Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันอังคารที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วาระ

วันที่ 6/12/2008
The Call ดำเนินต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 แต่วันนี้คนมาร่วมโครงการน้อยลง เพราะหลายคนต้องทำงานในวันนี้ด้วย เช้านี้สอนโดย ศจ.ธงชัย อีกเช่นเคย ในหัวข้อ “รากฐานของคริสตจักรที่มั่นคง”
“คริสตจักร” คือ กลุ่มคนที่พระเยซูคริสต์ทรงเรียกออกมาจากที่ต่างๆ กัน เพื่อมารวมกันเป็นชุมชนของพระเจ้า
“รากฐาน” หมายถึง “พื้นฐาน” คริสตจักรใดตั้งอยู่บน “พื้นฐานที่ดีมั่นคง” คริสตจักรนั้นก็อยู่ยงคงกระพันไปยาวนาน
“มั่นคง” หมายถึง “ไม่หวั่นไหว, ไม่ขยับเขยื้อน”
ดังนั้น คริสตจักรที่มั่นคงต้องมีรากฐานที่มั่นคง เป็นคริสตจักรที่มีความเป็นเอกภาพในความเชื่อและความรักในพระเจ้า
ช่วงบ่ายฉันไม่ได้อยู่เรียน เนื่องจากนัดกับเจ้านายเก่าไว้ล่วงหน้าแล้ว ฉันเคยทำงานเป็นเลขานุการของ Evangelical Church of Bangkok (ECB) สุขุมวิท ซอย 10 ในขณะที่ท่านดำรงตำแหน่ง Senior Pastor เมื่อประมาณสามปีก่อน ฉันทำงานอยู่กับท่านประมาณ 1 ปี ก็ลาออกมา แต่เรายังคงติดต่อกันอยู่ทางอีเมล์และโทรศัพท์เป็นสำคัญ บางครั้งก็ไปพบบ้าง แต่ไม่บ่อยนัก ท่านเป็น Pastor จากอเมริกา มาทำงานรับใช้พระเจ้าในเมืองไทยได้ 5 ปี ตามที่ได้รับนิมิตแล้ว ในวันพรุ่งนี้จะเป็นวัน Farewell ของท่าน ซึ่งไม่รู้ว่าอีกเมื่อไรที่ฉันจะได้พบท่านอีก
ฉันเรียกท่านว่า “Pastor John” อดีตเคยทำงานขายประกันชีวิต มีรายได้งามมาก แต่สุดท้ายท่านก็ตัดสินใจละทิ้งอาชีพทางโลกเพื่อเป็นผู้รับใช้พระเจ้าเต็มเวลา ก่อนมาเมืองไทย ท่านได้ขายทรัพย์สมบัติทั้งหมด ทั้งบ้าน รถยนต์ และอื่นๆ เพื่อมาอยู่เมืองไทย ลูกๆ ของท่านโตและทำงานกันหมดแล้ว เหลือเพียงลูกสาวฝาแฝด 2 คน ที่ตามมาอยู่ด้วย โดยเรียน High School ในประเทศไทย
Pastor John เป็นผู้นำที่ดี เฉลียวฉลาด เป็นนักคิด และเป็นแบบอย่างที่ดีในการเสียสละ ความมีวินัย การรักครอบครัว ความเด็ดขาด ความเข้าใจ และที่สำคัญ หัวใจที่รักพระเจ้าอย่างสุดจิตสุดใจ
นอกจากพระเจ้าองค์สูงสุดแล้ว ทุกคนล้วนต้องการใครสักคนอย่างน้อยที่สุด 1 คน เป็นเพื่อนที่รัก เข้าใจและไว้วางใจได้ในโลกนี้ นี่จึงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่คนในแบบดังกล่าวต้องลาจากฉันไป ท่านมีส่วนอย่างมากในการหนุนใจฉันให้ดำรงอยู่ในทางของพระคริสต์ แต่อย่างไรก็ตาม เรารู้ว่าการจากไปครั้งนี้เป็นการแตกเพื่อโต เป็นการไปเพื่อเติบโต (go for growth) และพระเจ้าก็จะทรงจัดวางและแต่งตั้งผู้เลี้ยงแกะคนใหม่ให้กับ ECB
บุรุษผู้มั่งคั่งยิ่งใหญ่และฉลาดที่สุดในโลก ได้บันทึกไว้ว่า “มีวาระสำหรับทุกสิ่ง” ปญจ.3:1-8 1มีฤดูกาลสำหรับทุกสิ่ง และมีวารสำหรับเรื่องราวทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์ 2มีวารเกิด และวารตาย มีวารปลูก และวารถอนสิ่งที่ปลูกทิ้ง 3มีวารฆ่า และวารรักษาให้หาย มีวารรื้อทลายลง และวารก่อสร้างขึ้น 4มีวารร้องไห้ และวารหัวเราะ มีวารไว้ทุกข์ และวารเต้นรำ 5มีวารโยนหินทิ้ง และวารเก็บรวบรวมหิน มีวารสวมกอด และวารงดเว้นการสวมกอด 6มีวารแสวงหา และวารทำหาย วารเก็บรักษาไว้ และวารโยนทิ้งไป 7มีวารฉีกขาด และวารเย็บ วารนิ่งเงียบ และวารพูด 8มีวารรัก และวารเกลียด วารสงคราม และวารสันติ ฉันยอมรับวาระจากดังกล่าวโดยดุษฎี ด้วยใจที่โมทนาสรรเสริญพระองค์ ฉันไม่รู้หรอกว่าการลาจากจะเกิดขึ้นอีกกี่ครั้งในชีวิต ทั้งการลาจากผู้คนที่เรารัก ลาจากหน้าที่การงานที่คุ้นเคย ลาจากสถานที่ซึ่งเคยอยู่ ลาจากอาหารที่เคยรับประทาน ลาจากกิจการ/ทรัพย์สินและบริวารที่เคยครอบครอง
“ไม่มีใครอยู่กับใครได้ตลอดชีวิต” คำพูดนิรนามนี้เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ และยิ่งมีความจริงในพระคัมภีร์ยืนยันด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้ฉันสงบใจลงได้ [ปญจ.3:14] ข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าสารพัดที่พระเจ้าทรงกระทำก็ดำรงอยู่เป็นนิตย์ จะเพิ่มเติมอะไรเข้าไปอีกก็ไม่ได้หรือจะชักอะไรออกเสียก็ไม่ได้ พระเจ้าทรงกระทำเช่นนั้น เพื่อให้คนทั้งหลายมีความยำเกรงต่อพระพักตร์พระองค์
ฉันทูลขอต่อพระเจ้าตามพระสัญญาของพระองค์ ที่จะให้วาระแห่งสันติสุขแก่ทุกคน ขออย่าให้สันติสุขได้พรากไปจากผู้หนึ่งผู้ใดเลย แต่เราขอตัดขาดจากวาระซึ่งไม่เป็นที่พึงปรารถนา ซึ่งได้แก่ วาระแห่งความบาป นั่นเอง
ความบาปเกิดจากพฤติกรรมหลัก 2 ประการ คือ
1. กฎหมายของพระเจ้าบัญญัติห้ามมิให้ปฏิบัติ แต่กลับปฏิบัติ (รู้ว่าไม่ดี แต่ยังทำ ก็บาป…เช่น รู้ว่าการโกหกไม่ดี แต่ก็ยังทำอยู่ เป็นต้น)
2. กฎหมายของพระเจ้าบัญญัติไว้ให้ปฏิบัติ แต่กลับไม่ปฏิบัติ (รู้ว่าดี แต่ไม่ทำ ก็บาป…เช่น รู้ว่าการอธิษฐาน การประกาศนำวิญญาณ การหนุนใจกัน เป็นสิ่งดี แต่กลับละเลย ไม่ทำตาม เป็นต้น)
ถึงเวลาแล้วสินะที่เราจะตัดขาดจากวาระแห่งความบาป เพื่อเข้าสู่วาระแห่งการนมัสการ วาระแห่งสันติสุขในพระเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงแสวงหาคนเช่นนั้น [ยน.4:23] แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์

ไม่มีความคิดเห็น: