Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2551

“กลอนหาย”

ก่อนนอนยามค่ำคืนเมื่อวันอาทิตย์ที่ 9/11/2008 ฉันนึกขึ้นมาได้ว่าแต่งกลอนไว้ 2 บท ด้วยกัน ตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา โดยเขียนใส่กระดาษ A4 พร้อมทั้งเขียนรายการอธิษฐานไว้ยาวเหยียด ฉันพับและใส่ไว้ในกระเป๋า เมื่อถึงบ้านก็หยิบออก และก็ไม่ได้สนใจอีกเลย แต่วันนี้สิ ฉันก็หา หา หา เอ๊ะ ไปไหนนะ หาเท่าไรก็ไม่เจอ “กลอนหาย” พี่น้ำซึ่งอยู่ตรงนั้นเห็นอาการของฉันแล้วก็ต้องบอกว่า “ถ้าไม่หา แล้วจะเจอ” ฉันก็ไม่ได้สนใจคำพูดของพี่น้ำเท่าไร ฉันหาต่อไป ค้นในทุกๆ ที่ ซึ่งคิดว่าน่าจะเจอ แต่ ก็ไม่เจอ…เมื่อกลอนหายไป สันติสุขของฉันก็ค่อยๆ จากไป จนสุดท้ายฉันต้องมานั่งลงเข้าเฝ้าพระบิดา และเข้าสู่กระบวนการหล่อหลอมของพ่อ
ฉันอธิษฐานตั้งแต่ปีที่แล้วในการถวายตัวให้พระบิดาทรงใช้ตามชอบพระทัยของพระองค์ ให้ฉันจะเป็นคนงานที่ไม่ต้องอาย ใช้การได้มากขึ้น ใช้พระวจนะแห่งความจริงอย่างถูกต้อง [2ทธ.2:15] จงอุตส่าห์สำแดงตนว่าได้ทรงพิสูจน์แล้วเป็นคนงานที่ไม่ต้องอาย ใช้พระวจนะแห่งความจริงอย่างถูกต้อง และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พ่อก็ค่อยๆ หล่อหลอมฉัน ซึ่งทำให้ฉันจินตนาการถึงภาพของการหลอมเหล็กที่แข็งๆ ไร้ค่า ไร้รูปทรง แล้วพ่อก็นำมาหล่อหลอมเพื่อให้เป็นภาชนะที่งดงามใช้การได้ ซึ่งการหล่อหลอมภาชนะแต่ละชิ้นนั้นมีขั้นตอนที่แตกต่างกัน แต่ว่าโดยทั่วไปคงไม่พ้นการต้องถูกตีให้เป็นรูปทรงด้วยอุณหภูมิอันร้อนระอุ จังหวะของการตี ความถี่ในการตี และอุณหภูมิที่ใช้ในการหลอมก็จะแตกต่างกันออกไป ทั้งในบางครั้งก็ต้องโดนราดด้วยน้ำ เพื่อให้เกิดการหักเหของรูปทรงตามที่ช่างต้องการ…ฉันเองอยู่ในกระบวนการนั้น พ่อเป็นช่างปั้นที่กอปรไปด้วยความรัก พ่อต้องการให้ฉันเป็นภาชนะที่งดงาม พ่ออ่อนโยนแต่ก็เข้มงวดกับฉันมาก พ่อไม่บังคับฉันแต่พ่อก็ไม่ประนีประนอมต่อความบาปเช่นกัน ก่อนที่ฉันจะเป็นภาชนะที่งดงามใช้การได้ พ่อต้องตีสอนฉันในหลายกรณีโดยประสงค์ให้ฉันมีความเชื่อที่หนักแน่นมั่นคง ให้ฉันไว้วางใจพ่ออย่างสิ้นสุดใจ…ฉันรู้ดีว่าฉันไม่สมบูรณ์ ฉันบกพร่อง แต่คนยากจนคนนี้ คนบาปคนนี้ก็รักพ่อ และฉันก็รู้ว่าพ่อรักฉันมาก มากกว่าที่ฉันจะรักพ่อได้เสียอีก ฉันจึงกล้าที่จะก้าวไปให้ถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณของพ่อ [ฮบ.4:16] ฉะนั้นขอให้เราทั้งหลาย จงมีใจกล้าเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณ เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะได้รับพระคุณที่จะช่วยเราในขณะที่ต้องการ
การที่เราทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณ [อฟ.2:8] ด้วยว่าซึ่งเราทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวเราทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ และเราสามารถดำเนินชีวิตให้สมกับความรอดที่พ่อทรงโปรดประทานให้ โดยการเชื่อฟังและไว้วางใจพระสัญญาของพระบิดาที่มีต่อเรา การเชื่อฟัง คือ ความเชื่อที่แท้จริงซึ่งมีพื้นฐานมาจากพระวจนะ เป็นความเชื่อที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้สึก อารมณ์ หรือปัจจัยอื่นใดเป็นองค์ประกอบ [ฮบ.11:1] ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง ความเชื่อนั้นต้องควบคู่ไปกับการไว้วางใจ เมื่อเราวางใจพระบิดา พระองค์ก็จะทรงนำเราไปสู่จุดหมายปลายทางแห่งความไพบูลย์อย่างสง่างาม การทดสอบหรือการทนทุกข์ก็จะไม่เป็นเรื่องยาก และความล้มเหลวทั้งหลายก็จะไม่อยู่ถาวร
คริสเตียนล้วนดำเนินชีวิตด้วยความรัก เรารักพระเจ้า รักพี่น้อง รักคนต่างชาติ ทว่า ชีวิตในพระคริสต์กลับสั่นคลอนอันเนื่องมาจาก วิกฤติแห่งความเชื่อและความไว้วางใจ
ความเชื่อและไว้วางใจเป็นเรื่องง่ายในยามที่ชีวิตของเราดำเนินไปอย่างปกติสุข แต่เมื่อใดก็ตามที่ปัญหาและความทุกข์ยากรุมเร้าเข้ามาในชีวิต เมื่อนั้นแหละที่เราต้องพิสูจน์ความเชื่อของเรา ความเชื่อที่ไม่ได้ถูกทดสอบก็ไม่ใช่ความเชื่อที่วางใจได้ เป้าหมายที่พ่อทรงอนุญาตให้ความทุกข์ยากผ่านเข้ามาในชีวิต ไม่เพียงแต่เป็นการพิสูจน์ความเชื่อของเราเท่านั้น แต่เป็นการซักอวน ชำระสิ่งสกปรกออกจากชีวิตของเราด้วย และเวลานั้นเองที่เราต้องเข้าสู่ “การทดสอบ” สำหรับฉันนั้น การทดสอบได้จู่โจมเข้ามา 4 ลักษณะด้วยกัน คือ สถานการณ์แวดล้อม คน ทรัพย์สิน และ ตัวฉันเอง
สถานการณ์แวดล้อมที่ฉันเผชิญมักจะเกี่ยวเนื่องกับงานที่ทำเป็นสำคัญ เช่น การเปลี่ยนนโยบายของบริษัท ซึ่งส่งผลกระทบต่อหน้าที่การงาน ภาวะความกดดันและสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ในการทำงาน ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ ราคาน้ำมัน ซึ่งยังผลให้ค่าครองชีพสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยเงินฝากต่ำ ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มขึ้น ฉันเองก็ต้องผ่อนคอนโดในอัตราดอกเบี้ยที่แพงหูฉี่…อย่างไรก็ตาม ฉันขอบคุณพระบิดา สถานการณ์ที่ยากลำบากในชีวิตช่วยสร้างกล้ามเนื้อแห่งความเชื่อและความไว้วางใจให้แข็งแกร่งขึ้น [ฟป.4:13] ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า
คนที่เข้ามามีส่วนในชีวิตของฉันล้วนมีอิทธิพลต่อฉันทั้งสิ้น ฉันพบคนหลายประเภท ทั้งคนที่หนุนใจ คนที่บั่นทอนกำลังใจ คนที่ใส่ร้าย คนที่ปกป้อง คนพูดความจริง คนโกหกหลอกลวง คนที่มีแต่ให้ คนที่มีแต่รับ คนขยัน คนเกียจคร้าน คนเย่อหยิ่ง คนถ่อมใจ คนใส่ใจ คนหันหนี คนกล้าหาญ คนขี้ขลาด และอื่นๆ สารพัดคน ความมั่นคงทางจิตใจของฉันแขวนไว้กับคนแต่ละประเภท หากคนนั้นหนุนใจ ฉันก็มีสันติสุข หากคนนั้นบั่นทอนกำลังใจ ฉันก็ขาดสันติสุข ดังนั้น บทเรียนเรื่องคนจึงเป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับฉันเลยทีเดียว แต่ขอบคุณพระเจ้า ทรงทดสอบจนกระทั่งฉันตระหนักว่า ฉันเคยผิดพลาดไป ฉันจดจ่ออยู่ที่มนุษย์มากกว่าผู้ที่สร้างมนุษย์ ฉันปล่อยให้บางคนมีอิทธิพลต่อสันติสุขของฉัน แต่ท้ายที่สุดแล้วฉันต้องรีบกลับใจใหม่ทันที ด้วยปรารถนาให้พระบิดาเป็นที่หนึ่งในชีวิต และจดจ่ออยู่ที่องค์พระเจ้าแต่เพียงองค์เดียว [สดด.119:6] แล้วข้าพระองค์จะไม่ได้รับความอาย โดยจดจ่ออยู่ที่พระบัญญัติทั้งสิ้นของพระองค์
ทรัพย์สินเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทดสอบความเชื่อและความไว้วางใจของฉัน ฉันเคยถามตัวเองว่า หากวันหนึ่งฉันต้องยากจนลง หากวันหนึ่งไม่มีที่อยู่อาศัย หากวันหนึ่งไม่มีงานทำ หากวันหนึ่งไม่เหลืออะไรเลย ฉันจะทำอย่างไร แต่บทเรียนของผู้เชื่อในพระคัมภีร์ได้เป็นแรงบันดาลใจให้ฉันดำเนินชีวิตโดยละทิ้งสิ่งสารพัดได้ เพื่อแสวงหาพระเจ้า [มธ.6:33] แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้ ซึ่งนั่นเป็นเหตุให้ฉันมุ่งสะสมทรัพย์สมบัติในสวรรค์มากกว่าทรัพย์สินในฝ่ายโลก [มธ.6:19-20] "อย่าส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในโลก ที่อาจเป็นสนิมและที่แมลงกินเสียได้ และที่ขโมยอาจขุดช่องลักเอาไปได้ แต่จงส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ ที่ไม่มีแมลงจะกินและไม่มีสนิมจะกัด และที่ไม่มีขโมยขุดช่องลักเอาไปได้ และเมื่อเรามุ่งทรัพย์สมบัติบนสวรรค์ มุ่งกระทำตามน้ำพระทัยพระบิดา ถวายสิบลดอย่างสัตย์ซื่อแล้ว พระบิดาผู้ทรงสถิตในสรวงสวรรค์ พระผู้สร้างฟ้า สวรรค์ แผ่นดินโลก และสรรพสิ่งทั้งปวงซึ่งมีอยู่นั้น ทรงมั่งคั่งยิ่งนัก และแน่นอนว่าเราซึ่งเป็นลูกที่รักของพระองค์ พระองค์ก็ทรงเปิดบัญชรฟ้าสวรรค์ของพระองค์ เทพระพรลงมาให้อย่างไม่รู้จบ [ลก.6:38] จงให้เขา และท่านจะได้รับด้วย และในตักของท่านจะได้รับตวงด้วยทะนานถ้วนยัดสั่นแน่นพูนล้นใส่ให้ เพราะว่าท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด พระเจ้าจะได้ทรงตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น ฉันไม่ได้มีทั้งหมดตามที่ชาวโลกมีกัน แต่ฉันก็ไม่ขาดสิ่งจำเป็นใดๆ [2คร.6:10] เป็นคนที่มีความทุกข์ แต่ยังมีความยินดีอยู่เสมอ เป็นคนยากจน แต่ยังทำให้คนเป็นอันมากมั่งมี เป็นคนไม่มีอะไรเลย แต่ยังมีสิ่งสารพัดบริบูรณ์
ตัวฉัน เป็นอุปสรรคของการเติบโตทางฝ่ายวิญญาณ แต่โดยพระคุณเมตตาของพระเจ้า พระองค์ทรงหล่อหลอม จากตัวฉันซึ่งเป็นอุปสรรคให้เป็นอุปกรณ์สำหรับพระองค์ การเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน การเผชิญกับคนหลายประเภท การเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจและความปรวนแปรทางการเงินนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่ยากเท่ากับการที่ต้องต่อสู้กับตนเอง ซึ่งก็คือ “การยอมจำนน” นั่นเอง มาถึงตรงนี้แล้วทำให้นึกถึงเพลง “ข้ายอมทุกสิ่ง” ของ อ.อานุภาพ ที่มีเนื้อความว่า “ข้ายอมทุกสิ่ง จะเชื่อฟังพระองค์ทุกอย่าง สิ่งใดที่ทรงบัญชาข้าขอทำตาม เมื่อรู้ว่านั่นเป็นน้ำพระทัย…” เพลงนี้ฉันชอบมากเลย แตะหัวใจลึกซึ้งถึงก้นบึ้ง ฉันปรารถนาที่จะกระทำตามพระบัญชาของพระบิดา ด้วยสุดกำลังกาย สุดใจ สุดวิญญาณ และสุดความคิด นั่นคือ ต้องน้อมนำความคิดทุกประการให้อยู่ในการทรงนำของพระองค์ [2คร.10:5] คือทำลายความคิดที่มีเหตุผลจอมปลอม และทิฐิมานะทุกประการที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ใต้บังคับจนถึงรับฟังพระคริสต์…ทว่า สิ่งนี้แหละเป็นยักษ์ใหญ่ในชีวิตของฉัน ที่ฉันต้องเร่งฆ่ายักษ์ตัวนี้ เนื่องจากฉันยังไม่ได้นำความคิดทุกประการให้อยู่ในพระคริสต์ แต่ฉันกลับนำความคิดบางประการให้อยู่ในพระคริสต์ และนำความคิดส่วนหนึ่งไปตามเนื้อหนังอันมตะของฉัน บ่อยครั้งที่ฉันคิดเอง ทำเอง ทำแล้ว ทำอีก ทำแล้ว ทำอีก พอล้มเหลวแล้วจึงนึกถึงพ่อ เรียกร้องอ้อนวอนให้พ่อช่วย แต่พระบิดาบนสวรรค์ก็ประเสริฐยิ่งนัก ทรงให้อภัยความผิดบาปของฉันเสมอมา [สภษ.3:5] จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง
ผู้อ่านลืมกลอนของฉันไปหรือยังคะ กลอนที่หายไป กลอนในกระดาษแผ่นนั้น ทำให้ฉันเรียนรู้ถึงท่าทีและความคิดที่ผิดของฉัน ฉันลืมพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ไปชั่วขณะ ฉันกำลังนมัสการรูปเคารพซึ่งปราศจากชีวิต และสันติสุขแห่งองค์พระเจ้าก็พรากไปจากฉัน…ขอบคุณพระบิดา ฉับพลันที่สันติสุขถูกพรากไปนั้น ฉันก็ไขว่คว้ายื้อแย่ง ฉันโหยหาสันติสุขอันดื่มด่ำนั้น ฉันปรารถนาให้สันติสุขนั้นครอบครองวิญญาณของฉัน ฉันต้องคุกเข่าลงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ยอมจำนนความคิดต่อพระองค์ ฉันต้องรีบสารภาพกับพ่อทันทีว่าฉันจดจ่ออยู่ที่กลอนที่ฉันเขียนขึ้นมา ซึ่งฉันเขียนขึ้นมาโดยสติปัญญาที่ได้มาจากพระเจ้า และความยำเกรงพระเจ้านั้นก็เป็นบ่อเกิดแห่งสติปัญญา ไฉนฉันจึงไปใส่ใจและจดจ่ออยู่กับแค่กลอน 2 บท พ่อสร้างฉันมาด้วยความรัก ประทานร่างกาย ลมหายใจ ประทานทุกอย่างให้กับฉัน ซึ่งรวมถึงสติปัญญา ความสามารถ และของประทานทั้งสิ้น ที่ล้วนมาจากพระองค์ จากการที่กลอนหายไป 2 บท ฉันก็สามารถเขียนใหม่ได้ โดยทักษะที่พ่อประทานให้ โอ! แสงสว่างแห่งสันติสุขได้ส่องเข้ามาในใจของฉันอีกครั้งหนึ่ง แสงสว่างที่เป็นสีสันแห่งชีวิต…พลันก็ทำให้ฉันนึกถึงโยบ ผู้ซึ่งให้บทเรียนอันล้ำค่าแก่ฉัน พระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ และหากพระองค์จะยึดกลับคืนไป จะเป็นอะไรไปเล่า (You give and take away) ชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สมบัติ ความสามารถ ของประทาน ล้วนเกิดจากพระองค์ทั้งสิ้นมิใช่หรือ บทเรียนของโยบได้สอนฉันอย่างมากในเรื่องดังกล่าว เรามาตัวเปล่า เราก็จะกลับไปตัวเปล่า ไฉนใจของเราจึงต้องยึดติดอยู่กับทรัพย์สิน ความคิดจอมปลอมและสิ่งอันเป็นอนิจจังแห่งโลกนี้ด้วยเล่า [โยบ.1:21] "ข้าพเจ้ามาจากครรภ์มารดาของข้าพเจ้าตัวเปล่า และข้าพเจ้าจะกลับไปตัวเปล่า พระเจ้าประทาน และพระเจ้าทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระเจ้า"
ฉันยังคงอยู่ในกระบวนการสร้างของพระเจ้า อยู่ในการทรงปั้นและหล่อหลอมของพระองค์ หากบททดสอบใดที่ฉันไม่ผ่าน พระองค์ซึ่งเป็นพ่อที่รักของฉัน ก็ทรงตีสอนซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกระทั่งฉันเป็นภาชนะที่ได้รูปสวยงามตามชอบพระทัยพระองค์ และเมื่อฉันดำเนินชีวิตห่างเหไปจากพระองค์ ฉันก็กลายเป็นภาชนะที่บิดเบี้ยว ไร้รูปทรง พ่อก็จะนำฉันกลับมาตีสอนอีก เป็นอย่างนี้เรื่อยไป หากฉันไม่ผ่านอีก ฉันก็คงจะเป็นเพียงเหล็กชิ้นหนึ่งที่ขึ้นสนิม ไร้ค่า แต่เมื่อฉันผ่านบททดสอบนั้นมาได้แล้ว พ่อก็จะนำฉันไปสู่บททดสอบใหม่ๆ ที่ยากและเข้มข้นขึ้น…ฉันปรารถนาชัยชนะโดยพระองค์ ฉันรู้ว่าพระหัตถ์ของพ่อบนสวรรค์อยู่กับฉัน ทรงรักและห่วงใยในทุกย่างก้าวที่ฉันเดิน [1คร.10:13] ไม่มีการทดลองใดๆเกิดขึ้นกับท่าน นอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อท่านถูกทดลองนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้… ฉันจะอดทนจนถึงที่สุด ฉันจะสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดก้าวออกไป ฉันปรารถนามงกุฏแห่งชีวิตที่ไม่ร่วงโรย [มธ.24:13] แต่ผู้ใดทนได้จนถึงที่สุดผู้นั้นจะรอด… [ยก.1:12] คนที่อดทนต่อการทดลองใจก็เป็นสุข เพราะเมื่อปรากฏว่าผู้นั้นทนได้แล้ว เขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิต ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้แก่คนทั้งหลายที่รักพระองค์
หากมีสิ่งใดผิดพลาดหรือขาดหายไปจากชีวิตของฉันในวันนี้ ฉันจะไม่ยอมให้สันติสุขหายไปจากจิตวิญญาณของฉันเด็ดขาด! …ในวันนี้และทุกๆ วัน ฉันจะยังคงร้องทูลต่อพระเจ้า องค์พระบิดาที่รักของฉัน ซ้ำแล้วซ้ำอีกดุจเดียวกับกษัตริย์ดาวิด เพื่อที่ฉันจะมีความเชื่อที่เข้มแข็ง และไว้วางใจพระบิดาแต่เพียงองค์เดียว ตลอดไป
[สดด.143:8] ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ได้ยินถึงความรักมั่นคงของพระองค์ในเวลาเช้า เพราะข้าพระองค์วางใจในพระองค์ ขอทรงสอนข้าพระองค์ถึงทางที่ควรไป เพราะข้าพระองค์ตั้งใจแน่วแน่ในพระองค์
ด้วยรักและบูชา
จาก กล้วยน้ำว้า
11/11/2008

ไม่มีความคิดเห็น: