครองครองหัวใจของเราทั้งดวง แต่เพียงผู้เดียว
บทเรียนเรื่องความวางใจเนี่ย เรียนอย่างไรก็ไม่จบ มีเรื่องใหม่มาให้เรียนรู้อยู่ร่ำไป แต่ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันนะคะว่าคนอื่นต้องเรียนเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า มีคนพูดมาว่าหากเรายังสอบไม่ผ่านเรื่องใด ก็จะมีบททดสอบในเรื่องนั้นมาให้เราเรื่อยๆ จนกว่าจะผ่านนั่นแหละ และถ้าเราผ่านแล้ว ก็จะมีบททดสอบที่ยากขึ้นมาวัดใจเรา…วู้ ไอ๋หยา แสดงว่าฉันยังไม่ผ่าน และต้องเรียนรู้อีกเยอะเลยนะเนี่ยสำหรับเรื่องการวางใจ พระเจ้าทรงค่อยๆ ลิดฉันทีละเล็กละน้อย ซึ่งฉันเองก็เคยสงสัยว่า ทำไมไม่ลิดให้หมดไปเลยทีเดียวละคะพระเจ้า ไหนๆ พระเจ้าก็ทรงช่วยแล้ว ทำไมไม่ทรงช่วยแบบเบ็ดเสร็จไปเลย และแล้วพระเจ้าก็ทรงตอบคำถามในใจของฉันผ่านหนังสือเรื่อง “สนามรบในความคิด” บทที่ 4 ซึ่งเขียนโดย จอยซ์ ไมเออร์ แปลโดย ประพันธ์ หน่อราช
ฉธบ 7:22 พระเยโฮวาห์พระเจ้าของพวกท่านจะกวาดไล่ประชาชาติเหล่านี้จากท่านทีละเล็กทีละน้อย ท่านอย่ากำจัดเขาเสียทันที กลัวว่าสัตว์ทุ่งจะเพิ่มแก่ท่านขึ้นมากไป
ผู้เขียนอธิบายว่า…ก่อนที่ชนชาติอิสราเอลจะเข้าสู่แผ่นดินแห่งพระสัญญานั้น พระเจ้าตรัสบอกพวกเขาว่า พระองค์จะกวาดไล่ศัตรูของเขาออกไปทีละเล็กละน้อย ด้วยเกรงว่า “สัตว์ทุ่ง” จะเพิ่มจำนวนขึ้นท่ามกลางพวกเขามากเกินไป…ฉันเชื่อว่า ความหยิ่ง คือ สัตว์ทุ่ง ที่เข้ามาครอบงำเราได้หากเราได้รับการปลดปล่อยรวดเร็วเกินไป การที่เราได้รับการปลดปล่อยในชีวิตทีละด้าน น่าจะเป็นการดีกว่า เพราะมันทำให้เราซาบซึ้งกับเสรีภาพที่เราได้รับมากกว่า ทำให้เราตะหนักว่าเสรีภาพที่เราได้รับนั้นเป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่สิ่งที่เราทำได้ด้วยตนเอง
Wow! ประทับใจมาก พระเจ้าทรงรักฉันมาก และไม่ปรารถนาให้ฉันไกลห่างจากพระองค์ ด้วยทรงทราบดีว่า “ความหยิ่ง” จะทำให้ฉันลำพอง ไม่พึ่งพระองค์ ลืมพระองค์ และไกลห่างจากพระองค์…หากความเชื่อหรือความไว้วางใจในพระเจ้าสั่นคลอนแม้สักนิด สันติสุขอันเกินความเข้าใจก็จะไม่เกิดกับฉัน ดังนั้น ในพระนามพระเยซู ฉันขอปฏิเสธความหยิ่ง และขอสั่งทำลายป้อมปราการหรือกำแพงทั้งหลายที่ตั้งตัวขึ้นเป็นศัตรูต่อพระองค์
ฉันสังเกตได้ว่า หลายๆ ครั้งที่เกิดเหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์นั้น มีสาเหตุเนื่องจากตัวฉันเอง คือ ความคิดอันเกิดจากฝ่ายเนื้อหนัง ฉันไม่ได้คิดเหมือนอย่างพระเยซู ฉันไม่ได้เดินตามพระเยซูเหมือนที่ฉันปรารถนา ฉันปล่อยให้ความบาปดึงฉันให้หันไปเหมาจากทางของพระองค์…อีกเช่นเคย ที่ฉันได้เรียนรู้ถึงการน้อมนำความคิดทุกประการให้อยู่ใต้บังคับจนถึงรับฟังพระคริสต์ จากบทเรียน 2 ประการ เมื่อเช้านี้
1. ปกติฉันจะมีหนังสือพกติดตัวไว้อ่านตลอดการเดินทางระหว่างบ้านกับที่ทำงาน แต่เช้านี้ไม่ได้หยิบหนังสือมา จึงรู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่างไป รู้สึกโหวงเหวงว่างเปล่า โอ้โห อยู่บนรถไฟฟ้า และก็เวลาที่รอรถตู้อีกล่ะ มันเป็นเวลาหลายสิบนาทีอยู่ รู้สึกเสียดายเวลาที่มันจะเสียไปเปล่าๆ แทนที่จะอ่านหนังสือได้อรรถรสแก่ชีวิต คิดถึงหนังสือมากๆๆๆ แต่พลันจิตสำนึกก็ฟ้องผิดขึ้นมาอย่างรวดเร็วว่า ฉันไปจดจ่อกับหนังสือมากเกินไป (แม้ว่าจะเป็นวรรณกรรมคริสเตียนก็เหอะ) ณ เวลานั้น ฉันคิดว่าสิ่งนี้สำคัญเป็นที่หนึ่งในชีวิต หนังสือนั้นใหญ่กว่าพระเจ้าเสียแล้ว หนังสือนั้นกลายเป็นรูปเคารพของฉัน ฉันโหยหามันมากเกินไป จากนั้นจึงต้องรีบกลับใจใหม่ และใช้เวลาว่างบนรถไฟฟ้าดูผู้คนและภูมิทัศน์กอทอมอ ที่สำคัญคือ ได้ใช้เวลาใคร่ครวญถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า…ขอบคุณพระเจ้า
2. ขณะยืนอยู่บนรถไฟฟ้า คนก็แน่นมาก โดยเฉพาะบริเวณหน้าประตู ซึ่งจะดันคนที่ยืนอยู่ด้านในเข้ามาเรื่อยๆ ถ้าคนที่เคยขึ้นรถไฟฟ้าช่วงเช้าและเย็นจะเข้าใจสภาพความแออัดดี แต่มีหญิงสาวคนหนึ่งข้างหน้าฉัน เขายืนกินที่มากเลย หากเธอเห็นใจผู้อื่น จะมีคนแทรกไปอยู่บริเวณที่เธอยืนได้ 2-3 คน ฉันใช้สายตามองเธอ และพยายามขยับเข้าไปให้คนที่อยู่ด้านหลังฉันเข้ามาแทรก แต่ก็ไปไม่ได้ไกล เพราะติดสาวเจ้าผู้นั้น ซึ่งดูเหมือนเธอไม่ได้สนใจใคร ฉันจึงคิดตำหนิเขาในใจว่า “……” (เซ็นเซ่อ) ฉันก็ไม่กล้าเตือนเธออีก เนื่องจากเคยแสดงความกล้าเตือนคนลัดคิวด้วยความสุภาพ แล้วเป็นเรื่องเลย ทุกคนมองฉันเป็นตัวประหลาด เช้านี้จึงยังไม่อยากมีเรื่องกับใคร ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจากอธิษฐานอวยพรเธอ…สักพักหนึ่ง ข้อศอกเธอหันมาโดนฉันอย่างจัง…เจ็บโว้ย! (ในใจ) และเธอเองก็รู้ตัว หันมามองและก็เมินไป ในใจฉันจึงตำหนิเธออีกครั้งหนึ่งว่า “ช่างไร้มารยาทเสียจริง ทำผิดแล้วยังไม่ขอโทษอีก” และจิตสำนึกก็พุ่งปรี๊ดมาเตือนว่า “ให้อภัย ให้อภัย” Wow! ทำไมพระวิญญาณชอบให้ทำอะไรยากๆ ที่ฝืนความรู้สึกของตัวเองเรื่อยเลย แต่ก็เอาน่า ถ้าจะทำดีก็ต้องฝืน เหมือนที่ ศจ.ธงชัยสอนสั่งมาสดๆ ร้อนๆ ทำให้ท้ายที่สุดแล้วสามารถรวบรวมกำลัง นำการให้อภัยกลับมา มีสันติสุขเหมือนเดิม…ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะทดสอบฉันอีกครั้งหนึ่งว่าผ่านหรือเปล่านะเช้านี้ ขณะขึ้นรถตู้จากมาบุญครองไปที่ทำงานนั้น มีหญิงสาวคนหนึ่ง ขณะที่เธอก้าวขึ้นรถตู้อย่างเร่งรีบ ข้อศอกของเธอก็เหวี่ยงมาโดนฉันอย่างจัง “โอ้ย! เจ็บนะ” (ในใจ) เธอก็ชะงักนิดหนึ่ง แต่ไม่มีสักคำที่ขอโทษเช่นเคย แต่ครั้งนี้ฉันกลับไม่รู้สึกอะไร ไม่โกรธ ไม่ตำหนิอะไรทั้งสิ้น ไม่เหมือนตอนอยู่บนรถไฟฟ้าที่มีอาการฉุนเฉียวภายใน…ขอบคุณพระเจ้าสำหรับบทเรียนของพระองค์ เมื่อตั้งตัวตายต่อตนเองแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ในฉันก็มีชีวิตและมีฤทธิ์เดช นำฉันก้าวเดินไปในทางของพระเจ้าด้วยความชื่นชมยินดี

ศัตรูของฉัน คือ อะไรก็ตามที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความสัมพันธ์ของฉันกับพระเจ้า ศัตรูนั้นมาจากทั้งภายในและภายนอก แต่ดูเหมือนว่าศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดจะมาจากภายในฉันเอง ดังนั้น ฉันจึงทูลขอพระเจ้าเสมอในการที่จะทำลายศัตรูภายในของฉัน [2คร.10:5] คือทำลายความคิดที่มีเหตุผลจอมปลอม และทิฐิมานะทุกประการที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ใต้บังคับจนถึงรับฟังพระคริสต์
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพึ่งพาพระเจ้าในการกวาดไล่ศัตรู ทำลายสัตว์ทุ่งให้หมดสิ้นไปจากชีวิตจิตใจของเรา
[มคา.7:8] ศัตรูของข้าเอ๋ย อย่าเปรมปรีดิ์เย้ยข้าเลย เมื่อข้าล้มลง ข้าจะลุกขึ้นอีก เมื่อข้านั่งอยู่ในความมืด พระเจ้าจะทรงเป็นความสว่างแก่ข้า
[สดด.60:12] โดยพึ่งในพระเจ้า ข้าพเจ้าทั้งหลายจะปฏิบัติอย่างเข้มแข็ง พระองค์เองทรงเป็นผู้เหยียบคู่อริของข้าพเจ้าทั้งหลายลง
[สดด.59:17] ข้าแต่พระกำลังของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า เพราะพระองค์ทรงเป็นป้อมปราการของข้าพระองค์ พระเจ้าผู้ทรงสำแดงความรักมั่นคงแก่ข้าพระองค์
[สดด.62:2] พระองค์เท่านั้นทรงเป็นศิลา และเป็นความรอดของข้าพเจ้า เป็นป้อมปราการของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหวใหญ่โต

ไม่มีความคิดเห็น: