Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ตามน้ำพระทัย…ไม่ใช่ตามใจฉัน

วันที่ 17/12/2008
สนามรบในความคิดของฉันยังคงฝุ่นตลบ เนื่องด้วยการต่อสู้ยังไม่สิ้นสุด ฉันยังไม่สามารถกำชัยชนะได้อย่างถาวร บางครั้งดูเหมือนว่าฉันชนะแล้ว ฉันก็โอ้ลั่นล้ามีความสุขเหมือนเดิม ในขณะที่ศัตรูยังคงจ้องทำร้าย รุกเข้ามาอีก ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างเงียบเชียบ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ฉันต้องกวาดไล่ศัตรูออกไปให้หมดสิ้น พิชิตชัยชนะในสนามรบนี้ให้ได้อย่างแท้จริง
ฉันตั้งใจทำงานเต็มที่ แต่ในใจกลับไร้สันติสุขอย่างที่ควรจะเป็น ฉันไม่มีความสุขกับการทำงานเลย พอตกเย็นฉันมีโอกาสได้ดูรายการทางโทรทัศน์โดยไม่ได้ตั้งใจ เป็นการนำเด็กซึ่งเติบโตในเมืองเข้าไปทดลองใช้ชีวิตในชนบท ซึ่งตอนที่ฉันดูนั้น เขาพาเด็กๆ ไปช่วยคุณลุงเจ้าของบ้านทำลานนวดข้าว การทำลานนวดข้าวนั้นเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีมานาน เมื่อชาวนาเกี่ยวข้าวแล้ว จะนำมากองรวมกันที่ลานนวดข้าวเพื่อเข้าสู่กรรมวิธีนำข้าวมาฝัดร่อนออกจากรวง เพื่อให้เหลือเพียงข้าวเปลือก อันว่าการทำลานนวดข้าวนั้นจะต้องใช้มูลวัวมูลควายผสมกับน้ำ และละเลงไปบนพื้นดินที่เตรียมไว้แล้ว วิธีการนี้เรียกว่าการ “ยาลาน” ตอนเด็กๆ ฉันก็เคยทำ มูลวัวมูลควายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์สำหรับชาวบ้านอย่างเรา นำไปทำปุ๋ยหมักก็ได้ นำไปทำเชื้อเพลิงก็ดี นำไปขายก็ไม่มีใครซื้อ (แป่ว) เพราะเขาเลี้ยงวัวเลี้ยงควายกันทุกบ้าน มีมูลวัวมูลควายกันทุกบ้านนั่นเอง…เด็กที่ไม่เคยอยู่ในสังคมชนบท เมื่อเจอมูลวัวมูลควายก็ขยะแขยง แต่ด้วยหน้าที่และด้วยเหตุผลใดก็ตาม ต่างก็ต้องช่วยกันแซะมูลสัตว์ใส่ถัง คนละไม้คนมือ จึงมีการไปสัมภาษณ์ความรู้สึกของแต่ละคน บางคนก็ชอบ รู้สึกสนุก บางคนก็ขยะแขยง ทำไปขนลุกไป บางคนก็กลัว แต่เมื่อทำไปเรื่อยๆ และเห็นคนอื่นทำก็เริ่มชิน พิธีกรในรายการก็ให้ข้อคิดว่า “เด็กๆ ควรพอใจในสิ่งที่ตนทำ แม้ว่าสิ่งนั้นจะไม่อยากทำก็ตาม เพื่อว่าในอนาคตเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว จะเป็นผู้ที่สามารถทำงานได้ทุกชนิด” ตอนที่ฉันดูนั้น ก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก แค่หัวใจวกกลับไปยังชีวิตวัยเด็กที่วิ่งอยู่ในทุ่งนาเขียวขจี อากาศสดชื่นเย็นสบาย น้ำใสไหลเย็นจากทุ่งนาสู่ทุ่งนา ฉันจูงวัวจูงควายไปกินหญ้าตามประสา และฉันก็คิดต่อไปอีกว่า โอ้โห ฉันเคยเลี้ยงวัว ควาย นก หมา แมว หมู เห็ด เป็ด ไก่ (ปิ๋ว…ไม่มีเห็ดนะจ๊ะ) สัตว์เหล่านั้นมีวิธีการเลี้ยงที่แตกต่างกัน แต่ก็ไม่ยากอะไร แต่เดี๋ยวนี้ต้องเลี้ยงแกะ ช่างเป็นการเลี้ยงที่ยากจริงๆ แกะนั้นอ่อนแอ ตาสั้น ซุ่มซ่าม เปราะบาง ช่วยเหลือตัวเองก็ไม่ได้ วันๆ ก็เอาแต่ร้อง กิน แล้วก็นอน แต่พระเจ้าทรงเลี้ยงดูฉันดุจเลี้ยงแกะ ทรงเลี้ยงดูฉันที่อ่อนแอ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พระองค์ทรงนำฉันนอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด ช่างเป็นความรักที่สุดแสนประทับใจจริงๆ
[สดด.23]
1พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน 2พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้านอนลงที่ทุ่งหญ้าเขียวสด พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปริมน้ำแดนสงบ 3ทรงฟื้นจิตวิญญาณของข้าพเจ้า พระองค์ทรงนำข้าพเจ้าไปในทางชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ 4แม้ข้าพระองค์จะเดินไปตามหุบเขาเงามัจจุราช ข้าพระองค์ไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์ คทาและธารพระกรของพระองค์เล้าโลมข้าพระองค์ 5พระองค์ทรงเตรียมสำรับให้ข้าพระองค์ ต่อหน้าต่อตาศัตรูของข้าพระองค์ พระองค์ทรงเจิมศีรษะข้าพระองค์ด้วยน้ำมัน ขันน้ำของข้าพระองค์ก็ล้นอยู่ 6แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคงจะติดตามข้าพเจ้าไป ตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์
พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างในการเป็นผู้เลี้ยงที่เลิศ ฉันจินตนาการเห็นภาพตัวเองเป็นแกะที่กระโดดโลดเต้นวิ่งอยู่ในทุ่งหญ้าดังที่พรรณนาไว้ด้านบน ฉันวิ่งๆๆ ด้วยความชื่นบานเข้าไปหาผู้เลี้ยงของฉัน ฉันทูลพระองค์ว่าจะเลียนแบบพระองค์ และขอพระองค์ทรงช่วยให้ฉันเป็นเช่นนั้น เป็นผู้ที่ห่วงใยฝูงแกะ ไม่ยอมให้หมาป่ามาขโมยกัดกิน รวมฝูงแกะไว้ในคอกเดียวกัน และต้อนแกะที่หลงให้กลับบ้าน เพราะว่าพระเจ้าทรงห่วงใยลูกแกะเหล่านั้น
ฉันขอย้อนกลับมาเรื่องเดิมนะคะ ตกเย็นเมื่อกลับถึงบ้าน ก็พบว่าในใจไม่มีสันติสุขเลย นมัสการก็แล้ว อ่านพระคัมภีร์ก็แล้ว อธิษฐานก็แล้ว ก็ยังนำสันติสุขคืนมาไม่ได้ ชีวิตรันทดมากเลยเมื่อขาดสันติสุข ฉันจึงต้องสงบจิตใจไม่ทำอะไรทั้งนั้น นั่งนิ่งๆ รอฟังเสียงพระเจ้าตรัส รอคอยพระองค์…คร่อก ฟี้ หลับไปเมื่อไรก็ไม่รู้ตัว รู้แต่ว่าใช้เวลานิ่งไปนานมาก และสันติสุขกลับคืนมา
เอ้ก อี้ เอ้ก เอ้ก รับอรุณรุ่งของอีกวัน ถึงแม้ว่าจะอยู่ที่ประดิพัทธ์ กทม. แต่ก็มีไก่ขันนะคะ “มนต์รักประดิพัทธ์” ยังสามารถมองเห็นวิถีธรรมชาติ ยังได้ยินเสียงกบเขียด อึ่งอ่างในยามฝนตก ได้ยินเสียงนกทุกเช้าเย็น…ฉันตื่นมาด้วยอาการเพลียเล็กน้อย เนื่องจากนอนไม่พอ จึงต้องรีบทูลขอให้พระเจ้าเสริมกำลัง และขอคำตอบจากพระองค์ ขอการหนุนจิตชูใจในเรื่องงาน ขอสันติสุขในการทำงาน
ระหว่างเดินทางมาที่ทำงานได้มีโอกาสคุยกับพี่ไก่ ซึ่งมีประสบการณ์ในการก้าวข้ามจากการทำงานในโลกธุรกิจไปสู่การทำงานในฐานะผู้รับใช้พระเจ้าเต็มเวลา พี่ไก่กรุณาเล่าประวัติตั้งแต่โบราณมาให้ฟัง และเราก็สรรเสริญพระเจ้าในพระคุณที่ทรงมีต่อพี่ไก่อย่างไม่สิ้นสุด มีคำพูดหนึ่งของพี่ไก่แตะใจฉันมาก คือ “ยอมทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ” ยอมแม้ว่าจะต้องฝืนใจตัวเอง และแล้วเหตุการณ์ ณ ลานมูลวัวมูลควายเมื่อวานก็ผุดขึ้นมาในความนึกคิด บทเพลง “ข้ายอมทุกสิ่ง” ก็ลอยเข้ามา บทเรียนเรื่องการรอคอยก็แจ่มชัดขึ้นอีกครั้งในมโนนึก พระคัมภีร์หลายข้อไหลเข้ามาในจิตใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคืนนั้น ที่เกทเสมนี ก่อนที่พระเยซูจะถูกอายัด ทรงอธิษฐานด้วยใจเป็นทุกข์แทบตายถึง 3 ครั้งด้วยกัน
[มธ.26:38-44] 38จึงตรัสกับเขาว่า "ใจของเราเป็นทุกข์แทบจะตาย จงเฝ้าอยู่กับเราที่นี่เถิด" 39แล้วเสด็จดำเนินไปอีกหน่อยหนึ่ง ก็ซบพระพักตร์ลงถึงดินอธิษฐานว่า "โอพระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์" 40จึงเสด็จกลับมายังสาวกเหล่านั้น เห็นเขานอนหลับอยู่ และตรัสกับเปโตรว่า "เป็นอย่างไรนะ ท่านทั้งหลายจะคอยเฝ้าอยู่กับเราสักทุ่มเดียวไม่ได้หรือ 41ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพื่อท่านจะไม่ต้องถูกทดลอง จิตใจพร้อมแล้วก็จริง แต่กายยังอ่อนกำลัง" 42พระองค์จึงเสด็จไปอธิษฐานครั้งที่สองอีกว่า "ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์ไม่ได้ และข้าพระองค์จำต้องดื่มแล้ว ก็ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์" 43ครั้นเสด็จกลับมาก็ทรงเห็นสาวกนอนหลับอยู่ เพราะเขาลืมตาไม่ขึ้น 44จึงทรงละเขาไว้เสด็จไปอธิษฐานครั้งที่สาม เหมือนคราวก่อนๆ อีก
และในที่สุดพระเยซูทรงยอมทุกประการ ทรงเสด็จมาเพื่อกระทำตามน้ำพระทัยพระบิดา [กท.1:4] พระเยซูทรงสละพระองค์เองเพราะบาปของเราทั้งหลาย เพื่อช่วยเราให้พ้นจากยุคปัจจุบันอันชั่วร้าย ตามน้ำพระทัยพระบิดาเจ้าของเรา
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรที่รักยิ่งของพระบิดา พระองค์ยังทรงทำทุกอย่างตามชอบพระทัยพระบิดา แล้วฉันเป็นใครเล่า ฉันก็เป็นลูกสาวคนหนึ่งของพระบิดา เหตุไฉนฉันจึงจะละเลยไม่ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้ [ฮบ.10:7] แล้วข้าพระองค์ทูลว่า "ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์มาแล้วพระเจ้าข้า จะกระทำตามน้ำพระทัยพระองค์"
พี่ไก่หนุนใจเพิ่มเติมว่า เมื่อเราผ่านบททดสอบในการอดทนทำสิ่งที่ไม่อยากทำได้แล้ว เมื่อเราสามารถฝืนใจ ทิ้งเนื้อหนังได้แล้ว พระวิญญาณก็จะช่วยให้เรามีสันติสุข และพระเจ้าจะใช้เรามากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมทั้งจะทรงประทานความสำเร็จให้กับเราด้วย [ฮบ.10:36] ท่านทั้งหลายจำเป็นต้องมีความอดทน เพื่อว่าท่านจะได้สามารถกระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ แล้วท่านจะได้รับสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้นั้น
ในเรื่องของการรับใช้นั้น มีอะไรหลายๆ อย่างรอฉันอยู่ มีความยากอีกหลายประการที่ต้องพบเจอ มีปัญหาอีกสารพัดที่ต้องฟันฝ่า แม้เราจะมองเห็นดินแดนแห่งพันธสัญญาที่ปลายทางข้างหน้า ทว่า เราก็ต้องข้ามผ่านถิ่นทุรกันดารไปก่อน [ยก.5:7] เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงอดทนจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา จงดูชาวนารอคอยผลอันล้ำค่าที่จะได้จากแผ่นดิน เพียรคอยจนกระทั่งมีฝนต้นฤดูและฝนชุกปลายฤดู ดังนั้น ในวันนี้ฉันจึงต้องฝึกฝน เรียนรู้ รอคอย เพื่อให้แข็งแกร่ง ก้าวผ่านถิ่นทุรกันดารไปได้อย่างงดงาม [สดด.38:15] ข้าแต่พระเจ้า แต่ข้าพระองค์รอคอยพระองค์ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ คือพระองค์ผู้ที่จะตรัสตอบข้าพระองค์
ฮาเลลูยา!

ไม่มีความคิดเห็น: