Custom Search By Google

Custom Search

ฟีลิปปี 4:13
ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

Philippians 4:13
I can do all things in him that strengtheneth me.

วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สารภาพบาปเพื่อแผ่นดิน

วันที่ 15/11/2008
วันนี้คริสตชนจำนวนมากจากหลายคณะนิกาย จากหลายคริสตจักร จากหลายจังหวัด ได้มารวมตัวกันที่ คจ.ใจสมาน รามคำแหง 68 เพื่อร่วมงาน “สู่พลังอธิษฐานแห่งชาติ เพื่อการปฏิรูปสังคม ตอน สารภาพบาปเพื่อแผ่นดิน” ซึ่งมีขึ้นระหว่างวันที่ 13-15/11/2008 โดย ดร.ซินดี้ และ ไมค์ เจคอบส์ แต่เนื่องจากภารกิจการงาน ฉันจึงมาร่วมงานได้แค่วันนี้วันเดียว ซึ่งเป็นวันสุดท้ายแล้ว อย่างไรก็ดี ฉันขอบคุณพระเจ้าที่ฉันได้พบนักเขียนในดวงใจ ผู้งามสง่าอยู่บนเวที พร้อมกับ อ.ซิดนีย์ วีรบุรุษอีกผู้หนึ่งในดวงใจของฉัน
รายการเริ่มด้วยการนมัสการในเวลา 9.00 น. จากนั้น อาจารย์ไมค์ เจคอบส์ ได้ขึ้นมาเทศนา โดยมี อ.ซิดนีย์ เป็นผู้แปลตลอดรายการ…อาจารย์ไมค์เติบโตมาแบบ Baptist และเป็นนักศึกษาพระคริสตธรรม จึงแน่นในเรื่องของพระคำ และมีแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยม แต่เมื่อวันหนึ่งได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้าให้ไปยังที่ซึ่งไม่ชอบและไม่อยากไป อาจารย์ไมค์ก็ยอมไปด้วยการเชื่อฟัง ต้องย้ายจากแบบ Conservative มาเป็น Charismatic และพบว่าหลักข้อเชื่อเรื่องการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนั้นมีความสำคัญมากกว่าคำสอนทางศาสนาหรือกฎเกณฑ์ที่ตกทอดกันมา อาจารย์กล่าวว่า “ผมไม่ชอบวิญญาณศาสนาที่มีอยู่ในคน แต่ผมชอบคนฝ่ายวิญญาณ” เราจะต้องมองผู้คนและเหตุการณ์ในมุมมองเดียวกันกับพระคริสต์ ในพระคัมภีร์เองก็มีแบบอย่างในการเปลี่ยนมุมมองอยู่หลายเหตุการณ์ อาทิ พระเจ้าทรงเปลี่ยนมุมมองของเซาโล เขาได้มีประสบการณ์เผชิญหน้ากับพระเจ้า ซึ่งนำมาสู่การกลับใจ หรือแม้แต่การที่เปาโลเขียนถึงคนฮีบรู ให้ย้ายจากการดื่มนมไปทานอาหารแข็ง เป็นต้น [ฮีบรู 5:12-14] ถึงแม้ว่าขณะนี้ท่านทั้งหลายควรจะเป็นครูได้แล้ว แต่ท่านก็ต้องให้คนอื่นสอนท่านอีก ในเรื่องหลักธรรมเบื้องต้นแห่งพระวจนะของพระเจ้า ท่านทั้งหลายต้องกินน้ำนมไม่ใช่อาหารแข็ง เพราะว่าทุกคนที่ยังกินน้ำนมนั้น ยังไม่เข้าใจในเรื่องความชอบธรรม เพราะเขายังเป็นผู้เยาว์ อาหารแข็งเป็นอาหารสำหรับผู้ใหญ่ สำหรับผู้ที่ได้รับการฝึกหัดอบรมให้สามารถรู้จักผิดชอบชั่วดีแล้ว
การมีความรู้ในพระคำพระเจ้าเป็นสิ่งประเสริฐ แต่ถ้าหากขาดซึ่งการใช้ เราก็จะไม่สามารถรู้ถึงฤทธิ์อำนาจอันมหัศจรรย์เหนือธรรมชาติของพระเจ้าได้ เราจึงต้องเติบโตด้วยการใช้สิทธิอำนาจในพระนามพระเยซู ยิ่งถ้าเราฝึกใช้ก็จะยิ่งรู้ในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ ทำให้เกิดวิวัฒนาการแห่งสิทธิอำนาจในชีวิตของเรา
การจะรู้ถึงฤทธิ์อำนาจอันมหัศจรรย์เหนือธรรมชาตินั้น ต้องเข้าใจหน้าที่พื้นฐานของมนุษย์ว่า คือการ ต้องรับใช้ และต้องปกป้อง (to serve and to protect) ดังนั้น คริสตชนต้องรับใช้พระเจ้าและปกป้องโลกใบนี้ [สดด.115:16] ฟ้าสวรรค์เป็นฟ้าสวรรค์ของพระเจ้า แต่พระองค์ประทานแผ่นดินโลกให้แก่บุตรของมนุษย์
เมื่อเข้าใจหน้าที่พื้นฐานของเราแล้ว เราก็เข้าสู่พันธสัญญาของพระเจ้าโดยทางพระเยซู โดยโลหิตแห่งกางเขนนั้น โดยพึ่งพาฤทธิ์เดชของพระเจ้า เมื่อเรากระทำตามพันธสัญญา เราจะได้รับพระพร แต่ตรงกันข้าม เมื่อเราไม่กระทำตามพระสัญญา การแช่งสาปก็จะตกแก่เรา
พันธสัญญาของพระเจ้าเป็นพันธกิจที่จำต้องทำให้สัมฤทธิ์ผล และพันธกิจนั้นคือ พันธกิจแห่งการคืนดี โดยการนำมนุษย์มาคืนดีกับพระเจ้า นำสวรรค์ลงมาสู่โลก [คส.1:16-20] เพราะว่าในพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น ทั้งในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตาและซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ไม่ว่าจะเป็นเทวบัลลังก์ หรือเป็นเทพอาณาจักร หรือเป็นเทพผู้ครองหรือศักดิเทพ สรรพสิ่งทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้น โดยพระองค์และเพื่อพระองค์ พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนสรรพสิ่งทั้งปวง และสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นระเบียบอยู่โดยพระองค์ พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกาย คือคริสตจักร พระองค์ทรงเป็นปฐม เป็นผู้แรกที่ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย เพื่อพระองค์จะได้ทรงเป็นเอกในสรรพสิ่งทั้งปวง เพราะว่าพระเจ้าทรงพอพระทัย ที่จะให้ความบริบูรณ์ทั้งสิ้นธำรงในพระองค์ และโดยพระองค์ ให้สิ่งสารพัดกลับคืนดีกับพระเจ้า ไม่ว่าสิ่งนั้นจะอยู่ในแผ่นดินโลกหรือในสวรรค์ พระองค์ทรงทำให้มีสันติภาพด้วยพระโลหิตแห่งกางเขนของพระองค์
ในการทำพันธกิจ นั้น ความสามารถตามธรรมดาไม่เพียงพอ ต้องรับฤทธิ์เดชจากพระเจ้า [กดว.11:16-17] พระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า "จงรวบรวมพวกผู้ใหญ่ในอิสราเอลให้เราเจ็ดสิบคน เป็นคนที่เจ้าทราบว่าเป็นคนผู้ใหญ่ในประชาชนและเป็นเจ้าหน้าที่เหนือเขาทั้งหลาย จงพาเขามาที่เต็นท์นัดพบให้เขายืนอยู่พร้อมกับเจ้าที่นั่น เราจะลงมาสนทนากับเจ้าที่นั่น และเราจะเอาจิตวิญญาณที่มีอยู่บนเจ้ามาใส่บนคนเหล่านั้นเสียบ้าง ให้เขาทั้งหลายแบกภาระของชนชาตินี้ด้วยกันกับเจ้า เพื่อเจ้าจะมิได้ทนแบกอยู่แต่ลำพัง
ใช้ของประทาน เติบโตในของประทาน ปลดปล่อยของประทาน!
เทศนาโดย ดร.ซินดี้ เจคอปส์
ดร.ซินดี้ ผู้เผยพระวจนะ ได้เรียกร้องให้ทุกคนกลับใจเพื่อแผ่นดิน ได้นำขึ้นไปสู่ภูเขาของการอธิษฐานวิงวอนด้วยการชำระมือและใจให้สะอาดเสียก่อน โดยนำสู่การยกโทษ และขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ ช่วยให้เราสำนึกบาป นำเราสำนึกบาปร้องทูลต่อพระเจ้าเพื่อประเทศไทย เพื่อรักษาแผ่นดินให้หายโดยกลับใจใหม่ กลับใจใหม่สำหรับบาปที่คนอื่นทำ ดังเช่น ดาเนียล เอสรา เนหะมีย์ [อสค.22:30] และเราก็แสวงหาสักคนหนึ่งในพวกเขาซึ่งจะสร้างกำแพงและยืนอยู่ในช่องโหว่ต่อหน้าเราเพื่อแผ่นดินนั้น เพื่อเราจะมิได้ทำลายมันเสีย แต่ก็หาไม่ได้สักคนเดียว…[โยเอล 2:16-19] จงรวบรวมบรรดาประชาชน จงชำระชุมนุมชนให้บริสุทธิ์ จงประชุมบรรดาผู้ใหญ่ จงรวบรวมเด็กๆ แม้ว่าเด็กที่ยังกินนม จงให้เจ้าบ่าวออกจากเรือนหอ และเจ้าสาวออกจากห้องของตน ให้ปุโรหิต คือผู้ปรนนิบัติพระเจ้า คร่ำครวญอยู่ระหว่างเฉลียงและแท่นบูชา ให้ทูลว่า "ข้าแต่พระเจ้าขอทรงเวทนาประชากรของพระองค์ขออย่าทรงกระทำให้มรดกของพระองค์ที่เขาประณามกันและเป็นที่เยาะเย้ยในท่ามกลางประชาชาติ ควรหรือที่เขาจะกล่าวท่ามกลางชนชาติทั้งหลายว่า'พระเจ้าของเขาอยู่ที่ไหน" แล้วพระเจ้าทรงหวงแหนแผ่นดินของพระองค์ และทรงสงสารประชากรของพระองค์ พระเจ้าทรงตอบประชากรของพระองค์ว่า "ดูเถิด เราจะส่ง ข้าว เหล้าองุ่น และน้ำมันให้แก่เจ้า เจ้าทั้งหลายจะได้อิ่มหนำสำราญ เราจะไม่กระทำให้เจ้า เป็นที่เขาประณามกันท่ามกลางประชาชาติต่อไปอีก
สารภาพความบาปผิดของตนเอง
สารภาพความบาปผิดต่อกันและกัน
สารภาพความบาปผิดต่อบิดามารดาและญาติพี่น้อง ต่อบุตรหลาน
สารภาพความบาปผิดระหว่างประเทศ
สารภาพความบาปผิดแทนชนชาติของตน
สารภาพ ให้อภัย คืนดี กลับใจใหม่


โรงเรียนแห่งการตีสอน
วันนี้ฉันมีอาการปวดศีรษะตั้งแต่ช่วงเช้า และแม้ว่ามีบางช่วงเหมือนกันที่อาการปวดหายไป แต่ว่าในช่วงบ่าย อาการปวดก็กลับมาอีก และเป็นอยู่อย่างนี้จนรายการเลิก การปวดครั้งนี้ฉันสัมผัสได้ว่าเป็นเรื่องของฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ร่างกาย ฉันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบางอย่างที่ไม่ได้มาจากพระเจ้าในที่ประชุมแห่งนั้น และสิ่งนี้ทำให้ฉันปวดศีรษะ ฉันพยายามต่อสู้กับสิ่งที่มองไม่เห็นโดยลำพัง แต่ฉันยังไม่ชนะ ในช่วงเวลาประมาณ 18.30 น. ก่อนที่รายการภาคกลางคืนจะเริ่มนั้น ฉันไม่สามารถอยู่ในห้องประชุมได้ ฉันจึงปลีกตัวออกมาอธิษฐานข้างนอกตามลำพัง และในใจก็คิดว่าต้องการใครสักคนมาอธิษฐานเผื่อฉัน พลันฉันก็นึกถึงพี่ตุ๊กตาขึ้นมา แต่ฉันนั่งอยู่ใต้แสงไฟสลัวที่เต้นท์ด้านนอก แล้วพี่ตุ๊กตาจะมาพบฉันได้อย่างไร มือถือฉันก็ไม่ได้ติดมาด้วย ฉันจึงได้แต่เรียกร้องอยู่ในใจ เพียงแค่ไม่กี่อึดใจพี่ตุ๊กตาก็เดินผ่านมา ประโยคแรกที่พี่ตุ๊กตาทักคือ “กำลังคิดถึงอยู่พอดี” และทำให้พี่ตุ๊กตาได้อธิษฐานเผื่อฉันจนอาการปวดหายไป แต่เมื่อเข้ามาที่ห้องประชุม อาการปวดศีรษะก็กำเริบอีกจนกระทั่งจบรายการ
ขากลับฉันเดินออกมาหน้าปากซอยกับพี่อิ๋วและพี่แอ๊ด พี่แอ๊ดกระโดดขึ้นรถเมล์ไปก่อนใครด้วยความร่าเริง แต่ไม่นานฉันกับพี่อิ๋วก็ได้ขึ้นรถ เราขึ้นรถเมล์ไปลงที่หน้ามหาวิทยาลัยรามฯ เพื่อขึ้นรถต่อไปที่อนุสาวรีย์ชัยฯ เรารอรถกันนานมาก และเนื่องจากค่อนข้างดึก รถจึงไม่มี แต่สิ่งที่ประหลาดสำหรับฉันก็คือ ฉันรอนานมากด้วยอาการอ่อนเพลีย แต่ฉันกลับไม่กระวนกระวาย ฉันอธิษฐานขอให้รถมาเร็วๆ แต่รถก็ไม่มา ฉันก็รอไปเรื่อยๆ ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าสำหรับบทเรียนแห่งการรอคอยที่พระองค์ทรงกำลังเคี่ยวเข็ญฉันอยู่ สุดท้ายเราตัดสินใจขึ้น Taxi กลับบ้าน โดยพี่อิ๋วลงต่อรถที่อนุสาวรีย์ชัยฯ เมื่อฉันกลับถึงบ้านและรู้ตัวอีกทีก็พบว่าอาการปวดศีรษะหายแล้วเป็นปลิดทิ้ง ฮาเลลูยา!
ประสบการณ์วันนี้ฉันยังไม่รู้ว่าพระเจ้าจะทรงบอกอะไรแก่ฉัน ปัญหาของฉันไม่ได้อยู่ที่ว่าฉันปวดศีรษะ แต่ปัญหาคือทำไมเมื่ออธิษฐานแล้วฉันจึงไม่หาย เพราะปกติเมื่อโดนโจมตีในลักษณะนี้ เมื่ออธิษฐานขอพระโลหิตแห่งองค์พระเยซูคริสต์ปกคลุมชำระ และนมัสการสักเพลงสองเพลง ฉันก็จะหาย แต่คราวนี้ อธิษฐานแล้วอธิษฐานอีก แถมนมัสการก็มาก ทำไมนะ ฉันจึงไม่หาย… ก่อนที่ฉันจะหลับสนิทในอ้อมกอดของพระองค์ ฉันอธิษฐานขอพระเจ้าที่จะทรงสำแดงบทเรียนแห่งประสบการณ์ครั้งนี้แก่ฉัน
กำจัดขยะในใจ
วันที่ 17/11/2008
เช้านี้ฉันตื่นประมาณ 7 โมง แถมตื่นมาแล้วก็ยังไม่ยอมลุกอีกต่างหาก ฉันอ้อยอิ่งอยู่บนเตียง เพราะลุกไม่ขึ้น รู้สึกเพลียมาก เนื่องจากมีรอบเดือน แต่ที่น่าแปลกก็คือ ไม่ใช่ช่วงที่ฉันควรจะมีรอบเดือนตามปกติ และที่สำคัญ มามากเป็นพิเศษด้วย จริงๆ แล้ว ฉันก็ไม่หวั่นในวันมามากหรอก และไม่กังวลกับอาการที่เกิดขึ้นด้วย ฉันวางใจในการดูแลรักษาของพระเจ้าเป็น แต่ว่า เมื่อเสียเลือดเยอะๆ ก็อ่อนเพลีย และเกิดอาการอยากรู้อยากเห็นว่าสิ่งนี้เกิดจากอะไร อย่างไรก็ตาม ฉันก็ไม่ได้รีบร้อนที่จะรู้คำตอบ วันนี้เป็นวันสะบาโต วันที่ต้องหยุดพักการงานเพื่อนมัสการพระเจ้า แต่เนื่องจากอาการทางร่างกาย ฉันจึงไม่ได้ไปโบสถ์ ไม่ได้ไปนมัสการร่วมกับพี่น้อง ไม่ได้ฟังเทศนาจากศิษยาภิบาลผู้รับใช้ของพระเจ้า ฉันจึงอธิษฐานขอที่พระเจ้าจะทรงโปรดเมตตาชำระล้างฉันให้สะอาด นำฉันเข้าสู่การนมัสการร่วมกับฑูตสวรรค์ของพระองค์ ขอพระวิญญาณประเสริฐของพระองค์จะทรงสอนฉัน ขอทรงนำฉันเข้าใกล้ชิดพระองค์มากขึ้น
ฉันใช้เวลาเกือบทั้งวันในการกำจัดขยะในใจของฉัน [สดด.139:23-24] ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงค้นดูข้าพระองค์และทรงทราบจิตใจของข้าพระองค์ ขอทรงลองข้าพระองค์และทรงทราบความคิดของข้าพระองค์ และทอดพระเนตรว่ามีทางชั่วใดๆในข้าพระองค์หรือไม่ และขอทรงนำข้าพระองค์ไปในมรรคานิรันดร์
และแล้วพระเจ้าก็ทรงเปิดเผยสิ่งชั่วร้ายที่ซ่อนอยู่ในใจของฉัน ฉันผิดไปแล้วจริงๆ และฉันก็ได้รับบทเรียนอันแสนสาหัสจากความผิดของฉันแล้วเช่นกัน การปวดศีรษะทั้งวันเมื่อวานนี้ไม่ใช่เรื่องสนุกเลย และฉันก็ไม่ได้พิจารณาที่ตัวเองด้วย กลับมุ่งมองไปที่ปัจจัยภายนอก หารู้ไม่ว่า ต้นเหตุที่แท้จริงนั้นเกิดจากฉันเอง แล้วทำไมจึงเป็นเช่นนั้นเล่า
ประการแรก พระเจ้าทรงเมตตาโปรดให้ฉันเป็นนักรบอธิษฐาน ซึ่งฉันต้องรับผิดชอบในการใช้ของประทานนี้อย่างจริงจัง สัตย์ซื่อ เต็มใจ เชื่อฟัง และไม่มีข้อแม้ การอธิษฐานนั้นจะมิได้จำกัดวงเพียงตนเอง คนใกล้ชิด หรือพี่น้องในและนอกคริสตจักร หรือคนหลงหายที่ยังวนเวียนอยู่ในความมืดเท่านั้น หากยังต้องขยายวงกว้างออกไปในการอธิษฐานเผื่อจังหวัดของเรา ประเทศไทยของเราด้วย ต้องรับผิดชอบในการยืนหยัดอยู่เพื่ออุดช่องโหว่ ไม่ให้พญามารและสมุนชั่วร้ายของมันมีชัยเหนือคนของพระเจ้า เราต้องขัดขวางมันทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้มันคุกคามแผ่นดินของพระเจ้า…แต่ในระยะหลังฉันเกิดอาการเอือมระอากับสถานการณ์บ้านเมือง ฉันจึงละเลย ฉันบกพร่องต่อหน้าที่ ไม่ได้อธิษฐานอย่างจริงจังเผื่อประเทศชาติ เผื่อสถานการณ์ทางการเมืองที่วุ่นวายอยู่ในขณะนี้ ฉันผิดเต็มประตู โดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
ประการต่อมา ฉันตั้งใจไว้ว่าตลอดการอดอาหาร 40 วัน ฉันจะอธิษฐานเผื่อประเทศไทย เผื่อการฟื้นฟูในสังคมไทย…แต่ฉันละเลย ไม่ได้อธิษฐานเท่าที่ควรจะเป็น และแม้ว่าฉันจะอธิษฐานวงแหวนไฟอยู่เสมอ สิ่งนี้ก็ไม่อาจลบล้างความบาปผิดครั้งนี้ของฉันได้ เนื่องจากใจฉันไม่ได้จดจ่ออยู่ที่ประเทศไทย บ้านเกิดของฉัน
ประการที่สาม ฉันกลับมาใคร่ครวญอีกครั้งว่าทำไมพระเจ้าทรงเข้มงวดกับฉันและตีสอนฉันหนักมากในเรื่องของการอธิษฐาน สุดท้ายก็พบคำตอบเพิ่มเติมว่า พระองค์อนุญาตให้ฉันมีหัวใจแบบเอสเธอร์ ด้วยว่าเมื่อหลายเดือนก่อน พระวิญญาณทรงเร้าใจให้ฉันอธิษฐานอดอาหารแบบเอสเธอร์ ซึ่งฉันก็รับไว้ด้วยความตื่นเต้นและเต็มใจ ฉันปรารถนาเหลือเกินที่จะทำตามเสียงเร่งเร้านั้น ฉันได้แบ่งปันเรื่องนี้กับพี่อิ๋วด้วย และเราได้อธิษฐานขอพระเจ้าทรงนำ ขอทรงโปรดปรานเตรียมฉันและให้เวลาที่เหมาะสมกับภารกิจในครั้งนี้…ฉันได้รับการยืนยันเรื่องนี้อีกครั้ง เมื่อไปเข้าค่าย Alpha Weekend ที่พัทยา โดยอาจารย์เฟ ซึ่งเป็นมิชชันนารีชาวออสเตรเลียเป็นวิทยากรประจำค่าย ได้อธิษฐานโดยการนำของพระวิญญาณว่าฉันมีหัวใจแบบเอสเธอร์ และวันนั้นหัวใจของฉันก็เปิดรับมาเต็มๆ (ฉันขอพระเจ้าด้วยว่า ไหนๆ ก็มีหัวใจแบบเอสเธอร์แล้ว ลูกขอสวยแบบเอสเธอร์ด้วยได้ไหมคะพ่อ) ฉันจึงเข้าสู่การเตรียมตัวมากขึ้น และพระเจ้าทรงยืนยันอีกครั้งผ่านการเทศนาของ อ.อานุภาพที่ค่าย ESC และเมื่อวานนี้ พระเจ้าทรงยืนยันอีกครั้งผ่านครูแมม…เมื่อฉันไปถึง คจ.ใจสมาน พบครูแมมเป็นคนแรก โบกมือหยอยๆ เรียกเรา เมื่อทักทายกันเสร็จ ครูแมมก็ลุกขึ้นจับมือฉันไว้ทั้ง 2 ข้าง และบอกว่า “ต้องอธิษฐานแบบเอสเธอร์” หา อะไรนะ ตอนนั้นฉันตะลึง (ในใจ) เออ คือว่าครูแมมรู้ได้ยังไงว่าฉันคิดจะอธิษฐานแบบเอสเธอร์อยู่ แต่ฉันแน่ใจว่าสิ่งนี้พระเจ้ายืนยันกับฉันอีกครั้ง จากนั้นครูแมมก็แบ่งปันว่า ดร.ซินดี้ หนุนใจให้คริสเตียนไทยอธิษฐานแบบเอสเธอร์เพื่อประเทศไทย และสิ่งนี้ก็จับใจครูแมมจนอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้เช่นกัน ครูแมมจึงกลายเป็นโมรเดคัย ส่งข้อความปี๊ด ปี๊ด ปี๊ด สนั่นเมือง แถมส่งอีเมล์ไปทั่วราชอาณาจักรของพระเจ้า เพื่อขอให้บรรดาเอสเธอร์ทั้งหลายเข้าเฝ้ากษัตริย์แห่งฟ้าสวรรค์ เพื่อทูลวิงวอนสำหรับพี่น้องร่วมชาติ!! [อสธ.4:8] โมรเดคัยยังได้ให้สำเนากฤษฎีกาเขียนที่ออกในสุสาสั่งให้ทำลายเขาทั้งหลายเพื่อนำไปแสดงแก่พระนางเอสเธอร์ อธิบายเรื่องให้พระนาง และกำชับให้พระนางเข้าเฝ้าพระราชา เพื่อทูลอ้อนวอนพระองค์ และวิงวอนพระองค์เพื่อเห็นแก่ชนชาติของพระนาง อีกไม่กี่วันข้างหน้า คือ 20-22/11/2008 นี้ ครูแมมจะสวมวิญญาณเอสเธอร์ เป็นมเหสีผู้เลอโฉมที่สามารถเข้าเฝ้ากษัตริย์ได้ตลอดเวลา โดยที่ไม่มีใครมาขวางได้ และที่สำคัญ กษัตริย์เบื้องบนองค์นี้ ทรงฟังเสียงร้องทูลของพระนางเอสเธอร์… หากเอสเธอร์สนใจแต่ความอยู่รอดของตนเอง นางคงมิตรัสว่า “ถ้าฉันพินาศ ฉันก็พินาศ” เป็นแน่ [อสธ.4:16] "ไปเถิด ให้รวบรวมพวกยิวทั้งสิ้นที่หาพบในสุสา และถืออดอาหารเพื่อฉัน อย่ารับประทาน อย่าดื่มสามวันกลางคืนหรือกลางวัน ฉันและสาวใช้ของฉันจะอดอาหารอย่างท่านด้วย แล้วฉันจะเข้าเฝ้าพระราชาแม้ว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ถ้าฉันพินาศ ฉันก็พินาศ" เอสเธอร์สัตย์ซื่อในการกระทำตามพระบัญชาจากองค์จอมกษัตริย์ นางอดอาหารอธิษฐานเพื่อชนชาติของนาง โอ หัวใจของนางช่างประเสริฐนัก แต่ฉันสิ ที่ผ่านมา ฉันไม่ได้อธิษฐานเผื่อประเทศไทย แล้วหัวใจแบบเอสเธอร์จะอยู่ในฉันได้อย่างไรเล่า…ฉันผิดไปแล้ว
ประการที่สี่ ฉันไม่ได้ใส่ใจในการอธิษฐานสำหรับพันธกิจของ ดร.ซินดี้ในครั้งนี้เท่าไร ดร.ซินดี้ เป็นชาวต่างชาติ แต่รักประเทศไทยเหลือเกิน รักชนชาติทั้งหลายของพระเจ้า แล้วฉันล่ะ เป็นคนไทยหรือเปล่า มัวไปทำอะไรอยู่…ฉันผิดไปแล้ว
ประการสุดท้าย เนื่องจากอาการปวดศีรษะที่มีอยู่ตลอด ทำให้บางช่วงของการนมัสการ ฉันกลับอธิษฐานขอพระเจ้าให้ช่วย ขอ ขอ ขอ และก็ขอ แต่ขออย่างไรก็ไม่ได้รับคำตอบ ฉันจึงขออยู่เรื่อยๆ…ฉันพลาดอีกแล้ว ฉันควรนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง ด้วยสิ้นสุดจิต สิ้นสุดใจ สิ้นสุดกำลังความคิด ทว่า ฉันเพียงแค่นมัสการด้วยสิ้นสุดจิต สิ้นสุดใจ สิ้นสุดกำลังเท่านั้น ยังมิได้นมัสการด้วยสิ้นสุดความคิด ฉันจดจ่อความคิดไปที่ตนเอง และร้องขอการช่วยเหลือจากพระเจ้า โดยลืมไปว่า ณ เวลานั้น การนมัสการสำคัญที่สุดในชีวิต เป็นวัถตุประสงค์แรกที่พระเจ้าทรงสร้างชีวิตของเราขึ้นมา ชีวิตซึ่งเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากพระเจ้า แต่ฉันตอบแทนพระเจ้าผู้ทรงให้ของขวัญที่ยิ่งใหญ่แก่ฉันด้วยการลืมวัตถุประสงค์ข้อนี้เสียสนิท ฉันเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยท่าทีที่เห็นแก่ตัว ขอเพื่อตัวเอง ทั้งๆ ที่ ฉันควรขอบคุณพระองค์ บอกรักพระองค์ สรรเสริญพระองค์…บทเรียนนี้ทำให้ฉันเรียนรู้ลึกซึ้งขึ้นว่า เมื่อเรานมัสการก็ต้องนมัสการจริงๆ เมื่ออธิษฐานก็ต้องอธิษฐานจริงๆ เมื่ออ่านพระคำก็ต้องอ่านพระคำจริงๆ และฉันต้องขอสติปัญญาจากพระเจ้าอย่างมากในการเรียนรู้ว่าเวลาใดควรจะทำสิ่งใด ต้องรู้จังหวะชีวิตของตนเองและผู้อื่นด้วย ต้องรู้ว่าเรากำลัง นั่ง เดิน หรือยืน และเมื่อรู้แล้ว ต้องเทใจทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด เพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์…
ชีวิตคริสเตียน 3 ด้าน
1. “นั่ง” เป็นการแสดงออกในฐานะของเราผู้ศรัทธาในพระคริสต์ โดยการพักน้ำหนักทั้งสิ้นของเราไว้ ทั้งภาระของตัวเราเอง อนาคตของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างของเรา ไว้กับพระผู้เป็นเจ้า แล้วปล่อยให้พระองค์รับผิดชอบทั้งหมด และเลิกแบกเอาไว้เอง หากว่าให้เราเข้าเฝ้าพักสงบอยู่กับพระเจ้า [อฟ.2:6] และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระองค์ และทรงโปรดให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์
2. “เดิน” (ประพฤติ) คือ ชีวิตของเราในโลกนี้ ที่จำต้องประพฤติอย่างหมดจดดังชาวสวรรค์ [อฟ.4:1] เหตุฉะนั้นข้าพเจ้า ผู้ถูกจำจองเพราะเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอวิงวอนท่านให้ดำเนินชีวิตสมกับพันธกิจอันเนื่องจากการทรงเรียกท่านนั้น…[อฟ.5:2] และจงดำเนินชีวิตในความรัก เหมือนดังที่พระคริสต์ได้ทรงรักเราทั้งหลาย และทรงประทานพระองค์เองเพื่อเรา ให้เป็นเครื่องถวายและเครื่องบูชาอันเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า…[อฟ.5:8] เพราะว่าเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างแล้วในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง…[อฟ.5:15] เหตุฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา
3. “ยืน” (ต่อต้าน) คือ การรู้จักวิธียืนหยัดต่อสู้กับศัตรูที่จู่โจมเข้ามา ทั้งทางกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า [อฟ. 6:11] จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อจะต่อต้านยุทธอุบายของพญามารได้
(ศึกษาเพิ่มเติมได้ จากหนังสือ “ธรรมแนะทางทำ” โดย วอชแมน นี)
ท่วงทำนองดนตรีชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะกำลังนั่งอยู่ ก็ควรนั่งอย่างเต็มที่ บางคนกำลังเดินหรือยืนอยู่ ก็ต้องเดินหรือยืนอย่างเต็มที่เช่นกัน และในบางครั้งจังหวะของชีวิตก็เปลี่ยนไป บางครั้งเมื่อเดินแล้วก็ต้องหันกลับมานั่งใหม่ เพื่อเสริมกำลังเดินต่อไป เพื่อให้ยืนหยัดได้อย่างมั่นคง โดยเรานั้นต้องระวังระไวรอบด้านเสมอ [1คร.10:12] เหตุฉะนั้นคนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังให้ดี กลัวว่าจะล้มลง
สรุปคือ ฉันได้กระทำสิ่งชั่วร้าย ถลำลึกเข้าไปในความบาปแห่งการไม่เชื่อฟัง (พระเจ้าให้อธิษฐาน แต่ฉันไม่อธิษฐาน) บาปแห่งการมุสาต่อพระเจ้า (บอกพระเจ้าไว้ว่าจะอธิษฐาน แต่ไม่ได้อธิษฐาน) บาปแห่งความเกียจคร้าน (ตั้งใจไว้ว่าจะอธิษฐานอย่างเข้มข้นในช่วง 40 วันนี้ แต่กลับอ่อนระอา ไม่ได้อธิษฐาน) บาปแห่งการขาดความรับผิดชอบ (เราถูกแต่งตั้งมาเพื่อปรนนิบัติ ไม่ใช่เพื่อรับการปรนนิบัติ ฉันขาดความรับผิดชอบในสิ่งที่ได้รับมอบหมายให้กระทำ)…ฉันได้รับบทเรียนที่สาหัสในครั้งนี้ การตีสอนนี้ทำให้ฉันรู้สึกเกรงกลัวพระเจ้า และต้องบอกพระองค์ว่า ลูกกลับใจ ลูกจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว เข็ดจริงๆ คะพ่อขา
การดำเนินชีวิตคริสเตียนย่อมหลีกไม่พ้นการทดสอบและการทดลอง การทดลองมาจากความปรารถนาตามกิเลสตัณหาเนื้อหนังของเรา การทดลองเป็นสิ่งที่มารใช้ล่อลวงเรา ทำให้ส่วนที่ไม่ดีที่สุดในตัวเราปรากฎออกมา ในขณะที่การทดสอบมาจากพระเจ้าผู้มีเป้าหมายพิเศษ เพื่อทำให้สำเร็จ เป็นสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้เพื่อทำให้ส่วนที่ดีที่สุดของเราปรากฎออกมา…คริสเตียนต้องเผชิญการทดลองให้ทำบาปที่คล้ายๆ กัน แต่ไม่ใช่ทุกคนมีประสบการณ์การทดสอบความเชื่อแบบเดียวกัน การทดสอบของพระเจ้าเป็นเหมือนเสื้อที่ตัดเฉพาะสำหรับเรา โดยช่างตัดเสื้อส่วนตัว ตัดให้พอดีสำหรับลูกของพระเจ้าแต่ละคนไม่เหมือนกัน และประสบการณ์แต่ละครั้งก็เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
แล้วทำไมต้องมีการทดสอบด้วยเล่า
• พระองค์ต้องการทำให้ความเชื่อของเราบริสุทธิ์มากขึ้น [1 ปต 1:6-9] ในความรอดนั้นท่านทั้งหลายชื่นชมยินดี ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้ จำเป็นที่ท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่งในการถูกทดลองต่างๆ เพื่อการลองดูความเชื่อของท่าน อันประเสริฐยิ่งกว่าทองคำ ซึ่งแม้เสียไปได้ก็ยังถูกลองด้วยไฟ จะได้เป็นเหตุให้เกิดความสรรเสริญเกิดศักดิ์ศรีและเกียรติ ในเวลาที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาปรากฏ พระองค์ผู้ที่ท่านทั้งหลายยังไม่ได้เห็น แต่ท่านยังรักพระองค์อยู่แม้ว่าขณะนี้ท่านไม่เห็นพระองค์ แต่ท่านยังเชื่อและชื่นชม ด้วยความปีติยินดีเป็นล้นพ้นเหลือที่จะกล่าวได้ แล้ววิญญาณจิตของท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดเป็นผลแห่งความเชื่อ
• เพื่อให้เราเป็นคนที่ดีพร้อม [ยก 1:1-4] ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายประสบความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี เพราะท่านทั้งหลายรู้ว่า การทดลองความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง และจงให้ความมั่นคงนั้นบรรลุผลอันสมบูรณ์ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนที่ดีพร้อม มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย
• เพื่อปกป้องเราจากบาป [2 คร.12:7-10] และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวจนเกินไป เนื่องจากที่ได้เห็นการสำแดงมากมายนั้น ก็ทรงให้มีหนามใหญ่ในเนื้อของข้าพเจ้า หนามนั้นเป็นทูตของซาตานคอยทุบตีข้าพเจ้าเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวเกินไป เรื่องหนามใหญ่นั้น ข้าพเจ้าวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงสามครั้ง เพื่อขอให้มันหลุดไปจากข้าพเจ้า แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า "การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น" เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า เหตุฉะนั้นเพราะเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า ในการประทุษร้ายต่างๆในความยากลำบาก ในการถูกข่มเหง ในความอับจน เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น (จาก หนังสือ จงเชื่อฟัง โดย Warren W.Wiersbe)
ฉันขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงตีสอนฉันในเรื่องนี้ และทุกๆ เรื่อง เพราะว่าพระองค์ทรงรักฉัน และเช่นกัน พระองค์ก็ทรงรักคุณมาก [ฉธบ.8:5] ท่านทั้งหลายพึงทราบอยู่ในใจเถอะว่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายทรงตีสอนท่าน เหมือนกับบิดาตีสอนบุตรของตนเช่นกัน

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ