Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2551

รอคอยพระเจ้า

วันที่ 19/11/2008
เมื่อคืนนี้รู้สึกเหมือนจะไม่สบาย จามตลอดเลย จึงให้พี่อิ๋วอธิษฐานเผื่อ และเข้านอนตอนประมาณสามทุ่มครึ่ง ตื่นมาอีกทีตอนตีห้า หัวใจโล่งเป็นอย่างมาก แต่ลืมตาไม่ขึ้นและก็ลุกไม่ขึ้น จึงอธิษฐานในใจและนอนหลับต่อไป ตื่นมาอีกทีตอนหกโมงเช้า รู้สึกดีขึ้นแต่ยังเพลียอยู่ จึงอธิษฐานขอให้ฉันมีกำลังมากขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้าและในฤทธิ์เดชอันมหันต์ของพระองค์ พลันก็ลุกขึ้นได้ และร้องบทเพลง “พระองค์จะเสริมกำลังเรี่ยวแรง” ให้เข้มแข็งในหัตถ์พระองค์ ฉันจะเดินไปและจะไม่เหน็ดเหนื่อย
เพลง…พระองค์จะเสริมกำลังเรี่ยวแรง
ผู้ลำบากเหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก จงเข้ามาหาพระเยซู
พระองค์จะให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข จงมอบชีวิตแด่พระองค์
**พระองค์จะเสริมกำลังเรี่ยวแรง ให้เข้มแข็งในหัตถ์พระองค์ เราจะเดินไปและจะไม่เหน็ดเหนื่อย
พระองค์จะเสริมกำลังเรี่ยวแรง ให้เต็มล้นด้วยไฟพระวิญญาณ เราจะบินไปเหมือนนกอินทรีย์
[อสย.40:31] แต่เขาทั้งหลายผู้รอคอยพระเจ้าจะเสริมเรี่ยวแรงใหม่ เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี เขาจะวิ่งและไม่เหน็ดเหนื่อย เขาจะเดินและไม่อ่อนเปลี้ย
หลังจากเฝ้าเดี่ยว ฉันก็มีกำลังมากขึ้นจริงๆ และไปทำงานด้วยความร่าเริงยินดี พร้อมทั้งรอคอยบทเรียนในวันนี้จากพระองค์
[มก.5:25-34] 25มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นโรคตกโลหิตได้สิบสองปีมาแล้ว 26ได้ทนทุกข์ลำบากมามาก มีหมอหลายคนมารักษา และได้เสียทรัพย์จนหมดสิ้น โรคนั้นก็มิได้บรรเทา แต่ยิ่งกำเริบขึ้น 27ครั้นผู้หญิงนั้นได้ยินถึงเรื่องพระเยซู เขาก็เดินปะปนกับประชาชน ที่เบียดเสียดข้างหลังพระองค์ และได้ถูกต้องฉลองพระองค์ 28เพราะคิดว่า "ถ้าเราได้แตะต้องแต่ฉลองพระองค์ เราก็จะหายโรค" 29ในทันใดนั้นโลหิตที่ตกก็หยุดแห้งไป และผู้หญิงนั้นรู้สึกตัวว่าโรคหายแล้ว 30บัดเดี๋ยวนั้น พระเยซูทรงรู้สึกว่าฤทธิ์ซ่านออกจากพระองค์แล้ว จึงเหลียวหลังตรัสว่า "ใครถูกต้องเสื้อของเรา" 31ฝ่ายเหล่าสาวกก็ทูลว่า "พระองค์ทรงเห็นแล้วว่าประชาชนกำลังเบียดเสียดพระองค์ และพระองค์ยังจะทรงถามอีกหรือว่า "ใครถูกต้องเรา" 32แล้วพระเยซูทอดพระเนตรดูรอบ ประสงค์จะเห็นผู้หญิงที่ได้กระทำสิ่งนั้น 33ฝ่ายผู้หญิงนั้นก็กลัวจนตัวสั่น เพราะรู้เรื่องที่เป็นแก่ตัวนั้น จึงมากราบลง ทูลแก่พระองค์ตามจริงทั้งสิ้น 34พระองค์จึงตรัสแก่ผู้หญิงนั้นว่า "ลูกหญิงเอ๋ย ที่เจ้าหายโรคนั้นก็เพราะเจ้าเชื่อ จงไปเป็นสุขและหายโรคนี้เถิด"
หญิงผู้น่าสงสารนี้โลหิตตกมา 12 ปี ซึ่งหมายถึงอาการป่วยที่รักษาไม่หาย ทำให้มีเลือดไหลอยู่ตลอดเวลา หรืออาจจะเป็นประจำเดือนที่ผิดปกติ ซึ่งทำให้นางเป็นมลทินตามประเพณี นางต้องการอย่างยิ่งยวดให้พระเยซูรักษานาง แต่นางรู้ว่าหากนางไปแตะต้องพระองค์เข้า จะทำให้พระองค์มีมลทินไป ถึงกระนั้นนางก็กล้าเอื้อมออกไปด้วยความเชื่อ และได้รับการรักษาให้หาย เราเองก็เช่นกัน บางครั้งเรารู้สึกว่าปัญหาของเรา ความบาปของเรากีดกันเราจากพระเจ้า แต่พระองค์ทรงพร้อมเสมอที่จะช่วยเหลือเรา อย่าปล่อยให้ความกลัวและความบาปกีดกันเรามิให้เราเข้าหาพระองค์ เราจะเห็นว่าพระเยซูมิได้ทรงพระพิโรธ หากพระองค์ตรัสว่าสิ่งที่ทำให้นางหายโรคคือความเชื่อ ความเชื่อที่แท้จริงต้องมีการกระทำ ความเชื่อที่มิได้แสดงออกด้วยการกระทำไม่ใช่ความเชื่อเลย…วันนี้ คุณแตะต้องชายฉลองพระองค์แล้วหรือยัง?
ฉันมีอาการผิดปกติทางรอบเดือนตั้งแต่เมื่อวันที่ 12/11/2008 ที่ผ่านมา กล่าวคือ ฉันมีรอบเดือนไปแล้วเมื่อต้นเดือน และหมดไปแล้ว ดังนั้น การมีรอบเดือนอีกครั้งจึงเป็นรอบที่ 2 ของเดือน เป็นความผิดปกติประการที่ 1 นอกจากนั้น ยังมีความผิดปกติประการที่ 2 คือ ฉันมีเลือดไหลออกมามากกว่าปกติ มากกว่าครั้งใดๆ ในชีวิต ไม่เคยมีเลือดออกมาเช่นนี้มาก่อนเลย…แต่สิ่งนี้ทำให้ฉันต้องถ่อมตัวลงตรวจสอบความเชื่อและไว้วางใจของฉันอีกครั้งหนึ่ง และฉันเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในการควบคุมของพระเจ้า ร่างกายของฉันเป็นวิหารของพระเจ้า พระองค์ทรงห่วงใยและดูแลเสมอ ฉันเชื่อเช่นนั้นจริงๆ [ยน.11:40] … "เราบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่า ถ้าเจ้าเชื่อเจ้าก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า" ฉันเชื่อ ไว้วางใจ และรอคอยพระกรุณาคุณของพระองค์อยู่ด้วยใจจดจ่อ
โอ้ องค์พระเยโฮวาห์ พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ พระบิดาที่รักของลูก พระบิดาเจ้าข้า ลูกรอคอยการกลับมาขององค์พระเยซูคริสต์ด้วยสันติสุข ลูกรอคอยการสำแดงพระสิริของพระองค์ ลูกรอคอยการมโหฬารที่จะทรงกระทำให้กับโลกใบนี้ ให้กับประเทศไทย ให้กับกรุงเทพฯ ให้กับคริสตจักรต่างๆ ให้กับคริสตจักรนิมิตใหม่ ให้กับพี่น้องทุกคน และให้กับลูก พระบิดาเจ้าข้า ลูกคอยท่าพระองค์แต่เพียงองค์เดียว ขอบคุณพระองค์สำหรับบทเรียนแห่งการรอคอยที่พระองค์ทรงโปรดให้มีในชีวิตของลูก
จงรอคอยพระเจ้าอย่างจดจ่อ จงเฝ้ารอดั่งอับราฮัมรอขอบุตร
จงเป็นดั่งอิสอัครอคู่ครองจนถึงที่สุด เป็นดั่งยาโคบปล้ำสู้บุรุษที่เปนีเอล
อับราฮัม อิสอัค ยาโคบ บุรุษในพันธสัญญาเดิมซึ่งล้วนเคยดำเนินชีวิตผิดพลาดมาแล้วทั้งสิ้น ทว่า ความเชื่อ ทำให้เขากลายเป็นผู้ชอบธรรม เขาทั้งหลายเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ มิใช่อื่นใดเลย นอกจากความเชื่อ เมื่อเขาเชื่อก็เกิดความไว้วางใจและรอคอยอย่างมีสันติสุข
“อับราฮัม” รอคอยด้วยเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้าที่ว่าจะให้เขาเป็นบิดาแห่งบรรดาประชาชาติ เชื้อสายของเขาจะทวีเต็มแผ่นดินโลก เขารอจนกระทั่งแก่หง่อม รอจนกระทั่งอายุ 100 ปี และในที่สุด นางซาราห์ ภรรยาผู้เป็นหมันของเขาซึ่งอายุ 90 ปีแล้ว ก็ให้กำเนิดบุตรชายรูปงาม นามว่า “อัสอัค” ผู้นำเสียงหัวเราะและความชื่นชมยินดีมาสู่ชีวิตของพ่อแม่…ช่างเป็นการรอคอยที่ยาวนานเสียจริง
“อิสอัค” บุตรชายที่นำเสียงหัวเราะมาสู่พ่อแม่ เมื่อเติบโตขึ้นถึงเวลาของการมีคู่ครอง อับราฮัมได้ไว้ใจคนต้นเรือนผู้หนึ่งให้เดินทางไกลเพื่อไปหาคู่ครองให้กับอิสอัค ในเวลานั้นอับราฮัม ซาราห์ และอิสอัค คงอธิษฐานและรอคอยอย่างจดจ่อสำหรับการมาของสมาชิกใหม่ของครอบครัว และผู้ที่ต้องรอคอยมากกว่าใครในครั้งนี้ก็คงจะเป็นอิสอัค เนื่องด้วยเขาเป็นชายหนุ่มรูปงาม กำยำล่ำสัน เป็นที่หมายปองของหญิงสาวทั่วไป เขาคงต้องทนรำคาญกับหญิงสาวที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขา แต่ไม่ได้อยู่ในน้ำพระทัยพระเจ้า เขาต้องอธิษฐานสำหรับการมาของภรรยาในอนาคตเร็วๆ เขาต้องจดจ่อกับพันธสัญญาของพระเจ้าที่ให้ไว้กับบิดาของเขา คือ อับราฮัม ต้นตระกูลเชื้อสายแห่งความชอบธรรม อิสอัคเองคงได้รับการปลูกฝังเรื่องความเชื่อจากผู้เป็นพ่อ และแน่นอนที่เขารู้แน่ทีเดียวว่าเขาเป็นผู้ที่จะสืบทอดพันธสัญญานั้น เขาจะเฝ้ารอคอยอย่างใจจดจ่อเพียงใดฤา ผู้ใดจะรู้บ้าง…และแล้วการรอคอยในเรื่องดังกล่าวก็สิ้นสุดลง ด้วยเขาได้พบกับหญิงสาวงาม นามเรเบคาห์ จากเมืองเออร์ ซึ่งยอมที่จะจากบิดามารดามาเพื่อมาเป็นยอดภรรยาในดวงใจของเขา แล้วหัวใจทั้งสองดวงก็หลอมหลวมเป็นหนึ่งเดียว การรอคอยของทุกคนที่เกี่ยวข้องนำมาซึ่งความชื่นชมยินดีถ้วนหน้า
“ยาโคบ” บุรุษที่มีชีวิตผิดพลาด ทำให้เขาเกือบพลาดน้ำพระทัยพระเจ้า เขาจึงกลับใจมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า รับการอภัยบาปจากพระองค์ พร้อมที่จะแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ รอคอยที่จะรับพระพรของพระองค์…แน่ทีเดียวที่เขา จากพ่อแม่ผู้เป็นที่รักไปอยู่เมืองไกล ซึ่งนอกจากจะต้องทำงานหนักแล้ว เขายังต้องอ้างว้างกับการที่ต้องจากบุคคลอันเป็นที่รักในสภาพโซซัดโซเซเช่นนั้น และเขาจะตรอมใจสักเพียงใดเมื่อรู้ว่าการจากพ่อแม่ครั้งนั้นเป็นการจากแบบลาลับบนโลกใบนี้ นอกจากนั้น เขาใช้เวลาถึง 20 ปี เพื่อให้ความอาฆาตแค้นในใจของเอซาวมลายไป เขารอคอยการคืนดีกับเอซาว (ปฐก.33) และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเขาได้ปล้ำสู้กับฑูตของพระเจ้า และไม่ยอมให้ฑูตของพระเจ้าไป จนกว่าจะอวยพรเขา ในช่วงเวลาของการปล้ำสู้นั้น จะเนิ่นนานเพียงใดในใจของเขา เขารอคอยพระเจ้ามาตลอดชีวิต เมื่อโอกาสมาถึงแล้ว เขาจะปล่อยไปเชียวหรือ เขารอคอยจนกว่าจะได้รับพรจากพระเจ้า และพระเจ้าได้อวยพรเขา ได้เปลี่ยนชื่อจากยาโคบ ซึ่งแปลว่า “จับซ้นเท้าหรือเขาให้หลอก” เป็นชื่อ “อิสราเอล” ซึ่งแปลว่า ปล้ำสู้กับพระเจ้า (ปฐก.32:9-12, 24-32)
การรอคอยที่ยาวนานอีกประการหนึ่งของยาโคบคือ การรอคอยคู่พระพร เขาเฝ้าทำงานรับใช้ลาบันเจ้าเล่ห์อยู่ถึง 14 ปี กว่าจะได้ราเชลหญิงสุดที่รักมาเป็นภรรยา และกว่าที่เขาจะตั้งครอบครัวของตัวเอง แยกจากลาบันมาได้อีกเล่า เขาต้องใช้เวลาอีก 6 ปีทีเดียว
การรอคอยเอ๋ย ไฉนจึงเนิ่นนานยิ่งนัก แต่นั่นคือการรอคอยที่ไม่มีเป้าหมาย หากเรามีเป้าหมาย การรอคอยของเราก็จะเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดีและสันติสุข เป็นความงดงามประการหนึ่งของชีวิต เป็นความหอมหวานเมื่อการรอคอยนั้นบรรลุเป้าหมาย
เราเองนั้นก็ดำเนินชีวิตอยู่ด้วยการรอคอยการกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งในขณะที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราล้วนรอคอยด้วยความหวังใจว่าวันหนึ่งเราจะได้ไปอยู่กับพระองค์ตลอดนิรันดร์ อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นบั้นปลายของโลกใบนี้ แต่ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจบนโลกใบนี้อยู่ เราก็ยังรอคอยพระเจ้าอย่างใจจดจ่อ รอที่จะนมัสการพระองค์ เข้าเฝ้าพระองค์ ดื่มด่ำกับพระคำของพระองค์ อธิษฐานร้องทูลต่อพระองค์ รอคอยความรักความเมตตาจากพระองค์ รอคอยคำตอบจากพระองค์ รอคอยที่จะได้รับใช้พระองค์มากขึ้น
[สดด.62:1] จิตใจของข้าพเจ้าสงบคอยท่าพระเจ้าแต่องค์เดียว ความรอดของข้าพเจ้ามาจากพระองค์
[สดด.62:5] จิตใจของข้าพเจ้าสงบคอยท่าพระเจ้าแต่องค์เดียว เพราะความหวังของข้าพเจ้ามาจากพระองค์
มิใช่เราเท่านั้นที่รอคอยพระองค์ พระองค์เองก็ทรงรอคอยเรา ทรงรอคอยให้เราบอกรักพระองค์ สรรเสริญพระองค์ นมัสการพระองค์ !

ไม่มีความคิดเห็น: